[EXCLUSIVE REVIEW] “BROS” สัมภาษณ์พิเศษทีมนักแสดงนำ ปรากฏการณ์หนังรัก LGBTQ+ อารมณ์ดีที่กวาดคำชมล้นหลาม| GOSSIP GUN

HOLLYWOOD GOSSIP

[EXCLUSIVE REVIEW] “BROS” สัมภาษณ์พิเศษทีมนักแสดงนำ ปรากฏการณ์หนังรัก LGBTQ+ อารมณ์ดีที่กวาดคำชมล้นหลาม| GOSSIP GUN

02 พ.ย. 2022

ว่ากันว่าหนังรักอยู่คู่กับโลกภาพยนตร์มาตั้งแต่เริ่มต้น เริ่มจากหนังคลาสสิกอย่าง It Happened One Night เมื่อปี 1934 มาจนถึงหนังโรแมนติกเบาสมองยุคใหม่อย่าง When Harry Met Sally, Pretty Women, Sleepless in Seattle จนกระทั่งมาถึงยุคของ Notting Hill และ Love Actually ตลอดระยะเวลาเกือบ 100 ปีที่ผ่านมา กับหนังรักหลายพันเรื่อง ไม่เคยมีครั้งไหนมาก่อน ที่สตูดิโอยักษ์ใหญ่ในฮอลลีวูด จะสร้างหนังประเภท Romantic-Comedy ที่มีสองตัวละครนำเป็นเกย์..และนี่คือครั้งแรก

บิลลี่ ไอค์เนอร์ นักแสดงตลกที่มีชื่อเสียงจากรายการ Billy on the Street มาพร้อมกับไอเดียของ BROS ในฐานะหนังโรแมนติกเบาสมองที่มีคู่พระนางในเรื่องเป็น "เกย์" แม้ก่อนหน้านี้ ไม่เคยมีสตูดิโอยักษ์ใหญ่รายไหนอนุมัติสร้าง แต่เขาคิดว่ามันถึงเวลาแล้ว เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป โลกเปลี่ยนไป เรื่องราวความรัก LGBTQ+ คู่ควรแก่การถูกเล่าบนจอใหญ่เสียที บิลลี่นำไอเดียนี้ไปเสนอกับ นิโคลัส สโตลเลอร์ ผู้กำกับหนังรอมคอมที่ประสบความสำเร็จอย่าง Forgetting Sarah Marshall และเคยร่วมงานกับบิลลี่มาแล้วใน Bad Neighbors พวกเราทั้งคู่ลงมือเขียนบทภาพยนตร์ด้วยตัวเอง และส่งต่อโปรเจกต์ให้โปรดิวเซอร์หนังตลกแห่งยุคอย่าง จัดด์ อพาโทว์ และนำเสนอต่อสตูดิโอยักษ์ใหญ่อย่าง ยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ หลังจากนั้น BROS ก็กลายเป็นตำนาน ครั้งแรกที่สตูดิโอใหญ่สร้างหนังเกย์โรแมนติกคอเมดี้

EFM94 ขอเป็นส่วนหนึ่งในความพิเศษครั้งนี้ กับการเป็นตัวแทนจากประเทศไทย ร่วมพูดคุยกับทีมนักแสดงนำ และผู้กำกับ และที่สำคัญอย่างยิ่ง ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับ บิลลี่ ไอค์เนอร์ ในฐานะผู้เริ่มต้นโปรเจกต์, ผู้เขียนบทภาพยนตร์ และที่สำคัญ เขาคือพระเอกของหนังเรื่องนี้อีกด้วย บิลลีี่รับบทเป็บ บ็อบบี้ เกย์วัย 40 อัปที่ไม่เชื่อในความรัก จนกระทั่งได้พบกับรักแท้ บิลลี่เล่าว่าเขาอยู่ในขั้นตอนการเขียนบทอยู่หลายปีเลย และเขากับนิค (ผู้กำกับ) ที่เป็นคู่หูที่แตกต่างอย่างดีเยี่ยม บิลลี่เผยว่า - "นิคเป็นชายแท้ ผมเป็นเกย์ นิคเขียนบทหนังมาตลอด แต่ผมไม่เคยมาก่อน ดังนั้น เราจึงต้องแชร์ความรู้แก่กันหลายอย่าง นิคค่อยๆสอนผมขั้นตอนต่างๆในการเขียนบทหนัง หนังรอมคอมสำหรับสตูดิโอใหญ่ๆ องค์ประกอบที่ต้องมี เรื่องราว สิ่งที่ค่ายหนังมองหา ผมเริ่มต้นจากมุมมองคนละแบบ ในฐานะคนที่ไม่รู้กฏเกณฑ์ในการเขียนมาก่อน ไม่รู้ว่ามันต้องออกมาเป็นอย่างไร ในขณะที่ นิคไม่รู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมเกย์ ไม่เคยมีประสบการณ์ด้านนี้มาก่อน ดังนั้น เราสอนซึ่งกันและกันเยอะมาก"

บิลลี่เล่าต่อว่า แม้ประสบการณ์ในการเขียนบทหนังจะแตกต่างกัน ตัวตนในเรื่องเพศสภาพจากต่างกัน แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขาเหมือนกัน คือ ความรักที่มีให้กับหนังตลกที่ทำให้ผู้ชมหัวเราะออกมาได้ดังๆ บิลลี่ เล่าว่า ในหนังเรื่อง BROS พวกเขาไม่อยากเล่นอะไรที่เบาและนุ่มนวล เราต่างอยากให้ผู้ชมผจญภัยไปกับหนังได้ ทั้งสนุกและหัวเราะหนักๆ นั่นแหละคือเป้าหมายของทั้งเขาและนิค บิลลี่เผยว่า - "นิคสอนผมเกี่ยวกับกฏในการเขียนบทหนังหลายอย่าง และในขณะเดียวกันหลายครั้งที่ผมยุให้เขาลองแหกกฏดูบ้าง เพราะบางครั้งมันก็สนุกอยู่นะที่จะแหกกฏ เพราะมันจะทั้งเซอร์ไพรสและคาดเดาไม่ได้ เขาเป็นคู่หูที่ดีมากๆ และผมภูมิใจในงานที่พวกเราทำมาก"

ในขณะที่ นิโคลัส สโตลเลอร์ ผู้กำกับและผู้ร่วมเขียนบทของ BROS เล่าว่า จุดเริ่มต้นมันคือการที่เขาเคยได้ร่วมงานกับบิลลี่ใน Bad Neighbors 2 นิคเล่าต่อว่า - "เป็นเป็นนักแสดงที่ยอดเยี่ยมมากนะ จนกระทั่งผมได้ยินไอเดียเกี่ยวกับหนังโรแมนติกคอเมดี้ที่ผู้ชายสองคนตกหลุมรักกันจากบิลลี่ พอได้ยินไอเดียนี้ ผมก็สนใจทันที ผมกับบิลลี่ พวกเรามองหาโปรเจกต์ที่จะทำร่วมกันมานานแล้ว ในฐานะที่ผมเป็นชายแท้ก็ค่อยๆศึกษาเรื่องเกย์จากเขา หลังจากนั้นเราก็ค่อยๆพัฒนาบทกันมา" – ในฐานะที่ BROS กลายเป็นหนังโรแมนติกคอเมดี้ที่มีตัวละครนำเป็นเกย์เรื่องแรก นิคออกความเห็นว่าคนดูพร้อมจะดูหนังเกย์รอมคอมมานานแล้วนะ เขาบอกว่าสตูดิโอช้ากว่าคนดูเยอะ ก่อนหน้านี้มักจะมีแต่พวกหนังเกย์ที่เป็นโศกนาฏกรรม แนวออสการ์ แล้วก็พวกหนังเกย์อินดี้ในยุค 90s นิคจำได้ว่าตอนเด็กๆ เขาดู The Birdcage เป็นหนึ่งในหนังที่ตลกที่สุดเท่าที่จำความได้ แล้วตามมาด้วย In & Out ซึ่งตอนนั้นก็ทำเงินนะ แต่ไม่รู้ทำไมถึงหายไป และหวังว่าตอนนี้จะเป็นเวลาที่ใช่อีกครั้ง

ความน่าประทับใจของการมีหนังอย่าง BROS คือการที่เกย์รุ่นใหม่ๆ จะมีอะไรที่เล่าขานหรือสื่อสารเรื่องราวของพวกเราในรูปแบบหนังใหญ่เสียที บิลลี่เผยว่า - "ผมว่า เกย์รุ่นใหม่กำลังมา มันมีสื่อมากมายที่จะแสดงถึงตัวตนของพวกเขา ทั้งบนหน้าจอทีวีหรือในออนไลน์ ในโซเชียลมีเดีย หรือ สตรีมมิ่งแพลตฟอร์ม ซึ่งผมเคยคาดหวังว่า พวกเราจะมีแบบนั้นบ้าง ตอนสมัยที่พวกเรายังวัยรุ่น ย้อนกลับไปสมัยรุ่นผมหรือรุ่นก่อนหน้า LGBTQ+ ไม่มีพื้นที่มากนักเท่าตอนนี้ ตอนนั้นไม่มีแม้แต่แนวทางที่ชัดเจนว่า ความสัมพันธ์ของเกย์เป็นแบบไหน ไม่มีแม้แต่หนังโรแมนติกคอเมดี้ในแบบของเรา ผมจึงภูมิใจที่ BROS จะได้เป็นคลื่นลูกใหม่ ในการบอกเล่าความรักของเกย์ในแบบหนังรอมคอม เพื่อให้คนรุ่นใหม่หรือแม้แต่รุ่นผม ได้เห็นว่าเรื่องราวความรักของเกย์มันเป็นอย่างไร เป็นแรงบันดาลใจให้รุ่นต่อๆไป"

.

"ผมโตขึ้นมาในฐานะแฟนคลับของ เม็ก ไรอัน" – บิลลี่เล่าต่อถึงแรงบันดาลใจให้เขาอยากทำหนังโรแมนติกเบาสมองที่สองตัวละครนำเป็นเกย์ - "ผมชอบหนังของเธอแทบทุกเรีื่อง When Harry Met Sally, Sleepless in Seattle, You've Got Mail, French Kiss ผมพูดชื่อหนังต่อไปได้อีกเรื่อยๆ ผมรักหนังเหล่านั้นมาก รักจังหวะของชายหญิงตัวละครนำ สิ่งที่ผมรู้สึกพิเศษมากเกี่ยวกับ BROS คือผม ไม่เคยเห็นตัวเองในหนังเหล่านั้นเลย เพราะผมเป็นเกย์ คุณไม่ได้เป็นทั้ง ทอม แฮงค์ หรือว่า เม็ก ไรอัน มันอาจจะมีบางอย่างที่เชื่อมโยงกับคุณ อาจจะมีบางอย่างที่ทำให้คุณหัวเราะ ร้องไห้ แต่มันไม่เคยมีอะไรที่สะท้อนถึงความเป็นตัวตนของผมเลย ดังนั้น หนังเรื่องนี้จึงพิเศษทั้งสำหรับ ชายจริงหญิงแท้และเกย์ เพราะพวกคุณจะได้สัมผัสถึงวัฒนธรรมใหม่ๆ เหมือนๆกัน ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าหนังเหล่านี้จะมีเวอร์ชั่นสำหรับ LGBTQ+ ได้ ถือว่าฮอลลีวูดมาได้ไกลพอสมควรเลย หนังเรื่องนี้จะมีหลายองค์ประกอบจากหนังรอมคอมในแบบที่ผู้ชมชอบ แต่ก็มีหลายอย่างที่แปลกใหม่มากจริงๆ"

นอกจาก BROS จะเป็นหนังรักเบาสมองของเกย์เรื่องแรกจากสตูดิโอใหญ่แล้ว ในแง่ของงานสร้าง BROS ไปได้ไกลยิ่งกว่านั้น ด้วยการคัดเลือกให้ทีมนักแสดงนำทั้งหมดในหนัง ล้วนเป็นนักแสดง LGBTQ+ แม้แต่คาแร็คเตอร์ที่เป็นชายจริงหญิงแท้ในหนังก็ตาม เริ่มจาก ลุค แมคฟาร์เลน นักแสดงเกย์ ที่รับบทเป็นหนุ่มสุดฮ็อต แอร่อน ชายที่ทำให้บ็อบบี้ตกหลุมรักเข้าอย่างจัง แม้บ็อบบี้จะไม่เชื่อในความรักเท่าไหร่นัก แต่แอร่อนจะทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป ลุคเผยว่าการทำงานกับบิลลี่ ทั้งสนุกและง่ายมากๆ ลุคเล่าว่า - "บิลลี่เป็นคนที่ใจกว้างมาก เขาให้คำแนะนำตลอดเกี่ยวกับตัวละครนี้ รวมถึงปล่อยให้ผมได้ลองแสดงบทนี้ในแบบของตัวเองด้วย มันแปลกดีเหมือนกันที่ได้เล่นหนังคู่กับคนที่เขียนบทเรื่องนี้ แต่บิลลี่ เชื่อมั่นในขั้นตอนของการคัดเลือกนักแสดง ตอนที่ทดสอบบทเคมีเราเข้ากัน เขาปล่อยให้ผมเป็นตัวของตัวเองมากที่สุด ปล่อยให้ผมได้ลองตกหลุมรักเขาบนจอ ดังนั้น ผมได้รับการสนับสนุนอย่างมาก จาก บิลลี่ ครับ"

นอกจากบทของคู่พระนางอย่าง บ็อบบี้และแอร่อนแล้ว ไฮไลต์สำคัญของ BROS ที่จะทำให้ผู้ชมหัวเราะจนท้องแข็ง คือเหล่านักแสดงสมทบ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตัวละครแก๊งสมาชิกบอร์ดของพิพิธภัณฑ์ โปรเจกต์ในฝันของบ็อบบี้ ที่เขาอยากสร้าง เกย์มิวเซียมที่บอกเล่าประวัติศาสตร์ ความเป็นมาที่สำคัญของ LGBTQ+ โดย BROS ได้นักแสดง LGBTQ+ ที่มีความหลากหลายในตัวตนมารับบทสมาชิกบอร์ด ทั้ง ทีเอส แมดิสัน ตัวแม่แห่งรายการเรียลลิตี้จาก The Ts Madison Experience มารับบทแองเจลล่า, มิส ลอว์เรนซ์ แฮร์สไตล์ลิสที่โด่งดังจากผลงานมากมาย มารับบท วานด้า, ด็อต-มารีย์ โจนส์ นักแสดงที่แฟนซีรีส์คุ้นหน้าคุ้นตาจาก Glee ในบทเชอร์รี่, จิม แรซ จากซีรีส์ Community ในบทโรเบิร์ต และ อีฟ ลินด์ลีย์ จากนางแบบทรานส์สู่นักแสดงมากฝีมือ ในบททามาร่า เมื่อพวกเขาได้รู้ว่า BROS จะเป็นหนังเรื่องแรกที่นักแสดงทั้งหมดเป็น LGBTQ+ ต่างเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า มันถึงเวลาแล้วเสียที มิส ลอว์เรนซ์ เผยว่า - "สิ่งที่ฉันคิดคือ มันถึงเวลาแล้วสินะ ที่พวกเราจะได้แสดงตัวตนที่แท้จริงของพวกเราออกไป เล่าเรื่องราวของพวกเราจริงๆ ในโลกของภาพยนตร์หรือซีรีส์" ในขณะที่ทีเอส แมดิสัน บอกว่าเห็นด้วยเช่นกัน เธอกล่าวต่อว่า - "มันถึงเวลาแล้วละ อันที่จริงมันไม่ควรจะต้องใช้เวลานานขนาดนี้ด้วยซ้ำ แต่ฉันเชื่อว่าทุกอย่างมันเกิดขึ้นในเวลาที่สมควร"

ด็อต-มารีย์ เผยถึงประสบการณ์ในการถ่ายทำ BROS ซึ่งเธอบอกว่าไม่เหมือนหนังหรือซีรีส์เรื่องไหนที่เธอเคยแสดงมาก่อน เธอเล่าต่อว่า - "ก่อนอื่น ฉันขอบอกเลยว่า ฉันไม่เคยสัมผัสประสบการณ์ไหน เหมือนกับตอนที่แสดงใน Glee เลย ในเรื่องนั้น ไรอัน (ไรอัน เมอร์ฟีย์ โปรดิวเซอร์ Glee) พยายามจะเล่าเรื่องของ แต่ละตัวละคร LGBTQ+ แต่ละแบบ ในแต่ละตอน แต่ใน BROS นั้น หนังได้รวมเอาบุคคล LGBTQ+ มารวมไว้ด้วยกันอย่างงดงาม โดยเฉพาะฉากประชุมของสมาชิกบอร์ด คุณต้องไปดูหนังเรื่องนี้ มันจะทำให้คุณหัวเราะไม่หยุด ชวนผู้คนในชุมชนของคุณไปดูด้วยกัน หัวเราะ ร้องไห้ แบ่งปันความรักกัน ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน เพราะพวกเรามีกันเองเพียงเท่านี้"

ในขณะที่ จิม เล่าว่า – "สำหรับผม ได้มีโอกาสร่วมแสดงในซีรีส์ Community ถึง 6 ปีด้วยกัน ครอบครัว และทีมนักแสดง เป็นแกนหลักสำคัญของซีรีส์ เช่นเดียวกับ BROS แค่มันต่างครอบครัวกัน ซึ่งผมภูมิใจอย่างมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในนั้น ในขณะที่ BROS สร้างตัวละครที่หลากหลายมาก เหมือนกับพวกเราได้เฉลิมฉลองความหลากหลาย และแกนที่แข็งแกร่งของหนังคือเหมือนพวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ผมดีใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของหนังที่เราสามารถยินดีกับตัวตนที่แท้จริงของพวกเราได้ สิ่งที่รวมพวกเราให้เป็นหนึ่งเดียวได้ คือ ความรู้สึกที่พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน สนุกไปด้วยกัน ได้เรียนรู้ที่จะรักกัน และโอกาสที่ทุกคนจะสามารถเป็นตัวของตัวเองได้" ด้านของ อีฟ เธอเล่าว่า เธอตื่นเต้นกับหนังเรื่องนี้มาก เพราะได้มีโอกาสร่วมงานกับบุคคลระดับตำนานของ LGBTQ+ หลายคน ที่เธอชื่นชมพวกเขาอยู่แล้ว - "ฉันเพิ่งมาเข้าใจเมื่อไม่นานมานี้เอง ว่าทำไม บิลลี่ ถึงต้องสร้างหนังเรื่องนี้ขึ้นมา และฉันโชคดีมากแค่ไหนที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในหนังเรื่องนี้"

แน่นอนว่า BROS คือก้าวสำคัญของชุมชน LGBTQ+ ที่จะได้มีหนังที่เล่าถึงความรักของพวกเขาอย่างแท้จริง ในรูปแบบของหนังโรแมนติกคอเมดี้ แต่ในแง่มุมของโลกภาพยนตร์ BROS ก็ยังเป็นหนังรอมคอมในแบบที่ห่างหายจากโรงภาพยนตร์ไปนาน มันคือหนังรักเบาสมองระดับคุณภาพที่ในระยะหลังๆ ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยครั้งนักจากฮอลลีวูด โดยล่าสุด BROS ที่กวาดคะแนนนักวิจารณ์ในแง่บวกไปเพียบ มากถึง 88% ในขณะที่คะแนนจากผู้ชมยิ่งชื่นชอบสูงกว่า ด้วยคะแนน Audience Score ระดับ 90% ซึ่งการันตีว่าผู้ชมต่างชอบ ต่างตกหลุมรักหนังเรื่องนี้ พวกเขาหัวเราะ พวกเขาร้องไห้ พวกเขาอินไปกับเรื่องราวความรักของคนสองคน นี่ไม่ใช่แค่หนังเกย์ นี่คือหนังที่เล่าเส้นทางความรักที่พวกเราพบเจอได้ทั่วไป นี่คือหนังที่เล่าถึงความหลากหลายของมนุษย์ นี่คือหนังที่จะส่งพลังให้กับพวกเราทุกคน ให้เป็นตัวของตัวเอง และในขณะเดียวกันก็ยอมรับในความแตกต่าง ยอมรับซึ่งกันและกัน นี่คืออีกหนึ่งหนังสนุกคุณภาพแน่นแห่งปี 2022 ที่ไม่ควรพลาด

BROS เพื่อนชาย ?

วางโปรแกรมฉายในไทย 3 พฤศจิกายนในโรงภาพยนตร์

related HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘Hunger คนหิว เกมกระหาย’ หนังไทยสุดเชือดเฉือนของคนหิวอำนาจ ! | GOSSIP GUN

07 เม.ย. 2023

[REVIEW] ‘Hunger คนหิว เกมกระหาย’ หนังไทยสุดเชือดเฉือนของคนหิวอำนาจ ! | GOSSIP GUN

เตรียมจัดเข้ากลุ่มหนังไทยระดับท็อปแห่งปีแน่นอน สำหรับ 'Hunger คนหิวเกมกระหาย'หนังไทยเรื่องล่าสุดที่เป็นออริจินัลของ Netflix ที่พร้อมประกาศศักดาฉายพร้อมกันทั่วโลกสุดสัปดาห์นี้ ด้วยพล็อตที่เชือดเฉือน การแสดงสุดเข้มข้น และการชำแหละสังคมอย่างไม่ประนีประนอม นี่คือผลงานล่าสุดของ คงเดช จาตุรันต์รัศมี (จาก ตั้งวง, Where We Belong) ที่ลงมือเขียนบทและทำหน้าที่อำนวยการสร้าง พร้อมดึงผู้กำกับรุ่นใหม่มากฝีมืออย่าง สิทธิศิริ มงคลสิริ จาก แสงกระสือ มากำกับภาพยนตร์ เล่าถึง ออย (รับบทโดย ออกแบบ-ชุติมณฑน์) แม่ครัวสตรีทฟู้ดที่ถนัดทำอาหารประเภทผัด แต่ด้วยฝีมือและเซ้นต์ในการทำอาหารที่ไม่ธรรมดา ทำให้เธอได้รับการชักชวนให้เข้ามาร่วมงานกับ เชฟพอล (รับบทโดย ปีเตอร์-นพชัย) เชฟชื่อดังระดับประเทศ ที่โด่งดังจากการทำอาหารแบบ Fine Dining ซึ่งมีเฉพาะมหาเศรษฐีและบุคคลระดับวีไอพีเท่านั้น ที่จะได้ลิ้มรสอาหารของเขา และเมื่อออยก้าวเข้าสู่โลกของการทำอาหารในอีกขั้นนึง เมื่ออาหารไม่ใช่แค่สิ่งประทังชีวิต แต่เป็นสิ่งบ่งบอกสถานะทางชนชั้น ชีวิตของออยจึงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป..'Hunger คนหิวเกมกระหาย' คือหนังที่แม้ว่าหน้าหนังจะเล่าเหตุการณ์ในห้องครัว แต่อันที่จริงมันกลับพูดถึงเรื่องที่ใหญ่กว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นชนชั้นในสังคม สภาพอันน่ารังเกียจของคนกระหายอำนาจในโลกของการเมือง หนังพาผู้ชมไปดูสังคมจำลองในห้องครัวของเชฟพอล สถานที่ซึ่งคำว่าประชาธิปไตยไม่มีอยู่จริง ณ ที่แห่งนี้คืออำนาจเผด็จการล้วนๆ ทุกคนล้วนต้องทำตามคำสั่งของเขาอย่างเคร่งครัด และผลผลิตทุกจาน ล้วนถูกตอบแทนด้วยเงินมหาศาล อาหารชั้นเลิศที่ไม่มีเชฟคนในนอกจากเชฟพอล พอจะมีเงินจ่ายเพื่อรับประทานได้ หลังจากนั้นหนังค่อยๆขยายเรื่องราวให้กว้างขึ้นเรื่อยๆ พาผู้ชมเข้าไปสู่โลกของสังคมชั้นสูง ทั้งในแวดวงการเมือง และไฮโซ ผ่านมุมมองของออย เชฟสาวที่มาจากข้างถนน นี่คือหนังที่ถ่ายทอดประเด็นความแตกต่างทางชนชั้นได้อย่างชัดเจน และสื่อสารกับคนดูแบบไม่ประนีประนอม ไม่อ้อมค้อม แถมหลายฉากยังคล้ายคลึงกับเหตุการณ์จริงในหน้าข่าว จนระหว่างดูแอบอึ้งไปหลายจังหวะอยู่เหมือนกันนอกจากประเด็นและเส้นเรื่องอันเข้มข้นแล้ว นี่คือหนังไทยที่มาพร้อมกับคำว่า "คุณภาพ" ในแทบทุกองค์ประกอบ เริ่มจากงานสร้าง นี่คือหนังที่ภาพรวมสามารถกล่าวได้ว่าเป็นโปรดักชั่นระดับโลก ทุกฉากดูเนี้ยบ ไม่มีจุดไหนหนังของที่ดูเป็นงานCheap หรืองานลวกๆเลย ทุกอย่างถูกดีไซน์มาอย่างดี ทั้งการออกแบบงานสร้าง การบันทึกภาพ การตัดต่อ และอีกส่วนที่เสริมหนังขั้นสุด คือ ดนตรีประกอบ ที่ยิ่งฟังยิ่งขนลุก ยิ่งฟังแล้วยิ่งเร้าอารมณ์ และหลายท่อนถูกออกแบบมาให้เข้ากับหนังที่มีธีมเกี่ยวกับการทำอาหาร มีกลิ่นอายแบบเสียงเคาะของเครื่องครัว กลายเป็น Score ที่ทั้งเพิ่มอารมณ์ร่วมและสร้างเอกลักษณ์ให้กับหนังได้อย่างดีจริงๆและที่สำคัญที่สุด สิ่งที่ส่งให้ 'Hunger คนหิวเกมกระหาย' คือหนังต้องดูแห่งปี คือการแสดงของ ออกแบบ และพี่ปีเตอร์ ทุกฉาก (ย้ำว่า ทุกฉาก) ที่ทั้งสองคนปรากฏตัวร่วมกันบนจอ มันโคตรจะ Intense เต็มไปด้วยความตึงเครียด การส่งพลังการแสดงของทั้งคู่ เหมือนสงครามประสาทที่ทำเอาผู้ชมรู้สึกบีบอารมณ์ตามไปด้วย หรือแม้แต่ฉากเดี่ยวๆของทั้งคู่ ก็ยังยอดเยี่ยม ออกแบบ ทำให้ผู้ชมเข้าใจความรู้สึกอันซับซ้อนของตัวละคร ออย ได้ จากคนธรรมดาที่เริ่มเห็นภาพความเหลื่อมล้ำทางสังคม เหตุการณ์บางอย่างที่บีบบังคับให้เธอกระหายความเป็นคนพิเศษ จนถึงจุดที่เธอเริ่มเห็นว่า โลกของคนชั้นบนมันเป็นอย่างไร ออกแบบสามารถแสดงออกผ่านสีหน้าและอารมณ์ได้อย่างดี เธอสามารถตรึงคนดูให้อยู่กับตัวละคร ออย ได้ตลอดเวลาจริงๆ เสริมทัพด้วยการแสดงที่เป็นธรรมชาติสุดๆ ของทั้ง กรรณ สวัสดิวัตน์ ณ อยุธยา และ เอม ภูมิภัทร ยิ่งทำให้หนังสมบูรณ์แบบมากขึ้น(รายหลังนี่ ปรากฏตัวในหนังไทยเป็นเรื่องที่3ของปีนี้แล้ว ต่อจาก ขุนพันธ์ ๓ และ แสงกระสือ 2โดยรวม 'Hunger คนหิวเกมกระหาย'คือหนังไทยที่ทำให้คนดูยังศรัทธาและเชื่อมั่นว่า หนังไทยยังไปได้อีกไกล ยิ่งเรื่องนี้ลงใน Netflix และดูได้พร้อมกันกว่า 190 ประเทศทั่วโลก ยิ่งเป็นงานที่ไปฉายโชว์ให้คนข้างนอกดูได้อย่างน่าภูมิใจ (แต่ก็อับอายในประเด็นความเหลื่อมล้ำที่ชัดเจนเช่นกัน) แต่ก็น่าเสียดายที่จะไม่ได้ดูในโรงกัน เพราะงานโปรดักชั่นระดับนี้เหมาะกับการเข้าโรงมาก และถ้าเข้าโรงก็น่าจะกลายเป็นหนังตัวเต็งรางวัลในต้นปีหน้าได้แบบสบายๆ แต่ข้อดีของการดูผ่าน Netflix ที่บ้าน คือผู้ชมสามารถกด Pause เพื่อไปทำอาหารหรือสั่งอะไรมากินได้ เพราะหนังเรื่องนี้จะทำให้คุณน้ำลายไหลอย่างแน่นอน แม้แต่ข้าวผัดธรรมดาๆ หนังก็สามารถทำให้คนดูหิวได้ (อันนี้เรื่องจริงนะ เตรียมของกินรอไว้เลย)ชมตัวอย่าง Hunger คนหิวเกมกระหาย 8 เมษายนใน Netflix ทั่วโลกภาพ : Netflix Thailand

[REVIEW] 'Thor : Love and Thunder' โรแมนติกสมชื่อ สู่บทใหม่ของเทพเจ้าสายฟ้า | GOSSIP GUN

06 ก.ค. 2022

[REVIEW] 'Thor : Love and Thunder' โรแมนติกสมชื่อ สู่บทใหม่ของเทพเจ้าสายฟ้า | GOSSIP GUN

ในขณะที่เพื่อนร่วมรุ่นอย่างIron ManและCaptain Americaประกาศจบการศึกษากันไปแล้ว ด้วยการมีหนังเดี่ยวคนละ3ภาค แต่Thorกลายเป็นซูเปอร์ฮีโร่คนแรกในจักรวาลมาร์เวล ที่มีหนังของตัวเองเป็นภาคที่4ได้ ด้วยหลายๆปัจจัย ทั้งในแง่ของตัวละครที่ยังสามารถเล่าในแง่มุมต่างๆได้อีกเพียบ ความเป็นเทพ การเดินทางข้ามจักรวาล ทำให้เรื่องราวของThorถูกเปิดกว้างยิ่งกว่า รวมถึงปมที่เกี่ยวกับตัวละครแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เจน ฟอสเตอร์ อดีตแฟนสาวของเขา ที่ถูกทิ้งไปดื้อๆหลังจบภาค2ทำให้นี่อาจจะเป็นโอกาสที่จะมาสานต่อเรื่องราวให้สมบูรณ์ รวมถึงความสำเร็จของหนังภาคก่อนอย่างThor : Ragnarokที่ผู้กำกับ ไทก้า ไวติติ เข้ามาปรับMood Toneทำให้หนังสนุกขึ้นและฉูดฉาดขึ้น จึงน่าเสียดายที่หนังของThorจะจบแค่ไตรภาคแรกเท่านั้น ทั้งๆที่มันยังมีโอกาสไปต่อได้นำมาสู่Thor : Love and Thunderที่หยิบเรื่องราวของธอร์(รับบทโดย คริส เฮมเวิร์ธ)มาเล่าต่อหลังจากเหตุการณ์ในAvengers : Endgameเมื่อเขาได้ออกเดินทางไปทั่วจักรวาลพร้อมกับเหล่าGuardians of the Galaxyเพื่อช่วยเหลือใครก็ตามที่เดือดร้อน จนกระทั่งพวกเขาได้พบกับGorr The God Butcher (รับบทโดย คริสเตียน เบล)ชายที่คลั่งแค้น จนสาบานว่าเขาจะสังหารเหล่าทวยเทพให้หมดสิ้น เป้าหมายต่อไปของกอร์ คือนิวแอสการ์ด บ้านหลังใหม่ของชาวแอสการ์ดที่ตั้งอยู่บนโลกมนุษย์ ธอร์จึงต้องเดินทางกลับมาที่โลกอีกครั้งเพื่อปกป้องอดีตชาวเมืองของเขา และการกลับมาในครั้งนี้ทำให้เขาได้พบกับ เจน(รับบทโดย นาตาลี พอร์ตแมน อีกครั้ง)อดีตคนรักที่ตอนนี้เธอได้กลายเป็น ไมตี้ธอร์ ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว กลายเป็นหญิงพลังเทพแบบเดียวกับที่ธอร์เป็น และเมื่อแฟนเก่ามาอยู่ใกล้ๆกันแบบนี้ ความรู้สึกในอดีตของธอร์ จึงถูกขุดขึ้นมาอีกครั้ง!แน่นอนว่า เมื่อ ไทก้า ไวติติ กลับมานั่งแท่นผู้กำกับในภาคนี้ ภาพรวมของThor : Love and Thunderจึงมีบรรยากาศและสีสันใกล้เคียงกับThor : Ragnarokโดยเฉพาะอารมณ์ขันที่ถูกใส่เข้ามาเยอะยิ่งกว่าเดิม และการออกแบบงานสร้างที่ฉูดฉาดมากยิ่งขึ้นไปอีก แต่ในขณะเดียวกัน ก็ไม่ละทิ้งความดราม่าที่หนักหน่วง การลงลึกไปสำรวจความรู้สึกของ ธอร์ หลังจากจบEndgameที่ดูเหมือนเขาจะใช้ชีวิตอย่างไร้ทิศทางและเป้าหมายพอสมควร ในหนังภาคนี้ ธอร์จะได้สำรวจความรู้สึกตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของความรัก ที่เขาเก็บมันไว้ในส่วนลึกนานถึง8ปี และในภาคนี้เขาก็ได้จะค้นหาเป้าหมายใหม่ในการใช้ชีวิต ซึ่งนั่นทำให้หนังในภาคนี้ อาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ สำหรับไตรภาคต่อไปของThorก็เป็นอันได้ไฮไลต์ที่สำคัญมากๆสำหรับThor : Love and Thunderคือการกลับมาอีกครั้งของ นาตาลี พอร์ตแมน หลังจากไม่ปรากฏตัวในหนังภาคก่อนLove and Thunderทำให้เส้นเรื่อง ความสัมพันธ์ของ ธอร์และเจน สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น หลายประเด็นที่ถูกทิ้งไว้และยังไม่เคยเล่า ถูกหยิบมาเล่าให้คอมพลีต ยิ่งฉากโรแมนติกของ ธอร์และเจน ในภาคนี้ ยิ่งทำให้รู้สึกว่ามันมีอารมณ์บางอย่างที่ขาดหายไปในThorภาคก่อน และกลับมาอยู่ในภาคนี้อีกครั้ง นอกจากนี้การปรากฏตัวของ ไมตี้ธอร์ ทำให้เส้นเรื่องของThor : Love and Thunderมีสีสันมากยิ่งขึ้น และทำให้เราได้เห็นอีกมุมของธอร์ หลังจากที่ภาคก่อน เน้นไปที่ประเด็นด้านครอบครัว ในภาคนี้ก็จะโฟกัสที่ความรักเป็นหลักอีกหนึ่งไฮไลต์ที่ถือว่าเป็นหมัดเด็ดสำหรับThor : Love and Thunderคือการเข้าร่วมจักรวาลมาร์เวล ของ คริสเตียน เบล อดีตพระเอกแบทแมน ที่พลิกมารับบทร้ายแบบสุดขั้ว การแสดงของเบลทำให้ตัวละคร กอร์ เต็มไปด้วยความสยดสยอง ทุกครั้งที่เขาปรากฏตัวชวนขนลุก และบางซีนน่ากลัวยิ่งกว่าผีปรากฏตัวในหนังสยองขวัญเสียอีก แต่ในขณะเดียวกัน เบลก็ใส่มิติ ความลึกของตัวละครเข้าไป กอร์ มีที่มาที่ไป ก็น่าเห็นใจอย่างมาก อะไรที่เปลี่ยนให้เขากลายเป็นปีศาจที่เต็มไปด้วยความแค้น นี่ไม่ใช่ตัวร้าย ที่คลั่งอำนาจ แต่กลับคลั่งแค้นด้วยความไร้เมตตาที่เขาได้รับ เบลเล่นดีจนกระทั่งอยากให้ กอร์ เป็นตัวร้ายใหญ่ในจักรวาลมาร์เวลเลยด้วยซ้ำปัญหาสำคัญของThor : Love and Thunderคือความกลมกล่อมของหนัง แน่นอนว่าไทก้าใส่สีสันมากมายเข้ามา ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ในแบบที่แฟนๆมาร์เวลจำนวนไม่น้อยชอบมาก แต่ในภาคนี้เขาไม่สามารถบาลานซ์มันได้ดีเท่าRagnarokอาทิ จังหวะการปล่อยมุก ซึ่งในภาคก่อนค่อนข้างแม่นยำและได้ผลมาก แต่ในภาคนี้ กลับขำบ้างแป้กบ้าง บางจังหวะก็ได้แต่หัวเราะแห้งๆ ดูเหมือนจะเน้นตลกไปเรื่อย จนความจริงจังในหนังแอบหายไปพอสมควร เมื่อหนังเดินทางมาถึงจุดที่ต้องซีเรียส อารมณ์ร่วมเลยไปไม่ถึงเท่าไหร่นัก เพราะเขาทำให้ตัวละครดูไม่จริงจังกับเหตุการณ์ที่ต้องเผชิญ ทำให้แม้หนังจะออกมาสนุกสนาน บันเทิงระหว่างดู แต่น้ำหนักของเส้นเรื่องกลับเบาอย่างน่าเสียดายท้ายที่สุดThor : Love and Thunderก็ยังคงเป็นหนังป็อปคอร์นฟอร์มยักษ์กลางซัมเมอร์ ที่ยังคงดูสนุกและสร้างความบันเทิงได้เช่นเดิม แม้มันจะไม่ได้ลงตัวเท่างานชิ้นก่อนของ ไทก้า แต่เอกลักษณ์ในแบบของเขาก็ถูกใส่มาอย่างไม่ยั้งมือ รวมถึงหนังตอบโจทย์เรื่อง แฟนเซอร์วิส ได้แบบเต็มๆ โดยThor : Love and Thunderเหมือนเป็นจุดเชื่อมสำคัญของThorยุคก่อนEndgameและยุคหลังจากนี้ บางปมที่ยังไม่ถูกเล่า ก็มาคลี่คลายในภาคนี้(โดยเฉพาะเรื่องเจน)ในขณะเดียวกันหนังก็ผูกปมใหม่ ให้สำหรับThorในอนาคต ทำให้แฟนๆของมาร์เวลได้เห็นภาพกว้างๆว่า เส้นทางของเทพเจ้าสายฟ้าคนนี้ ในจักรวาลมาร์เวลนั้น ยังอีกยาวไกล...(ให้7.5คะแนนจากคะแนนเต็ม10คะแนน)ชมตัวอย่างThor : Love and Thunderวันนี้ในโรงภาพยนตร์

[REVIEW] “A Man and A Woman จูบนั้นฉันจำไม่ลืม” บีบหัวใจขั้นสุดกับรักที่เป็นไปไม่ได้ | GOSSIP GUN

08 ก.พ. 2022

[REVIEW] “A Man and A Woman จูบนั้นฉันจำไม่ลืม” บีบหัวใจขั้นสุดกับรักที่เป็นไปไม่ได้ | GOSSIP GUN

วาเลนไทน์นี้ อยู่ๆก็มีหนังรักของ กงยู เข้ามาให้ได้ดูกันในโรง อันที่จริงแล้วA Man and A Womanหนังที่ออกฉายในเกาหลีเมื่อหลายปีก่อน แต่คนไทยอาจจะยังไม่ค่อยได้ดูกันในวงกว้าง เนื่องจากตอนนั้นยังไม่มีค่ายหนังใดซื้อสิทธิ์เข้ามาอย่างเป็นทางการ จนกระทั่งล่าสุด มงคลซีนีม่า หยิบหนังมาให้ได้ดูกัน ซึ่งA Man and A Woman (หรือชื่อไทยว่า จูบนั้นฉันจำไม่ลืม)เป็นผลงานของ ลียุนกิ ผู้กำกับจากCome Rain, Come Shineซึ่งในเรื่องนี้เขาได้กลับมาร่วมงานกับนางเอกฝีมือเยี่ยม จอนโดฮยอน ที่เคยร่วมงานกันมาแล้วในMy Dear Enemyซึ่งผลงานชิ้นใหม่ของทั้งคู่ไม่ธรรมดา เพราะบินไปถ่ายทำกันไกลถึงฟินแลนด์เลยทีเดียวจอนโดฮยอน รับบท ซังมิน คุณแม่ที่ต้องแบกภาระเลี้ยงดูลูกชายที่ป่วยเป็นเด็กพิเศษ ทำให้เขาต้องเข้าโรงเรียนพิเศษที่ฟินแลนด์ ในขณะที่เธอไปส่งลูกเพื่อไปเข้าค่าย ทำให้เจอกับ กีฮง(รับบทโดย กงยู)คุณพ่อที่มีลูกสาวเป็นเด็กพิเศษเช่นกัน ด้วยความเป็นห่วงลูกทำให้ ซังมินกล้าชวนคนแปลกหน้า ขับรถข้ามเมืองไปหาลูกที่แคมป์ แต่พวกเขากลับเจอพายุหิมะ ทำให้ต้องเข้าพักในโรงแรมแห่งหนึ่ง และด้วยบรรยากาศความเหงา ปัญหาชีวิตที่ต่างรุมเร้า ทำให้คนทั้งสองได้สัมผัสไออุ่นรักซึ่งกันและกัน นำไปสู่ความสัมพันธ์ที่เกินเลย และแม้ทั้งสองจะจากกันไป แต่ความทรงจำครั้งนี้ยากที่จะลืมเลือน จนกระทั่งทั้งคู่ได้กลับมายังเกาหลี และได้พบหน้ากันอีกครั้งก่อนดูA Man and A WomanแอบนึกถึงThe Bridge of Madison Countyมาก่อนเลยหลังจากอ่านพล็อตจบ ด้วยความที่หนังฮอลลีวูดเมื่อปี1995ของ คลินต์ อีสต์วูด และเมอรีล สตรีป ขึ้นแท่นหนังรักต้องห้ามที่ตราตรึงใจผู้ชมมานานแสนนาน และด้วยบทสรุปที่เจ็บปวดหัวใจขั้นสุด แต่ถ้าจะถึงขั้นเอามาเทียบกันอาจจะไม่ได้ เพราะหนังสองเรื่องตามมีจังหวะในการเล่าที่ต่างกัน ด้วยความเป็นเกาหลีและฮอลลีวูด แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่แทบจะไม่แตกต่างกันเลย คือความบีบหัวใจของหนังทั้งสอง ผู้ชมรู้ตั้งแต่นาทีแรกอยู่แล้ว ว่าความรักของพวกเขาคือความรักต้องห้าม แม้มันจะเกิดในช่วงเวลาที่ทั้งสองอ่อนแอ ต้องการใครสักคน แต่ด้วยภาระและความผูกพันที่มีต่อครอบครัว ทำให้มันเป็นไปไม่ได้A Man and A Womanค่อยๆเล่าเรื่องด้วยการพาเราค่อยๆรู้จักชีวิตของ ซังมิน และกีฮง มากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่เราได้เห็นจังหวะความรักของทั้งสอง ที่ค่อยๆเพิ่มขึ้น จนกระทั่งไปถึงระดับคลั่งรัก ผู้ชมก็จะได้เห็นข้อแม้ในชีวิตทั้งสองมากขึ้นเช่นกัน ทั้งภาระเรื่องงาน และที่สำคัญคือครอบครัว คู่ชีวิตของทั้งสองเป็นอย่างไร ทายาทของทั้งคู่เป็นอย่างไร ยิ่งเวลาในหนังดำเนินไป ผู้ชมจะยิ่งปวดใจมากขึ้นเรื่อยๆ แม้กระทั่งในฉากที่ทั้งสองตัวละครอินเลิฟขั้นสุด ในเวลาเดียวกันเชื่อว่าผู้ชมก็บีบหัวใจไปพร้อมๆกัน เพราะเราต่างรู้ดี เช่นเดียวกันตัวละครในหนังว่า ท้ายที่สุดมันคือความรักที่ไม่ถูกต้องแน่นอนว่าการแสดงของสองนักแสดงนำคือไฮไลต์สำคัญของหนัง กงยูเรื่องนี้คลั่งรักขั้นสุด(เหมือนเราไม่ค่อยได้เห็นกงยูในโหมดนี้เท่าไหร่นักในยุคหลังๆ)หลายฉากพระเอกอินเลิฟจนผู้ชมแทบจะเขินตามเลยทีเดียว ส่วน จอนโดฮยอน ถ่ายทอดบทบาทผู้หญิงที่แบกภาระอันหนักอึ้งไว้ได้อย่างดี ถ่ายทอดอารมณ์อันซับซ้อน จนผู้ชมสัมผัสได้ถึงทั้งความสุขและความทุกข์ที่เธอต้องเผชิญไปพร้อมๆกัน นอกจากนี้ ฉากไฮไลต์ที่หลายคนกล่าวถึงคือฉากเลิฟซีน ซึ่งกล่าวกันตรงๆว่า ก็ไม่ได้หวือหวาระดับ18+อย่างที่โปรโมต แต่ความร้อนแรงนั้นมาสุด ผู้ชมสัมผัสได้ถึงPassionของสองตัวละคร ฉากของทั้งคู่ร้อนฉ่าจนสามารถแซวได้ว่าหิมะรอบๆตัวแทบจะละลายเลยทีเดียว(ให้8คะแนนจากคะแนนเต็ม10คะแนน)

[REVIEW] “The Lost City” หนังผจญภัยที่หัวใจความสนุก คือ เคมีนักแสดง | GOSSIP GUN

19 เม.ย. 2022

[REVIEW] “The Lost City” หนังผจญภัยที่หัวใจความสนุก คือ เคมีนักแสดง | GOSSIP GUN

คงจะไม่เกินจริงถ้าจะกล่าวว่า แซนดร้า บูลล็อค คือขุมทรัพย์ของหนังตลก เธอทำได้ดีและดูเป็นธรรมชาติเสมอในหนังแนวนี้ ที่พิสูจน์ด้วยหนังฮิตจากหลากยุคอย่างWhile You Were Sleeping, Miss Congeniality, The ProposalและOcean's 8แม้เธอจะเวียนไปแสดงหนังแนวอื่นมากมาย แต่ผู้ชมมักเรียกหาบูลล็อคในหนังตลกเสมอ เช่นเดียวกับผลงานล่าสุดThe Lost Cityในยุคที่หนังทำเงินมีแต่หนังรีเมกหรือภาคต่อ หนังออริจินัลที่นำแสดงโดยเธอ กลับสามารถทำเงินทะลุหลัก80ล้านเหรียญฯในอเมริกาไปได้แล้ว ไม่ธรรมดาจริงๆ โดยเรื่องนี้เธอได้จับมือกับ แชนนิ่ง เททั่ม อีกหนึ่งนักแสดงที่คล้ายกับบูลล็อค คือแวะเวียนไปเล่นหนังทุกแนว แต่สไตล์ที่แฟนๆ ตกหลุมรักเขามากๆ คือตลกเช่นกัน พิสูจน์ด้วยรายได้ของ21 Jump StreetและShe's The Manหนังที่แจ้งเกิดเขา แซนดร้า บูลล็อค รับบทลอเร็ตต้า นักเขียนหญิงที่หมดแรงบันดาลใจในการเขียนหนังสือต่อ แม้นิยายแนวประวัติศาสตร์โรแมนซ์ของเธอจะขายดีเป็นเทน้ำเทท่า แต่เธอก็ไม่มีกะจิตกะใจในการเดินทางทัวร์โปรโมตหนังสือ เพราะส่วนหนึ่งเพราะต้องเจอกับ อลัน นายแบบหน้าปกหนังสือของเธอ ที่อินกับตัวละครพระเอกดั่งเขียนมาจากชีวิตเขา แต่แล้วเธอกลับตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย เมื่ออบิเกล(รับบทโดย แดเนียล แรดคลิฟฟ์ จากHarry Potter)มหาเศรษฐี จับตัวเธอไป เพราะต้องการตามหาสมบัติที่ซ่อนอยู่ในเมืองสาบสูญ และทางเดียวที่จะไขปริศนาได้ คือการใช้ทักษะอ่านภาษาโบราณของลอเร็ตตา เมื่อเธอถูกจับตัวไปยังเกาะห่างไกลในมหาสมุทร อลันจึงทำทุกทางเพื่อไปช่วยเธอ เพื่อให้เขาได้เป็นมากกว่านายแบบหน้าปก ได้เป็นพระเอกในชีวิตจริง! The Lost Cityไม่ใช่หนังที่มีความใหม่อะไรมากนัก หนังผจญภัยในป่า ที่มีกลิ่นอายผสมระหว่าง แอ็กชัน โรแมนติก คอเมดี้ มีมาทุกสมัย ที่พีกมากๆ และภาพหนังดูใกล้เคียง ก็คือRomancing The Stoneในปี1984แต่The Lost Cityคือหนังที่มาถูกที่ถูกเวลา หลังจากแซนดร้า บูลล็อค ห่างหายจากหนังตลกไปนานถึง4ปี ส่วน แชนนิ่ง เททั่ม ว่างเว้นจากหนังตลกไปเกือบ5ปี นี่จึงกลายเป็นหนังที่คอหนังตลกต้องการโดยไม่รู้ตัว คุณอาจจะไม่ได้รู้สึกก่อนหน้านี้ว่าอะไรขาดหายไป แต่พอไปดู กลับรู้สึกถึงความสนุกแบบที่คุ้นเคย ที่เหมือนกับว่าไม่ได้ดูมาซักพักใหญ่แล้ว นี่คือโปรเจกต์ที่เหมาะมากกับทั้ง บูลล็อค และ เททั่ม พวกเขาต่างเป็นธรรมชาติมากๆในหนังเรื่องนี้ เช่นเดียวกับเคมีของทั้งคู่ ที่เปรียบเหมือนขุมทรัพย์ และเป็นสิ่งสำคัญที่ขับเคลื่อนหนังให้สนุกได้จริงๆ โดยรวมThe Lost Cityมีส่วนผสมระหว่างหนังแอ็กชันและตลกที่กำลังดี สถานการณ์แบบตกกระไดพลอยโจนกลางป่าลึกในเกาะที่ห่างไกล ทำให้หนังสร้างสถานการณ์สนุกๆได้มากมาย บวกกับคาแร็คเตอร์ของตัวละครที่ไม่ได้สายบู๊ทั้งคู่อยู่แล้ว หนังใช้ประโยคในการสร้างเหตุการณ์เหมาะๆได้อย่างไม่เสียดายพล็อต นอกจากนี้หนังยังเต็มไปด้วยมุกบ้าบอรายทาง ซึ่งก็ไม่ได้ปล่อยทิ้งขว้าง มีความตลกอยู่ตลอด รวมถึงไฮไลต์พิเศษ นั่นคือ นักแสดงรับเชิญอย่าง แบรด พิตต์ ที่ค่ายหนังไม่อยากเก็บไว้เซอร์ไพรส โปรโมตแบบเต็มแม็กไปเลย ก็แว้บมาสร้างสีสันได้อย่างกำลังดี แต่ก็ไม่ได้ขโมยซีนของพระนางด้วย ปัญหาเล็กน้อยของThe Lost Cityอาจจะเป็นการเลือกให้ แดเนียล แรดคลิฟฟ์ มารับบทตัวร้ายของเรื่อง ซึ่งมีปัญหาในหลายๆด้าน ประการแรกคือคือผู้ชมจำนวนไม่น้อยไม่สามารถสลัดภาพเขาจากบทแฮร์รี่ พ็อตเตอร์ได้ เมื่อแรดคลิฟฟ์ ร้ายก็ดูแปลกดีแต่ยังไม่น่าเชื่อเท่าไหร่นัก อีกทั้งอายุที่อาจจะห่างจากทั้ง บูลล็อคและเททั่ม ทำให้เขาดูเป็นตัวร้ายที่ไม่ได้น่าเกรงขามนัก ความกล้ามใหญ่ของเททั่มดูจะเอาชนะได้แบบง่ายๆด้วย ตัวละครนี้เลยดูไม่หนักแน่นพอไปอย่างน่าเสียดาย แต่โดยThe Lost Cityถือเป็นหนังสนุกที่เพลิดเพลินตั้งแต่ต้นจนจบ ที่คอหนังแอ็กชันคอเมดี้น่าจะถูกใจได้ไม่ยาก(ให้8คะแนนจากคะแนนเต็ม10คะแนน)

album

0
0.8
1