[REVIEW] ‘Project Wolf Hunting’ ภารกิจเรือคลั่งขนนักโทษ โหดอำมหิตระดับ 20+ | GOSSIP GUN

HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘Project Wolf Hunting’ ภารกิจเรือคลั่งขนนักโทษ โหดอำมหิตระดับ 20+ | GOSSIP GUN

03 พ.ย. 2022

แรกเริ่มเดิมที เมื่อได้ยินข่าวของ Project Wolf Hunting หลังจากดูพล็อต ดูนักแสดง ก็นึกไปว่ามันคงเป็นหนังแหกคุกอีกหนึ่งเรื่อง เพียงแค่เปลี่ยนสถานที่เกิดเหตุไปเป็นบนเรือ แต่เมื่อล่าสุดที่ สหมงคลฟิล์ม ประกาศว่า หนังคว้าเรต ฉ20 ในประเทศไทย (ห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 20 ปีเข้าชมเด็ดขาด) ดีกรีความน่าดูจึงพุ่งพรวด มันเป็นการการันตีทางอ้อมว่า หนังจะต้องเต็มไปด้วยฉากเอ็กซ์ตรีม โหดระดับสิบกระโหลก จนกระทั่งกองเซ็นเซอร์ในบ้านเราไม่ยอมให้เยาวชนเข้าไปดูอย่างแน่นอน แม้หนังดูจะโหดเลือดสาด แต่ภาพรวมของหนังก็น่าจะออกมาเป็นที่พอใจของแฟนๆและนักวิจารณ์ การันตีจากคะแนนรีวิว Rotten Tomatoes ที่มีนักวิจารณ์ชอบมากถึง 85% ในขณะที่คะแนน Audience Score จากฝั่งคนดู ก็สูงถึง 88% เช่นกัน เรียกว่าน่าจะสะใจทั้งสายหนังและสายบันเทิงอย่างแน่นอน

Project Wolf Hunting เล่าถึงภารกิจโหดในการขนนักโทษจากกรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ มายังเมืองปูซาน ประเทศเกาหลีใต้ โดยใช้วิธีล่องมาบนเรือขนส่งสินค้าขนาดยักษ์ที่ใช้เวลาแล่นมาราว 2-3 วัน โดยการขนนักโทษคราวนี้ถือเป็นภารกิจหิน เพราะเต็มไปด้วยนักโทษระดับอันตรายขั้นสุด ไม่ว่าจะเป็นฆาตกรโรคจิต หรือนักโทษคดีข่มขืน จึงต้องใช้ตำรวจคุมภารกิจมากถึง 20 คน หลังจากที่ปฏิบัติการขนนักโทษรอบก่อนหน้านี้เคยผิดพลาดมาแล้ว เมื่อเรือลำนี้แล่นออกจากท่า ดูเหมือนทุกอย่างจะสงบนิ่ง แต่แล้วเหตุการณ์บางอย่างได้เกิดขึ้น นำไปสู่ความโกลาหล และความวิบัติขั้นสุด เกินกว่าที่ใครจะคาดคิด เมื่อทั้งตำรวจและนักโทษ ต้องสวมวิญญาณนักฆ่า เอาตัวรอดจากเดนมนุษย์บนเรือคลั่งลำนี้

หลังดูจบก็ไม่แปลกใจเลยว่าทำไม Project Wolf Hunting ได้รับเรต ฉ20 ในไทย (ไม่ได้สิแปลก) เพราะมันไม่ใช่หนังเรือคลั่งเฉยๆ อาจเรียกได้ว่า โคตรพ่อโคตรแม่คลั่งเลยก็ว่าได้ หนังอัดแน่นด้วยฉากโหดในระดับ 10/10 สำหรับใครที่เป็นคอหนังโหดอยู่แล้ว น่าจะสะใจและถูกใจกับหนังเรื่องนี้ ในขณะที่ใครดูฉากโหดได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น อยากให้หลีกเลี่ยง เพราะหนังถือว่าโหดในระดับที่ไม่ปราณีผู้ชมทั่วไป เต็มไปด้วยเลือดนองดั่งคลื่นมหาสมุทร ฉากทุบอวัยวะต่างๆจนเละ หรือหั่นอวัยวะในแบบอำมหิตขั้นสุด อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้ Project Wolf Hunting โหดแต่ไม่ได้ถึงขั้นดูไม่ได้ แค่หนังโหดแบบโอเว่อร์ ในความเป็นจริง ฉากฆ่าแกงกัน มันไม่ได้โหดหนักขนาดนี้ หรือเลือดออกเยอะขนาดนี้ หนังมีความเกินเบอร์อยู่หน่อย ทำให้ดูเว่อร์เกินจริง และเมื่อหนังไม่ได้สมจริง ความน่ากลัวจึงลดลงไป กลายเป็นโหดแบบหนังการ์ตูนผู้ใหญ่ ความโหดนี้จึงไม่ใช่โหดแบบโหดร้าย แต่เป็นโหดแบบสนุก โหดแบบสะใจมากกว่า หลายซีนเลยเป็นการสนุกกับการทายว่า ฉากต่อไปจะฆ่าแกงกันแบบไหน จะโหดได้ระดับได้มากกว่านี้อีกหรือไม่

นอกจากความโหดแบบไม่ยั้งแล้ว สิ่งที่ทำให้ Project Wolf Hunting น่าสนใจ คือพล็อตที่ชวนติดตาม และบรรยากาศดิบเถื่อนที่หนังรักษาไว้ได้ดีตลอดทั้งเรื่อง ในแง่ของพล็อตแม้หนังจะเปิดมา ว่านี่คือภารกิจขนนักโทษกลับเกาหลีผ่านเรือขนส่งขนาดใหญ่ แต่ไส้ในของหนังมันกลับมาอะไรซ่อนกว่านั้น หนังยังมีพล็อตบางอย่างที่เก็บเอาไว้ ตัวละครบางตัวที่ยังไม่เปิดเผย ตรงนี้เองทำให้หนังสนุกมากขึ้น แม้ว่าบางจุดอาจจะดูออกทะเลไปบ้าง (ไม่ใช่ออกทะเลแค่พล็อตหลัก) แต่นี่คือส่วนที่ทำให้หนังคาดเดาไม่ได้ และเพิ่มความโกลาหลเข้าไป ทำให้บางจุดผู้ชมเองก็ไม่รู้จะเชียร์ใครดี บางฉากก็อยากจะเชียร์ตำรวจ แต่ดูไปดูมาก็อยากจะให้นักโทษรอดก็มี ซึ่งทั้งหมดนี่ ดูถ่ายทอดผ่านงานภาพและอารมณ์ของหนังที่ ตรึงบรรยากาศแบบดิบๆไว้ได้ตลอด เป็นหนังเกาหลีอีกเรื่องที่ถึงแม้งานภาพจะโหด แต่ต้องชื่นชมว่า คุมธีมไว้ได้แบบไม่หลุดโทนเลย (แค่ดูจากภาพนิ่งที่ปล่อยออกมา จะเห็นได้ว่าหนังสวยงามในแบบดิบๆได้มากเลยทีเดียว)

โดยรวม Project Wolf Hunting ถือเป็นหนังแอ็กชันเอ็กซ์สตรีมที่น่าจะสะใจสายโหดอยู่ไม่น้อย แม้พล็อตตั้งต้นจะดูเหมือนCon Air ในฉบับเปลี่ยนจากเครื่องบินเป็นเรือ แต่ตัวหนังเองพาผู้ชมไปไกลกว่านั้น (ที่แน่ๆมันโหดกว่า Con Air ในแบบคูณสิบไปเลย) นอกจากจะสนุกกับดีกรีความโหดที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อีกหนึ่งความสนุกที่สายเกาหลีน่าจะบันเทิงคือ การลุ้นว่านักแสดงที่เราชื่นชอบ ตัวละครของพวกเขาจะรอดไปจากเรือคลั่งลำนี้หรือไม่ ใครจะตายก่อนตายหลัง และตายด้วยวิธีสุดอำมหิตแบบไหน บางอย่างมันก็บียอนด์ไปไกลกว่าที่คาดคิดอยู่ไม่น้อย เตรียมใจให้พร้อมแล้วออกแล่นไปกับเรือคลั่งลำนี้กันไป โดยก่อนไปชมอย่าลืมเตรียมบัตรประชาชนไปแสดงกันด้วย (ในรอบเปิดตัวหนัง ตรวจบัตรก่อนเข้าชมทุกที่นั่งจริงๆ)

Project Wolf Hunting เรือคลั่ง เกมล่าเดนมนุษย์ สัปดาห์นี้ในโรงภาพยนตร์

ภาพ : Major Group

related HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘Laal Singh Chaddha’ ฟอร์เรสต์ กัมป์ ในบริบทอินเดียที่ดีต่อใจไม่แพ้ต้นฉบับ | GOSSIP GUN

31 ส.ค. 2022

[REVIEW] ‘Laal Singh Chaddha’ ฟอร์เรสต์ กัมป์ ในบริบทอินเดียที่ดีต่อใจไม่แพ้ต้นฉบับ | GOSSIP GUN

ไอเดียการรีเมกหนังระดับ Forrest Gump ไม่ใช่เรื่องง่าย จะกล่าวว่ามันน่าสนใจ ดูท้าทายก็เป็นอันได้ แต่ในอีกมุมหนึ่ง จะบอกว่าเสี่ยงตายโดยใช่เหตุ มันก็ใช่ แต่การรีเมกครั้งนี้ มันน่าสนใจตรงที่ฮอลลีวูดไม่ได้รีเมกหนังของพวกเขา แต่เป็นบอลลีวูดที่หยิบเอา Forrest Gump ไปสร้างใหม่ ซึ่งแน่นอนว่าการ Copy และ Paste ลงไปคงทำไม่ได้ เพราะใน Forrest Gump มันมีการอ้างอิงถึงเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์เป็นจำนวนมาก มีการเมนชั่นถึงบุคคลที่มีอยู่ในสังคมอเมริกา หรือมีแม้แต่การเอา ทอม แฮงค์ เข้าไปใส่ในฟุตเทจจริงในประวัติศาสตร์ ให้ดูเหมือนว่า ฟอร์เรสต์ กัมป์ เป็นส่วนนึงของเหตุการณ์นั้นจริงๆ พอถูกหยิบมาสร้างใหม่เป็นฉบับอินเดีย ความน่าสนใจคือ มันจะถูกดัดแปลง และเปลี่ยนให้เข้ากับเหตุการณ์ในอดีตจนถึงปัจจุบันของอินเดียอย่างไร ให้รู้สึกสมูทแบบเดียวกับต้นฉบับLaal Singh Chaddha เป็นโปรเจกต์ล่าสุดของหนึ่งในนักแสดงที่ยิ่งใหญ่สุดของบอลลีวูด อย่าง อาเมียร์ ข่าน เจ้าของผลงานระดับบล็อกบัสเตอร์อย่าง 3 Idiots, PK และ Dangal โดยเฉพาะเรื่องกลางที่ตกผู้ชมในเมืองไทยไปไม่น้อย เขาซื้อสิทธิ์ของ Forrest Gump มาในปี 2018 และดึงผู้กำกับที่เขาเคยผลักดัน จาก Secret Superstar มาทำหน้าที่กำกับเรื่องนี้ อาร์เมียร์ รับบท ลาล ซิงห์ จัดด้า เด็กชายที่เกิดมาพร้อมกับความไม่เหมือนใคร แม้สติปัญญาอาจจะสู้เพื่อนร่วมรุ่นไม่ได้ แต่ลาลไม่เคยย่อท้อต่อสิ่งใด แม้ทุกคนจะไม่เปิดรับ แต่เขาก็ได้รู้จักกับ รูปา (รับบทโดย กรีนา กปูร นางเอกแถวต้นๆของบอลลีวูด ที่โคจรมาเจอกับ อาเมียร์ อีกครั้งหลังจาก 3 Idiots) เด็กสาวที่กลายเป็นคนสนิทที่สุดของลาล เขาเติมโตมาพร้อมกับชีวิตที่ไม่ธรรมดา จากนักกีฬาวิ่งในมหาวิทยาลัย สู่การเป็นทหารในสนามรบจริงๆ สู่แวดวงธุรกิจที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อน เขาเติบโตผ่านช่วงเวลาประวัติศาสตร์มากมายของอินเดีย เรื่องราวชีวิตของลาล เต็มไปด้วยความอัศจรรย์ใจที่ใครๆได้ฟังก็ร้องว้าวหลังจากใช้เวลาถ่ายทำอยู่เกือบ 3 ปีเพราะติดช่วงโควิด-19 ใช้โลเคชั่นในการถ่ายทำทั่วทั้งอินเดียกว่า 100 แห่ง ในที่สุด Laal Singh Chaddha ก็พร้อมออกสู่สายตาผู้ชม สิ่งที่ Laal Singh Chaddha ทำได้ดีที่สุด คือการรักษาจิตวิญญาณของ Forrest Gump ไว้ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แน่นอนว่าหนังมันมีส่วนแตกต่างกันพอสมควร แต่ความรู้สึกที่ผู้ชมสัมผัสได้ระหว่างที่ชม แทบจะเป็นอารมณ์เดียวกับตอนที่ชม Forrest Gump แต่มันเป็นอีกรสชาติที่เหมือนไม่เดิม มีการปรุงแต่งให้กลิ่นอายเป็นแบบบอลลีวูด และที่สำคัญคือการปรับบริบทให้เข้ากับอินเดีย ซึ่งทำให้ความสนุกของการดูอยู่ตรงที่เราจะคอยลุ้นว่า ลาลจะไปเจอเหตุการณ์อะไรบ้าง จะเหมือนที่เราคาดเดาก่อนไปดูหรือไม่ ซึ่งหลายครั้งก็เป็นไปอย่างที่คิด แต่ก็มีเซอร์ไพรสพอสมควร ถ้าใครติดตามหนังบอลลีวูดมาโดยตลอด รับประกันความว้าวเลย สำหรับใครที่เคยตกหลุมรัก ฟอร์เรสต์ กัมป์ มาแล้ว เชื่อว่าหนังจะทำให้คุณตกหลุมรัก ลาล ซิงห์ จัดด้า ไม่แพ้กันการดำเนินเรื่องของ Laal Singh Chaddha ใช้ลักษณะที่เหมือนกับ Forrest Gump ที่ตัดสลับระหว่างการเล่าชีวิตของ ลาลกับเหตุการณ์ในอดีต ซึ่งในหนังต้นฉบับถ้ายังจำกันได้ ฟอร์เรสต์ จะนั่งอยู่เก้าอี้ริมถนน ระหว่างรอรถเมล์ และชักชวนให้ผู้คนรอบข้างกินช็อคโกแลต ฉบับบอลลีวูดนี้ เปลี่ยนสถานที่ให้เป็นบนรถไฟ (ซึ่งเข้ากับอินเดียมากๆ) และเปลี่ยนช็อคโกแลตให้เป็นขนมของอินเดียที่ชวนให้ผู้ชมแปลกตาและอยากลิ้มลองอยู่เหมือนกัน นอกจากนี้เอกลักษณ์ของหนังอินเดีย ไม่ว่าจะภาษาใด ที่ขาดไม่ได้จริงๆคือบทเพลง หนังมีตัดสลับกับซีนเพลงอยู่เรื่อยๆ เป็นความโดดเด่นและอรรถรสที่มีเฉพาะอินเดียจริงๆ(แม้แต่หนังแอ็กชันบล็อกบัสเตอร์อย่าง RRRก็ต้องตัดไปฉากเต้นรำ ยังจำกันได้ไหม ?)สิ่งที่อาจจะเป็นปัญหาเล็กน้อย สำหรับผู้ที่เคยชม Forrest Gump มาแล้ว คือการที่เราพอจะรู้เส้นเรื่องคร่าวๆ รู้ว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวละครนำ และบุคคลรอบข้าง นั่นทำให้เราอาจจะไม่ได้ลุ้นกับลาลไปตลอด แต่ก็ยังสนุกกับการรอดูชีวิตของเขา และในช่วงประมาณ 30 นาทีสุดท้าย ที่หนังใช้เวลาตรงนี้ค่อนข้างมาก จนแอบรู้สึกว่าลากนิดๆ เหมือนจบไม่ลงหน่อยๆ ทั้งๆที่ปกติแล้ว เวลาเราดูหนังอินเดีย มันจะยาวแถวๆ 2 ชั่วโมงครึ่ง ถึง 3 ชั่วโมงเป็นประจำ ซึ่งไม่ได้รู้สึกมีปัญหาอะไร แต่กับ Laal Singh Chaddha รู้เลยว่าผู้สร้างพยายามจะขยี้อารมณ์อย่างมากๆในช่วงท้าย ซึ่งหลายจังหวะแอบยาวไปจริงๆ สามารถกระชับได้เล็กน้อยโดยรวม Laal Singh Chaddha คือหนังที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น ทำให้หัวใจผู้ชมพองโตได้แทบจะตลอดทั้งเรื่อง พร้อมกับมุมมองที่ทำให้เราหันกลับมามองชีวิตของเรา หนังสามารถสร้างเสียงหัวเราะได้เรื่อยๆ จากความตลกที่ไม่ได้ตั้งใจของลาล ความใสซื่อของเขาที่ทำออกมาได้น่ารัก น่าถนุถนอม บทของลาล เป็นคาแรคเตอร์ที่เหมาะกับ อาเมียร์ ข่าน มากๆ ซึ่งรู้สึกว่า เขาเลือกบทได้เหมาะกับตัวตั้งแต่แรกที่ประกาศสร้าง และผลที่ออกมาก็ใช่จริงๆ ยิ่งดูเราจะยิ่งตกหลุมรักลาลมากขึ้น ถ้าคุณเป็นแฟนหนัง Forrest Gump ถ้าคุณเป็นแฟนหนังบอลลีวูด ถ้าคุณต้องการหนังที่ดีต่อใจสักเรื่อง Laal Singh Chaddha เป็นช้อยส์ที่น่าสนใจสำหรับช่วงนี้ !ภาพ : UIP Thailandชมตัวอย่าง Laal Singh Chaddha เข้าฉาย 1 กันยายนนี้ ทุกโรงภาพยนตร์

[REVIEW] “SING 2” กู่ร้องครั้งใหม่ กุมหัวใจยิ่งกว่าเดิม | GOSSIP GUN

12 ม.ค. 2022

[REVIEW] “SING 2” กู่ร้องครั้งใหม่ กุมหัวใจยิ่งกว่าเดิม | GOSSIP GUN

ปลายปีที่ผ่านมา นอกจากSpider-Man : No Way Homeที่เดินหน้ากวาดรายได้ถล่มทลายแล้ว มีหนังอีกเพียงเรื่องเดียวที่ทำเงินอย่างน่าสนใจ นั่นก็คือSING 2ภาคต่อของแอนิเมชั่นปี2016ของค่ายอีลูมิเนชั่น(ค่ายMinionsนั่นเอง)ที่ทำออกมากินใจผู้ชมอย่างมาก เพราะมันเล่าถึงเหล่าบรรดาสัตว์น้อยใหญ่ที่ต่างมีความฝันอันยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะบัสเตอร์มูน โคอาล่าที่ฝันอยากเป็นเจ้าของโรงละคร ซึ่งท้ายที่สุดฝันของแต่ละคนก็ไม่ได้ไกลเกินเอื้อม ด้วยภาพรวมหนังที่สนุก พล็อตประทับใจ และเพลงเพราะมาก ส่งให้หนังกวาดรายได้ทั่วโลกไปกว่า600ล้านเหรียญฯ จึงไม่แปลกใจที่อิลลูมิเนชั่นจะสร้างภาคสองออกมาทันที แม้ว่าฝันในสเต็ปแรกของเหล่าตัวละครในSINGจะประสบความสำเร็จแล้ว แต่เส้นทางก็ไม่ได้จบเพียงเท่านั้น เพราะในSING 2มูน(พากย์เสียงโดย แมธธิว แม็คคอนาเฮย์)อยากพาโชว์ของเขาไปยังเรดชอว์ซิตี้(ฟีลแบบได้แสดงในเวกัส)แต่แมวมองกลับบอกว่าพวกเขาไม่เก่งพอ มูนจึงพยายามทำทุกทางเพื่อให้ได้ขึ้นโชว์ ซึ่งเขารู้ดีว่าทางเดียวที่จะเป็นไปได้ คือการดึงเอา เคลย์ คาโลเวย์(พากย์เสียงโดย โบโนU2)ร็อกเกอร์ระดับตำนานที่เก็บตัวเงียบนาน15ปี กลับมาขึ้นเวทีอีกครั้ง แต่ภารกิจนี้จะสำเร็จหรือไม่ หรือฝันที่จะโชว์สุดอลังการในเวทีของ เรดชอว์ซิตี้จะพังทลาย ต้องมาดูกัน ซึ่งทีมนักแสดงจากภาคแรก ก็ยังกลับมาให้เสียงทั้ง รีส วิทเธอร์สพูน,สการ์เล็ต โจแฮนส์สัน,ทารอน เอ็ดเกอร์ตัน รวมถึงศิลปินดังๆอย่าง ฟาร์เรลล์ วิลเลี่ยม และฮาร์เซย์ ก็มาเป็นสมาชิกใหม่ประจำภาคนี้ด้วย ถ้าคุณชื่นชอบภาคแรก คุณจะตกหลุมรักหนังภาคนี้อย่างแน่นอน เพราะหนังอัดแน่นด้วยความอิ่มเอมและสนุกสนาน ปัจจัยหลักคือประเด็นในภาคนี้ และเพลงที่จัดหนักยิ่งกว่าภาคแรก หลังจากภาคแรกเล่าถึงความแตกต่างของตัวละครที่แม้ว่าคุณจะไม่ได้รับการสนับสนุนจากครอบครัว หรือคุณจะมีความแตกต่างจากคนในสังคมขนาดไหน แต่คุณก็มีสิทธิที่จะมีฝัน และทำตามความฝันได้ แม้ฝันนั้นจะสำเร็จแล้ว แต่ภาคสอง มันเล่าถึงการเลือกทางเดินที่เป็นตัวตนของคุณเองได้ ไม่ใช่ทุกคนต้องเดินไปในทางเดียวกัน ความสุขของแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน ซึ่งคุณเองนั่นแหละที่มีสิทธิเลือก รวมถึงประเด็นการสานต่อความฝัน แม้ว่าจะผิดหวังและทุกข์ทน คุณก็สามารถก้าวออกมา แล้วทำในสิ่งที่คุณรักได้ หลายประโยคในหนังภาคนี้ เข้าไปกินใจมากๆ และน่าจะสร้างพลังใจให้กันผู้ชมไม่มากก็น้อย ซึ่งเหมาะกับช่วงปีใหม่แบบนี้ ช่วงเวลาที่เราจะได้เริ่มต้นอะไรใหม่ๆกัน อีกจุดที่ทำให้SING 2เพลิดเพลินขั้นสุด คือเพลงดังชุดใหญ่จากหลากหลายยุคที่ถูกใส่เข้ามาในหนังอย่างถาโถม จนภาคนี้เกือบจะเป็นJukebox MusicalแบบเดียวกับTrollsที่อัดแน่นด้วยเพลงฮิต แบบเพลงแล้วเพลงเล่า ซึ่งแต่ละเพลงก็มาไม่ได้ถูกใส่มาเฉยๆ แต่มาในจังหวะที่ขยายเส้นเรื่อง เติมเต็มให้พิเศษขึ้นไปอีก อาทิ เพลงBreak Freeของอารีอาน่า กรานเด ที่ความหมายเฉยๆก็ทรงพลังอยู่แล้ว แต่SING 2ใส่มันในฉากที่พิเศษมากๆ เพิ่มพลังให้กับเพลงขึ้นไปอีก หรือแม้แต่เพลงของU2ที่เข้ามาในจังหวะที่เหมาะ นี่น่าจะเป็นหนึ่งในหนังJukebox Musicalที่แพรวพราวมากที่สุดเรื่องนึงเลยก็ว่าได้ ท้ายที่สุดSING 2คือหนังแอนิเมชั่นที่ทำให้ผู้ชมความสุขเอ่อล้นได้อย่างไม่ยาก ทั้งความสนุกสนานของเส้นเรื่องที่ยังคงอัดแน่นมุกตลกที่สร้างเสียงหัวเราะได้อย่างดี ประเด็นสำคัญในหนังที่กล่าวถึงความฝัน ความสุข และตัวตนที่ไม่เหมือนกันของแต่ละคน ยังคงแข็งแรงและสื่อสารได้อย่างถึงแก่น รวมถึงเพลงดังมากมาย ที่มาในรูปแบบโชว์สุดตื่นตา ระหว่างดูSING 2เหมือนเราได้เติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไปตลอดปีที่ผ่านมา นั่นคือการดูคอนเสิร์ต การดูแสดงโชว์ดีๆ ในชีวิตจริง เพราะโควิด-19ทำให้จัดไม่ได้ แต่โชว์ต่างๆในหนัง จะทำให้คุณเพลิดเพลินอย่างแน่นอน(ให้8คะแนน จากคะแนนเต็ม10คะแนน)

[REVIEW] ‘Bones And All’ หนังโรแมนซ์ปนสยอง ความรักของสองคนกินคน | GOSSIP GUN

22 พ.ย. 2022

[REVIEW] ‘Bones And All’ หนังโรแมนซ์ปนสยอง ความรักของสองคนกินคน | GOSSIP GUN

ใครที่ยกให้ Call Me By Your Name เป็นหนังรักในดวงใจ ต้องลองกลับมาลิ้มรสผลงานใหม่ของผู้กำกับ ลูก้า กัวดานิโน ที่กลับมาร่วมงานกับพระเอก ทิโมธี ชาลาเมต์ อีกครั้งใน Bones And All หนังรักในบรรยากาศเหงาๆผสมความสยองสุดแหวก ที่หยิบเอานิยายของ คามิล เดอแองเจลิส ที่ตีพิมพ์เมื่อปี 2015 มาดัดแปลงขึ้นจอใหญ่ โดยก่อนจะเข้าฉายในโรง หนังสร้างกระแสด้วยการตระเวนทัวร์ เดินสายฉายโชว์ในเทศกาลหนังมาแล้วหลากหลาย ทั้งเวนิส นิวยอร์ก เทลลูไลด์ ไปจนถึงลอนดอน ซึ่งล้วนกวาดคำชม และล่าสุดหนังได้คะแนนเฉลี่ยนักวิจารณ์จาก Rotten Tomatoes มาแล้วถึง 86% โดยส่วนใหญ่ชื่นชมในการแสดง การกำกับ การบันทึกภาพ และการผสมผสานระหว่างตระกูลหนังที่แตกต่างเทย์เลอร์ รัสเซลล์ นางเอก Escape Room รับบทมาเรน วัยรุ่นสาวที่เติบโตมาด้วยความแปลกแยก เพราะเธอมีพฤติกรรมชอบกินเนื้อคนตั้งแต่เด็กๆ ทำให้พ่อของเธอต้องพามาเรนย้ายเมืองอยู่บ่อยๆ เพื่อหลบหนีจากสังคม จนกระทั่งวันหนึ่งเธอตัดสินใจออกตามหาแม่ที่ทิ้งเธอไปนาน และระหว่างการเดินทางเธอได้พบกับ ลี วัยรุ่นหนุ่มที่ค้นพบว่า ต่่างมีรสนิยมชอบกินเนื้อมนุษย์เหมือนกัน ซึ่งโดยปกติแทบจะหาคนประเภทเดียวกันไม่เจอ กลายเป็นความสัมพันธ์ของสองคนเหงาที่แปลกแยกจากสังคม แต่ต่างเข้าอกเข้าใจซึ่งกันและกัน และเรื่องราวของทั้งสองนั้นไม่ง่ายดาย เมื่อสันชาตญาณดิบในการกินเนื้อมนุษย์ พร้อมที่จะทำให้เกิดการนองเลือดได้ตลอดเวลาBones And All ถือเป็นหนังที่มีรสชาติแปลกน่าลิ้มลองทีเดียวเชียว มันมีส่วนผสมระหว่างหนังรักโรแมนติก และหนังเขย่าขวัญสุดประหลาด คล้ายคลึงกับการหยิบเอาบางมู้ดของ Call Me By Your Name มาผสมผสานกับความแปลกปนสยองของSuspiria อีกหนึ่งผลงานของผู้กำกับ ลูก้า กัวดานิโน ที่ดูเหมือนจะมาคนละทิศคนละทาง แต่กลับเข้ากันอย่างน่าทึ่ง หนังถ่ายทอดด้วยการเล่าเรื่องสไตล์ Road Movie ด้วยจังหวะที่ค่อยเป็นค่อยไป แต่กลับไม่มีจุดไหนที่น่าเบื่อเลย เสริมความโรแมนซ์ด้วยงานบันทึกภาพที่สวยไร้ที่ติ และเสริมอารมณ์หนังได้อย่างดียิ่ง ส่วนฉากสยอง หนังก็ไม่ยั้งที่จะนำเสนออย่างโหดเหี้ยมและถึงเลือดถึงเนื้อ สมกับชื่อหนัง ตามที่ควรจะเป็นแกนกลางที่แข็งแรงที่สำคัญสุดของหนังคือนางเอก เทย์เลอร์ รัสเซลล์ ที่เป็นตัวเดินเรื่อง เธอสามารถถ่ายทอดอารมณ์ที่ซับซ้อนได้อย่างดี ทำให้เธอน่าจะกลายเป็นอีกหนึ่งนักแสดงรุ่นใหม่ที่น่าจับตาในยุคนี้ รับส่งบทบาทกับ ทิโมธี ได้อย่างยอดเยี่ยม ส่วนที่สะพรึงสะกดทุกสายตาจริงๆ คือการปรากฏตัวของ นักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์ มาร์ก ไรแลนซ์ (จาก Bridge of Spies) ในบทมนุษย์กินคนสุดแปลกแยกจากสังคม ที่เขาถ่ายทอดบทบาทผ่าน สีหน้าแววตาและน้ำเสียง ได้อย่างชวนขนลุก โดยเฉพาะในครึ่งหลังที่ชวนสยดสยองอย่างน่าสะพรึงเลยจริงๆ กลายเป็นว่า 3 นักแสดงนำที่เป็นแกนหลักของเรื่องราว ทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างแข็งแรง ยกระดับ Bones And All ให้ดีขึ้นไปอีกถึงอย่างไรก็ตาม อาจจะต้องออกตัวไว้ก่อนว่า Bones And All อาจไม่ใช่หนังสำหรับทุกคน หนังดำเนินเรื่องด้วยจังหวะที่ไม่ได้เร้าใจอะไรมากนัก ค่อยๆทอดอารมณ์ไปกับเรื่องราว บวกกับการที่หนังผสม Genre ที่ต่างกันสุดขั้วเอาใจ ทำให้รสชาติแปลกประหลาด จนบางทีอาจจะยากเกินกว่าจะเข้าใจ แต่ถ้าใครพร้อมจะลิ้มลอง มันคือหนังที่น่าสนใจ ที่สร้างความแปลกใหม่ได้ดีทีเดียว แม้ว่าเรื่องมันจะสยอง แม้ว่ามันจะเล่าถึงมนุษย์กินคน แต่แกนกลางของเรื่อง ที่การเล่าถึง ความรักและความเหงาของคนที่แปลกแยกจากสังคม มันสามารถแทนค่าได้ด้วยกลุ่มคนที่หลากหลาย นี่คือหนังที่พยายามทำความเข้าใจคนชายขอบ และนำเสนอได้อย่างน่าสนใจจริงๆชมตัวอย่าง Bones And All เข้าฉาย 24 พฤศจิกายนในโรงภาพยนตร์ภาพ : Warner Bros. Thailand

[REVIEW] ‘John Wick : Chapter 4’ มหากาพย์โลกนักฆ่า ดันบาร์ฉากแอ็กชันสูงลิบ | GOSSIP GUN

24 มี.ค. 2023

[REVIEW] ‘John Wick : Chapter 4’ มหากาพย์โลกนักฆ่า ดันบาร์ฉากแอ็กชันสูงลิบ | GOSSIP GUN

จักรวาลของหนังนักฆ่าไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปตั้งแต่มี John Wick หนังแอ็กชันแฟรนไชส์นี้ สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับหนังประเภทนี้อยู่เรื่อยๆ นับตั้งแต่โลกได้รู้จักหนังเรื่องนี้ครั้งแรกในปี 2014 เรื่องราวของนักฆ่าที่วางมือไปแล้ว แต่กลับต้องมาจับปืนอีกครั้ง เพื่อล้างแค้นให้กับสุนัขที่เขารักยิ่งชีพ (เพราะมันคือตัวแทนของภรรยาที่เสียไปแล้ว) จากปมเล็กๆ หนังค่อยๆขยายจักรวาลของนักฆ่าให้ใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ ด้วยการวางกฏเกณฑ์ วางแบบแผนให้โลกนักฆ่าในหนัง John Wick ดูมีสไตล์ มีรสนิยม ผสมกับฉากต่อสู้อันดุเดือดเลือดพล่าน จากการสั่งสมวิชาของ แชด สตาร์เฮลสกี้ ผู้กำกับหนังที่เติบโตมาจากการเป็นสตันท์ (เขาเคยเล่นเป็นสตันท์ให้ คีอานู รีฟส์มาแล้วใน The Matrix) ทำให้เมื่อแฟรนไชส์นี้ ดำเนินไป มันยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ กวาดคำชมมากขึ้นเรื่อยๆ และทำเงินมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกับ John Wick : Chapter 4 ที่ยังไม่ทันฉายก็คว้าคะแนนบวกจากRotten Tomatoes ไปถึง 93% แล้ว สูงสุดในบรรดาหนังทั้ง 4 ภาค เช่นเดียวกับรายได้ที่ถูกคาดหมายไว้แล้วว่า นี่คงจะเป็นภาคที่เปิดตัวแรงสุดเท่าที่จักรวาล John Wick เคยมีมาใน John Wick : Chapter 4 เส้นทางชีวิตของ จอห์น เดินทางมาถึงจุดสำคัญ เมื่อเขาถูกอัปเปหิออกจากโลกของนักฆ่า เขาไม่มีสังกัด ไม่มีใครสามารถช่วยเขาได้ และค่าหัวเขาค่อยๆเพิ่มขึ้นในระดับที่คาดไม่ถึง ภาคนี้ จอห์น ต้องเผชิญหน้ากับ อดีตมิตรที่ด้วยเหตุผลบางอย่าง วันนี้เขากลายเป็นศัตรู อย่าง เคน (รับบทโดย ดอนนี่ เยน จาก Ip Man) นักฆ่าตาบอดที่ฝีมือเก่งกาจ เขาต้องเด็ดหัวจอห์น จากคำสั่งของ มาร์คีย์ (รับบทโดย บิลล์ สการ์การ์ด จาก It) สมาชิกระดับสูงของสภาที่ต้องการจบทุกปัญหา เขามาพร้อมกับอำนาจล้นมือ ที่สั่งการให้ยุบทุกโรงแรมที่ให้จอห์นพักพิง สังหารทุกคนที่ช่วยให้จอห์นหลบหนี ทางเดียวที่จอห์นจะรอดพ้นจากการตามล่าครั้งนี้ได้ คือการท้าดวล แบบหนึ่งต่อหนึ่ง ซึ่งต้องแลกด้วยชีวิต ถ้าชนะ จอห์นจะรอดพ้นจากทุกคำสั่งตามล่า ไม่ว่าใครที่แพ้ คนนั้นจะมีจุดจบเดียวคือความตายคงจะไม่เกินจริงนัก ถ้าจะกล่าวว่า John Wick : Chapter 4 คือภาคที่เด็ดสุดและเดือดสุดเท่าที่เคยมีมา ด้วยเส้นเรื่องที่ตึงเครียดยิ่งกว่าทุกภาค ผนวกกับฉากแอ็กชันที่ระดับเวิร์ลคลาส อาจกล่าวได้ว่า John Wick : Chapter 4 คือหนังที่ดันบาร์ความเจ๋งของฉากต่อสู้ขึ้นไปในอีกระดับ ผู้สร้างรู้ดีว่าจุดเด่นของหนังตระกูลนี้คืออะไร ดังนั้น หนังจึงจัดให้ผู้ชมแบบเต็มสูบ หลังจากดูมา 3 ภาคแล้วอาจจะสงสัยว่า ผู้สร้างหมดมุกกับฉากบู๊แล้วหรือยัง แต่ปรากฏว่า หนังยังคงงัดอะไรใหม่ๆออกมาให้ผู้ชมได้อย่างต่อเนื่อง เริ่มจากฉากใหญ่ในญี่ปุ่น ต่อเนื่องมาถึงอิตาลี และปิดท้ายที่ฝรั่งเศส หนังสามารถส่งฉากแอ็กชันขั้นเทพออกมาได้อย่างต่อเนื่อง และไต่ระดับความเดือดได้มากขึ้นเรื่อยๆ จนอยากจะลุกขึ้นปรบมือให้กับ การออกแบบคิวบู๊ ซึ่งนี่น่าจะเป็นหนังที่ออกแบบคิวบู๊ได้ยอดเยี่ยมที่สุดในรอบทศวรรษเลยก็ว่าได้สิ่งที่ทำให้ฉากแอ็กชันใน John Wick : Chapter 4 เหนือกว่าหนังเรื่องไหน จนหลายเสียงพร้อมยกให้เป็นหนังแอ็กชันที่เดือดสุดในรอบหลายปี คือการผสมผสานกันอย่างลงตัวของ Choreographer การออกแบบคิวบู๊ที่ไหลลื่นแบบนันสต็อป ซึ่งทุกท่วงท่าถูกนำเสนออย่างหนักแน่น ดุดัน และรุนแรงเต็มสูบแบบไม่ยั้งอะไรทั้งนั้น ทั้งหมดถูกจัดวางลงในฉากต่างๆที่เต็มไปด้วยลูกเล่นแบบใหม่ แค่เฉพาะฉากในกรุงปารีส ก็สดใหม่ไม่ซ้ำแล้ว ทั้งฉากต่อสู้รอบๆประตูชัยที่มีรถจำนวนมากเข้ามาเกี่ยวข้อง ฉากในอาคารที่ถ่ายทำแบบ Bird's Eye View บวกกับ Long Take และไฮไลต์จริงๆคือ ฉากบันได ที่นำเสนอแบบเต็มไปด้วยไอเดียและอารมณ์ขัน ผสมผสานกับการจัดแสงแบบจัดจ้าน ทุกฉากจึงออกมาตื่นตาและตรึงอารมณ์ กลายเป็นหนังแอ็กชันที่เต็มไปด้วยฉากจำมากมายแน่นอนว่า คีอานู รีฟส์ ยังคงโดดเด่นในบท จอห์น วิค เขายกระดับตัวเองด้วยการแสดงฉากต่อสู้แบบหินๆมากมาย สมาชิกเก่าอย่าง เอียน แมคเชน และลอว์เรนซ์ ฟิชเบิร์น ยังคงเป็นสีสันสำคัญให้กับหนัง แต่ไฮไลต์จริงๆ น่าจะต้องยกให้สมาชิกใหม่อย่าง ดอนนี่ เยน ซึ่งหนังสร้างคาแรคเตอร์เขาออกมาได้อย่างมีมิติ และทุกฉากบู๊ที่เขาเข้าไปมีส่วนร่วมนั้น ล้วนเต็มไปด้วยพลัง ดอนนี่เพิ่มความเจ๋งให้ซีนนั้นๆ ทุกครั้งที่เขาปรากฏตัว สามารถตรึงคนดูได้ตลอด และตัวร้ายหลักภาคนี้อย่าง บิล สการ์การ์ด การแสดง สายตาและน้ำเสียงอันเยือกเย็น แผ่รังสีอำมหิตและความน่าเกรงขาม มาได้แบบเต็มๆตั้งแต่ซีนแรก เรารู้ทันทีว่าตัวละครนี้ไร้ความปราณี และไม่มีทางใจอ่อนต่อคนรอบข้างอย่างแน่นอน นี่คือคู่ปรับที่อันตรายของ จอห์น วิค ถือเป็นตัวร้ายที่ทำให้หนังยิ่งเข้มข้นขึ้นไปอีกJohn Wick : Chapter 4 คือหนังแอ็กชันที่มาเพื่อยกระดับหนังแอ็กชันอย่างแท้จริงๆ หนังอัดแน่นไปด้วยฉากการต่อสู้แบบเทพๆ ที่มาแบบนันสต็อป แต่ละฉากลากยาวแบบจบฉากนั้น คนดูต้องเหนื่อยกันบ้าง นอกจากนี้เส้นเรื่องยังช่วยเพิ่มอารมณ์ความเข้มข้นให้ทุกฉาก ดูจริงจัง ดูบีบอารมณ์ขึ้นไปอีก ผสมผสานกับสไตล์ด้านภาพและเพลงที่ทำให้ John Wick คือหนังแอ็กชันที่มีรสนิยม โรยนิดๆด้วยอารมณ์ขันแบบตลกหน้าตาย ซึ่งเป็นรสชาติที่ขาดไม่ได้ของหนังชุดนี้ และด้วยความยาวมากกว่า 2 ชั่วโมง 40 นาที ทำให้หนังภาคนี้ มีความเป็นหนัง เอพิค ค่อนข้างสูง ดังนั้น นี่คือหนังแอ็กชันที่รับประกันว่าคุ้มค่าตั๋วอย่างแน่นอน ใครที่กำลังจะไปชม ขอแนะนำว่าเข้าห้องน้ำให้พร้อม เพราะหลัง End-Credit ยังมีฉากแถมอีก 1 ฉากที่คุณไม่ควรพลาดอีกด้วยภาพ : Mongkol Major Mongkol CinemaJohn Wick : Chapter 4 แรงกว่านรก วันนี้ในโรงภาพยนตร์ทุกระบบ

album

0
0.8
1