[REVIEW] ‘Laal Singh Chaddha’ ฟอร์เรสต์ กัมป์ ในบริบทอินเดียที่ดีต่อใจไม่แพ้ต้นฉบับ | GOSSIP GUN

HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘Laal Singh Chaddha’ ฟอร์เรสต์ กัมป์ ในบริบทอินเดียที่ดีต่อใจไม่แพ้ต้นฉบับ | GOSSIP GUN

31 ส.ค. 2022

ไอเดียการรีเมกหนังระดับ Forrest Gump ไม่ใช่เรื่องง่าย จะกล่าวว่ามันน่าสนใจ ดูท้าทายก็เป็นอันได้ แต่ในอีกมุมหนึ่ง จะบอกว่าเสี่ยงตายโดยใช่เหตุ มันก็ใช่ แต่การรีเมกครั้งนี้ มันน่าสนใจตรงที่ฮอลลีวูดไม่ได้รีเมกหนังของพวกเขา แต่เป็นบอลลีวูดที่หยิบเอา Forrest Gump ไปสร้างใหม่ ซึ่งแน่นอนว่าการ Copy และ Paste ลงไปคงทำไม่ได้ เพราะใน Forrest Gump มันมีการอ้างอิงถึงเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์เป็นจำนวนมาก มีการเมนชั่นถึงบุคคลที่มีอยู่ในสังคมอเมริกา หรือมีแม้แต่การเอา ทอม แฮงค์ เข้าไปใส่ในฟุตเทจจริงในประวัติศาสตร์ ให้ดูเหมือนว่า ฟอร์เรสต์ กัมป์ เป็นส่วนนึงของเหตุการณ์นั้นจริงๆ พอถูกหยิบมาสร้างใหม่เป็นฉบับอินเดีย ความน่าสนใจคือ มันจะถูกดัดแปลง และเปลี่ยนให้เข้ากับเหตุการณ์ในอดีตจนถึงปัจจุบันของอินเดียอย่างไร ให้รู้สึกสมูทแบบเดียวกับต้นฉบับ

Laal Singh Chaddha เป็นโปรเจกต์ล่าสุดของหนึ่งในนักแสดงที่ยิ่งใหญ่สุดของบอลลีวูด อย่าง อาเมียร์ ข่าน เจ้าของผลงานระดับบล็อกบัสเตอร์อย่าง 3 Idiots, PK และ Dangal โดยเฉพาะเรื่องกลางที่ตกผู้ชมในเมืองไทยไปไม่น้อย เขาซื้อสิทธิ์ของ Forrest Gump มาในปี 2018 และดึงผู้กำกับที่เขาเคยผลักดัน จาก Secret Superstar มาทำหน้าที่กำกับเรื่องนี้ อาร์เมียร์ รับบท ลาล ซิงห์ จัดด้า เด็กชายที่เกิดมาพร้อมกับความไม่เหมือนใคร แม้สติปัญญาอาจจะสู้เพื่อนร่วมรุ่นไม่ได้ แต่ลาลไม่เคยย่อท้อต่อสิ่งใด แม้ทุกคนจะไม่เปิดรับ แต่เขาก็ได้รู้จักกับ รูปา (รับบทโดย กรีนา กปูร นางเอกแถวต้นๆของบอลลีวูด ที่โคจรมาเจอกับ อาเมียร์ อีกครั้งหลังจาก 3 Idiots) เด็กสาวที่กลายเป็นคนสนิทที่สุดของลาล เขาเติมโตมาพร้อมกับชีวิตที่ไม่ธรรมดา จากนักกีฬาวิ่งในมหาวิทยาลัย สู่การเป็นทหารในสนามรบจริงๆ สู่แวดวงธุรกิจที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อน เขาเติบโตผ่านช่วงเวลาประวัติศาสตร์มากมายของอินเดีย เรื่องราวชีวิตของลาล เต็มไปด้วยความอัศจรรย์ใจที่ใครๆได้ฟังก็ร้องว้าว

หลังจากใช้เวลาถ่ายทำอยู่เกือบ 3 ปีเพราะติดช่วงโควิด-19 ใช้โลเคชั่นในการถ่ายทำทั่วทั้งอินเดียกว่า 100 แห่ง ในที่สุด Laal Singh Chaddha ก็พร้อมออกสู่สายตาผู้ชม สิ่งที่ Laal Singh Chaddha ทำได้ดีที่สุด คือการรักษาจิตวิญญาณของ Forrest Gump ไว้ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แน่นอนว่าหนังมันมีส่วนแตกต่างกันพอสมควร แต่ความรู้สึกที่ผู้ชมสัมผัสได้ระหว่างที่ชม แทบจะเป็นอารมณ์เดียวกับตอนที่ชม Forrest Gump แต่มันเป็นอีกรสชาติที่เหมือนไม่เดิม มีการปรุงแต่งให้กลิ่นอายเป็นแบบบอลลีวูด และที่สำคัญคือการปรับบริบทให้เข้ากับอินเดีย ซึ่งทำให้ความสนุกของการดูอยู่ตรงที่เราจะคอยลุ้นว่า ลาลจะไปเจอเหตุการณ์อะไรบ้าง จะเหมือนที่เราคาดเดาก่อนไปดูหรือไม่ ซึ่งหลายครั้งก็เป็นไปอย่างที่คิด แต่ก็มีเซอร์ไพรสพอสมควร ถ้าใครติดตามหนังบอลลีวูดมาโดยตลอด รับประกันความว้าวเลย สำหรับใครที่เคยตกหลุมรัก ฟอร์เรสต์ กัมป์ มาแล้ว เชื่อว่าหนังจะทำให้คุณตกหลุมรัก ลาล ซิงห์ จัดด้า ไม่แพ้กัน

การดำเนินเรื่องของ Laal Singh Chaddha ใช้ลักษณะที่เหมือนกับ Forrest Gump ที่ตัดสลับระหว่างการเล่าชีวิตของ ลาลกับเหตุการณ์ในอดีต ซึ่งในหนังต้นฉบับถ้ายังจำกันได้ ฟอร์เรสต์ จะนั่งอยู่เก้าอี้ริมถนน ระหว่างรอรถเมล์ และชักชวนให้ผู้คนรอบข้างกินช็อคโกแลต ฉบับบอลลีวูดนี้ เปลี่ยนสถานที่ให้เป็นบนรถไฟ (ซึ่งเข้ากับอินเดียมากๆ) และเปลี่ยนช็อคโกแลตให้เป็นขนมของอินเดียที่ชวนให้ผู้ชมแปลกตาและอยากลิ้มลองอยู่เหมือนกัน นอกจากนี้เอกลักษณ์ของหนังอินเดีย ไม่ว่าจะภาษาใด ที่ขาดไม่ได้จริงๆคือบทเพลง หนังมีตัดสลับกับซีนเพลงอยู่เรื่อยๆ เป็นความโดดเด่นและอรรถรสที่มีเฉพาะอินเดียจริงๆ(แม้แต่หนังแอ็กชันบล็อกบัสเตอร์อย่าง RRR ก็ต้องตัดไปฉากเต้นรำ ยังจำกันได้ไหม ?)

สิ่งที่อาจจะเป็นปัญหาเล็กน้อย สำหรับผู้ที่เคยชม Forrest Gump มาแล้ว คือการที่เราพอจะรู้เส้นเรื่องคร่าวๆ รู้ว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวละครนำ และบุคคลรอบข้าง นั่นทำให้เราอาจจะไม่ได้ลุ้นกับลาลไปตลอด แต่ก็ยังสนุกกับการรอดูชีวิตของเขา และในช่วงประมาณ 30 นาทีสุดท้าย ที่หนังใช้เวลาตรงนี้ค่อนข้างมาก จนแอบรู้สึกว่าลากนิดๆ เหมือนจบไม่ลงหน่อยๆ ทั้งๆที่ปกติแล้ว เวลาเราดูหนังอินเดีย มันจะยาวแถวๆ 2 ชั่วโมงครึ่ง ถึง 3 ชั่วโมงเป็นประจำ ซึ่งไม่ได้รู้สึกมีปัญหาอะไร แต่กับ Laal Singh Chaddha รู้เลยว่าผู้สร้างพยายามจะขยี้อารมณ์อย่างมากๆในช่วงท้าย ซึ่งหลายจังหวะแอบยาวไปจริงๆ สามารถกระชับได้เล็กน้อย

โดยรวม Laal Singh Chaddha คือหนังที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น ทำให้หัวใจผู้ชมพองโตได้แทบจะตลอดทั้งเรื่อง พร้อมกับมุมมองที่ทำให้เราหันกลับมามองชีวิตของเรา หนังสามารถสร้างเสียงหัวเราะได้เรื่อยๆ จากความตลกที่ไม่ได้ตั้งใจของลาล ความใสซื่อของเขาที่ทำออกมาได้น่ารัก น่าถนุถนอม บทของลาล เป็นคาแรคเตอร์ที่เหมาะกับ อาเมียร์ ข่าน มากๆ ซึ่งรู้สึกว่า เขาเลือกบทได้เหมาะกับตัวตั้งแต่แรกที่ประกาศสร้าง และผลที่ออกมาก็ใช่จริงๆ ยิ่งดูเราจะยิ่งตกหลุมรักลาลมากขึ้น ถ้าคุณเป็นแฟนหนัง Forrest Gump ถ้าคุณเป็นแฟนหนังบอลลีวูด ถ้าคุณต้องการหนังที่ดีต่อใจสักเรื่อง Laal Singh Chaddha เป็นช้อยส์ที่น่าสนใจสำหรับช่วงนี้ !

ภาพ : UIP Thailand

ชมตัวอย่าง Laal Singh Chaddha เข้าฉาย 1 กันยายนนี้ ทุกโรงภาพยนตร์

related HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] “Everything Everywhere All At Once” ตะลุยมัลติเวิร์สแบบสุดจัดในทุกทาง | GOSSIP GUN

11 พ.ค. 2022

[REVIEW] “Everything Everywhere All At Once” ตะลุยมัลติเวิร์สแบบสุดจัดในทุกทาง | GOSSIP GUN

ไม่รู้ว่าจะด้วยความบังเอิญหรืออะไร ทำให้คนไทยมีหนังเล่าถึงมัลติเวิร์ส หรือ พหุภพ ในโรงภาพยนตร์ถึง2เรื่อง จากค่ายที่สร้างจักรวาลหนังซูเปอร์ฮีโร่ได้ยิ่งใหญ่สุดอย่างMarvelและค่ายหนังอินดี้ที่พิสูจน์ตัวเองในฐานะหนังดี หนังแปลก หนังลองของอย่างA24กับผลงานอย่างEverything Everywhere All At Onceที่สร้างกระแสปากต่อปากในอเมริกาอย่างต่อเนื่องตลอดเดือนที่ผ่านมา นอกจากคะแนนบวกจากนักวิจารณ์ที่ตรึงคะแนน96%ในRotten Tomatoesหนังค่อยๆ เพิ่มจำนวนโรงฉาย จนล่าสุดในสัปดาห์นี้ ไต่ขึ้นมาเป็นหนังทำเงินอันดับ2แล้ว(แน่นอนว่าอันดับ1คือDoctor Strange In The Multiverse of Madness)และหนังกำลังค่อยๆ เก็บรายได้ จนกลายเป็นว่าที่หนังทำเงินสูงสุดตลอดกาลในอเมริกาของค่ายA24แน่นอนว่ามันต้องมีดีอะไร ไม่เช่นนั้น ไม่มาไกลถึงเบอร์นี้ มิเชลล์ โหย่ว ที่รับบทอันหลากหลายตลอดชีวิตในวงการของเธอ ในเรื่องนี้เธอรับบทเป็นหญิงชาวจีนที่ชีวิตแสนจะธรรมดาที่สุด“เอเวอลีน”เธอทิ้งพ่อแม่จากเมืองจีน หนีตามคนรักมาอยู่อเมริกา และทำธุรกิจร้านซักรีดอบผ้าไปด้วยกัน แต่ชีวิตปีแล้วปีเล่ากลับไม่มีอะไร ลูกสาวที่เป็นเกย์ก็ขัดใจเธอเหลือ และเจ้าหน้าที่สรรพากรก็ตรวจสอบกิจการของเธอแบบกัดไม่ปล่อย ชีวิตของเอเวอลีนคงไม่มีอะไรหวือหวาไปกว่านี้แล้ว จนกระทั่ง เธอได้เจอสามีของเธอที่มาจากจักรวาลอื่น เขาบอกว่ามัลติเวิร์สกำลังล่มสลายด้วยภัยอันตรายเกินกว่าใครที่จะหยุดได้ มีเพียง เอเวอลีน เท่านั้น ที่ต้องดึงพลังของตัวเองในจักรวาลอื่นมาต่อสู้ ซือเจ๊ธรรมดากำลังจะกลายเป็นความหวังเดียวของพหุภพแห่งนี้ นอกจากคาแรคเตอร์ที่แสนจะธรรมดา (ในช่วงแรก)ของ มิเชลล์ โหย่ว ไม่มีอะไรที่ธรรมดาในหนังเรื่องนี้Everything Everywhere All At Onceคือหนังที่สุดจัดในทุกทาง ถ้าใช้ศัพท์ฝรั่งมาอธิบาย มักจะบอกว่าBlow Your Mindคือดูแล้วสติแตกไปเลย เพราะมันเต็มไปด้วยไอเดียครีเอทีฟที่แสนจะประหลาดเกินกว่าผู้ชมจะคาดคิด ว่าหนังเรื่องหนึ่งมันจะสามารถไปสุดได้ถึงเบอร์นี้ นับตั้งแต่นาทีที่ประตูมัลติเวิร์สในหนังถูกเปิดออก ก็เหมือนกับผู้สร้างได้พรั่งพรูไอเดียสุดบ้าคลั่งมากมายออกมา ที่หลายอย่างดูแปลกประหลาด ดูบ้าบอกว่าที่เราจะคาดคิด ซึ่งความWeirdของหนังตรงนี้ ทำให้ผู้ชมขำออกมาหลายช่วงมาก กลายเป็นหนังประสบความสำเร็จในการสร้างความบันเทิงได้อย่างยอดเยี่ยม แต่สิ่งที่เกินคาดมากไปกว่า ความน่าตื่นตาของไอเดียการนำเสนอมัลติเวิร์สแล้ว คือประเด็นหลักของหนัง ที่จับใจผู้ชม มีความลึกซึ้ง บางฉากถึงขั้นบ้าบอไปด้วยแต่ก็ส่งMessageที่กินใจผู้ชมเข้ามาได้อย่างไม่ขัดเขิน กลายเป็นอารมณ์ที่แปลกกว่าหนังทั่วไป ไม่น่าเชื่อว่าหนังเพี้ยนๆ ใส่ไอเดียเพ้อๆ จะสามารถลึกซึ้งไปได้พร้อมๆ กัน เวลาเดียวกับที่เราหัวเราะไปกับหนัง หนังก็สามารถทำให้เราไม่หยุดคิดถึงแก่นของหนังได้ ซึ่งมันแข็งแรงและบีบหัวใจมากๆ ต้องขอบคุณความปราณีตในการเขียนบท และการตัดต่อที่ลื่นไหล รับส่งอารมณ์ได้อย่างลงตัว เป็นหนังที่นำเสนอได้อย่างแพรวพราวแต่ก็กลมกล่อมมากๆ ในขณะเดียวกัน สิ่งที่ชอบมากๆ ของEverything Everywhere All At Onceคือการที่หนังเล่าถึงจักรวาลที่กว้างใหญ่มากๆ โลกของมัลติเวิร์ส แต่ในขณะเดียวกัน ฉากหลังของมันส่วนใหญ่กลับอยู่แค่ตึกสรรพากร ภาพรวมอันใหญ่โตของหนัง เกิดขึ้นในสถานที่เล็กๆ แค่นิดเดียว เช่นเดียวกับประเด็นของหนังที่เล่าไปถึงตั้งแต่ สัจธรรมของจักรวาลที่เราเป็นเพียงมนุษย์ตัวเล็กๆ ในความกว้างใหญ่ไพศาลที่ไม่มีขอบเขตที่สิ้นสุด ไปจนถึงประเด็นเล็กๆ ตั้งแต่ตัวเราเอง การรับมือกับจิตใจของเรา ครอบครัวของเรา ช่องว่างระหว่างวัยที่เกิดขึ้นระหว่างคนแต่ละรุ่น วัฒนธรรมของโลกตะวันออกและตะวันตก หนังจับประเด็นอันหลากหลายใส่ไว้ในหนังเพียงเรื่องเดียว ซึ่งน่าจะกระแทกใจผู้ชมด้วยประเด็นที่ต่างกันไป แล้วแต่แบคกราวน์ชีวิตของแต่ละคน โดยรวมEverything Everywhere All At Onceคือประสบการณ์การดูหนังที่แปลกใหม่และน่าตื่นเต้นสุดเรื่องนึงของปีนี้ หนังมีคุณค่าของภาพยนตร์ครบแทบทุกประการ แถมยังสดุดีหนังเก่าๆ อีกเพียบ(ถ้าคุณชอบดูหนัง อาจจะสังเกตเห็นว่าหลายฉากแอบแซว แอบกล่าวถึงหนังบางเรื่อง)ทั้งหมดทั้งมวลถูกถ่ายทอดโดยการแสดงอันยอดเยี่ยมแบบยกทีม ไม่ใช่แค่ มิเชลล์ โหย่วเท่านั้น แต่นี่คืองานกลุ่มที่ควรค่าแก่การได้รับคำชมเชยแบบทั้งเซ็ต นี่คือหนังที่รวมเอาหลายๆGenreไว้ในเรื่องเดียว มันทั้งแอ็กชัน มันทั้งตลก มันทั้งโรแมนติก มันทั้งดราม่าบีบอารมณ์ มันทั้งซึ้งกินใจEverything Everywhere All At Onceคือความกล้าที่จะแปลกของA24ซึ่งทำออกมาได้ลงตัว หนังเรื่องนี้อาจจะไม่ใช่สำหรับทุกคน แต่ควรค่าแก่การลอง(ให้9คะแนนจากคะแนนเต็ม10คะแนน)

[REVIEW] ‘SMILE’ เมื่อรอยยิ้มฆ่าคนตาย หนังสยองสุดตึงเครียด | GOSSIP GUN

27 ก.ย. 2022

[REVIEW] ‘SMILE’ เมื่อรอยยิ้มฆ่าคนตาย หนังสยองสุดตึงเครียด | GOSSIP GUN

จุดเริ่มต้นของหนังสยองขวัญแห่งปีอย่าง Smile เกิดขึ้นจากหนังสั้น Laura Hasn't Slept ของ ปาร์กเกอร์ ฟินน์ ที่คอนเซปต์เจ๋งและสยดสยอง จนถูกใจผู้บริหารของค่ายพาราเมาต์ พิคเจอร์ หนังจึงถูกหยิบมาพัฒนาเป็นหนังใหญ่ โดย ปาร์กเกอร์ ฟินน์ กลับมาสานต่อความหลอนจากหนังสั้นของเขาเอง รับหน้าที่เป็นผู้กำกับหนังใหญ่ครั้งแรก สำหรับ Smile ฉบับยาว เล่าถึง ดร.โรส (รับบทโดย โซซี เบคอน จากซีรีส์ 13 Reasons Why) จิตแพทย์หญิงที่เพิ่งเผชิญเหตุการณ์สุดสยอง เมื่อคนไข้ของเธอฆ่าตัวตายต่อหน้าต่อตา ก่อนตายคนไข้คนนี้คลั่งและบอกว่า มีสิ่งลึกลับที่มีรอยยิ้มไล่ตาม ดร.โรส ยิ่งสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ จึงเริ่มสืบและพบว่า มีคนตายจากรอยยิ้มในลักษณะเดียวกันกว่า 20 คนแล้ว และที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือ ดูเหมือนว่าคำสาปสุดอาถรรพ์นี้กำลังไล่ตามเธอเช่นกัน !สิ่งที่ทำให้ Smile มีเอกลักษณ์และแตกต่างจากหนังสยองขวัญเรื่องอื่นๆ คือ คอนเซปต์ ที่หยิบรอยยิ้มมาทำให้กลายเป็นความหลอน แม้เราอาจจะเห็นรอยยิ้มแบบหลอนๆในหนังมากมาย (อาทิ Joker และ Stephen King's It) แต่มันไม่เคยถูกหยิบมาเป็นแกนหลักของเรื่องอย่างจริงจัง บวกกับเส้นเรื่องในสไตล์การแก้คำสาป แบบเดียวกับ The Ring ที่ดูเหมือนจะไม่ได้เห็นกันมาสักพักใหญ่แล้ว ทำให้ Smile มีความน่าสนใจอยู่ไม่น้อย และหนังยังมีกลิ่นอายแบบ It Follows หนังเขย่าขวัญที่ทำให้คนยืนนิ่งๆดูน่ากลัวได้ เรื่องนี้มีสไตล์คล้ายๆกัน แต่เพิ่มรอยยิ้มเข้าไป ทำให้ระหว่างดูหนัง แม้แต่คนที่ยืนยิ้มนิ่งๆ ยังชวนขนลุกได้ หนังทำให้เราผวาในแบบที่ไม่คาดคิดได้จริงๆนอกจากจะเป็นหนังสยองขวัญ อันที่จริงแล้ว Smile มีความเป็นหนังจิตวิทยาที่ชัดเจนมาก เพราะหนังเล่นกับตัวละครหลักคือ ดร.โรส ซึ่งเป็นจิตแพทย์ แต่อันที่จริงแล้วเธอเองก็เคยเผชิญปัญหาทางจิตมาก่อน และยิ่งมาเจอกับเหตุการณ์หลอนที่หาทางออกไม่ได้แบบนี้ ยิ่งทำให้เธอสติแตกไปกันใหญ่ ความเก่งกาจของหนัง คือการทำให้ผู้ชมตึงเครียด และเหมือนจะประสาทแดกแบบนางเอกได้เหมือนกัน เมื่อหนังยิ่งดำเนินไป ข้อแม้ต่างๆของหนัง ปมคำสาปจากรอยยิ้ม มันชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ การผูกปมของหนังมันเลยยิ่งแน่นขึ้นไปอีก นั่นทำให้ Smile กลายเป็นหนังสยองขวัญที่บีบหัวใจของคุณช้าๆ แต่เมื่อถึงจุดพีกแล้ว มันยิ่งบีบหัวใจขั้นสุดในส่วนของงานโปรดักชันส่งเสริมความสยองของหนังได้อย่างดีเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นเสียงประกอบ ที่หลอนจับใจ การเคลื่อนกล้องที่หลายครั้งเลือกใช้ภาพกลับหัว สไตล์การตัดต่อ การเชื่อมโยงแต่ละฉาก หลายครั้งที่โฉ่งฉ่าง ทำให้ผู้ชมกระตุกได้เหมือนกัน และการบิลด์ผู้ชมด้วยความสยองในแบบ Jump Scare หนังใช้วิธีนี้ค่อนข้างเยอะพอสมควร แต่กระนั้นต้องชื่นชมผู้กำกับ ปาร์กเกอร์ ฟินน์ ที่ให้ฉากหลอกเหล่านี้ ดูมีรสนิยม เป็นการหลอกให้เราตกใจ แบบที่น่าสนใจ ไม่ได้ให้สิ่งลึกลับโผล่มาทื่อๆ อย่างไร้ที่มาที่ไปแต่อย่างใด โดยรวม Smile จึงกลายเป็นหนังสยองขวัญอีกเรื่องของปี 2022 ที่ทำได้ดีเกินคาดจริงๆ ใครที่อยากสัมผัสความหลอน ความตึงเครียด ลองชมหนังเรื่องนี้กันดู 29 กันยายนนี้ในโรงภาพยนตร์ชมตัวอย่าง Smile ยิ้มสยอง สัปดาห์นี้ทุกโรงภาพยนตร์ภาพ : UIP Thailand

[REVIEW] ‘Knives Out : Glass Onion’ ฆาตกรรมหรรษาเคสใหม่ สนุกฮาชั้นเชิงเกินร้อย| GOSSIP GUN

22 ธ.ค. 2022

[REVIEW] ‘Knives Out : Glass Onion’ ฆาตกรรมหรรษาเคสใหม่ สนุกฮาชั้นเชิงเกินร้อย| GOSSIP GUN

ยกให้เป็นหนังโคตรสนุกส่งท้ายปีเลยก็ว่าได้ สำหรับภาคใหม่ของ Knives Out หนังตามหาฆาตกรสไตล์ Whodunit ที่มาพร้อมกับความแสบสันต์ และทีมนักแสดงชุดใหญ่ ย้อนกลับไปเมื่อ 3 ปีก่อน Knives Out กลายเป็นหนังระดับโคตรฮิตและกวาดคำวิจารณ์ในแง่บวกไปเพียบ จากทุนสร้างเพียง 40 ล้านเหรียญฯ สามารถทำรายได้ทั่วโลกไปกว่า 300 ล้าน กลายเป็นแฟรนไชส์ใหม่สำหรับพระเอก แดเนียล เคร็ก หลังโบกมือลาบท เจมส์บอนด์ ไปแล้ว เขาก็ได้หนังฮิตชุดใหม่ต่อทันที และเมื่อหนังสามารถเรียกผู้ชมได้มากขนาดนี้ Netflix เลยตาไว ซื้อสิทธิจากค่าย Lionsgate ไปซะเลย และซื้อแบบรวดเดียวทั้งภาค 2 และ 3 ทำให้หนัง Knives Out ภาคใหม่นี้ ผู้ชมจะไม่ได้ดูในโรงเหมือนภาคก่อน แต่จะลงให้ชมใน Netflix เป็นสเต็ปแรกไปเลยหนังภาคใหม่นี้ ใช้ชื่อเต็มๆว่า "Glass Onion : A Knives Out Mystery” พาผู้ชมไปหรรษากับคดีใหม่ของ นักสืบเบอร์นัวห์ บลองค์ ซึ่งรับบทโดย แดเนียล เคร็ก เขาคือนักแสดงคนเดียวจากภาคแรกที่กลับมาแสดงในภาคต่อนี้ โดยเบอร์นัวห์ ได้บัตรเชิญให้ไปร่วมงานปาร์ตี้สุดเอ็กซ์คลูซีฟ บนเกาะส่วนตัวสุดหรู ที่ทะเลในประเทศกรีซ ซึ่งเจ้าของคือมหาเศรษฐีผู้ร่ำรวยจากเทคโนโลยีใหม่ๆ เมื่อเขามาถึงก็ได้พบว่า แขกทั้งหมดล้วนเป็นเพื่อนที่สนิทสนมกันมานานของ เศรษฐีคนนี้ ซึ่งทั้ง นักการเมืองปากเก่ง ยูทูปเบอร์สุดเพี้ยน อดีตนางแบบสาวตัวแม่ และอีกเพียบ โดยทุกคนจะต้องมาร่วมสนุกกับการไขปริศนาคดีฆาตกรรม แต่ทุกอย่างกลับเข้มข้นขึ้น เมื่อมีหนึ่งในกลุ่มเพื่อน เสียชีวิตจริงๆ แต่ใครคือฆาตกรกันแน่ ?สามารถพูดได้เต็มปากว่า Glass Onion คือหนังที่โคตรสนุก โคตรแสบ และคาดเดาไม่ได้จริงๆ ดูเหมือนองค์ประกอบในหลายๆอย่างจะถูกเพิ่มขึ้นจากภาคก่อน หลังจากที่ Knives Out ภาคแรกกลายเป็นหนังที่ประสบความสำเร็จเกินคาด กลายเป็นจุดที่เพิ่มความมั่นใจให้กับผู้กำกับ ไรอัน จอห์นสัน มากยิ่งขึ้น ว่าเขามาถูกทางแล้ว กับการผสมผสานระหว่างหนังสไตล์ตามหาฆาตกรสุดเข้มข้น กับหนังตลกเสียดสีสุดแสบสันต์ สิ่งที่ผู้ชมชื่นชอบ ดูเหมือนจะถูกเพิ่มดีกรีในภาคนี้หมด สิ่งที่ทำให้หนังสนุกมาก คือชั้นเชิงในการเล่าเรื่องของไรอัน มันไม่ใช่แค่ผู้ชมจะลุ้นว่าใครจะตาย ใครคือฆาตกร แต่ดีเทลต่างๆที่ใส่มา ล้วนมีความสำคัญแทบทั้งหมด มุกเล็กๆน้อยๆที่หยอดไว้ มันอาจจะเชื่อมโยงกับอะไรบางอย่างหลังจากนั้นก็ได้ กลายเป็นหนังที่เล่าอย่างแพรวพราวจริงๆสิ่งที่ถูกเพิ่มดีกรีขึ้นมาใน Glass Onion อย่างชัดเจนอีก คืองานโปรดักชั่น และอารมณ์ขันสุดแสบ หลังจากที่ภาคแรกเน้นการเล่าเรื่องในคฤหาสน์สุดหรูของคุณปู่ ภาคนี้จัดความใหญ่ด้วยเกาะส่วนตัวกันไปเลย ซึ่งมีรายละเอียดของสถานที่ที่อลังการอยู่ไม่น้อย (รวมถึงสถานที่ที่จะเผยว่าชื่อหนัง Glass Onion หมายถึงอะไร) อีกจุดที่เพิ่มดีกรีขึ้นมา คือ ความตลกแบบแสบจี๊ด หลังจากภาคแรกเสียดสี สังคมอเมริกาและการเมืองแบบไม่แตะเบรก ภาคนี้ดูเหมืิอนจะเสียดสีและล้อเลียน กลุ่มคนที่ถูกยกให้เป็น Elite ของสังคม ไม่ว่าจะเป็น เศรษฐีเทคโนโลยี (แบบ อีลอน มัสก์) ผู้ที่โด่งดังจากโลกออนไลน์ โดยมุกต่างๆที่แทรกไว้ ค่อนข้างเวิร์กเลยทีเดียว และจังหวะการเล่น การขยี้ก็ค่อนข้างลงตัว จากรอบปฐมทัศน์ในไทยที่ Netflixจัดฉายพิเศษในโรง สามารถบอกได้ว่า หัวเราะกันลั่นโรงจริงๆพาร์ทสำคัญที่เป็นไฮไลต์ของหนังสไตล์ Whodunit คือ Ensemble Cast หลักจากภาคนี้ ไรอัน จอห์นสัน ชวนนักแสดงดังๆมาร่วมแสดงกันแน่นจอ ภาคนี้แม้ว่าดีกรีความดังของนักแสดงอาจจะเทียบภาคแรกไม่ได้ แต่ว่าแต่ละคนก็มีของแบบไม่ธรรมดา ประกอบด้วย เอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน, เคต ฮัดสัน, เดฟ บอทิสต้า, แคทเธอรีีน ฮาห์น แต่ที่โดดเด่นเหนือออกมา คือการแสดงของ จาเนล โมเน่ห์ ในบทเพื่อนรักเพื่อนแค้นของคนกลุ่มนี้ ด้วยคาแรคเตอร์ของเธอทำให้ จาเนล สามารถโชว์สกิลได้อย่างหลากหลาย ส่วนนักแสดงนำอย่าง แดเนียล เคร็ก ภาคนี้ดูเหมือนเขาจะเอ็นจอยกับบทมากขึ้น แดเนียลดูสบาย ดูสนุกกับบท จนทำให้คนดูเพลิดเพลินกับตัวละครนี้ไปด้วย จนอยากจะตามต่อภาคหน้าแล้วว่าเขาจะไปคลี่คลายคดีที่ไหนโดยรวม Glass Onion : A Knives Out Mystery ถือเป็นหนังโคตรบันเทิงมากๆ ผสมผสานระหว่างหนังสืบหาฆาตกรกับตลกเสียดสีอย่างลงตัว จนไม่แปลกใจที่หลายๆสถาบันจะให้เรื่องนี้ติดอันดับหนังยอดเยี่ยมของปีด้วย รวมถึง แดเนียล เคร็ก ก็ได้ชิงรางวัลในหลายๆสถาบัน นอกจากทีมนักแสดงสุดแสบแล้ว Knives Out ภาคนี้ยังแอบใส่นักแสดงรับเชิญไว้หลายคน นอกจากคนดูจะเซอร์ไพรสกับเส้นเรื่องที่คาดเดาไม่ได้แล้ว ยังจะเซอร์ไพรสกับแขกรับเชิญที่หนังใส่มาอีกด้วย (นักแสดงบางคนมาแต่เสียงก็มี) นี่จึงเป็นหนังที่สนุกและห้ามพลาดส่งท้ายปี แม้ว่าคุณจะยังไม่เคยดูภาคแรกมาก่อน ก็สามารถมาเอ็นจอยกับภาคนี้ได้เลย เพราะเป็นการเปิดคดีใหม่ เส้นเรื่องไม่ได้เกี่ยวโยงกันGlass Onion : A Knives Out Mystery สตรีม 23 ธันวาคมใน Netflix

[REVIEW] ‘Avatar : The Way of Water’ ปรากฏการณ์แห่งโลกภาพยนตร์ ตื่นตาอ้าปากค้าง | GOSSIP GUN

15 ธ.ค. 2022

[REVIEW] ‘Avatar : The Way of Water’ ปรากฏการณ์แห่งโลกภาพยนตร์ ตื่นตาอ้าปากค้าง | GOSSIP GUN

คงไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่จะสร้างภาคต่อของหนังที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก Avatar ภาคแรกออกฉายเมื่อ 13 ปีก่อน และยังครองตำแหน่งหนังทำเงินสูงสุดตลอดกาลของโลก ด้วยรายได้ 2.9 พันล้านเหรียญฯ มันกลายเป็นหนังในดวงใจของใครหลายๆคน มันกลายเป็นหนังที่พลิกโฉมโลกภาพยนตร์ ด้วยเทคโนโลยีการสร้างที่ทันสมัย ดังนั้น เมื่อ เจมส์ คาเมรอน ต้องสร้างภาคต่อให้กับหนังที่ฮิตที่สุดในโลก เขาจึงต้องใช้เวลา และเขาไม่ได้มาแค่เล่นๆ เพราะหนังภาคต่อถูกวางแพลนยาวๆถึงภาค 5 กันเลยทีเดียว (ตอนนี้ถ่ายทำภาค 3 เสร็จแล้ว และถ่ายภาค 4 ไปได้องค์แรก) ดังนั้นผู้ชมจึงต้องรอนานมากกว่าทศวรรษเพื่อกลับสู่แพนโดร่าอีกครั้งAvatar : The Way of Water เล่าเหตุการณ์มากกว่า 10 ปีหลังจากเหตุการณ์ในภาคแรก (ห่างพอๆกับปีฉายหนังทั้งสองภาคนั่นเอง) เมื่อ เจคและเนทีรี ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข พร้อมกับสมาชิกครอบครัวใหม่ ทายาทของพวกเขาถึง 4 คน แต่แล้ว มนุษย์ก็ยังไม่หยุดแผนการณ์ที่จะเข้ายึดครองดาวดวงแห่งนี้ แถมยังขยายเขตอาณานิคมกว้างขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาจึงต้องลุกขึ้นสู้ เพื่อปกป้องเผ่าพันธุ์ และได้พบว่าผู้พันไมล์ ศัตรูจากภาคแรกที่แม้เจคจะสังหารไปแล้ว กลับปรากฏตัวขึ้นในร่างใหม่ (แต่เพราะอะไรต้องไปดูกันในหนัง) โดยไมล์มีเป้าหมายเดียว คือการตามล่าเจค และสังหารเขา นี่คือความแค้นส่วนตัวที่นำไปสู่การไล่ล่าครั้งใหม่ เจคจึงต้องทำทุกทางเพื่อปกป้องครอบครัว นำไปสู่การผจญภัย การต่อสู้ และสงคราม ในแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อนสิ่งที่ทำให้ เจมส์ คาเมรอน ใช้เวลาเตรียมงานสร้างภาคต่อ Avatar นานกว่าทศวรรษคือการพัฒนาเทคโนโลยี ภาคแรกผู้ชมจะเห็นความสมจริง จากการถ่ายทำแบบเทคนิค Motion-Capture ดังนั้น สีหน้า แววตา การขยับตัวของตัวละครจะเหมือนนักแสดง แต่ภาคนี้ไอเดียเขาล้ำกว่า คือจะถ่าย Motion-Capture แบบในน้ำ ซึ่งไม่มีใครเคยทำมาก่อน เขาจึงต้องทดลองอยู่นาน ซึ่งความพยายามนี้เอง ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก เพราะไฮไลต์ที่โดดเด่นจริงๆของ The Way of Water นั้น คือฉากใต้น้ำนี่เอง หนังใช้เวลาถึง 2 ใน 3 ของเรื่องกับฉากเหนือน้ำและใต้น้ำ ทำให้เทคนิคนี้ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างคุ้มค่า ภาพที่ปรากฏบนจอดูสวยสะกดสายตามากๆ ทำให้สิ่งที่เห็นแล้วตื่นตะลึงในภาคแรก ถูกอัพเลเวลความน่าตื่นตาขึ้นไปอีก ยิ่งดูในระบบ IMAX 3D ยิ่งเพิ่มอรรถรส เหมือนเราหลุดเข้าไปอยู่ในโลกแห่งนั้นจริงๆ เหมือนเราลงไปในมหาสมุทรจริงๆก็ว่าได้ (ดีไม่ดี สวยกว่าของจริงด้วย)นอกจากงานสร้างที่สามารถเรียกว่า Visual Stunning สวยงามระดับตื่นตะลึงแล้ว สิ่งที่ทำให้ Avatar ภาคใหม่ตรึงผู้ชมได้ดี คือการไต่ระดับอารมณ์ของหนัง โดยเฉพาะในชั่วโมงสุดท้าย เจมส์ คาเมรอน สามารถเนรมิตฉากไคลแมกซ์สุดยิ่งใหญ่ออกมาได้อย่างไม่ผิดหวัง โดยเฉพาะซีนแอ็กชันในภาคนี้ เล่นใหญ่มาก และทำเอาลุ้นระทึกได้ตลอด แถมดีไซน์มุมกล้องออกมาได้สดใหม่ ทำให้เพิ่มความว้าวขึ้นไปอีก แต่ปัญหาหลักของ Avatar ภาคนี้ กลับเป็นเส้นเรื่อง ที่เหมือนจะยังไม่ได้เดินหน้าไปไหนมากนัก (จนหลายคนแซวว่าหนังรีเมกภาคแรกด้วยซ้ำ) หนังยังคงวนเวียนอยู่กับตัวละครกลุ่มเดิม จากภาคแรกที่เป็นการปกป้องเผ่าพันธุ์และอาณาจักร ภาคนี้ดูเหมือนกับโฟกัสที่ปมแค้นส่วนตัวของตัวละครมากขึ้นกว่าเดิม ทำให้พลังความหึกเหิม และอารมณ์ร่วมค่อนข้างลดหายไปอยู่บ้าง (แต่ถ้าคิดซะว่าเป็นแผนยาว ที่เขาต้องสร้างถึงภาค 5 ก็พอเข้าใจอยู่ว่าจะเก็บอะไรไว้เล่าอีกเยอะ)โดยรวม Avatar : The Way of Water คือหนังอีกหนึ่งเรื่องที่สามารถพูดได้เต็มปากว่าเป็น Cinema Experience ผู้ชมจะได้สัมผัสประสบการณ์ในการดูหนังในโรงที่ยอดเยี่ยม แม้ว่าตัวหนังเองอาจจะไม่ได้สดใหม่เท่าภาคแรก แต่มันก็ยกระดับงานสร้างขึ้นไปจากเดิม อรรถรสในการดูหนังเรื่องนี้ จึงอยู่ที่การได้ดูในโรงภาพยนตร์ที่จอใหญ่ๆ และเสียงกระหึ่มจริงๆ นี่คือหนังอีกเรื่องที่ตอกย้ำว่า การดูหนังในโรงมันแตกต่างจากดูที่บ้านอย่างไร เพราะเชื่อเหลือเกินว่า เมื่อหนังถูกลงในระบบสตรีมมิ่งแล้ว ถ้าดูซ้ำ คงไม่ได้อ้าปากค้าง หรีือเหมือนหลุดเข้าไปในโลกแพนโดร่า เหมือนตอนดูในโรงอีกแล้วชมตัวอย่าง Avatar : The Way of Water วันนี้ในโรงภาพยนตร์ภาพ : 20th Century Studios Thailand

album

0
0.8
1