[REVIEW] ‘Babylon’ มหากาพย์สุดบ้าคลั่ง ฉากหลังยุคทองฮอลลีวูด| GOSSIP GUN

HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘Babylon’ มหากาพย์สุดบ้าคลั่ง ฉากหลังยุคทองฮอลลีวูด| GOSSIP GUN

18 ม.ค. 2023

La La Land คือปรากฏการณ์ของฮอลลีวูด หลังจากเข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง 13 สาขาเทียบเท่า Titanic แม้ว่าท้ายที่สุดจะพลาดรางวัลสำคัญอย่าง Best Picture แต่หนังก็ส่งให้ เดเมียน ชาเซลล์ กลายเป็นผู้กำกับที่อายุน้อยที่สุดที่ชนะสาขา Best Director นั่นทำให้ทุกโปรเจกต์หลังจาก La La Land จากฝีมือเขาล้วนถูกจับตา หลังจากเบนเข็มไปเล่าเรื่องนอกฮอลลีวูดมาแล้วกับ First Men เดเมียนขอกลับสู่เรื่องราวที่เขารักมากที่สุดอีกครั้ง เรื่องราวของแวดวงภาพยนตร์ใน 'Babylon' โปรเจกต์ยักษ์ทุนสร้าง 80 ล้านเหรียญฯ ที่เปิดโอกาสให้เดเมียนที่โชว์ฝีมือแบบเต็มที่ จะได้โชว์เรื่องราวเกี่ยวกับฮอลลีวูดอย่างเต็มสตรีม

Babylon พาผู้ชมย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นยุคทองของฮอลลีวู้ดในช่วงปลายยุค 1920s มหากาพย์ของหลากหลายตัวละคร ที่แจ้งเกิดและแตกดับ ท่ามกลางการเปลี่ยนถ่ายของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ จากยุคหนังเงียบ สู่หนังที่มีเสียง หลายความฝันเป็นจริง หลายคนมุ่งมั่นประสบความสำเร็จ แต่เมื่อทุกอย่างไม่ยั่งยืน จึงไม่มีคำว่า ตลอดไป โดยเฉพาะในวงการนี้ โดยตัวละครหลักๆที่หนังโฟกัส เริ่มจาก แมนนี่ (รับบทโดย ดิเอโก้ ซัลวา) หนุ่มจากเม็กซิโกที่ข้ามชายแดนมายังฮอลลีวู้ดเพราะหลงไหลในมนต์เสน่ห์ของภาพยนตร์ จนทำให้เขาอยากสร้างหนัง ได้มาเจอกับ เนลลี่ (รับบทโดย มาร์โก ร็อบบี้) หญิงสาวสุดทะเยอทะยานที่เธอเชื่อสุดใจว่าเธอเกิดมาเพื่อเป็นซูเปอร์สตาร์ ระหว่างที่ทั้งคู่ค่อยๆไล่ตามความฝันไปทีละขั้น พวกเขาก็ได้เจอกับ แจ็ค คอนราด (รับบทโดย แบรด พิตต์) นักแสดงเบอร์ท็อปของวงการในขณะนั้น ที่ไม่ว่าเล่นหนังเรื่องไหนก็ฮิตติดลมบนทุกเรื่อง แต่เมื่อฮอลลีวูดกำลังจะเปลี่ยนไป ยุคของหนังเสียงกำลังก้าวเข้ามาแทนที่หนังเงียบ พวกเขาทุกคนและทุกชีวิตในฮอลลีวูดก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

ถ้าเปรียบ La La Land เป็นเหมือนน้ำนิ่งที่ไหลลึก หนังอย่าง Babylon ก็คือคลื่นที่ซัดกระหน่ำไม่หยุดตลอดเวลา แม้ว่ามันจะเล่าถึงคนตามฝันในวงการบันเทิงเหมือนกัน แต่สำหรับเรื่องนี้ เดเมียน ขอปรับเข้าสู่โหมดที่บ้าคลั่งอย่างเต็มที่ เรียกว่าปล่อยของแบบไม่มีลิมิตเลยจริงๆ หนังเริ่มจากฉากปาร์ตี้สุดคลั่ง ที่เต็มไปด้วยเหล้ายาเซ็กซ์ หลายอย่างที่ไม่มีใครคาดคิด (แม้แต่ช้างก็ยังมี) กับทุกเหตุการณ์ที่เหนือความควบคุม สะท้อนถึงภาพความสุดเหวี่ยงของไลฟ์สไตล์คนบันเทิงในยุคนั้น ก่อนที่จะต่อด้วยเช้าวันใหม่กับการถ่ายทำหนังที่เต็มไปด้วยความโกลาหลอลหม่านขั้นสุด กองถ่ายที่หนังฟอร์มใหญ่ที่ดูเหมือนกำลังจะพังพินาศ จะพังแหล่ไม่พังแหล่ แค่ฉากใหญ่สองซีนแรก ก็ทำให้ผู้ชมอารมณ์สูบฉีดขั้นสุด มันทั้งสนุก ทั้งบ้าคลั่ง ทั้งตลกอย่างร้ายกาจ และเป็น Mood & Tone แรก ที่บอกถึงสไตล์อันชัดเจนของ Babylon ในช่วงเวลาที่เล่าถึงการผงาดของหลายความฝัน

และเมื่อความเปลี่ยนแปลงมาถึง อีกหนึ่ง Mood & Tone ที่ค่อยๆเผยออกมาใน Babylon คือความดาร์กของชีวิต ที่หลายฉากพาให้อารมณ์ผู้ชมดำดิ่งอยู่ไม่น้อย เมื่อทุกอย่างไม่จีรั่งยั่งยืน ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้าไปได้ตลอด หนังค่อยๆพาผู้ชมไปดู ชีวิตที่ต้องจะเกียกตะกายไล่ตามฝันอีกครั้ง หลังจาก La La Land เดเมียนเคยสื่อสารกับผู้ชมว่า ทุกความฝันย่อมต้องมีการเสียสละ คุณไม่สามารถเอาชนะหรือทำตามใจตัวเองได้ทุกอย่าง นำไปสู่บทสรุปที่หลายคนใจสลาย สำหรับ Babylon เดเมียนกำลังจะบอกผู้ชมว่า แม้ความฝันจะเป็นจริงแล้ว แต่ไม่มีอะไรอยู่กับเราได้ตลอดไป ทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องชั่วคราวทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียงเงินทอง เมื่อหลายๆตัวละครขึ้นสู่จุดสูงสุด แล้วตกลงมาท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง มันจึงไม่ง่ายเลยที่จะกลับไปอยู่จุดเดิมอีกครั้ง (ซึ่งส่วนใหญ่ไม่มีโอกาสนั้นอีกแล้ว)

ไม่แปลกใจที่กระแสคำวิจารณ์ของ Babylon จากเมืองนอก จะออกมาในลักษณะที่ไม่ รัก ก็ เกลียด มันเป็นหนังที่ส่วนตัวมากๆสำหรับเดเมียน เหมือนสร้างมาประหนึ่งว่าตัวเองจะไม่มีโอกาสได้สร้างหนังอีกแล้ว เขาอยากเล่าอะไรจึงเล่า อยากทำอะไรจึงทำ หนังมันจึงมีอารมณ์ที่ขึ้นสุดลงสุด ตลอด 3 ชั่วโมง 8 นาที บ้างก็ว่าหนังขาดความสมูธ บ้างก็ว่าทิศทางของหนังดูเหมือนจะไม่ชัดเจนเท่าไหร่นัก แต่โดยรวมต้องชื่นชมความจัดเต็มของเขา การออกแบบงานสร้างที่ไม่ธรรมดา ดนตรีประกอบสุดเร้าใจ และการแสดงโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดิเอโก้ ซัลวา และมาร์โก้ ร็อบบี้ ที่แสดงได้อย่างยอดเยี่ยมในหลายๆฉากที่ท้าทายฝีมือมากๆ

ท้ายที่สุดแม้ว่า Babylon จะแตกต่างจาก La La Land อย่างมาก แต่ก็มีหลายครั้งที่กลิ่นอายของ La La Land (หรือแม้แต่งานก่อนหน้าอย่าง Whiplash) ชัดเจนมากเช่นกัน โดยเฉพาะดนตรีประกอบที่ท่วงทำนองในหลายฉากภาพของ La La Land ผุดเข้ามาในหัวเลย ใครที่เคยชอบ La La Land ก็อยากให้ลองมาพิสูจน์หนังเรื่องนี้ แม้ว่าหนังจะดูเป็นคนหลายบุคลิกไปหน่อย บ้าคลั่งไปหน่อย แต่แก่นก็มัน ก็ทั้งโรแมนติกและบีบหัวใจไม่แพ้กัน และที่แน่ๆ หลังจากดูจบเราเชื่อมั่นเหลือเกินว่า เดเมียน ชาเซลล์ รักในการทำหนัง รักในศาสตร์ของภาพยนตร์จริงๆ แม้ว่าช่วงท้ายเขาจะใส่หนักมากไปหน่อยก็ตาม แต่มันก็เป็นจดหมายแบบทั้งรักทั้งเกลียดของเขา ต่อสิ่งที่โลกเรียกว่า "ฮอลลีวูด"

 

Babylon (บาบิลอน) เข้าฉาย 19 มกราคมนี้ ทุกโรงภาพยนตร์


ภาพ : UIP Thailand

related HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] Lightyear ต้นกำเนิดของเล่นใน Toy Story ผจญภัยอวกาศจัดเต็ม | GOSSIP GUN

15 มิ.ย. 2022

[REVIEW] Lightyear ต้นกำเนิดของเล่นใน Toy Story ผจญภัยอวกาศจัดเต็ม | GOSSIP GUN

เชื่อว่าใครหลายๆคน คิดถึงการดูหนังพิกซาร์ในโรงภาพยนตร์ เป็นเวลานานเกือบปีครึ่งแล้ว ที่คอหนังไม่ได้ดูแอนิเมชั่นจากค่ายนี้บนจอใหญ่ๆ หลังจากSoul (ที่เข้าโรงในไทยแต่อเมริกาไปสตรีมมิ่ง)หนังพิกซาร์สุดประทับใจซัมเมอร์ก่อนอย่างLucaและหนังแพนด้าแดงTurning Redต่างถูกดิสนีย์ข้ามการฉายโรงไปลงในDisney+เลย จนในที่สุดดิสนีย์พร้อมส่งหนังพิกซาร์ครองโรงอีกครั้ง และคงไม่มีอะไรเหมาะสมไปกว่าLightyearหนังที่แยกออกจากมาToy Storyแอนิเมชั่นเปิดตำนานค่ายพิกซาร์ ที่สร้างมายาวนานถึง4ภาค ล่าสุดมาพร้อมกับไอเดียที่น่าสนใจ กับการเล่าต้นกำเนิดของตัวละครที่แฟนๆรัก อย่าง บัซ ไลท์เยียร์ แน่นอนว่ามันเป็นเพียงของเล่น ที่ของเล่นชิ้นนี้สร้างมาจากหนังดัง และนี่คือหนังเรื่องดังกล่าว... หนังเล่าถึง บัซ ไลท์เยียร์ นักบินอวกาศฝีมือเก่งกาจที่ตกอยู่ในอันตราย หลังยานของเขาตกบนดาวเคราะห์ที่ห่างไกลจากโลก บัซจึงพยายามทำทุกทางเพื่อกลับโลก แต่การซ่อมยานและทดลองของเขา กลับพาเขาเดินทางสู่อนาคต ที่ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงไปหมด ผู้คนที่เขารู้จักค่อยๆจากไป นอกจากอันตรายที่เขาและทีมต้องเผชิญจากสิ่งมีชีวิตสุดประหลาดบนดาวแล้ว ยังต้องเจอกับฝูงหุ่นยนต์ลึกลับ ที่บุกมาโจมตี โดยมีเป้าหมายเดียวคือ การจับตัว บัซ ไลท์เยียร์ไป โดยหนังฉบับนี้ได้ คริส อีแวนส์ พระเอกCaptain Americaมาให้เสียงแทน ทิม อัลเลน ที่พากย์เป็นบัซ ของเล่นในหนังToy Story แม้จะเป็นหนังภาคแยกจากToy Storyแต่Mood Toneค่อนข้างต่างจากหนังชุดดังกล่าวพอสมควร เพราะหนังเลือกจะเล่าเป็นแนวแอ็กชันไซไฟแบบเต็มตัว เหมือนเราดูหนังอวกาศผจญภัยแบบStar Wars, The Martian (แต่แน่นอนว่ายังมีความคอเมดี้แทรกอยู่ตลอดเวลา เพราะก็ยังคงเป็นการ์ตูนดิสนีย์)หรือหลายคนอาจนึกไปถึงTop Gun : Maverickในแบบดิสนีย์ ดังนั้น อารมณ์ของLightyearเลยจะไปใกล้เคียงกับหนังอย่างThe IncrediblesและCarsเสียมากกว่า ที่มีฉากแอ็กชันค่อนข้างเยอะ แทรกด้วยอารมณ์ขัน และมีซีนประทับใจอยู่พอสมควร สิ่งที่ค่อนข้างเซอร์ไพรสคือLightyearมีฉากให้ผู้ชมชวนน้ำตารื้นอยู่เหมือนกัน แถมมาตั้งแต่ฉากแรกๆด้วย แม้ว่าหนังจะไม่ได้ไปสุดในแบบUpซีนแรกๆ หรือToy Story 3ฉากท้ายๆ แต่ก็บีบหัวใจเราได้เหมือนกัน นอกจากตัวละครบัซที่หนังLightyearพาผู้ชมไปทำความรู้จักเขาเพิ่มเติมและสำรวจมุมต่างๆของเขาแล้ว ไฮไลต์ที่แทบจะขโมยทุกซีนเลยก็ว่าได้ คือ ซ็อกซ์ เจ้าแมวหุ่นยนต์ ที่สร้างอารมณ์ขัน และมีอะไรเซอร์ไพรสผู้ชมได้ตลอดเวลา ใครจะไปคิดว่า บัซ ไลท์เยียร์ สุดเท่ก็กลายเป็นทาสแมวได้เหมือนกัน ท้ายที่สุดแล้วLightyearก็ถือเป็นหนังซัมเมอร์ดูสนุกหนึ่งเรื่อง จัดอยู่ในกลุ่มหนังพิกซาร์ที่สร้างความบันเทิงเป็นหลัก แม้มันจะไม่ได้ลึกซึ้งในประเด็นแบบInside OutหรือSoulแต่มันก็สนุกครบรส และมีคุณสมบัติมากพอ ที่จะเอนเตอร์เทนผู้ชมทุกวัยได้ ปล.หนังเรื่องนี้ มีฉากแถมในช่วงEnd-Creditและหลังเครดิต รวมทั้งสิ้นถึง3ฉากด้วยกัน เรียกว่าแถมแบบจุกๆเอาชนะหนังมาร์เวลกันไปเลย นั่งรอดูกันได้ ขำๆเพลินๆ (ให้7.5คะแนนจากคะแนนเต็ม10คะแนน)ภาพ : Walt Disney Studios Thailand ชมตัวอย่างLightyearเข้าฉาย16มิถุนายนนี้ในโรงภาพยนตร์

[REVIEW] ‘M3GAN’ หนังหุ่นสยองยุคใหม่ ทันสมัยและแสบอย่างร้ายกาจ | GOSSIP GUN

12 ม.ค. 2023

[REVIEW] ‘M3GAN’ หนังหุ่นสยองยุคใหม่ ทันสมัยและแสบอย่างร้ายกาจ | GOSSIP GUN

ขึ้นแท่นหนังเปิดปี 2023 ที่ปังเกินคาดสำหรับ M3GAN หนังสยองขวัญผสมอารมณ์ตลกร้าย ผลงานการจับมือกันสร้างของสองโปรดิวเซอร์หนัง Horrorแห่งยุค อย่าง เจสัน บลัม แห่งค่าย Blumhouse ที่โด่งดังจากหนังตระกูล Paranormal Activity, The Purge จนมาถึงยุคหลังๆอย่าง Get Out, Happy Death Day และ Halloween ผนึกกำลังกับ เจมส์ วาน ผู้ให้กำเนิดหนังอย่าง Insidious และจักรวาล The Conjuring นั่นเอง ดังนั้นการมาเจอกันครั้งนี้ จึงต้องไม่ธรรมดา โดยล่าสุดจากทุนสร้างเพียง 12 ล้านเหรียญฯ หนัง M3GAN กวาดรายได้ทั่วโลกผ่านหลัก 50 ล้านไปแล้ว และดูเหมือนจะผ่าน 100 ล้านได้แบบง่ายๆอีกด้วย เพราะกระแสปากต่อปากในแง่บวกที่บอกต่อความสนุก ความแสบของหนัง ซึ่งไม่เพียงแค่ถูกใจคนดู แต่นักวิจารณ์ยังเทคะแนนบวกให้ จนล่าสุดคว้าคะแนนบวกสูงถึง 94%จาก Rotten Tomatoes ซึ่งพบได้ไม่มากนักในหนังแนวสยองขวัญM3GAN เล่าเรื่องราวของ เจมม่า (รับบทโดย แอลิสัน วิลเลี่ยมส์ จาก Get Out) นักวิจัยพัฒนาในบริษัทของเล่นยักษ์ใหญ่ ในขณะที่หุ่นตุ๊กตารุ่นล่าสุดของบริษัทกำลังขายดีเป็นเทน้ำเทท่า เธอก็กำลังสร้างสิ่งที่เหนือยิ่งกว่า คือหุ่นตุ๊กตาเมแกน ที่ภายนอกดูเหมือนเด็กผู้หญิงจริงๆ และภายในบรรจุสมองแบบ AI เอาไว้ ทำให้มันสามารถตอบโต้ได้ไม่ต่างจากมนุษย์ บวกกับการที่เมแกนสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆได้ ทำให้มันค่อยๆฉลาดขึ้น ซึ่งในหนัง เจมม่า ได้นำเมแกนตัวทดลองมาทดสอบกับหลานสาวของเธอ ที่เพิ่งสูญเสียพ่อและแม่ไป ในตอนแรกทุกอย่างก็ดูเหมือนจะไปด้วยดี เมแกนหลายเป็นเพื่อนสนิทคนใหม่ของหลาน แต่เพราะความผูกพันและปัญญาที่ฉลาดขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เมแกนเริ่มไม่ฟังคำสั่งใคร นำไปสู่เหตุการณ์ชวนสยอง มากกว่าใครจะคาดคิดจริงๆเส้นเรื่องหลักของ M3GAN ก็ไม่ได้แปลกประหลาดอะไร หลายครั้งที่ฮอลลีวูดเล่าถึงสิ่งที่ดูไม่มีพิษมีภัย แต่ท้ายที่สุดกลับเป็นฝันร้ายของคนที่เจอ แต่สิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้ ประสบความสำเร็จนั้น คงหนีไม่พ้นบทที่ค่อนข้างลงตัว M3GAN มีการผสมผสานกลิ่นอายของความเป็นหนังสยองขวัญ และอารมณ์ขันได้อย่างพอดิบพอดี หนังใช้เวลาพอสมควรในการค่อยๆบิลด์เส้นเรื่อง ค่อยๆปูความไม่น่าไว้วางใจให้กับตัวละครเมแกน คล้ายๆกับหนังที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์หลายเรื่องที่ค่อยๆทรยศมนุษย์ จนนำไปสู่พาร์ทสยองที่ชวนขนลุกอยู่ไม่น้อย M3GAN จึงมีกลิ่นอายในแบบ Child's Play ผสมกับ The Terminator บวกด้วยอารมณ์ขัน ที่ทั้งแสบสันต์และร้ายกาจ กลายเป็นรสชาติเฉพาะทางที่สร้างความบันเทิงให้กับผู้ชมเป็นอย่างดีไฮไลต์สำคัญของหนัง คือการดีไซน์คาแรคเตอร์ เมแกน ออกมาให้ชวนขนลุก ทั้งรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูอย่างไรก็ชวนไม่น่าไว้วางใจ และพฤติกรรมของเธอ ที่อำมหิตและคาดเดาไม่ได้ โดยการที่ เมแกนเป็น AI ที่ชาญฉลาด ทำให้หนังสามารถหยิบกับเทคโนโลยีต่างๆ มาเล่นกับเมแกนได้อย่างแพรวพราว มีลูกล่อลูกชนที่ไม่ธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นการแปลงเสียง การเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆ สร้างความขนลุกยิ่งกว่าเจอผีเสียอีก แต่แอบน่าเสียดายอยู่เล็กน้อย ที่ผู้สร้างตัดสินใจเดินหน้ากับเรต PG-13 (เด็กอายุต่ำกว่า 13 ต้องเข้าชมพร้อมกับผู้ปกครอง) ไม่ใช่ เรต R ทำให้หลายฉากในหนังต้องยั้งความโหดเอาไว้ ไม่ได้เลือดสาดสยองกระจายในแบบที่หนังเรตR ทำได้ หลายซีนเลยดูเหมือนอาจจะยังไปไม่สุด หรือไม่สะใจผู้ชมเท่าที่ควรโดยรวม M3GAN ถือเป็นหนังสยองขวัญสายบันเทิงอย่างแท้จริง นอกจากบรรยากาศที่ชวนขนลุกและไม่น่าไว้วางใจตลอดเวลาแล้ว หนังยังผสมอารมณ์ขันตลกร้ายไว้อย่างร้ายกาจ นอกจากนี้หนังยังชี้ให้เห็นถึง ประเด็นสังคมที่สำคัญของคนยุคใหม่ ที่ผู้ปกครองหลายท่านฝากลูกหลานไว้กับเทคโนโลยี ไม่ได้เลี้ยงดูหรือให้เวลากับเขาอย่างเต็มที่ หนังเรีื่องนี้อาจจะทำให้ผู้ปกครองทบทวนความคิดและหันมาดูแลบุตรหลานมากขึ้น หนังสะท้อนให้เห็นถึงระยะห่างที่ทั้ง คุณน้าคุณหลานมีเมื่อเมแกนเข้ามาแทรกกลาง กลายเป็นปมในใจที่ยิ่งปล่อยทิ้งไว้อาจจะสายเกินแก้ก็เป็นได้ นอกจากความสนุกของหนังแล้ว M3GAN ยังแฝงประเด็นเหล่านี้ไว้ให้ขบคิดอีกด้วยชมตัวอย่าง M3GAN (เมแกน) วันนี้ในโรงภาพยนตร์เท่านั้นภาพ : UIP Thailand

[REVIEW] “The Lost City” หนังผจญภัยที่หัวใจความสนุก คือ เคมีนักแสดง | GOSSIP GUN

19 เม.ย. 2022

[REVIEW] “The Lost City” หนังผจญภัยที่หัวใจความสนุก คือ เคมีนักแสดง | GOSSIP GUN

คงจะไม่เกินจริงถ้าจะกล่าวว่า แซนดร้า บูลล็อค คือขุมทรัพย์ของหนังตลก เธอทำได้ดีและดูเป็นธรรมชาติเสมอในหนังแนวนี้ ที่พิสูจน์ด้วยหนังฮิตจากหลากยุคอย่างWhile You Were Sleeping, Miss Congeniality, The ProposalและOcean's 8แม้เธอจะเวียนไปแสดงหนังแนวอื่นมากมาย แต่ผู้ชมมักเรียกหาบูลล็อคในหนังตลกเสมอ เช่นเดียวกับผลงานล่าสุดThe Lost Cityในยุคที่หนังทำเงินมีแต่หนังรีเมกหรือภาคต่อ หนังออริจินัลที่นำแสดงโดยเธอ กลับสามารถทำเงินทะลุหลัก80ล้านเหรียญฯในอเมริกาไปได้แล้ว ไม่ธรรมดาจริงๆ โดยเรื่องนี้เธอได้จับมือกับ แชนนิ่ง เททั่ม อีกหนึ่งนักแสดงที่คล้ายกับบูลล็อค คือแวะเวียนไปเล่นหนังทุกแนว แต่สไตล์ที่แฟนๆ ตกหลุมรักเขามากๆ คือตลกเช่นกัน พิสูจน์ด้วยรายได้ของ21 Jump StreetและShe's The Manหนังที่แจ้งเกิดเขา แซนดร้า บูลล็อค รับบทลอเร็ตต้า นักเขียนหญิงที่หมดแรงบันดาลใจในการเขียนหนังสือต่อ แม้นิยายแนวประวัติศาสตร์โรแมนซ์ของเธอจะขายดีเป็นเทน้ำเทท่า แต่เธอก็ไม่มีกะจิตกะใจในการเดินทางทัวร์โปรโมตหนังสือ เพราะส่วนหนึ่งเพราะต้องเจอกับ อลัน นายแบบหน้าปกหนังสือของเธอ ที่อินกับตัวละครพระเอกดั่งเขียนมาจากชีวิตเขา แต่แล้วเธอกลับตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย เมื่ออบิเกล(รับบทโดย แดเนียล แรดคลิฟฟ์ จากHarry Potter)มหาเศรษฐี จับตัวเธอไป เพราะต้องการตามหาสมบัติที่ซ่อนอยู่ในเมืองสาบสูญ และทางเดียวที่จะไขปริศนาได้ คือการใช้ทักษะอ่านภาษาโบราณของลอเร็ตตา เมื่อเธอถูกจับตัวไปยังเกาะห่างไกลในมหาสมุทร อลันจึงทำทุกทางเพื่อไปช่วยเธอ เพื่อให้เขาได้เป็นมากกว่านายแบบหน้าปก ได้เป็นพระเอกในชีวิตจริง! The Lost Cityไม่ใช่หนังที่มีความใหม่อะไรมากนัก หนังผจญภัยในป่า ที่มีกลิ่นอายผสมระหว่าง แอ็กชัน โรแมนติก คอเมดี้ มีมาทุกสมัย ที่พีกมากๆ และภาพหนังดูใกล้เคียง ก็คือRomancing The Stoneในปี1984แต่The Lost Cityคือหนังที่มาถูกที่ถูกเวลา หลังจากแซนดร้า บูลล็อค ห่างหายจากหนังตลกไปนานถึง4ปี ส่วน แชนนิ่ง เททั่ม ว่างเว้นจากหนังตลกไปเกือบ5ปี นี่จึงกลายเป็นหนังที่คอหนังตลกต้องการโดยไม่รู้ตัว คุณอาจจะไม่ได้รู้สึกก่อนหน้านี้ว่าอะไรขาดหายไป แต่พอไปดู กลับรู้สึกถึงความสนุกแบบที่คุ้นเคย ที่เหมือนกับว่าไม่ได้ดูมาซักพักใหญ่แล้ว นี่คือโปรเจกต์ที่เหมาะมากกับทั้ง บูลล็อค และ เททั่ม พวกเขาต่างเป็นธรรมชาติมากๆในหนังเรื่องนี้ เช่นเดียวกับเคมีของทั้งคู่ ที่เปรียบเหมือนขุมทรัพย์ และเป็นสิ่งสำคัญที่ขับเคลื่อนหนังให้สนุกได้จริงๆ โดยรวมThe Lost Cityมีส่วนผสมระหว่างหนังแอ็กชันและตลกที่กำลังดี สถานการณ์แบบตกกระไดพลอยโจนกลางป่าลึกในเกาะที่ห่างไกล ทำให้หนังสร้างสถานการณ์สนุกๆได้มากมาย บวกกับคาแร็คเตอร์ของตัวละครที่ไม่ได้สายบู๊ทั้งคู่อยู่แล้ว หนังใช้ประโยคในการสร้างเหตุการณ์เหมาะๆได้อย่างไม่เสียดายพล็อต นอกจากนี้หนังยังเต็มไปด้วยมุกบ้าบอรายทาง ซึ่งก็ไม่ได้ปล่อยทิ้งขว้าง มีความตลกอยู่ตลอด รวมถึงไฮไลต์พิเศษ นั่นคือ นักแสดงรับเชิญอย่าง แบรด พิตต์ ที่ค่ายหนังไม่อยากเก็บไว้เซอร์ไพรส โปรโมตแบบเต็มแม็กไปเลย ก็แว้บมาสร้างสีสันได้อย่างกำลังดี แต่ก็ไม่ได้ขโมยซีนของพระนางด้วย ปัญหาเล็กน้อยของThe Lost Cityอาจจะเป็นการเลือกให้ แดเนียล แรดคลิฟฟ์ มารับบทตัวร้ายของเรื่อง ซึ่งมีปัญหาในหลายๆด้าน ประการแรกคือคือผู้ชมจำนวนไม่น้อยไม่สามารถสลัดภาพเขาจากบทแฮร์รี่ พ็อตเตอร์ได้ เมื่อแรดคลิฟฟ์ ร้ายก็ดูแปลกดีแต่ยังไม่น่าเชื่อเท่าไหร่นัก อีกทั้งอายุที่อาจจะห่างจากทั้ง บูลล็อคและเททั่ม ทำให้เขาดูเป็นตัวร้ายที่ไม่ได้น่าเกรงขามนัก ความกล้ามใหญ่ของเททั่มดูจะเอาชนะได้แบบง่ายๆด้วย ตัวละครนี้เลยดูไม่หนักแน่นพอไปอย่างน่าเสียดาย แต่โดยThe Lost Cityถือเป็นหนังสนุกที่เพลิดเพลินตั้งแต่ต้นจนจบ ที่คอหนังแอ็กชันคอเมดี้น่าจะถูกใจได้ไม่ยาก(ให้8คะแนนจากคะแนนเต็ม10คะแนน)

[REVIEW] ‘เธอกับฉันกับฉัน (You and Me and Me)’ หนังแฟนฉันของคนยุคนี้ รักแรกของฝาแฝดสุดประทับใจ| GOSSIP GUN

10 ก.พ. 2023

[REVIEW] ‘เธอกับฉันกับฉัน (You and Me and Me)’ หนังแฟนฉันของคนยุคนี้ รักแรกของฝาแฝดสุดประทับใจ| GOSSIP GUN

ใครที่เคยคิดถึงหนัง Feel Good ดีต่อใจสไตล์ค่ายจีดีเอช (หรือค่ายก่อนหน้านี้) การรอคอยกำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว กับผลงานใหม่อย่าง 'เธอกับฉันกับฉัน' ที่จะชวนให้ผู้ชมหวนระทึกถึงความทรงจำในวัยเด็ก และรักแรกในวัยรุ่นของเราอีกครั้ง แต่ความแตกต่างของโปรเจกต์นี้ คือการ ใช้ตัวละครนำเป็นฝาแฝด และพาผู้ชมเข้าสู่โลกของแฝด กับรายละเอียดหลายแง่มุมที่อาจไม่เคยรู้มาก่อน ผ่านสองผู้กำกับแฝดหญิงอย่าง วรรณแวว และแวววรรณ หงษ์วิวัฒน์ ที่เคยจับงานเบื้องหลังในหลังคาค่ายนี้อยู่นาน ก่อนที่จะได้รับโอกาสในการกำกับหนังใหญ่เรื่องแรก ผ่านการดูแลของ โต้ง บรรจง ผู้กำกับระดับพันล้าน ที่มีผลงานการันตีแน่นเครดิต'เธอกับฉันกับฉัน' พาผู้ชมย้อนกลับไปในยุคสมัย Y2K (ซึ่งอยู่ดีๆก็กลับมาเป็นเทรนด์ ณ เวลานี้) ในปี 1999 ช่วงเวลาที่คนทั้งโลกกำลังหวาดวิตกว่า การก้าวเข้าสู่ยุค 2000 จะเกิดปัญหาด้านคอมพิวเตอร์ ทำให้เกิดภัยพิบัติมากมาย ซึ่งตรงกับคำทำนายของนอสตราดามุส ว่าโลกอาจถึงจุดสิ้นสุด โดยสองตัวละครหลักของเรื่อง คือ พี่น้องฝาแฝด ยู และ มี (รับบทโดย ใบปอ ธิติยา จิระพรศิลป์ ซึ่งแสดงคนเดียวเป็นสองบทบาทเลย) ทั้งคู่เติบโตมาด้วยกัน แชร์หลายๆอย่างด้วยกัน และเป็นส่วนหนึ่งของกันและกันมาตลอดชีวิต จนกระทั่งพวกเธอได้พบกับ หมาก (รับบทโดย อันโทนี่ บุยเซอเรท์) หนุ่มหล่อลูกครึ่งเพื่อนร่วมโรงเรียน ที่เจอกันตั้งแต่ตอนสอบซ่อม ไปจนถึงช่วงปิดเทอมซัมเมอร์ที่นครพนม ไม่นานเรื่องราวความรักก็เริ่มเข้ามาในหัวใจของคนทั้งสาม นี่คือรักแรกของสองแฝด กับ หนึ่งหนุ่ม ที่ความสัมพันธ์ค่อยๆ ยุ่งเหยิงและนำไปสู่ การตัดสินใจที่พวกเธอไม่เคยเผชิญมาก่อน'เธอกับฉันกับฉัน' คือหนังที่ค่อยๆพาผู้ชมเข้าสู่โลกของฝาแฝด ที่ทั้งมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไป หลายอย่างอาจจะเป็นมุมอินไซด์ที่คนทั่วไปอาจไม่ได้รู้มาก่อน ทำให้เกิิดพล็อตที่ทั้งสนุกสนานและยุ่งเหยิงได้มากมาย จากการที่เธอทั้งสองหน้าเหมือนกัน แทบจะเป็นคนๆเดียวกัน และในขณะเดียวกัน มันก็ถูกเล่าผ่านโครงเรื่องในลักษณะ รักแรก ผสมกับ รักสามเส้า ทำให้นอกจากมุมดีต่อใจแล้ว ผู้ชมสามารถคาดเดาได้เลยว่า จะได้เจอมุมบีบหัวใจอย่างแน่นอน ทำให้หนังนอกจากจะน่าติดตามในปมเรื่องแฝดแล้ว ยังน่าจะทำให้ผู้ชมอินในประเด็นรักแรก หรือรักในวัยเรียนได้อีกด้วยสิ่งที่เพิ่มความน่าสนใจให้กับ 'เธอกับฉันกับฉัน' ยิ่งขึ้นไปอีก คือการที่หนังเลือกเล่าในบรรยากาศปลายยุค 90s ซึ่งเป็นอีกหนึ่งยุคที่มีเสน่ห์เฉพาะตัวเพราะอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน กำลังเข้าสู่ยุคออนไลน์ หนังสนุกกับการหยิบ Pop Culture ในยุคนั้นมาเล่นหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ที่ฉายในปีนั้น เพลงดังที่ถูกปล่อยในช่วงนั้น ร้านอาหารที่เป็นที่นิยมของคนยุคนั้น ไปจนถึงไอเท็มบางอย่างที่บอกยุคสมัยได้อย่างดี สำหรับผู้ชมที่สมัยหนัง แฟนฉัน เข้าฉายแล้วอาจจะเกิดไม่ทัน ไม่ได้อินกับเรื่องแวดล้อมในหนัง อาจจะมาอินกับหนังเรื่องนี้ได้ไม่ยาก สำหรับใครที่อายุราว 30-40 ปี น่าจะเป็นช่วงที่กำลังเติบโต กำลังเสพสื่อ กำลังใช้ชีวิตผ่านช่วงเวลานั้น หนังทำให้ผู้ชมระลึกถึงความทรงจำในอดีตอันหอมหวานได้อย่างดีอีกด้วยแต่สิ่งที่น่าชื่นชมมากที่สุด ต้องยกให้กับงานสร้าง ที่อาจกล่าวได้ว่า นี่คืองานที่ไม่ง่ายเลยทั้งสำหรับทีมงานและนักแสดง เพราะเมื่อ 'เธอกับฉันกับฉัน' ใช้นักแสดงเพียงคนเดียว เล่นเป็นฝาแฝด ดังนั้นเทคนิคการถ่ายทำหลายๆอย่างจึงถูกหยิบนำมาใช้ ส่วนที่ง่ายหน่อยน่าจะเป็นซีนที่ถ่ายผ่านหลัก ทำให้เห็นตัวละครเพียงคนเดียว แต่สำหรับฉากที่ต้องเห็นทั้งสอง ทั้งถ่ายทำและตัดต่อออกมาได้เนี้ยบมากๆ จนแทบจะไม่มีจุดไหนรู้สึกสะดุดเลย และที่สำคัญต้องชื่นชมน้องใบปออย่างยิ่ง ที่สร้างคาแรคเตอร์ ยูกับมี ออกมาแตกต่างได้อย่างชัดเจน ในช่วงแรกอาจจะต้องตั้งใจดูเพื่อจับความแตกต่างพอสมควร แต่เมื่อหนังดำเนินไป ไม่ใช่แค่ไฝที่ต่าง แต่วิธีการพูด ลักษณะของตัวละครก็สามารถแยกได้ชัด ซึ่งเป็นงานที่ไม่ง่ายเลยสำหรับนักแสดงหน้าใหม่ ซึ่งต้องปรบมือชื่นชมในจุดนี้โดยรวม 'เธอกับฉันกับฉัน' ถือเป็นหนังไทยที่น่าสนใจและไม่ควรพลาดอีกเรื่อง ด้วยคุณภาพที่กล่าวได้ว่าตามมาตรฐานค่ายจีดีเอช ทั้งในแง่บท งานสร้าง และองค์ประกอบต่างๆ ใครที่เคยคิดถึงหนังอารมณ์ดี หนังแนว Coming-of-Age ที่ทางค่ายเองก็ไม่ได้สร้างหนังแนวนี้มาพักใหญ่ นี่คือการกลับมาที่น่าพอใจ และเชื่อว่า หนังจะสามารถเข้าไปอยู่ในใจของผู้ชมหลายต่อหลายคนได้อย่างแน่นอนชมตัวอย่าง 'เธอกับฉันกับฉัน' วันนี้ในโรงภาพยนตร์ภาพ : GDH

album

0
0.8
1