[REVIEW] ‘Black Panther : Wakanda Forever’ ภาคต่อที่ยิ่งใหญ่และบีบหัวใจขั้นสุด จุดเปราะบางของวากานด้า | GOSSIP GUN

HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘Black Panther : Wakanda Forever’ ภาคต่อที่ยิ่งใหญ่และบีบหัวใจขั้นสุด จุดเปราะบางของวากานด้า | GOSSIP GUN

09 พ.ย. 2022

สิ้นสุดการรอคอยแล้ว สำหรับหนึ่งในหนังภาคต่อจากจักรวาลมาร์เวลที่แฟนๆทั่วโลกรอคอยมากที่สุดอย่าง Black Panther : Wakanda Forever ซึ่งแบกภาระอันหนักอึ้งไว้หลายๆอย่างด้วยกัน ตั้งแต่นาทีแรกที่ Black Panther ประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลาย หน้าที่ของหนังเรื่องนี้คือการเป็นภาคต่อของหนึ่งในหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่ฮิตสุดและได้รับคำชมมากที่สุดตลอดกาล เพียงเท่านี้ก็เป็นหน้าที่อันหนักหนาสาหัส และแบกความหวังของแฟนๆไว้มากพออยู่แล้ว แต่สถานการณ์ทุกอย่างเปลี่ยนไป เมื่อข่าวร้ายของ แชดวิก บอสแมน เดินทางมาถึง ในวันที่เขาจากโลกไปก่อนวัยอันควร ไม่เพียงแค่โลกสูญเสียแชดวิกเท่านั้น แต่วากานด้าก็ได้สูญเสียผู้นำของเขาเช่นกัน อีกหน้าที่ที่กลายเป็นบทบาทสำคัญของ Wakanda Forever คือการไว้อาลัยแด่นักแสดงผู้เป็นที่รัก แต่ในขณะเดียวกันผู้สร้างก็มีหน้าที่สานต่อเรื่องราว ทำให้ Black Panther คือแฟรนไชส์ที่แข็งแกร่งต่อไป ในวันที่ไม่มีแชดวิก ในวันที่ไม่มีทีชัลล่า พวกเขาต้องไปต่อให้ได้ และในวันนี้ โลกก็ได้รับคำตอบแล้วว่า พวกเขาทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม

.

Wakanda Forever เล่าถึงช่วงเวลาที่ประเทศวากานด้าสูญเสียกษัตริย์ทีชัลล่าไปอย่างไม่มีวันกลับ เช่นเดียวกับ แบล็กแพนเตอร์ที่อาจจะไม่มีอีกแล้ว ด้วยเหตุผลบางประการ เจ้าหญิงชูริ ยังคงทำใจไม่ได้กับการจากไปของพี่ชาย ในขณะที่มารดาอย่าง รามอนด้า ต้องเข้มแข็งให้ถึงที่สุด เพราะเธอต้องขึ้นทำหน้าที่ราชินีปกครองวากานด้าต่อ เธอจึงไม่สามารถอ่อนแอได้ แต่ในขณะที่ประเทศของพวกเธอกำลังเปราะบาง วากานด้ากลับต้องเผชิญกับภัยจากภายนอกที่อันตรายที่สุดเท่าที่พวกเขาเคยเผชิญมา จาก เนย์มอร์ ผู้นำอาณาจักรลึกลับใต้น้ำ ที่เผยตัวเองต่อโลกภายนอกเป็นครั้งแรกเพราะปมบางอย่าง ที่เกี่ยวข้องกับวากานด้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และนี่คือพล็อตบางส่วนเท่านั้นที่พอจะเล่าได้จาก Black Panther : Wakanda Forever ที่เหลือคือสิ่งที่ผู้ชมจะได้สัมผัสเองในโรงภาพยนตร์

.

คำที่จะสามารถอธิบายความเป็น Wakanda Forever ได้อย่างดีที่สุด คือคำว่า "เอพิก" นี่คือหนังแห่งความยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง ทั้งในแง่ของพล็อตและสเกลของเรื่อง แม้โดยรวมหนังอาจจะไม่ได้ลงตัวเทียบเท่า Black Panther ภาคแรก แต่มันก็ทวีคูณในหลายๆส่วน ทั้งพาร์ทของโปรดักชั่น รวมไปถึงอารมณ์ร่วมของผู้ชม ที่กล้าพูดได้อย่างเต็มปากว่าภาคนี้ เต็มไปด้วยฉากบีบหัวใจตลอดแทบทั้งเรื่อง เริ่มจากในพาร์ทของการไว้อาลัย แม้ในเรื่องจะเป็นการกล่าวถึงการจากไปของทีชัลล่า แต่ต้องยอมรับว่า มันคือการสื่ออารมณ์รำลึกถึง แชดวิกเช่นเดียวกัน หนังทำหน้าที่ตรงนี้ได้อย่างดีเยี่ยม และพยายามใช้เวลาพอสมควร ก่อนที่จะมูฟสู่พล็อตหลักของภาคนี้ ปมที่นำไปสู่สงคราม ซึ่งพาร์ทนี้เองหนังค่อยๆบิลด์ความตึงเครียดได้อย่างดีเยี่ยม แกนหลักของหนังคือ การที่ตัวละครหลักต้องพยายามเข้มแข็งให้ได้ในยามที่พวกเขาเปราะบางมากที่สุด การเยียวยาจิตใจเพื่อนำไปสู่ความแข็งแกร่งของวากานด้า ปมหลักตรงนี้เองที่แทบจะบีบหัวใจผู้ชมตลอดทั้งเรื่อง

สองนักแสดงหลักที่สำคัญมากๆของ Wakanda Forever คือ เลททิเรีย ไรท์ ในบทชูริ นอกจากเราจะเห็นเธอเติบโตจากภาคแรกแล้ว เราจะค่อยๆเห็นพัฒนาการของตัวละครนี้ตลอดทั้งเรื่อง ในวันที่เธอไม่ใช่แค่น้องของกษัตริย์อีกต่อไป ในวันที่เธอคือทายาทเพียงคนเดียวของวากานด้า เลททิเรียทำหน้าที่ได้อย่างน่าชื่นชมในการค่อยๆก้าวขึ้นมาเป็นนักแสดงนำของ Black Panther ในขณะที่ แองเจล่า บาสเซ็ตต์ กับบทควีน มีหลายฉากที่เธอแสดงได้อย่างชวนขนลุก ทำเอาไม่สามารถละสายตาจากจอได้อย่าง ทั้งแววตาและน้ำเสียง ของหญิงที่ต้องเข้มแข็งในจุดที่เธอสูญเสียแทบจะทุกสิ่ง แต่คนที่ไม่มีใครกลืนได้ลงคือ ตัวละครเนมอร์ ตัวร้ายหลักประจำภาคนี้ ที่ทำให้ผู้ชมสัมผัสได้ว่า วากานด้ากำลังเจอกับภัยที่อันตรายขั้นสุดแล้ว ได้เจอกับศัตรูที่สมน้ำสมเนื้อ ยิ่งวากานด้าอยู่ในจุดที่เปราะบาง ภัยรุกรานครั้งนี้คืออันตรายกว่าครั้งไหนๆ ซึ่ง เทนอช เฮอร์ตา นักแสดงชาวเม็กซิกัน สวมบทบาทนี้ได้อย่างดีเยี่ยม

ในแง่ของงานสร้าง สิ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือสเกลของฉากแอ็กชันที่ยกระดับความใหญ่โตเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะฉากสงครามในช่วงครึ่งหลัง ที่ทั้งใหญ่และตึงเครียด ถ้าจะมีข้อติบ้างน่าจะเป็นช่วงแรกที่หนังเล่าเหตุการณ์ในช่วงเวลากลางคืนเยอะ ทำให้ฉากแอ็กชันหลายซีนค่อนข้างมืด ยิ่งชมในระบบสามมิติยิ่งปรับสายตายาก ส่วนอีกหนึ่งไฮไลต์ที่ไม่เอ่ยถึงไม่ได้ และเป็นเอกลักษณ์สำคัญของ Black Panther ตั้งแต่ภาคแรกคือเพลงประกอบและดนตรีประกอบที่ยังคงไม่ทำให้ผิดหวัง ยกระดับความเท่ และเพิ่มความคูลให้กับแฟรนไชส์นี้ได้อย่างมากเลยทีเดียว โดยรวม Black Panther : Wakanda Forever จึงเป็นหนึ่งในหนังที่สำคัญมากๆในจักรวาลมาร์เวล และในขณะเดียวกันก็เป็นหนึ่งในหนังที่ผลลัพภ์ดีเยี่ยมเรื่องหนึ่งในเฟส 4 ถ้ามีโอกาสอยากให้ลองชมในระบบ IMAX3D ซึ่งเพิ่มความยิ่งใหญ่ เสริมอรรถรสในการชมได้อย่างดีเลยทีเดียว

 

ชมตัวอย่าง Black Panther : Wakanda Forever วันนี้ในโรงภาพยนตร์


ภาพ : Marvel Thailand

related HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘PROJECT SILENCE’ อีกครั้งที่หนังเกาหลีทำถึง จัดหนักหายนะแบบมะรุมมะตุ้ม

28 ส.ค. 2024

[REVIEW] ‘PROJECT SILENCE’ อีกครั้งที่หนังเกาหลีทำถึง จัดหนักหายนะแบบมะรุมมะตุ้ม

จากความสำเร็จของ ‘Train To Busan’ ที่เป็นหมุดหมายสำคัญ ส่งให้แวดวงหนังเกาหลีก็ขยันสร้างสรรค์ไอเดียหนังหายนะ ให้ออกมามีความแปลกใหม่อยู่เสมอ ครีเอตสถานการณ์อันบีบคั้นด้วยข้อจำกัดที่เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับหนังแอ็กชันโปรเจกต์ยักษ์ล่าสุดอย่าง ‘Project Silence’ ที่ใส่ข้อแม้เพื่อให้ตัวละครเอาตัวรอด เปลี่ยนจากซอมบี้ที่เริ่มซ้ำซากในยุคหลัง เป็น ‘สุนัขชีวะ’ ที่ผ่านการทดลองทางการทหารให้สังหารมนุษย์อย่างอำมหิต โอกาสที่มนุษย์หน้าไหนจะรอดไปนั้น โอกาสคือศูนย์ จะเปลี่ยนเซ็ตติ้ง จากพื้นที่จำกัดทั้งบนรถไฟหรือเครื่องบิน ให้เป็นสะพานสูงที่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอก และใส่อีกหนึ่งอุปสรรคสำคัญเพิ่มเข้ามาอีก คือหมอกที่บดบังวิสัยทัศน์ของทุกตัวละคร ทำให้อาจกล่าวได้ว่า ‘Project Silence’ คือหนังที่จัดองค์ประกอบความหายนะ เสิร์ฟมาให้แบบเต็ม ๆ เข้าขั้นมะรุมมะตุ้มอย่างที่เกริ่นไปเลยทีเดียวศูนย์กลางของ ‘Project Silence’ คือ จองวอน (รับบทโดย อีซอนคยุน นักแสดงผู้ล่วงลับจาก ‘Parasite’) เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงความมั่นคง ที่กำลังขับรถไปส่งลูกสาวที่สนามบินเพื่อเรียนต่อ แต่อุบัติเหตุครั้งใหญ่ก็ได้เกิดขึ้นบนสะพานเชื่อมระหว่างกรุงโซล กับ สนามบินอินชอน เมื่อหมอกหนาเริ่มปกคลุม ทำให้เกิดเหตุการณ์รถชนกันนับสิบ และหนึ่งในนั้น คือรถบรรทุกลึกลับของกองทัพ ที่กำลังขนอาวุธลับร้ายแรง ไม่นานผู้ประสบภัยบนสะพานก็ค่อย ๆ รู้ชะตากรรมว่าอาวุธดังกล่าว คือ สุนัขที่ผ่านการทดลอง ให้เป็น อาวุธสังหาร มีความแข็งแกร่งและเกรี้ยวกราด พร้อมที่จะสังหารมนุษย์ทุกชีวิต ในขณะที่ทุกคนกำลังพยายามหนีเอาตัวรอด สะพานก็เริ่มพังและถูกตัดขาดจากโลกภายนอก พวกเขาจะเอาตัวรอดได้อย่างไร เมื่อสะพานแห่งนี้เต็มไปด้วยความคลั่ง และความตายที่รอพวกเขาอยู่เชื่อว่าหลายคนรอคอย ‘Project Silence’ เพราะนี่คือผลงานการแสดงชิ้นสุดท้ายของ อีซอนคยุน นักแสดงผู้ล่วงลับที่ฝากผลงานชิ้นนี้ไว้เป็นเรื่องสุดท้าย โดยรวมซอนคยุนยังคงฝากฝีมือการแสดงไว้ได้อย่างน่าจดจำ กับตัวละครที่ค่อนข้างมีมิติ โดยเฉพาะซีนท้าย ๆ เชื่อว่าหลายคนน่าจะรู้สึกบีบหัวใจ และยิ่งคิดถึงเขามากขึ้นไปอีก ว่าหลังจากนี้จะไม่ได้ดูฝีมือการแสดงของนักแสดงมากฝีมือคนนี้อีกแล้ว และที่โดดเด่นไม่แพ้กัน จนไม่กล่าวถึงไม่ได้ คือ จูจีฮุน ที่คาแรกเตอร์ในหนังรับบทเป็นคนขับรถสิบล้อ ที่มีมาดกวนและเรียกเสียงฮาได้ตลอด ต่างจากมาดนิ่ง ๆ แบบในซีรีส์ ‘Kingdom’ หรือหนังอย่าง ‘Along with The Gods’ กลายเป็นตัวละครของ จูจีฮุน ที่สร้างความบันเทิงและเรียกเสียงฮาได้ตลอดทั้งเรื่อง ทุกครั้งที่ปรากฏตัวขโมยซีนอยู่เสมอ สามารถบาลานซ์จากความจริงจังของตัวละคร อีซอนคยุน ให้หนังมีความครบรสมากยิ่งขึ้น มีทั้งมุมจริงจังมาก ๆ และมุมผ่อนคลายเรื่อย ๆและ ‘Project Silence’ คืออีกครั้งที่เกาหลีสามารถทำหนังหายนะได้อย่างถึงรสชาติ แน่นอนว่าเรื่องของงานโปรดักชั่นแทบจะไม่ต้องเป็นห่วง เพราะงานสร้างดูยิ่งใหญ่ สมจริง และสร้างอารมณ์ร่วมได้อย่างดี ที่เอ่ยว่าทำถึง คือหนังสามารถใส่สถานการณ์ชวนตื่นเต้น เสิร์ฟความระทึกมาให้แบบไม่หยุดหย่อน แค่คนดูติดตามเชียร์ตัวละคร ให้รอดพ้นไปจากสถานการณ์ต่าง ๆ ไปตามเส้นเรื่องก็สนุกมากพอแล้ว หนังใส่อุปสรรคต่าง ๆ เข้ามาอย่างไม่สนใจว่ามันจะเว่อร์ หรือเกินจริง เน้นให้คนดูได้เอ็นจอยกับหายนะที่ถาโถมไปเลย แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยมาตรฐานที่ถูกวางไว้สูงโดย ‘Train To Busan’ ตัวหนังเรื่องนี้อาจจะไม่ได้แตะสแตนดาร์ดนั้น ในแง่ของความบีบคั้นของเรื่องราว และแง่มุมสะท้อนสังคมที่เรื่องดังกล่าวทำได้เหนือกว่า แต่โดยรวม ‘Project Silence’ ก็ยังเป็นหนังหายนะที่สนุก แปลกใหม่ น่าสนใจทั้งฉากต่าง ๆ และตัวละคร สามารถดูแบบบันเทิงและเอ็นจอยได้อย่างแน่นอนชมตัวอย่าง Project Silence เขี้ยวชีวะคลั่งสะพานนรก ก่อนเข้าไปชมพร้อมกัน 29 สิงหาคมในโรงภาพยนตร์ภาพ : Mongkol Major Mongkol Cinema

[REVIEW] ‘Hunger คนหิว เกมกระหาย’ หนังไทยสุดเชือดเฉือนของคนหิวอำนาจ ! | GOSSIP GUN

07 เม.ย. 2023

[REVIEW] ‘Hunger คนหิว เกมกระหาย’ หนังไทยสุดเชือดเฉือนของคนหิวอำนาจ ! | GOSSIP GUN

เตรียมจัดเข้ากลุ่มหนังไทยระดับท็อปแห่งปีแน่นอน สำหรับ 'Hunger คนหิวเกมกระหาย'หนังไทยเรื่องล่าสุดที่เป็นออริจินัลของ Netflix ที่พร้อมประกาศศักดาฉายพร้อมกันทั่วโลกสุดสัปดาห์นี้ ด้วยพล็อตที่เชือดเฉือน การแสดงสุดเข้มข้น และการชำแหละสังคมอย่างไม่ประนีประนอม นี่คือผลงานล่าสุดของ คงเดช จาตุรันต์รัศมี (จาก ตั้งวง, Where We Belong) ที่ลงมือเขียนบทและทำหน้าที่อำนวยการสร้าง พร้อมดึงผู้กำกับรุ่นใหม่มากฝีมืออย่าง สิทธิศิริ มงคลสิริ จาก แสงกระสือ มากำกับภาพยนตร์ เล่าถึง ออย (รับบทโดย ออกแบบ-ชุติมณฑน์) แม่ครัวสตรีทฟู้ดที่ถนัดทำอาหารประเภทผัด แต่ด้วยฝีมือและเซ้นต์ในการทำอาหารที่ไม่ธรรมดา ทำให้เธอได้รับการชักชวนให้เข้ามาร่วมงานกับ เชฟพอล (รับบทโดย ปีเตอร์-นพชัย) เชฟชื่อดังระดับประเทศ ที่โด่งดังจากการทำอาหารแบบ Fine Dining ซึ่งมีเฉพาะมหาเศรษฐีและบุคคลระดับวีไอพีเท่านั้น ที่จะได้ลิ้มรสอาหารของเขา และเมื่อออยก้าวเข้าสู่โลกของการทำอาหารในอีกขั้นนึง เมื่ออาหารไม่ใช่แค่สิ่งประทังชีวิต แต่เป็นสิ่งบ่งบอกสถานะทางชนชั้น ชีวิตของออยจึงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป..'Hunger คนหิวเกมกระหาย' คือหนังที่แม้ว่าหน้าหนังจะเล่าเหตุการณ์ในห้องครัว แต่อันที่จริงมันกลับพูดถึงเรื่องที่ใหญ่กว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นชนชั้นในสังคม สภาพอันน่ารังเกียจของคนกระหายอำนาจในโลกของการเมือง หนังพาผู้ชมไปดูสังคมจำลองในห้องครัวของเชฟพอล สถานที่ซึ่งคำว่าประชาธิปไตยไม่มีอยู่จริง ณ ที่แห่งนี้คืออำนาจเผด็จการล้วนๆ ทุกคนล้วนต้องทำตามคำสั่งของเขาอย่างเคร่งครัด และผลผลิตทุกจาน ล้วนถูกตอบแทนด้วยเงินมหาศาล อาหารชั้นเลิศที่ไม่มีเชฟคนในนอกจากเชฟพอล พอจะมีเงินจ่ายเพื่อรับประทานได้ หลังจากนั้นหนังค่อยๆขยายเรื่องราวให้กว้างขึ้นเรื่อยๆ พาผู้ชมเข้าไปสู่โลกของสังคมชั้นสูง ทั้งในแวดวงการเมือง และไฮโซ ผ่านมุมมองของออย เชฟสาวที่มาจากข้างถนน นี่คือหนังที่ถ่ายทอดประเด็นความแตกต่างทางชนชั้นได้อย่างชัดเจน และสื่อสารกับคนดูแบบไม่ประนีประนอม ไม่อ้อมค้อม แถมหลายฉากยังคล้ายคลึงกับเหตุการณ์จริงในหน้าข่าว จนระหว่างดูแอบอึ้งไปหลายจังหวะอยู่เหมือนกันนอกจากประเด็นและเส้นเรื่องอันเข้มข้นแล้ว นี่คือหนังไทยที่มาพร้อมกับคำว่า "คุณภาพ" ในแทบทุกองค์ประกอบ เริ่มจากงานสร้าง นี่คือหนังที่ภาพรวมสามารถกล่าวได้ว่าเป็นโปรดักชั่นระดับโลก ทุกฉากดูเนี้ยบ ไม่มีจุดไหนหนังของที่ดูเป็นงานCheap หรืองานลวกๆเลย ทุกอย่างถูกดีไซน์มาอย่างดี ทั้งการออกแบบงานสร้าง การบันทึกภาพ การตัดต่อ และอีกส่วนที่เสริมหนังขั้นสุด คือ ดนตรีประกอบ ที่ยิ่งฟังยิ่งขนลุก ยิ่งฟังแล้วยิ่งเร้าอารมณ์ และหลายท่อนถูกออกแบบมาให้เข้ากับหนังที่มีธีมเกี่ยวกับการทำอาหาร มีกลิ่นอายแบบเสียงเคาะของเครื่องครัว กลายเป็น Score ที่ทั้งเพิ่มอารมณ์ร่วมและสร้างเอกลักษณ์ให้กับหนังได้อย่างดีจริงๆและที่สำคัญที่สุด สิ่งที่ส่งให้ 'Hunger คนหิวเกมกระหาย' คือหนังต้องดูแห่งปี คือการแสดงของ ออกแบบ และพี่ปีเตอร์ ทุกฉาก (ย้ำว่า ทุกฉาก) ที่ทั้งสองคนปรากฏตัวร่วมกันบนจอ มันโคตรจะ Intense เต็มไปด้วยความตึงเครียด การส่งพลังการแสดงของทั้งคู่ เหมือนสงครามประสาทที่ทำเอาผู้ชมรู้สึกบีบอารมณ์ตามไปด้วย หรือแม้แต่ฉากเดี่ยวๆของทั้งคู่ ก็ยังยอดเยี่ยม ออกแบบ ทำให้ผู้ชมเข้าใจความรู้สึกอันซับซ้อนของตัวละคร ออย ได้ จากคนธรรมดาที่เริ่มเห็นภาพความเหลื่อมล้ำทางสังคม เหตุการณ์บางอย่างที่บีบบังคับให้เธอกระหายความเป็นคนพิเศษ จนถึงจุดที่เธอเริ่มเห็นว่า โลกของคนชั้นบนมันเป็นอย่างไร ออกแบบสามารถแสดงออกผ่านสีหน้าและอารมณ์ได้อย่างดี เธอสามารถตรึงคนดูให้อยู่กับตัวละคร ออย ได้ตลอดเวลาจริงๆ เสริมทัพด้วยการแสดงที่เป็นธรรมชาติสุดๆ ของทั้ง กรรณ สวัสดิวัตน์ ณ อยุธยา และ เอม ภูมิภัทร ยิ่งทำให้หนังสมบูรณ์แบบมากขึ้น(รายหลังนี่ ปรากฏตัวในหนังไทยเป็นเรื่องที่3ของปีนี้แล้ว ต่อจาก ขุนพันธ์ ๓ และ แสงกระสือ 2โดยรวม 'Hunger คนหิวเกมกระหาย'คือหนังไทยที่ทำให้คนดูยังศรัทธาและเชื่อมั่นว่า หนังไทยยังไปได้อีกไกล ยิ่งเรื่องนี้ลงใน Netflix และดูได้พร้อมกันกว่า 190 ประเทศทั่วโลก ยิ่งเป็นงานที่ไปฉายโชว์ให้คนข้างนอกดูได้อย่างน่าภูมิใจ (แต่ก็อับอายในประเด็นความเหลื่อมล้ำที่ชัดเจนเช่นกัน) แต่ก็น่าเสียดายที่จะไม่ได้ดูในโรงกัน เพราะงานโปรดักชั่นระดับนี้เหมาะกับการเข้าโรงมาก และถ้าเข้าโรงก็น่าจะกลายเป็นหนังตัวเต็งรางวัลในต้นปีหน้าได้แบบสบายๆ แต่ข้อดีของการดูผ่าน Netflix ที่บ้าน คือผู้ชมสามารถกด Pause เพื่อไปทำอาหารหรือสั่งอะไรมากินได้ เพราะหนังเรื่องนี้จะทำให้คุณน้ำลายไหลอย่างแน่นอน แม้แต่ข้าวผัดธรรมดาๆ หนังก็สามารถทำให้คนดูหิวได้ (อันนี้เรื่องจริงนะ เตรียมของกินรอไว้เลย)ชมตัวอย่าง Hunger คนหิวเกมกระหาย 8 เมษายนใน Netflix ทั่วโลกภาพ : Netflix Thailand

[REVIEW] “Uncharted” ดัดแปลงเกมล่าขุมทรัพย์สู่หนังใหญ่ | GOSSIP GUN

17 ก.พ. 2022

[REVIEW] “Uncharted” ดัดแปลงเกมล่าขุมทรัพย์สู่หนังใหญ่ | GOSSIP GUN

“หนังจากวีดีโอเกมส์มักจะเจ๊ง”กลายเป็นคำกล่าวที่ลือลั่นในฮอลลีวูด เพราะน้อยครั้งมากที่หนังที่สร้างจากเกมจะประสบความสำเร็จแบบปังๆ ย้อนไปดูBox Officeในอเมริกา มีหนังจากเกมแค่5เรื่องที่ทำรายได้ผ่านหลัก100ล้านเหรียญฯ คือSonic The Hedgehog, Pokemon Detective Pikachu, Lara Croft : Tomb Raider, The Angry Bird MovieและRampage (ซึ่งเรื่องหลังเมื่อเทียบกับทุนสร้างแล้ว ก็ไม่ได้ถือว่าทำเงินอะไรมากนัก)แต่ฮอลลีวูดก็ยังคงหยิบเกมมาเป็นวัตถุดิบในการสร้างหนังอยู่เสมอ ล่าสุดคือUnchartedเกมผจญภัยล่าสมบัติที่โซนี่หยิบมาสร้างเป็นหนัง หวังให้เป็นแฟรนไชส์แบบเดียวกับ Indiana JonesและTomb Raiderโดยดึงพระเอกที่ประสบความสำเร็จสุดของค่าย ณ ตอนนี้อย่าง ทอม ฮอลแลนด์ ถอดชุดสไปเดอร์แมน มาล่าขุมทรัพย์(แม้ว่าแฟนเกมจะติเรื่องที่เขาดูต่างจากตัวละครในเกมมากอยู่ก็ตาม) ทอม ฮอลแลนด์ รับบทเป็น นาธาน เดรก หนุ่มที่ใช้ชีวิตเป็นบาร์เทนเดอร์ แต่ก็เป็นนักล้วงกระเป๋าเพื่อหาเลี้ยงชีพ แต่ลึกๆเขาเองสนใจในการล่าสมบัติ จากความคลั่งไคล้ของพี่ชายที่หายตัวไป จนกระทั่งเขาได้เจอกับ ซัลลี่(รับบทโดย มาร์ก วอห์ลเบิร์ก)ชายนักล่าขุมทรัพย์มืออาชีพ ที่ชักชวนเขาให้ร่วมทีมออกตามหาทองคำที่หายไป จากเรือของมาเจลแลน ที่แล่นข้ามโลกได้สำเร็จเมื่อในอดีต แต่การออกบล่าสมบัติครั้งนี้ของพวกเขาไม่ง่ายนัก เพราะมี ซานติอาโก้(รับบทโดย แอนโตนิโอ แบนเดอราส)มหาเศรษฐีทายาทตระกูลเก่าแก่ ออกตามล่าสมบัตินี้เช่นกัน เพราะเขาเชื่อว่านี่คือมรดกของตระกูล ซึ่งการล่าขุมทรัพย์ในครั้งนี้ สำหรับนาธานไม่ใช่แค่เรื่องทองคำเท่านั้น เพราะนี่อาจเป็นโอกาสที่เขาจะได้สืบเกี่ยวกับพี่ชายที่หายตัวไปด้วย Unchartedฉบับหนังใหม่มีกลิ่นอายคล้ายๆTomb Raiderหลายๆประการ ด้วยพล็อตและวิธีการดำเนินเรื่องที่เน้นไขปริศนา เพื่อตามหาสมบัติในสถานที่ต่างๆทั่วโลก ในขณะที่ตัวละครนำก็มีปมเรื่องคนในครอบครัว(อย่างในTomb Raiderคือพ่อของนางเอก ส่วนUnchartedเป็นพี่ชาย)หนังทั้ง2จึงมีโครงสร้างคล้ายๆกัน แต่ในแง่คุณภาพUnchartedอยู่ในระดับกลางๆ โดยรวมหนังทำฉากแอ็กชันออกมาได้ค่อนข้างดี โดยเฉพาะฉากกลางอากาศ ซึ่งเป็นฉากใหญ่ถึง2ฉากในหนัง ทำออกมาได้ตื่นเต้นและตื่นตาอย่างมาก ยิ่งดูในระบบจอIMAXที่มีการเพิ่มขนาดจอเฉพาะสองฉากนี้ ทำให้เหมือนเราอยู่ในฉากแอ็กชันไปกับตัวละครด้วย แต่สิ่งที่ทำให้Unchartedไม่ได้กลายเป็นหนังแอ็กชันที่พีคมากๆ คงจะหนีไม่พ้นเรื่องบท ที่จะพบว่าฉากต่างๆในหนัง ถูกคลี่คลายไปอย่างง่ายดายมาก ถ้าเป็นการเล่นเกมก็คงเหมือนการผ่านด่านที่ง่ายเกินไป เวลาที่พระเอกจำเป็นต้องไขปริศนาอะไรบางอย่างก็สามารถค้นพบคำตอบด้วยเวลานิดเดียว เลยทำให้ดูเหมือนผู้ชมไม่จำเป็นต้องลุ้นตามตัวละครนำมากนัก เพราะน่าจะสามารถผ่านวิกฤตต่างๆไปได้ง่ายๆอยู่แล้ว บวกกับหนังค่อนข้างเล่าแบ็คกราวน์ของตัวละครน้อย หนังใช้เวลาค่อนข้างสั้นเพื่อเล่าที่มาที่ไปของ นาธาน เดรก ทำให้ผู้ชมอาจจะยังไม่ได้อินกับเขาเท่าไหร่ ก่อนที่การผจญภัยจะเริ่มต้นขึ้น ทอม ฮอลแลนด์ ยังคงมีเสน่ห์ดึงดูดบนจอได้อย่างดี คาแรคเตอร์ในเรื่องที่คล้ายๆกับ ปีเตอร์ ปาร์กเกอร์ แบบนี้ ดูเหมือนจะกลายเป็นภาพจำของเขาไปแล้ว ซึ่งก็มีเสน่ห์ไปอีกแบบ แม้ว่าคนที่เล่นเกมนี้จะยืนยันว่าเขาไม่เหมือน นาธาน เดรก ในฉบับเกมเลยก็ตาม ในขณะที่ มาร์ก วอห์ลเบิร์ก ก็ยังคงเล่นบทแอ็กชั่นเบาสมองได้ดูเพลินเช่นเดิม แม้ว่าเคมีของเขากับทอม อาจจะยังไม่มากเท่าไหร่นัก กลายเป็นคนที่เคมีเข้ากับทอมดีกว่าคือ โซเฟีย อาลี ที่รับบทโคลอี้ สาวนักล่าสมบัติที่เข้ามาร่วมทีมกับ นาธานและซัลลี่ หลายฉากที่เธออยู่กับ ทอม เหมือนจะเห็นเสน่ห์เวลาทั้งคู่รับส่งบทออกมา แต่ที่น่าเสียดายสุดคือ แอนโตนิโอ แบนเดอรัส ในบทร้าย ที่ยังไม่ค่อยเห็นถึงความน่าหวาดกลัว และยังไม่มีบทบาทเท่าไหร่นัก โดยรวมUnchartedถือว่าเป็นหนังแอ็กชันจากวีดีโอเกมที่สอบผ่าน สามารถดึงเอาเสน่ห์ของฉากการผจญภัยในเกม มาทำเป็นฉากแอ็กชันในหนังได้อย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะฉากไคลแม็กซ์ที่ตื่นตาทีเดียว แต่ก็ยังคงมีปัญหาเรื่องบท คล้ายๆกับหนังเกมทั่วไปที่อาจจะไม่ได้มีวัตถุดิบมากพอที่จะมาใส่ให้เรื่องราวเข้มข้นมากขึ้น การคลี่คลายปริศนาก็ทำได้อย่างไม่ยากนัก แต่การแสดงของ ทอม ฮอลแลนด์ ก็ชวนให้เราลุ้นตามและดูการผจญภัยของเขาไปได้จนจบ ใครที่อยากดูหนังแอ็กชันPopcornที่ดูง่ายๆ เหมือนเล่นเกมผ่านด่าน ก็ลองมาชมเรื่องนี้ได้(ให้7คะแนนจากคะแนนเต็ม10คะแนน)

[REVIEW] “Fantastic Beasts : The Secrets of Dumbledore” หรือนี่คือหนังรัก ในคราบของหนังพ่อมดโลกเวทมนตร์ | GOSSIP GUN

14 เม.ย. 2022

[REVIEW] “Fantastic Beasts : The Secrets of Dumbledore” หรือนี่คือหนังรัก ในคราบของหนังพ่อมดโลกเวทมนตร์ | GOSSIP GUN

ไม่แน่ใจว่านี่คือหนังเวทมนตร์หรือหนังต้องคำสาปกันแน่ เพราะภาคใหม่ของหนังตระกูลFantastic Beastsที่เปรียบเสมือนภาคก่อนหน้าของHarry Potterใช้เวลานานถึง4ปีในการเดินทางมาขึ้นจอใหญ่ ซึ่งโดยปกติแล้วหนังใหญ่ระดับนี้สตูดิโอมักไม่เว้นช่วงห่างนัก ส่วนสำคัญอาจเป็นเพราะกระแสตอบรับของภาคก่อนอย่างThe Crimes of Grindelwaldที่ทำรายได้น้อยที่สุดในเหล่าบรรดาจักรวาลพ่อมดทั้งหมด แถมยังได้รับคำวิจารณ์ในแง่ลบเยอะที่สุดด้วย ถ้าจะให้แฟรนไชส์นี้ไปต่อได้(สามารถสร้างได้ถึง5ภาคแบบที่ เจ.เค.โรว์ลิ่ง บอกไว้)วอร์เนอร์ต้องใช้เวลาพอสมควรในการพัฒนาบทให้ออกมาดีที่สุด แต่กระนั้นถึงเวลาหนังจะพร้อมถ่ายทำแล้ว กลับเจอหลายปัญหา ทั้งการเปลี่ยนนักแสดงที่รับบท กรินเดลวัลด์ จาก จอห์นนี เด็ปป์ เป็น แมดส์ มิคเคลสัน รวมถึงโควิด-19ทำให้การถ่ายทำล่าช้าออกไป นี่ยังไม่รวมถึงดราม่าเกี่ยวกับ เจ.เค.โรว์ลิ่ง และสดๆร้อนๆกับ เอซร่า มิลเลอร์ ที่ทำให้ทางค่ายต้องแทบจะไม่พูดถึงทั้งคู่ในการโปรโมตหนัง The Secrets of Dumbledoreพาผู้ชมกลับสู่โลกแห่งเวทมนตร์อีกครั้ง ในช่วงเวลาปี ค.ศ.1932ช่วงเวลาแห่งความตึงเครียดของโลกพ่อมด โดยเรื่องราวหลักในภาคนี้คือการหยุด กรินเดลวัลด์ พ่อมดผู้ฝักใฝ่ในอำนาจด้านมืด เขาหวังจะครองทั้งโลกมนุษย์และโลกแห่งเวทมนตร์ ศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์(รับบทโดย จูด ลอว์)พยายามจะหยุดเขา จึงได้รวบรวมทีมพ่อมดและแม่มดที่เก่งกาจในด้านต่างๆ นำทีมโดย นิวท์(รับบทโดย เอ็ดดี้ เรดเมย์น)นักสัตว์วิเศษ กับภารกิจเสี่ยงตายหยุดยั้งแผนการร้ายของกรินเดลวัลด์ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่มีการเลือกตั้งผู้นำของโลกเวทมนตร์คนใหม่ ที่อาจจะเอื้อประโยชน์กับพ่อมดฝ่ายชั่วก็เป็นอันได้ ถ้าความพยายามของวอร์เนอร์ คือการพัฒนาหนังชุดสัตว์มหัศจรรย์ให้ไปในทางบวกมากขึ้นThe Secrets of Dumbledoreถือว่าประสบความสำเร็จ ในฐานะคอหนังที่ติดตามหนังชุดHarry Potterอยู่ห่างๆ ไม่ได้ศึกษาหรือดูซ้ำมากมายอะไรนัก หนังภาคนี้สามารถสร้างความบันเทิงให้กับผู้ชมได้อย่างดี หนังมาพร้อมกับพล็อตที่ไม่ได้สลับซับซ้อน แม้ว่าผู้ชมจะห่างหายจากภาคก่อนไปนานถึง4ปี ก็สามารถต่อเรื่องได้แบบทันที หนังยังคงมีฉากผจญภัยที่สนุกสนานสมกับความเป็นแฟนตาซีหลายฉาก รวมถึงมีสัตว์มหัศจรรย์ที่น่ารักน่าเอ็นดูมากมาย แต่หัวใจจริงของThe Secrets of Dumbledoreดูเหมือนจะเป็นเรื่องความรัก ระหว่างดูไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหนังคลี่คลาย จะพบว่าหนังภาคนี้มีเส้นรักปรากฏเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นของตัวพระเอก ตัวเพื่อนสนิทพระเอก ตัวละครแวดล้อม ไปจนถึงปมใหญ่ระหว่างคู่เพื่อนรักเพื่อนแค้นอย่าง ดัมเบิลดอร์ และกรินเดลวัลด์ ที่เปรียบเหมือนแกนหลักของหนังภาคนี้ จูด ลอว์ และ แมดส์ มิคเคลสัน มีเคมีที่น่าสนใจมากทีเดียว หลายฉากที่ทั้งสองปรากฏตัวร่วมกันตั้งแต่ฉากแรกในหนังล้วนเป็นไฮไลต์ ซึ่ง แมดส์ เลือกที่จะถ่ายทอดบท กรินเดลวัลด์ ในแบบของเขา ซึ่งค่อนข้างฉีกต่างจากเวอร์ชั่น จอห์นนี เด็ปป์ ซึ่งนับเป็นทางเลือกที่ดี เพราะการเปรียบเทียบย่อมไม่ส่งผลดีต่อใคร การแสดงของเขา ทำให้กรินเดลวัลด์ทั้งสองแบบ ต่างมีเอกลักษณ์ในแบบตัวเอง ซึ่งชอบทั้งสองแบบจริงๆ หนังภาคนี้เปิดเรื่องได้อย่างสนุก เล่าปมหลักได้น่าติดตาม กับภารกิจของแก๊งนิวท์ที่จะต้องหยุดกรินเดลวัลด์ เป็นพล็อตที่เปิดโอกาสให้หนังสร้างซีนต่างๆมากมาย แต่น่าเสียดายที่พอมาถึงช่วงคลายปมท้ายๆ ทุกอย่างแอบคลี่คลายง่ายเกินไป ต่างจากตอนต้นที่บิลด์เรื่องมาค่อนข้างซีเรียส แต่พอมาถึงบทสรุป กลับง่ายดายกว่าที่คิด แต่อย่างไรก็ตาม ช่วงท้ายนี่เองที่สำหรับผู้เขียนถือเป็นไฮไลต์ เพราะหนังพาผู้ชมในจักรวาลHarry Potterออกสู่โลเคชั่นอื่น นอกจากยุโรปเป็นหลัก(และในอเมริกาบ้าง)หนังพาผู้ชมมาสู่โซนเอเชีย ซึ่งแปลกตาดีเหมือนกัน โดยรวมThe Secrets of Dumbledoreถือเป็นหนังFantastic Beastsภาคที่ดูสนุก และมีหลากหลายอารมณ์ ค่อนข้างครบรสทีเดียว แม้มันจะยังมีข้อบกพร่องบ้าง ทั้งการคลายปมที่ง่ายดาย และความยาวที่หนังเองสามารถกระชับได้หลายๆฉาก และอีกจุดที่อาจจะทำให้แฟนๆสงสัย คือการที่หนังภาคนี้แทบจะคลายปมของFantastic Beastsไปเกือบหมดแล้ว มันทำตัวเป็นเหมือนภาคจบ ทั้งๆที่แฟนๆรู้ดีว่า แผนการเดิมคือการสร้าง5ภาค เหมือนวอร์เนอร์ กำลังจะบอกว่า ถ้าภาคนี้ไม่ทำเงินตามที่พวกเขาคาดคิดFantastic Beastsก็มีภาคบทสรุปที่เกือบจะสมบูรณ์แล้วนะ แต่หนังก็ยังเปิดช่องไว้นิดๆ ว่า ถ้าแฟนๆกลับมาหนาแน่นเหมือนเดิม ก็ยังมีปมที่เราทิ้งไว้สำหรับภาค4-5เหมือนกัน กลายเป็นแทนที่หนังจะบิลด์หนักๆไปยังภาค4เหมือนทุกอย่างจะจบลงตรงนี้เลย(ให้7คะแนนจากคะแนนเต็ม10คะแนน)

album

0
0.8
1