[REVIEW] ‘Black Panther : Wakanda Forever’ ภาคต่อที่ยิ่งใหญ่และบีบหัวใจขั้นสุด จุดเปราะบางของวากานด้า | GOSSIP GUN

HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘Black Panther : Wakanda Forever’ ภาคต่อที่ยิ่งใหญ่และบีบหัวใจขั้นสุด จุดเปราะบางของวากานด้า | GOSSIP GUN

09 พ.ย. 2022

สิ้นสุดการรอคอยแล้ว สำหรับหนึ่งในหนังภาคต่อจากจักรวาลมาร์เวลที่แฟนๆทั่วโลกรอคอยมากที่สุดอย่าง Black Panther : Wakanda Forever ซึ่งแบกภาระอันหนักอึ้งไว้หลายๆอย่างด้วยกัน ตั้งแต่นาทีแรกที่ Black Panther ประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลาย หน้าที่ของหนังเรื่องนี้คือการเป็นภาคต่อของหนึ่งในหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่ฮิตสุดและได้รับคำชมมากที่สุดตลอดกาล เพียงเท่านี้ก็เป็นหน้าที่อันหนักหนาสาหัส และแบกความหวังของแฟนๆไว้มากพออยู่แล้ว แต่สถานการณ์ทุกอย่างเปลี่ยนไป เมื่อข่าวร้ายของ แชดวิก บอสแมน เดินทางมาถึง ในวันที่เขาจากโลกไปก่อนวัยอันควร ไม่เพียงแค่โลกสูญเสียแชดวิกเท่านั้น แต่วากานด้าก็ได้สูญเสียผู้นำของเขาเช่นกัน อีกหน้าที่ที่กลายเป็นบทบาทสำคัญของ Wakanda Forever คือการไว้อาลัยแด่นักแสดงผู้เป็นที่รัก แต่ในขณะเดียวกันผู้สร้างก็มีหน้าที่สานต่อเรื่องราว ทำให้ Black Panther คือแฟรนไชส์ที่แข็งแกร่งต่อไป ในวันที่ไม่มีแชดวิก ในวันที่ไม่มีทีชัลล่า พวกเขาต้องไปต่อให้ได้ และในวันนี้ โลกก็ได้รับคำตอบแล้วว่า พวกเขาทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม

.

Wakanda Forever เล่าถึงช่วงเวลาที่ประเทศวากานด้าสูญเสียกษัตริย์ทีชัลล่าไปอย่างไม่มีวันกลับ เช่นเดียวกับ แบล็กแพนเตอร์ที่อาจจะไม่มีอีกแล้ว ด้วยเหตุผลบางประการ เจ้าหญิงชูริ ยังคงทำใจไม่ได้กับการจากไปของพี่ชาย ในขณะที่มารดาอย่าง รามอนด้า ต้องเข้มแข็งให้ถึงที่สุด เพราะเธอต้องขึ้นทำหน้าที่ราชินีปกครองวากานด้าต่อ เธอจึงไม่สามารถอ่อนแอได้ แต่ในขณะที่ประเทศของพวกเธอกำลังเปราะบาง วากานด้ากลับต้องเผชิญกับภัยจากภายนอกที่อันตรายที่สุดเท่าที่พวกเขาเคยเผชิญมา จาก เนย์มอร์ ผู้นำอาณาจักรลึกลับใต้น้ำ ที่เผยตัวเองต่อโลกภายนอกเป็นครั้งแรกเพราะปมบางอย่าง ที่เกี่ยวข้องกับวากานด้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และนี่คือพล็อตบางส่วนเท่านั้นที่พอจะเล่าได้จาก Black Panther : Wakanda Forever ที่เหลือคือสิ่งที่ผู้ชมจะได้สัมผัสเองในโรงภาพยนตร์

.

คำที่จะสามารถอธิบายความเป็น Wakanda Forever ได้อย่างดีที่สุด คือคำว่า "เอพิก" นี่คือหนังแห่งความยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง ทั้งในแง่ของพล็อตและสเกลของเรื่อง แม้โดยรวมหนังอาจจะไม่ได้ลงตัวเทียบเท่า Black Panther ภาคแรก แต่มันก็ทวีคูณในหลายๆส่วน ทั้งพาร์ทของโปรดักชั่น รวมไปถึงอารมณ์ร่วมของผู้ชม ที่กล้าพูดได้อย่างเต็มปากว่าภาคนี้ เต็มไปด้วยฉากบีบหัวใจตลอดแทบทั้งเรื่อง เริ่มจากในพาร์ทของการไว้อาลัย แม้ในเรื่องจะเป็นการกล่าวถึงการจากไปของทีชัลล่า แต่ต้องยอมรับว่า มันคือการสื่ออารมณ์รำลึกถึง แชดวิกเช่นเดียวกัน หนังทำหน้าที่ตรงนี้ได้อย่างดีเยี่ยม และพยายามใช้เวลาพอสมควร ก่อนที่จะมูฟสู่พล็อตหลักของภาคนี้ ปมที่นำไปสู่สงคราม ซึ่งพาร์ทนี้เองหนังค่อยๆบิลด์ความตึงเครียดได้อย่างดีเยี่ยม แกนหลักของหนังคือ การที่ตัวละครหลักต้องพยายามเข้มแข็งให้ได้ในยามที่พวกเขาเปราะบางมากที่สุด การเยียวยาจิตใจเพื่อนำไปสู่ความแข็งแกร่งของวากานด้า ปมหลักตรงนี้เองที่แทบจะบีบหัวใจผู้ชมตลอดทั้งเรื่อง

สองนักแสดงหลักที่สำคัญมากๆของ Wakanda Forever คือ เลททิเรีย ไรท์ ในบทชูริ นอกจากเราจะเห็นเธอเติบโตจากภาคแรกแล้ว เราจะค่อยๆเห็นพัฒนาการของตัวละครนี้ตลอดทั้งเรื่อง ในวันที่เธอไม่ใช่แค่น้องของกษัตริย์อีกต่อไป ในวันที่เธอคือทายาทเพียงคนเดียวของวากานด้า เลททิเรียทำหน้าที่ได้อย่างน่าชื่นชมในการค่อยๆก้าวขึ้นมาเป็นนักแสดงนำของ Black Panther ในขณะที่ แองเจล่า บาสเซ็ตต์ กับบทควีน มีหลายฉากที่เธอแสดงได้อย่างชวนขนลุก ทำเอาไม่สามารถละสายตาจากจอได้อย่าง ทั้งแววตาและน้ำเสียง ของหญิงที่ต้องเข้มแข็งในจุดที่เธอสูญเสียแทบจะทุกสิ่ง แต่คนที่ไม่มีใครกลืนได้ลงคือ ตัวละครเนมอร์ ตัวร้ายหลักประจำภาคนี้ ที่ทำให้ผู้ชมสัมผัสได้ว่า วากานด้ากำลังเจอกับภัยที่อันตรายขั้นสุดแล้ว ได้เจอกับศัตรูที่สมน้ำสมเนื้อ ยิ่งวากานด้าอยู่ในจุดที่เปราะบาง ภัยรุกรานครั้งนี้คืออันตรายกว่าครั้งไหนๆ ซึ่ง เทนอช เฮอร์ตา นักแสดงชาวเม็กซิกัน สวมบทบาทนี้ได้อย่างดีเยี่ยม

ในแง่ของงานสร้าง สิ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือสเกลของฉากแอ็กชันที่ยกระดับความใหญ่โตเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะฉากสงครามในช่วงครึ่งหลัง ที่ทั้งใหญ่และตึงเครียด ถ้าจะมีข้อติบ้างน่าจะเป็นช่วงแรกที่หนังเล่าเหตุการณ์ในช่วงเวลากลางคืนเยอะ ทำให้ฉากแอ็กชันหลายซีนค่อนข้างมืด ยิ่งชมในระบบสามมิติยิ่งปรับสายตายาก ส่วนอีกหนึ่งไฮไลต์ที่ไม่เอ่ยถึงไม่ได้ และเป็นเอกลักษณ์สำคัญของ Black Panther ตั้งแต่ภาคแรกคือเพลงประกอบและดนตรีประกอบที่ยังคงไม่ทำให้ผิดหวัง ยกระดับความเท่ และเพิ่มความคูลให้กับแฟรนไชส์นี้ได้อย่างมากเลยทีเดียว โดยรวม Black Panther : Wakanda Forever จึงเป็นหนึ่งในหนังที่สำคัญมากๆในจักรวาลมาร์เวล และในขณะเดียวกันก็เป็นหนึ่งในหนังที่ผลลัพภ์ดีเยี่ยมเรื่องหนึ่งในเฟส 4 ถ้ามีโอกาสอยากให้ลองชมในระบบ IMAX3D ซึ่งเพิ่มความยิ่งใหญ่ เสริมอรรถรสในการชมได้อย่างดีเลยทีเดียว

 

ชมตัวอย่าง Black Panther : Wakanda Forever วันนี้ในโรงภาพยนตร์


ภาพ : Marvel Thailand

related HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] “Seoul Ghost Stories” ผีดุที่เกาหลี 10 เรื่องผีหลอกเกินเบอร์ ! | GOSSIP GUN

12 พ.ค. 2022

[REVIEW] “Seoul Ghost Stories” ผีดุที่เกาหลี 10 เรื่องผีหลอกเกินเบอร์ ! | GOSSIP GUN

หนังผีที่แบ่งเป็นตอนๆ ไม่ใช่คอนเซปต์ใหม่อะไร เพราะดูกันมาตั้งแต่ตั้งแต่ยุค ผีสามบาท ไล่มาถึง สี่แพร่ง ห้าแพร่ง และล่าสุด เทอมสองสยองขวัญ แต่สำหรับหนังผีเกาหลีเรื่องล่าสุดSeoul Ghost Storiesบอกว่าเท่านี้ไม่พอหรอก จัดหนักแบบ10เรื่องกันไปเลย จากความยาวหนังราวๆ2ชั่วโมง ไปหารกันเองว่าแต่ละตอนจะยาวเหลือเรื่องละเท่าไร คอนเซปท์ของหนังผีทั้ง10เรื่องนี้ คือการหยิบเรื่องสยองในกรุงโซลมาเล่า ด้วยสไตล์ที่แตกต่างกันไป นอกจากนี้จุดเด่นหลักคือการหยิบเอาศิลปินป็อปไอดอลหลายๆ คน จากหลายๆ วงมารวมตัวกันอยู่ในเรื่องนี้ด้วยสำหรับพล็อตทั้ง10เรื่องของSeoul Ghost Storiesขืนเล่าหมดคงจะไม่สนุก ขอหยิบเอาบางส่วนมาเกริ่นๆ ยั่วน้ำลายก่อน ตอนแรกที่โปรโมตออกมาคือ อุโมงค์ต้องตาย เล่าถึงชายคนหนึ่งที่ขับรถคนเดียว ผ่านอุโมงค์สุดวังเวงตอนกลางดึก ระหว่างทางเขาก็พบรอยมือแปะหน้ากระจกรถ จึงพยายามออกจากรถไปเช็ดออก แต่แล้วเขากลับพบว่า รอยมือนี้อยู่ข้างในรถ...ตกลงใครนั่งมาในรถกับเขากันแน่ อีกตอนที่น่าจะทำเอาหลายคนผวาไปตามๆ กัน คือ ปรสิตกินฟัน เรื่องราวของทันตแพทย์ ที่ต้องรักษาคนไข้ปริศนารายหนึ่งที่ปวดฟันขั้นสุด แต่ตรวจยังไงก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ จนไม่นานเขาได้พบสิ่งมีชีวิตลึกลับเลื้อยอยู่ในอ่างคลีนิคของเขา และสิ่งนี้จะทำให้ชีวิตเขาเปลี่ยนไปตลอดกาลข้อดีแบบชัดๆ ของSeoul Ghost Storiesคือพอมันมีถึง10เรื่อง แต่ละเรื่องจึงใช้เวลาเกริ่นไม่นาน พักเดียวก็เข้าสู่พาร์ตผีดุเลย ทำให้รู้สึกว่าตลอด2ชั่วโมง ฉากสยองมาถี่ ติดๆ กันแบบไม่ได้พัก และตลอดทั้ง10เรื่องก็นำเสนอมุมมองของความสยองขวัญที่แตกต่างกันไป ไม่ได้เป็นผีที่ซ้ำแบบกันทุกตอน ทำให้ไม่ได้รู้สึกซ้ำซาก แต่ข้อเสียที่ชัดเจนอีกเช่นกัน ของการมี10เรื่อง ทำให้แต่ละเรื่อง ไม่ได้ปูรายละเอียดที่มากพอ ผู้ชมยังไม่ทันได้อินกับตัวละครก็โดนผีหลอกแล้ว จนอาจจะยังไม่รู้สึกเอาใจช่วยเท่าไหร่นัก เน้นดูผีดุแบบจัดหนักไปพอสิ่งที่โดดเด่นมากของSeoul Ghost Storiesคือการนำเสนอผีที่ค่อนข้างโฉ่งฉ่างมาก อยากจะใช้คำเรียกว่าเป็นหนังสยองขวัญที่อึกทึกครึกโครม เพราะหนังไม่ยั้งมือในการนำเสนอฉากสยอง ไม่ว่าจะเป็นฉากโหดก็โหดแบบหนักมือ ฉากผีหลอกก็ออกมาให้ดุสมชื่อจริงๆ ใครที่ชอบดูหนังผี น่าจะสนุกกับการได้เห็นผีแบบจุกๆ จุใจแบบนี้ ตัวหนังเองอาจจะไม่ได้น่ากลัวเท่าไหร่นัก (สำหรับผู้เขียน)แต่มันสนุกในการเห็นผีแบบจะๆ ถือเป็นหนังผีที่ดูเอามันส์และสะใจอยู่ไม่น้อย!โดยรวมSeoul Ghost Storiesเป็นหนังผีจากเกาหลีที่อยากให้ลองของ ไม่ค่อยได้ดูหนังผีแบบ10เรื่องติดแบบนี้ในโรง ซึ่งมันค่อนข้างวาไรตี้ หลายตอนที่พล็อตอาจจะฟังดูธรรมดา อาทิ เรื่องหลอนที่เกิดกับตู้เก่า เรื่องสยองหลังกำแพงห้องข้างๆ แต่พอเอาเข้าจริง หนังนำเสนออะไรเยอะกว่านั้น แล้วมันสนุกตรงที่ต้องมานั่งดูกันว่า แต่ละตอนมันจะมีบทสรุปอย่างไร เหมือนดูหนังหักมุมแบบเยอะๆ พร้อมกันให้ 7.5 คะแนนเต็ม 10

[REVIEW] ‘The Super Mario Bros. Movie’ แอนิเมชั่นที่เต็มไปด้วย Nostalgia เหมือนไปเล่นสวนสนุก | GOSSIP GUN

11 เม.ย. 2023

[REVIEW] ‘The Super Mario Bros. Movie’ แอนิเมชั่นที่เต็มไปด้วย Nostalgia เหมือนไปเล่นสวนสนุก | GOSSIP GUN

ไม่มีใครไม่รู้จักเกม Mario นี่คือเกมที่ได้รับการขนานนามว่า เป็นวีดีโอเกมที่มียอดขายสูงสุดตลอดกาล จากต้นกำเนิดครั้งแรกเมื่อ 40 ปีก่อน Nintendo ได้พัฒนาเกมนี้ ออกมาอย่างหลากหลายรูปแบบหลายยุคหลายสมัย จาก 2D สู่แบบ 3D และมีการขยายลักษณะของเกมออกไปมากมายอย่างไม่จบสิ้น ซึ่งแน่นอนว่าเกมฮิตระดับนี้ ก็ต้องมีความพยายามจะนำมาสร้างเป็นหนัง ซึ่งความพยายามแรกเกิดขึ้นในปี 1993 กับการนำมาดัดแปลงเป็นหนังฉบับคนแสดง ซึ่งคว่ำไม่เป็นท่า ด้วยองค์ประกอบที่ดูประหลาดที่แตกต่างจากเกมอย่างสิ้นเชิง จนในที่สุดหนังที่คู่ควรสำหรับแฟนเกม Mario ก็มาถึง เมื่อ Nintendo ได้จับมือกับ Illumination สตูดิโอที่สร้างแอนิเมชั่นรายได้ถล่มทลายอย่าง Minions, The Secret Life of Pets และ Sing จากความถนัดในการทำหนังสนุกของค่ายหลังมาผนวกกับต้นฉบับมาริโอ้ของค่ายที่ให้กำเนิด ทำให้ The Super Mario Bros. Movie คือหนังเวอร์ชั่นที่ตอบโจทย์แฟนเกมที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในหนังแอนิเมชั่นฉบับนี้เล่าถึงสองพี่น้องนักซ่อมท่อ มาริโอ้ และลุยจิ (พากย์เสียงโดย คริส แพรตต์ และ ชาร์ลี เดย์) จากโลกมนุษย์ที่ดันหลุดเข้าไปในดินแดนมหัศจรรย์ผ่านท่อวิเศษ มาริโอ้หลุดเข้าไปในดินแดนเห็ด แต่สำหรับลุยจิ กลับหลงไปในดินแดนแห่งความมืดที่เต็มไปด้วยความอันตราย ซึ่งสถานที่แห่งนี้ถูกปกครองโดย บาวเซอร์ (พากย์เสียงโดย แจ็ค แบล็ค)ตัวร้ายสุดอำมหิตที่วางแผนจะถล่มทุกอาณาจักรรอบข้างและยึดครองให้เป็นของเขา หลังจากมาริโอ้พลัดพรากจากน้อง จึงไปขอความช่วยเหลือจากเจ้าหญิงพีช (พากย์เสียงโดย อันยา เทย์เลอร์-จอย) เธอจึงผนึกกำลังกับมาริโอ้ เพื่อบุกไปยังดินแดนแห่งความมืด โดยนอกจากจะช่วยเหลือลุยจิแล้ว ยังต้องปกป้องดินแดนเห็ดจากภัยรุกรานครั้งนี้อีกด้วยสำหรับผู้ใหญ่ที่ผ่านการเล่นเกมMario มาหลายยุคสมัย หนังเรื่องนี้เต็มไปด้วยความ Nostalgia นั่นคือการที่ความทรงจำในสมัยก่อน มันถูกดึงกลับมาให้รู้สึกอีกครั้งตลอดการดูหนังเรื่องนี้ เพราะ The Super Mario Bros. Movie อัดแน่นด้วยองค์ประกอบต่างๆจากเกม ที่หลายคนอาจจะลืมไปแล้ว หลายคนอาจจะคิดถึง ทั้งหมดมันถูกหยิบมาใส่ไว้ในหนัง ทำให้ผู้ชมจะได้รู้สึกย้อนวัยไปผจญภัยกับตัวละครเหล่านี้ โดยหนังเลือกที่จะเล่าหลายซีนให้เหมือนผู้ชมกำลังเล่นเกมไปด้วย ยิ่งเพิ่มความสนุกและเรียกความทรงจำเก่าๆกลับมาได้เพียบ และอีกพาร์ทที่ Nostalgia มากๆคือ Score หรือดนตรีประกอบ ซึ่งหยิบเอาทำนองจากในเกมมาทำใหม่ แล้วใส่ไว้ในฉากที่ตรงกับในเกม ยิ่งเพิ่มความรู้ใช่ระหว่างดูเข้าไปอีกการเข้าไปดู The Super Mario Bros. Movie ในอีกอารมณ์หนึ่งเหมือนผู้ชมกำลังเดินเข้าสู่สวนสนุกที่เรารู้ทันทีว่าความสนุก(โดยเฉพาะกับเด็กๆ) รออยู่มากมาย ไม่ว่าจะได้เจอกับเหล่าคาแรคเตอร์ที่พวกเราคิดถึง ได้เจอกับอาณาจักรต่างๆที่เต็มไปด้วยความตื่นตา เหมือนเรากำลังเดินเข้าไปใน Theme Park ต่างๆในสวนสนุก รวมถึงฉากแอ็กชันจำนวนมากที่ถูกออกแบบมาเหมือนเกม เหมือนผู้ชมกำลังอยู่ในฉากนั้นๆด้วย ยิ่งเหมือนว่าคนดูได้ขึ้นไปเล่นในเครื่องเล่นต่างๆ เพิ่มความสนุกให้กับหนังขึ้นไปอีก (ตรงจุดนี้เชื่อว่า การดูในระบบ 4DX น่าจะยิ่งเพิ่มอรรถรสได้มาก น่าจะเป็นหนังที่เหมาะกับระบบนี้จริงๆ)ในขณะที่เสียงพากย์นั้น แม้จะมีคำวิจารณ์ออกมาก่อนหน้านี้ เรื่องเอานักแสดงมาพากย์แล้วไม่เหมาะสมกับบท แต่ปรากฏว่า ทั้ง คริส แพรตต์, อันยา เทย์เลอร์-จอย และชาร์ลี เดย์ ต่างถ่ายทอดบท มาริโอ้ เจ้าหญิงพีช และลุยจิ ออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติมากๆ แต่ที่ขโมยทุกซีนไปเลยคือเสียงพากย์ของ แจ็ค แบล็คกับบทตัวร้ายหลักที่แสดงอารมณ์และเพิ่มความฮาผ่านเสียงได้อย่างหลากหลายรูปแบบมากๆ ยกให้เป็นที่สุดตัวตึงในทีมนักพากย์เลย นอกจากนี้อีกคนที่อยากกล่าวถึงมากๆ คือ เซธ โรแกน ในบทดองกี้คอง ที่รายนี้ก็ขโมยซีนหนักไปแพ้กัน – โดยรวมนั้น The Super Mario Bros. Movie เป็นหนังที่ตอบโจทย์แฟนเกมต่างๆ แต่สำหรับคนดูทั่วไปก็สามารถเอ็นจอยได้ แม้เส้นเรื่องจะไม่มีอะไรซับซ้อน แต่ฉากต่างๆล้วนสนุกและบันเทิง ถือเป็นแอนิเมชั่นอีกเรื่องที่ทำเงินทั่วโลกหนักแน่ๆชมตัวอย่าง The Super Mario Bros. Movie วันนี้ในโรงภาพยนตร์ภาพ : UIP Thailand

[Review] The Marvels : ผนึกพลังสามสาวมาร์เวล หนังสั้นกระชับและสนุกกว่าภาคแรก

08 พ.ย. 2023

[Review] The Marvels : ผนึกพลังสามสาวมาร์เวล หนังสั้นกระชับและสนุกกว่าภาคแรก

นี่คือปีที่ไม่ง่ายนักสำหรับ Marvel Studio หลังไต่ระดับไปถึงจุดพีกสุดมาแล้วกับ Avengers : Endgame ดูเหมือนการสร้าง Saga ใหม่จะเจอทางขรุขระพอสมควร ผลงานต้นปีอย่าง Ant-Man and The Wasp : Quantumania แม้จะไม่ได้เจ๊ง แต่ก็เผชิญกับรายได้ที่น้อยกว่าที่คิด โดนถล่มเรื่อง CG ที่ไม่สมบูรณ์นัก และนักแสดงอย่าง โจนาธาน เมเจอร์ส ที่ถูกวางให้เป็นวายร้ายหลักเทียบเท่าธานอสหลังจากนี้ ก็เผชิญกับคดีฉาวในขณะที่ Guardians of the Galaxy Vol.3 แม้จะกวาดทั้งคำชมและรายได้ แต่สิ่งที่ต้องไม่ลืมคือ นี่คือผลงานของ เจมส์ กันน์ ผู้กำกับที่หลังจากนี้เขาคือหัวเรือใหญ่ของ DC ค่ายคู่แข่งตลอดกาล นำมาสู่ The Marvels ที่กำลังจะเข้าฉาย ซึ่งได้รับแรงกระทบไปเต็ม ๆ ทั้งประเด็นการถ่ายซ่อม การเลื่อนฉาย ไปจนถึงยอดขายล่วงหน้าที่ไม่เข้าเป้า นั่นทำให้หลายฝ่ายต่างกังวลใจว่า The Marvels จะออกหัวหรือก้อย ซึ่งวันนี้เรายินดีที่จะแจ้งให้แฟน ๆ ทราบว่า เรื่องนี้ไม่ใช่หนังที่แย่เลยแม้แต่น้อย..แต่ก็ไม่ใช่หนังที่จะมากู้สถานการณ์ลบของมาร์เวลแต่อย่างไรThe Marvels คือหนังที่ถูกวางให้เป็นภาคต่อของ Captain Marvel ในขณะที่ก็เหมือนจะเป็นภาคต่อของซีรีส์ Ms.Marvelเช่นกัน รวมถึงมีตัวละครสำคัญจากซีรีส์ WandaVision เล่าเรื่องราวของ คารอล หรือกัปตันมาร์เวล (รับบทโดย บรี ลาห์สัน)ที่ต้องปวดหัวกับการที่อยู่ดีๆ เธอก็วาร์ปสลับที่อยู่กับ โมนิก้า แรบโบ้ และ กมลา ข่าน หรือมิสมาร์เวล ทุกครั้งที่เธอทั้ง 3 คนปล่อยพลังพร้อมกัน พวกเธอจะสลับโลเคชั่นกันทันที ทำให้ต้องรวมตัวกันเพื่อไขปริศนาว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเธอกันแน่ ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับ ดาร์เบน ผู้นำของ ครี ที่พยายามตามหากำไลวิเศษที่มีพลังมหาศาล หลังเธอค้นพบข้างนึงแล้ว แต่ยังไม่รู้ว่าอีกข้างอยู่ที่ กมลา หรือมิสมาร์เวลนั่นเอง ซึ่งตามหากำไลดังกล่าวเพื่อใช้พลังในการทำลายล้างหลายพิภพเพื่อดึงทรัพยากรไปยังอาณาจักรของเธอ กลายเป็นภารกิจหลักของ คารอล, โมนิก้า และกมลา ที่ต้องร่วมทีมกันเป็น เดอะมาร์เวล เพื่อปกป้องจักรวาลโดยรวม The Marvels อาจจะไม่ใช่หนังจุดเปลี่ยนสำคัญของ MCU แต่ก็ไม่ใช่งานที่จะดึงหนังจักรวาลนี้กลายเป็นขาลงอย่างที่หลายคนกล่าวถึง ข้อดีที่ชัดเจนมากๆของหนังเรื่องนี้ ลำดับแรกคือ สนุกกว่าภาคแรก ใครที่เคยผิดหวังกับหนังเดี่ยวของCaptain Marvel หนังภาคนี้สามารถให้ความบันเทิงได้มากกว่า และส่วนสำคัญมาจากการเดินเรื่องที่กระชับฉับไว ด้วยความยาว 1.45 ชั่วโมง ซึ่งสั้นที่สุดแล้วในบรรดาหนัง MCU ทำให้หนังไม่เสียเวลากับการเล่าเรื่องอะไรที่ไม่จำเป็น กระโดดเข้าฉากสำคัญแบบทันที ไม่มีจุดไหนที่ทำให้หนังดูย้วยหรือยืดยาวเกินจำเป็นเลยแม้แต่น้อย แต่มันก็อาจกลายเป็นข้อเสียสำคัญขาจร เมื่อหนังไม่ได้ใช้เวลาในการปูแบ็คกราวน์ตัวละคร กมลาหรือโมนิก้าเลย สำหรับใครที่อาจจะไม่ได้ตามซีรีส์Ms.Marvel หรือ WandaVision มา ก็อาจต้องจูนในหัวเล็กน้อยว่าสองตัวละครนี้คือใคร มาจากไหน แล้วอยู่ดีๆมาแท็กทีมเป็น The Marvels ได้อย่างไรสิ่งที่โอบอุ้มให้ The Marvels กลายเป็นหนังที่เดินเรื่องน่าติดตาม ต้องยกเครดิตให้สองตัวละครหลักที่มาใหม่อย่าง 'โมนิก้า แรมโบ้' กับ 'กมลา ข่าน' ซึ่งตัวละครแรกมอบหัวใจให้กับหนัง ทำให้แบ็คกราวน์สตอรี่ของ คารอลดูน่าสนใจมากขึ้นด้วย ในขณะที่กมลา คือตัวละครที่มาเพื่อมอบรอยยิ้มให้กับหนังอย่างแท้จริง ถ้าตัดตัวละครนี้และครอบครัวเธอออกไป The Marvels จะกลายเป็นหนังที่จืดชืดมาก นี่คือครอบครัวที่เพิ่มเข้ามาสร้างเสียงหัวเราะและความสุข ทำให้หนังดูมีชีวิตชีวามากกว่าภาคแรกอย่างชัดเจน ในขณะที่ตัว กัปตันมาร์เวล เอง ภาคนี้ยังถือว่าทรงๆ ไม่ได้มีอะไรทำให้ชอบตัวละครนี้มากขึ้น แต่ก็ไม่มีอะไรทำให้ไม่ชอบเธอได้ ในขณะที่ พัคซอจุน แม้บทจะไม่เยอะมากนัก แต่เชื่อว่าแฟนคลับจะจำไม่ลืมกับบทของเขาแน่ๆ เพราะมีอะไรให้จำเยอะมาก ในแง่ตัวละครจุดบอดเดียวของหนังคือ ดาร์เบน ตัวร้ายที่ไม่ได้น่าจดจำอะไร อาจจะกลายเป็นหนึ่งใน Villian ของมาร์เวลที่คนลืมไวที่สุดโดยรวม 'The Marvels' ถือเป็นหนังป็อปคอร์นที่ดูสนุก ดูเพลิน สอบผ่านในแง่โปรดักชั่นซึ่งค่อนข้างดูดี แม้จะไม่ใช่หนังกู้สถานการณ์ให้กับมาร์เวลสตูดิโอ แต่หนังก็ไม่ได้ฉุดให้สถานการณ์เลวร้ายไปมากกว่านี้ พูดง่ายๆคือ The Marvels ก็เหมือนกับหนังมาร์เวลทั่วๆไป และตัวหนังเองก็ไม่ได้มีหมุดหมายสำคัญอะไรมากนักด้วยใน MCU เหมือนเป็นหนังที่เชื่อมหนังกับซีรีส์ ต่อไปยังเรื่องราวต่อไป ซึ่งถ้าพลาดไป ก็อาจจะไม่ได้พลาดอะไรด้วยซ้ำ คงต้องไปลุ้นกันต่อกับ Deadpool 3 และCaptain America 4 ที่จะพาจักรวาล MCU เข้าสู่โหมดกราฟขึ้นได้หรือไม่ แฟนมาร์เวลคงต้องเอาใจช่วยกันต่อไปแบบยาว ๆ

[REVIEW] 'ELVIS' นี่คือหนัง BIOPIC ที่ทรงพลังและจัดจ้าน ขึ้นแท่นหนังยอดเยี่ยมแห่งปี | GOSSIP GUN

22 มิ.ย. 2022

[REVIEW] 'ELVIS' นี่คือหนัง BIOPIC ที่ทรงพลังและจัดจ้าน ขึ้นแท่นหนังยอดเยี่ยมแห่งปี | GOSSIP GUN

นึกไม่ออกเลยครับ ว่าใครจะสร้างหนังชีวประวัติของศิลปินระดับตำนานอย่าง เอลวิส เพรสลีย์ ได้จัดจ้านเท่ากับผู้กำกับ บาซ เลอห์มานน์ เหมือนโปรเจกต์นี้ ถูกออกแบบมาสำหรับเขาโดยเฉพาะ เหมือนหนังชีวิตของเอลวิส ถูกรอเวลาเพื่อให้เจอคนที่เหมาะมืออย่างบาซ มากำกับ ตลอดระยะเวลาถึง30ปีที่โลดแล่นในวงการภาพยนตร์ บาซ ทำหนังเพียงแค่5เรื่อง(และเรื่องนี้เป็นเรื่องที่6)แต่ผลงานเขาทั้งโดดเด่น มีเอกลักษณ์ และได้รับความนิยมล้นหลามแทบทุกเรื่อง ไล่ตั้งแต่Strictly Ballroom, Romeo+Juliet, Moulin RougeมาจนถึงThe Great Gatsbyทุกเรื่องที่ภาพจำในความจัดจ้าน ความอลังการPacingเล่าเรื่องที่ไวทั้งหมด ยกเว้นเพียงAustraliaหนังเอพิคโรแมนติกที่ดูจะพลาดไปหน่อยเพียงเรื่องเดียว การกลับมาครั้งนี้ในรอบ9ปี เหมือนบาซสะสมพลังทั้งหมด มาใส่เต็มให้กับเรื่องนี้Elvisพาผู้ชมย้อนกลับไปสมัยที่ราชาแห่งร็อคแอนด์โรลล์ยังไม่มีชื่อเสียง เอลวิส(รับบทโดย ออสติน บัตเลอร์)เติบโตมาในสังคมของคนดำ หลงใหลในดนตรีของคนผิวดำ จนบางครัั้งก็ถูกเหยียดหยามจนคนขาวด้วยกัน จนกระทั่งเขาได้ถูกค้นพบโดย ผู้พันทอม ปาร์กเกอร์(รับบทโดย ทอม แฮงค์ส)ผู้จัดการศิลปิน ที่มองเห็นเพชรเม็ดงาม ที่พร้อมจะถูกเจียระไน ทอมพาเอลวิสไปเซ็นต์สัญญากับค่ายเพลงยักษ์ ไม่นานเอลวิสจึงดังเป็นพลุแตก ด้วยลีลาการโชว์ การเต้น การสะบัดเอวอันเป็นเอกลักษณ์ ทำให้สาวๆต่างคลั่งไคล้ในตัวเขา หนังค่อยๆพาผู้ชมเข้าไปในโลกของเอลวิส ทั้งชีวิตครอบครัว ชีวิตความรัก เส้นทางในวงการ อุปสรรคมากมายที่เขาต้องเผชิญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความสัมพันธ์กับผู้จัดการของเขาเอง ชายที่ทั้งให้โอกาส และในขณะเดียวกันก็ฉกฉวยผลประโยชน์อย่างบ้าคลั่งจากตัวเขานี่คือหนัง บาซ เลอห์มานน์ ที่เป็น บาซ เลอห์มานน์ มากที่สุดเรื่องนึงเท่าที่จะเป็นไปได้ ด้วยเอกลักษณ์สไตล์การเล่าเรื่องที่จัดจ้าน หวือหวา ประโคมสิ่งต่างๆเข้ามาในฉากให้มากที่สุด หนังใช้วิธีการตัดต่อที่เร็วPacingในการเล่าค่อนข้างไว มีแค่บางฉากที่เน้นขยี้อารมณ์ ที่ดึงฉากนั้นให้ช้าลงมา ประกอบกับงานออกแบบงานสร้างที่สุดจะอลังการ เสื้อผ้าที่จัดเต็ม และที่พีกที่สุด คือ เมคอัพและออกแบบทรงผม ที่ไม่ใช่แค่ เอลวิส ที่เหมือนจนน่าตกใจ แต่รวมถึงตัวละครผู้พันทอม ผู้จัดการของเอลวิส ที่แต่งให้ ทอม แฮงค์ส กลายเป็นตัวละครดังกล่าวอย่างเต็มตัว และที่น่าทึ่งคือ หนังเล่าในหลายช่วงเวลา กินเวลานานหลายสิบปี เราจะเห็นตัวละครต่างๆ เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง ทั้งรูปร่างหน้าตา ซึ่งดูเป็นธรรมชาติจนต้องปรบมือให้ทีมเบื้องหลังของหนังมากๆแต่หัวใจสำคัญจริงๆของElvisก็คือตัวละครเอลวิส ที่ไม่รู้จะต้องขอบคุณอะไร ที่ทำให้ บาซ เลอห์มานน์ ได้เจอกับ ออสติน บัตเลอร์ นักแสดงหนุ่มวัย31ปีคนนี้ สามารถกลายเป็นเอลวิสได้อย่างไม่มีที่ติ ไม่ใช่แค่รูปลักษณ์ภายนอก แต่เขาสามารถแสดงอารมณ์จากข้างใน ฉากแสดงอารมณ์ที่ซับซ้อน เขาแสดงได้อย่างทรงพลัง และที่ต้องชมมากขึ้นไปอีก คือ ออสติน ร้องเพลงของเอลวิสในหนังด้วยตัวเอง ยิ่งตอกย้ำถึงความครบเครื่องของเขาคนนี้ และแม้จะต้องประกบกับนักแสดงเบอร์ใหญ่อย่าง ทอม แฮงค์ส ในแทบทุกฉาก แต่ออสตินก็สามารถโดดเด่น และดึงสปอตไลท์มาไว้ที่ตัวเองด้วยการแสดงอันน่าทึ่งได้ตลอด ในขณะที่ ทอม แฮงค์ส ก็ถ่ายทอดบทผู้พันทอม ได้อย่างไร้ที่ติเช่นกัน นี่คือตัวละครสีเทา ที่ทอมสามารถบาลานซ์สิ่งที่จะถ่ายทอดออกมาได้ดี และเขาก็ทำหน้าที่เป็นผู้บรรยายเรื่องราวในหนังได้อย่างลงตัวอีกด้วยนี่ไม่ใช่หนังที่เหมาะสำหรับแค่แฟนเอลวิสเท่านั้น แต่นี่คือหนังเด็ดหนึ่งเรีื่องที่ควรค่าแก่การชมในโรงภาพยนตร์ หนังเต็มไปด้วยพลังงานที่ถูกส่งออกมาจากหน้าจอ มันทั้งทรงพลัง จัดจ้าน ฉูดฉาด หวือหวา อาจกล่าวได้ว่าไม่มีฉากไหนที่ บาซ เลอห์มานน์ เบามือกับมันเลย ทุกฉากถูกบีบเค้น ถูกถาโถมด้วยสไตล์อย่างไม่ยั้ง แน่นอนว่าต้นปีหน้า เราคงได้เห็นชื่อหนังElvisโลดแล่นบนเวทีรางวัลอย่างแน่นอน อย่างน้อยสาขา เมคอัพและแฮร์สไตล์ลิส,ออกแบบเครื่องแต่งกาย,ออกแบบงานสร้าง ต้องได้เข้าชิง รวมไปถึง นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ต้องลุ้นให้ค่ายวอร์เนอร์ฯ สามารถรักษากระแสของหนังไปได้เรื่อยๆ และทำแคมเปญโปรโมต ออสตินให้หนักๆอีกครั้งในช่วงประกาศผลรางวัล ไม่แน่เขาอาจจะไม่ใช่แค่ผู้เข้าชิง เพราะคุณภาพการแสดงที่เขาถ่ายทอดออกมา สามารถเป็นถึงผู้ชนะได้อย่างสบายๆ(ให้9คะแนนจากคะแนนเต็ม10คะแนน)ชมตัวอย่างElvisสัปดาห์นี้ในโรงภาพยนตร์ภาพ : Warner Bros. Thailand

album

0
0.8
1