[REVIEW] ‘House of the Dragon ’ มหาสงคราม 2 ศตวรรษก่อนศึกชิงบัลลังก์ Game of Thrones | GOSSIP GUN

HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘House of the Dragon ’ มหาสงคราม 2 ศตวรรษก่อนศึกชิงบัลลังก์ Game of Thrones | GOSSIP GUN

22 ส.ค. 2022

Game of Thrones คือซีรีส์ระดับปรากฏการณ์ของทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งสร้างแรงกระเพื่อมไปยังทุกองค์ประกอบที่เกี่ยวข้อง ความสำเร็จอันท่วมท้นนี้ นำไปสู่การสานต่อเรื่องราวที่ HBO ไม่ยอมปล่อยให้กระแสความร้อนแรงของซีรีส์หมดไปอย่างง่ายๆ แม้เส้นเรื่องหลักจะอวสานไปแล้วหลังจาก 8 ซีซั่น แต่แน่นอนว่าเหตุการณ์ในเวสเทอรอส ยังมีให้เล่าขานอีกมากมาย นำมาสู่การสร้างซีรีส์ Spin-Off / Prequel ที่เล่าเรื่องราว 200 ปีก่อนที่เหตุการณ์ใน Game of Thrones จะเกิดขึ้น เหตุการณ์ที่นำไปสู่สงครามกลางเมือง และจุดอวสานของตระกูลแทร์แกเรียน และบัลลังก์เหล็ก

House of the Dragon โฟกัสพล็อตหลักที่การสืบทอดบัลลังก์ของราชวงศ์ทาร์แกเรียน ในรัชสมัยของ คิงวิเซอร์ริสที่ 1 ในช่วงเวลาที่ราชินีของเขากำลังให้กำเนิดทายาทคนใหม่ และเขาหวังให้เป็นบุตรเพื่อขึ้นเป็นกษัตริย์คนต่อไป หลังจากที่ประเพณีซึ่งสืบทอดกันมา ไม่นิยมให้ผู้หญิงขึ้นปกครอง แต่แล้วเหตุการณ์กลับไม่ง่ายอย่างที่เขาคาดไว้ รวมถึงการมาของ เจ้าชายเดม่อน น้องชายสุดอำมหิตของเขา ที่ต้องการจะครอบครองบัลลังก์เช่นเดียวกัน ซึ่งสองตัวละครสำคัญที่จะมีบทบาทต่อไป คือ เจ้าหญิงเรเนียน่า ธิดาคนโตของคิงวิเซอร์ริสที่ 1 และเพื่อนสนิทของเธออย่าง เลดี้อลิเซนต์ สองคาแรคเตอร์สำคัญที่จะนำไปสู่ Dance of the Dragon หรือสิ่งที่ผู้คนในเรื่องเรียกขาน มหาสงครามที่นำไปสู่จุดสิ้นสุดของราชวงศ์ทาร์แกเรียน

ความยิ่งใหญ่ของโปรดักชั่น ความเข้มข้นและคาดเดาไม่ได้ของเส้นเรื่อง ความแรงของฉากต่างๆที่ทั้งถึงเลือดถึงเนื้อ และร้อนแรงติดเรตแบบไม่ยั้งมือ เป็นหลายองค์ประกอบที่ทำให้ Game of Thrones ค่อยๆกวาดผู้ชมให้กลายเป็นแฟนอันเหนียวแน่น จำนวนมหาศาลในช่วงซีซั่นท้ายๆ แต่แล้วบาดแผลสำคัญที่ทำให้แฟนๆเจ็บอยู่ไม่น้อย คือ ผลลัพธ์ของตอนอวสาน ที่อาจจะทำได้ไม่ยอดเยี่ยมเท่ากับกว่า 70 กว่าตอนก่อนหน้านี้ สร้างความผิดหวังกลายเป็นปมเจ็บในใจของเหล่าแฟนพันธุ์แท้ การมาถึงของ House of the Dragon จึงกลายเป็นจุดเสี่ยงสำคัญ ถ้าซีรีส์ภาคนี้ออกมาดี HBO ก็จะสามารถดึงความนิยมจากแฟนๆกลับมาได้อีกครั้ง แต่ถ้าภาคนี้ออกมาพินาศ นั่นอาจจะกลายเป็นจุดสิ้นสุดของซีรีส์เอพิกมหากาพย์เรื่องนี้ (ไม่ต่างกับจุดสิ้นสุดของตระกูลทาร์แกเรียนในเรื่อง)

ข่าวดีคือ หลังจากที่ House of the Dragon ได้พรีเมียร์ตอนแรกไป ผลลัพธ์ที่ออกมา ดูเหมือนจะเป็นในฝั่งแรกมากกว่าฝั่งหลัง นี่คือซีรีส์ที่ทำให้แฟนๆมีความหวังกับ Game of Thrones อีกครั้ง ด้วยการเปิดเรื่องอย่างเข้มข้น ซีรีส์ค่อยๆพาผู้ชมไปรู้จักกับสมาชิกคนสำคัญในตระกูลทาร์แกเรียน และบุคคลต่างๆที่ล้อมรอบคิงวิเซอร์ริส และค่อยๆเผยปมของแต่ละตัวละคร ที่อาจจะนำไปสู่ความขัดแย้งในอนาคต หลังจากซีรีส์ดำเนินตอนแรกไปไม่ถึงครึ่งทาง ความตึงเครียดก็ค่อยๆสะสมขึ้น ทวิสต์หรือจุดหักมุมที่ผู้ชมอาจจะคาดไม่ถึงก็ค่อยๆถูกใส่เข้ามา นี่คืออารมณ์ในแบบที่แฟนๆของ Game of Thrones คุ้นเคย และสัมผัสได้ว่า มันกำลังกลับมาอีกครั้งใน House of the Dragon 

นอกจากการผูกปมของซีรีส์ให้แน่นขึ้นเรื่อยๆและเยอะขึ้นเรื่อยๆในตอนที่ 1 แล้ว องค์ประกอบต่างๆที่แฟนๆชอบ ดูเหมือนจะกลับมาแบบครบเครื่อง เริ่มต้นจากงานโปรดักชั่นที่กลิ่นอายความยิ่งใหญ่ ความเอพิก ถูกเผยให้เห็นอยู่เรื่อยๆ แม้ว่าในตอนแรกอาจจะยังไม่มีฉากสงครามอันยิ่งใหญ่ แต่ฉากแอ็กชันต่างๆ ก็ทำออกมาได้อย่างถึงอารมณ์ และแน่นอนว่า ความโหดเหี้ยม ความรุนแรงก็ถูกใส่มาอย่างไม่ยั้งมือ จนทำเอาหลายฉากที่ผู้ชมอาจจะต้องเบือนหน้าหนีเลยทีเดียว ส่วนฉากความร้อนแรงระดับติดเรต ที่เป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ของ Game of Thrones ก็ยังไม่ขาดหายไปในซีรีส์นี้ เรียกว่าเซอร์วิสแฟน แทบจะครบทุกองค์ประกอบที่ต้องการเลยทีเดียว

สำหรับในตอนที่ 1 จะโฟกัสที่สองตัวละครสำคัญ พี่น้องตระกูลทาร์แกเรียน อย่าง คิงวิเซอร์ริส ซึ่งถ่ายทอดบทนี้ของ แพดดี้ คอนซิไดน์ นักแสดงชาวอังกฤษ ที่เพียงแต่ตอนแรก ก็ทำให้ผู้ชมสัมผัสได้ถึงมิติต่างๆของตัวละคร ความเป็นมนุษย์ของกษัตริย์คนหนึ่ง ทั้งในแง่มุมของความแข็งแกร่งและความอ่อนแอ ส่วนอีกตัวละครคือ เจ้าชายเดม่อน ที่รับบทโดย แมตต์ สมิธ ที่คอซีรีส์ชาวไทยคุ้นเคยดีจาก The Crown มาในบทที่เข้ากับเขาอย่างถึงที่สุด ชายที่แม้จะดูอำมหิต อันตราย แต่ก็เพราะเขามีปมในใจบางอย่างที่ยังไม่ได้รับการเยียวยา หลายฉากที่สองตัวละครนี้เข้าฉากด้วยกัน ทั้งสองนักแสดงสร้าวความตึงเครียดให้กับซีนนั้นได้อย่างดีเยี่ยม ส่วนอีกสองนักแสดงคนสำคัญอย่าง เอ็มม่า ดาร์ซีย์ และ โอลิเวีย คุก ที่รับบทสองเพื่อนสนิทอย่าง เจ้าหญิงเรเนียน่า และเลดี้อลิเซนต์ ในตอนแรก พวกเธอทั้งสองยังไม่ได้แสดง แต่เป็น มิลลี่ อัลคอก และเอมิลี่ แคร์รี่ ที่มารับบทเป็นทั้งสองตัวละครในช่วงวัยรุ่น ก่อนที่จะโตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ซึ่งจะเล่าถึงในตอนถัดไป

ในฐานะตอน Pilot เอพพิโซด 1 ของ House of the Dragon ถือว่าทำหน้าที่เรียกแขกได้อย่างน่าพึงพอใจ ไม่ว่าจะเป็นแขกประจำที่เคยชื่นชอบ Game of Thrones สิ่งที่พวกเขาต้องการจากซีรีส์เรื่องนี้ ถือว่ากลับมาอย่างน่าพอใจ นอกจากนี้แฟนซีรีส์น่าจะฮือฮากับหลายๆ Easter Egg ที่ถูกใส่เข้ามา การ Mention ถึงหลายตระกูลใน Game of Thrones การเอ่ยถึงเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งแฟนๆน่าจะสนุกกับตรงนี้ และรอติดตามอย่างต่อเนื่อง ส่วนแขกใหม่ที่ยังไม่เคยดู Game of Thrones มาก่อน อยากแนะนำว่า House of the Dragon อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ที่น่าสนใจ ด้วยความเป็น Prequel ดังนั้น แม้จะไม่เคยดู Game of Thrones มาก่อนเลยก็ดูรู้เรื่อง ลองมาเริ่มต้นไปพร้อมๆกัน

House of The Dragon ในซีซั่นแรกมีความยาว 10 ตอนจบ โดยตอนใหม่จะพร้อมให้สตรีมทุกๆเช้าวันจันทร์เวลา 8 โมงเช้า(ตรงกับสองทุ่มคืนวันอาทิตย์ของอเมริกา) เฉพาะใน HBO GO เท่านั้น

 

ภาพ : GameofThrones

related HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘Extraction 2’ ภาคใหม่เดือดจัด ซัดหนักฉากแอ็กชัน 21 นาทีนันสต็อป | GOSSIP GUN

16 มิ.ย. 2023

[REVIEW] ‘Extraction 2’ ภาคใหม่เดือดจัด ซัดหนักฉากแอ็กชัน 21 นาทีนันสต็อป | GOSSIP GUN

ย้อนกลับไปเมื่อเดือนเมษายนปี 2020 Extraction คือหนังแอ็กชันฟอร์มยักษ์ของ Netflix ที่ได้รับอานิสงส์จากโควิด-19 ไปแบบเต็มๆ ในช่วงเวลาเพียงแค่เดือนกว่าๆหลังล็อกดาวน์ โรงภาพยนตร์ถูกปิด หนังโปรแกรมยักษ์ทั้งหมดถูกเลื่อนฉายแบบไม่มีกำหนด แต่ Extraction กลายเป็นหนังฟอร์มโตเรื่องเดียวที่ไม่ได้รับผลกระทบ เพราะโปรแกรมฉายนั้นอยู่ใน Netflix ในช่วงเวลาที่คนส่วนใหญ่ต้องอยู่บ้านและต่างกระหายหนังบล็อกบัสเตอร์ Extraction สามารถตอบโจทย์ได้อย่างเต็มๆ จนหนังสามารถทุบสถิติ กลายเป็นหนังที่มียอดวิวสูงสุดตลอดกาลของ Netflix ในขณะนั้น ด้วยยอดคนดูที่เฉียดระดับร้อยล้านคนภายใน 4 สัปดาห์แรกของการปล่อยฉาย จากความสำเร็จในระดับนี้ ทำให้ Netflix ไม่รอช้าประกาศสร้างภาคต่อ ท่ามกลางความงงของแฟนๆ เพราะว่าตัวละครพระเอกในหนังนั้น เสียชีวิตในตอนจบของภาคแรกไปแล้วExtraction คือผลงานการรีทีมกันอีกครั้งของพระเอก คริส เฮมเวิร์ธ และสองพี่น้องผู้กำกับจาก Avengers : Endgame อย่าง โจและแอนโทนี รุสโซ ที่ทำหน้าที่อำนวยการสร้างหนังเรื่องนี้ โดยโจนั้นยังเขียนบทภาพยนตร์เองด้วย เพราะดันให้ แซม ฮาร์เกรฟ สตันต์แมนตัวพ่อที่เคยร่วมงานกันมาในหนังจักรวาลมาร์เวลหลายต่อหลายเรื่อง ขึ้นแท่นมาเป็นผู้กำกับ โดยในภาค 2 นี้ สมาชิกทั้งหมดก็ยังคงยกทีมกันกลับมาทำหน้าที่เดิม โดย คริส กลับมารับบทเป็น ไทเลอร์ เรค นักฆ่ารับจ้างยอดฝีมือ ซึ่งหลังจากรอดตายจากภาคแรก (แบบดื้อๆ) เขาก็กลับมาพร้อมกับภารกิจใหม่ โดยเปลี่ยนโลเคชั่นจากประเทศร้อนๆอย่าง บังคลาเทศในภาคแรก (ซึ่งถ่ายทำในไทย) ไปเป็นประเทศที่มีอากาศหนาวเย็นอย่าง จอร์เจีย โดยในภาคนี้ เขาต้องบุกเข้าไปในคุกที่ความปลอดภัยแน่นหนา เพื่อช่วยสมาชิกของครอบครัวมาเฟียชาวจอร์เจียออกมาให้ได้ ซึ่งแน่นอนว่าทุกอย่างไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด ไทเลอร์ต้องเผชิญกับอุปสรรคสารพัด ท่ีรอขวางทางเขาอยู่แน่นอนว่าไฮไลต์ของ Extraction 2 ก็ยังคงเป็นฉากแอ็กชันที่เดือดจัดในระดับที่ไม่แพ้ภาคแรก หลังจากในภาคก่อนผู้ชมได้เจอกับฉากแอ็กชันแบบนันสต็อปยาวกว่า 10 นาที ในภาคนี้ผู้สร้างขอดับเบิ้ลไปเลยด้วยฉากแหกคุกที่มีความยาวแบบ 21 นาที ที่ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ลองเทคจริงๆ แต่ก็ใช้เทคนิคในการตัดต่อให้ผู้ชมรู้สึกแบบนั้น นี่คือไฮไลต์อย่างแท้จริงของหนังที่ระหว่างดูเล่นเอาอ้าปากค้างไปหลายรอบ อุทานด้วยความอึ้งไปหลายครั้งเช่นกัน ด้วยการดีไซน์ฉากบู๊ที่ทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่เสียชื่อของ แซม ฮาร์เกรฟที่เป็นอดีตสตันต์แมนมาก่อน บวกกับวิธีการเคลื่อนกล้องที่ลื่นไหล ในอนาคตหนังอย่าง Extraction น่าจะค่อยๆไต่ระดับขึ้นเป็นหนังแอ็กชันที่สะใจแฟนๆ ได้ใกล้เคียงกับหนังอย่าง John Wick อย่างแน่นอน (ซึ่งเรื่องหลังเขานำโด่ง สร้างมาตรฐานไว้สูงลิบแล้ว)นอกจากฉากบู๊ซีนใหญ่ที่ว่านี้ ระหว่างทาง Extraction 2 ก็ยังคงเสิร์ฟฉากแอ็กชันมันส์ๆไว้ตลอดทั้งเรื่อง หลายฉากก็เพิ่มดีกรีความมันส์ได้เยอะกว่าภาคแรก เหมือนผู้สร้างเริ่มจับทางได้แล้วว่า ตัวเองถนัดอะไร ผู้ชมต้องการอะไรจากหนังเรื่องนี้ ก็พยายามจัดสิ่งที่ใช้มาให้ผู้ชมตลอด และในขณะเดียวกันก็ไม่ได้พยายามสร้างเรื่องให้ซับซ้อนเกินความจำเป็น พล็อตยังคงง่ายๆ แค่ภารกิจของพระเอกกับการช่วยเหลือคนออกมาเท่านั้น ด้วยความที่หนังที่ต้องเสียเวลากับการปูเรื่องอะไรมากมายนัก ทำให้หนังมีเวลาค่อนข้างมากในการใส่ฉากแอ็กชัน และกระชับความยาวหนังให้ไม่ยาวไม่มากกว่า 2 ชั่วโมงโดยรวม Extraction 2 ยังคงจัดเต็มความมันส์แบบไม่ให้ได้พัก ข้อดีมากๆของหนังคือฉากแอ็กชันที่มันส์แบบถึงอารมณ์ หลายฉากเรียกเสียงปรบมือจากผู้ชมได้ลั่นโรง (จากรอบพรีวิวที่ผู้เขียนได้ไปดูมาในโรง) และที่สำคัญ เริ่มจะเห็นความพยายามในการสร้างจักรวาลของตัวเอง ผู้สร้างน่าจะเห็นถึงศักยภาพในการเป็นแฟรนไชส์ใหญ่ในอนาคตได้ หลายๆฉากในภาคนี้ก็เลยใส่เข้ามาเพื่อปูทางไว้สำหรับในอนาคต ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีสำหรับพระเอก คริส เฮมเวิร์ธ หลังจากบทบาทเทพเจ้า Thor ในจักรวาลมาร์เวล เดินทางมาถึงจุดอิ่มตัวแล้ว การที่เขามีแฟรนไชส์นี้ น่าจะไปได้อีกไกล ซึ่งดูจะเป็นบทที่เหมาะกับเขาแบบมากๆด้วยชมตัวอย่าง Extraction 2 สตรีม 16 มิถุนายนนี้ใน Netflixภาพ : Netflix Thailand

[REVIEW] ‘The Point Men’ แผนชิงตัวประกันในอัฟกานิสถาน ระทึกหนักตั้งแต่นาทีแรก ! | GOSSIP GUN

22 ก.พ. 2023

[REVIEW] ‘The Point Men’ แผนชิงตัวประกันในอัฟกานิสถาน ระทึกหนักตั้งแต่นาทีแรก ! | GOSSIP GUN

ถือเป็นหนังเกาหลีโปรแกรมใหญ่เรื่องแรกประเดิมปี 2023 เลยสำหรับ The Point Men ที่เรียกได้ว่าใหญ่ในทุกๆองค์ประกอบ เริ่มจากนักแสดงนำที่ใหญ่ระดับบิ๊กเนมแห่งเกาหลี อย่าง ฮวางจองมิน ที่หนังของเขาล้วนติดอันดับ All-Time Box Office มากมาย อาทิ Ode To My Father, Veteran, A Violent Prosecutor และ The Wailing มาประกบกับ ฮยอนบิน จาก Clash Landing on You ที่เพิ่งมี Confidential Assignment 2 กวาดเงินถล่มทลายเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ใหญ่ทั้งพล็อตซึ่งหยิบเอาเหตุการณ์จริงช็อกโลก ของนักท่องเที่ยวเกาหลีในอัฟกานิสถานที่ถูกจับเป็นตัวประกันมาเล่า และใหญ่จนถึงงานโปรดักชั่น ซึ่งเพื่อความสมจริง หนังจึงยกกองกันไปถ่ายทำไกลถึงประเทศจอร์แดน จนได้บรรยากาศรกร้างว่างเปล่าใกล้เคียงกับอัฟกานิสถานจริง (ที่เข้าไปถ่ายทำไม่ได้ ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย)The Point Men สร้างจากเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นในปี 2007 ที่ประเทศอัฟกานิสถาน เมื่อนักท่องเที่ยวชาวเกาหลีใต้ จำนวน 23 คน ถูกกลุ่มติดอาวุธตาลีบัน จับไปเป็นตัวประกัน เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลอัฟกานิสถาน ปล่อยตัวนักโทษตาลีบันที่ถูกจับคุมขังไว้ในคุกเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน เหตุการณ์วิกฤตครั้งนี้ กลายเป็นภารกิจสำคัญของ แจโฮ (รับบทโดย ฮวางจองมิน) นักการทูตที่ถูกส่งตัวไปยังกรุงคาบูลทันที เพื่อรับมือกับเหตุการณ์ครั้งนี้ และต้องร่วมมือกับ เดซิก (รับบทโดย ฮยอนบิน) เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองที่เชี่ยวชาญในพื้นที่แถบนี้ แม้ว่าในตอนแรกพวกเขาจะแทบเข้ากันไม่ได้เลย แต่เพื่อช่วยชีวิตพลเมืองเกาหลีถึง 23 ชีวิต พวกเขาจึงต้องทำทุกทางเพื่อหยุดวิกฤตครั้งนี้ให้ได้โดยรวม The Point Men สามารถรักษาบรรยากาศความตึงเครียดได้ตั้งแต่นาทีแรก หนังแทบจะไม่เสียเวลาในการเล่าเรื่องที่ไม่สำคัญเลย เปิดมาฉากแรกก็เข้าสู่โหมดระทึก และแทบจะไม่กราฟตกเลยนับจากนั้น โดยหนังมีมู้ดและโทนที่เน้นไปในทางการเจรจาต่อรอง หรือ หาวิธีในการช่วยตัวประกัน มากกว่าอัดฉากแอ็กชันที่เน้นลุยเน้นต่อสู้ ทำให้ The Point Men ดูจะเป็นหนังแอ็กชันทริลเลอร์ ที่มีความบุ๋น มากกว่าความบู๊ เน้น ใช้สมอง มากกว่าเน้นลุย อาจจะไม่ได้ถูกใจคอแอ็กชั่นมากนัก แต่ใครที่ชอบหนังที่มีความกดดัน เรื่องนี้สามารถทำให้ผู้ชมลุ้นตามได้แทบทุกฉากเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงท้ายๆ ที่แม้ว่าจะพอรู้บทสรุปอยู่บ้าง(ถ้าติดตามข่าว เพราะมันคือเรื่องจริง) แต่หนังก็ยังสามารถเร้าอารมณ์ได้ถึงขีดสุดอยู่ดีในแง่ของนักแสดงยิ่งทำให้ The Point Men หายห่วงเข้าไปใหญ่ เมื่อตัวละครหลักในการดำเนินเรื่องอยู่ที่ ฮวางจองมิน นักแสดงรุ่นใหญ่ที่ไม่ว่าบทไหนเขาก็เอาอยู่หมด มาประกบกับ ฮยอนบิน ที่เรื่องนี้เปลี่ยนจากลุคมาดคลีนๆมาเป็นหนุ่มใหญ่สายลุย ที่อาจจะดูแปลกตาไปบ้าง แต่ก็เป็นภาพที่เท่อยู่ไม่น้อย และเมื่อมาเจอกับ ฮวางจองมิน กลายเป็นสองคาแรคเตอร์ที่ลักษณะดูแตกต่างกันสุดขั้ว แต่เคมีกลับเข้ากันอย่างมาก ถือเป็นส่วนผสมที่ค่อนข้างเพอร์เฟคเลยทีเดียว แถมในหนังยังได้ คังคิยง (จาก Extraordinary Attorney Woo) มาสร้างสีสันในบทของ กาซิม ชายชาวเกาหลีที่อาศัยอยู่ในอัฟกานิสถาน ตัวละครของเขาคือส่วนของอารมณ์ขัน ที่หยิบเข้ามาแทรกในจังหวะตึงเครียด ให้ผู้ชมได้เบรกอารมณ์ผ่อนคลายบ้าง ในจังหวะที่พอเหมาะสรุปแล้ว The Point Men ถือเป็นหนังแอ็กชันทริลเลอร์ที่เน้นสร้างบรรยากาศระทึก มากกว่าลงลึกด้านการเมือง และบิลด์ฉากแอ็กชัน เน้นฉากการเจรจาต่อรองเพื่อช่วยเหลือตัวประกันเป็นหลัก ซึ่งภาพรวมสร้างออกมาได้อย่างสมจริง และยิ่งใหญ่ในงานสร้าง หนังสามารถถ่ายทอดบรรยากาศของอัฟกานิสถานออกมาได้อย่างหลากหลายแบบตามจุดประสงค์ของแต่ละซีน ฉากในกรุงคาบูลก็เต็มไปด้วยความชุลมุนวุ่นวาย ฉากนอกเมืองก็มีแต่บรรยากาศที่เคว้งคว้าง ใครที่ชื่นชอบหนังแนวนี้ หรือเป็นแฟนหนังเกาหลี น่าจะไม่ควรพลาด The Point Men ที่การันตีความฮิตมาแล้ว ด้วยการครองอันดับ 1 ของตารางหนังทำเงินเกาหลี ได้นานถึง 3 สัปดาห์ซ้อนชมตัวอย่าง The Point Men ล็อคเป้าตาย ค่าไถ่หยุดโลกภาพ : Mongkol Major Mongkol Cinema

[REVIEW] ‘Babylon’ มหากาพย์สุดบ้าคลั่ง ฉากหลังยุคทองฮอลลีวูด| GOSSIP GUN

18 ม.ค. 2023

[REVIEW] ‘Babylon’ มหากาพย์สุดบ้าคลั่ง ฉากหลังยุคทองฮอลลีวูด| GOSSIP GUN

La La Land คือปรากฏการณ์ของฮอลลีวูด หลังจากเข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง13 สาขาเทียบเท่า Titanic แม้ว่าท้ายที่สุดจะพลาดรางวัลสำคัญอย่าง Best Picture แต่หนังก็ส่งให้ เดเมียน ชาเซลล์ กลายเป็นผู้กำกับที่อายุน้อยที่สุดที่ชนะสาขา Best Director นั่นทำให้ทุกโปรเจกต์หลังจาก La La Land จากฝีมือเขาล้วนถูกจับตา หลังจากเบนเข็มไปเล่าเรื่องนอกฮอลลีวูดมาแล้วกับ First Men เดเมียนขอกลับสู่เรื่องราวที่เขารักมากที่สุดอีกครั้ง เรื่องราวของแวดวงภาพยนตร์ใน 'Babylon' โปรเจกต์ยักษ์ทุนสร้าง80 ล้านเหรียญฯ ที่เปิดโอกาสให้เดเมียนที่โชว์ฝีมือแบบเต็มที่ จะได้โชว์เรื่องราวเกี่ยวกับฮอลลีวูดอย่างเต็มสตรีมBabylon พาผู้ชมย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นยุคทองของฮอลลีวู้ดในช่วงปลายยุค 1920s มหากาพย์ของหลากหลายตัวละคร ที่แจ้งเกิดและแตกดับ ท่ามกลางการเปลี่ยนถ่ายของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ จากยุคหนังเงียบ สู่หนังที่มีเสียง หลายความฝันเป็นจริง หลายคนมุ่งมั่นประสบความสำเร็จ แต่เมื่อทุกอย่างไม่ยั่งยืน จึงไม่มีคำว่า ตลอดไป โดยเฉพาะในวงการนี้ โดยตัวละครหลักๆที่หนังโฟกัส เริ่มจาก แมนนี่ (รับบทโดย ดิเอโก้ ซัลวา) หนุ่มจากเม็กซิโกที่ข้ามชายแดนมายังฮอลลีวู้ดเพราะหลงไหลในมนต์เสน่ห์ของภาพยนตร์ จนทำให้เขาอยากสร้างหนัง ได้มาเจอกับ เนลลี่ (รับบทโดย มาร์โก ร็อบบี้) หญิงสาวสุดทะเยอทะยานที่เธอเชื่อสุดใจว่าเธอเกิดมาเพื่อเป็นซูเปอร์สตาร์ ระหว่างที่ทั้งคู่ค่อยๆไล่ตามความฝันไปทีละขั้น พวกเขาก็ได้เจอกับ แจ็ค คอนราด (รับบทโดย แบรด พิตต์) นักแสดงเบอร์ท็อปของวงการในขณะนั้น ที่ไม่ว่าเล่นหนังเรื่องไหนก็ฮิตติดลมบนทุกเรื่อง แต่เมื่อฮอลลีวูดกำลังจะเปลี่ยนไป ยุคของหนังเสียงกำลังก้าวเข้ามาแทนที่หนังเงียบ พวกเขาทุกคนและทุกชีวิตในฮอลลีวูดก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปถ้าเปรียบ La La Land เป็นเหมือนน้ำนิ่งที่ไหลลึก หนังอย่าง Babylon ก็คือคลื่นที่ซัดกระหน่ำไม่หยุดตลอดเวลา แม้ว่ามันจะเล่าถึงคนตามฝันในวงการบันเทิงเหมือนกัน แต่สำหรับเรื่องนี้ เดเมียน ขอปรับเข้าสู่โหมดที่บ้าคลั่งอย่างเต็มที่ เรียกว่าปล่อยของแบบไม่มีลิมิตเลยจริงๆ หนังเริ่มจากฉากปาร์ตี้สุดคลั่ง ที่เต็มไปด้วยเหล้ายาเซ็กซ์ หลายอย่างที่ไม่มีใครคาดคิด (แม้แต่ช้างก็ยังมี) กับทุกเหตุการณ์ที่เหนือความควบคุม สะท้อนถึงภาพความสุดเหวี่ยงของไลฟ์สไตล์คนบันเทิงในยุคนั้น ก่อนที่จะต่อด้วยเช้าวันใหม่กับการถ่ายทำหนังที่เต็มไปด้วยความโกลาหลอลหม่านขั้นสุด กองถ่ายที่หนังฟอร์มใหญ่ที่ดูเหมือนกำลังจะพังพินาศ จะพังแหล่ไม่พังแหล่ แค่ฉากใหญ่สองซีนแรก ก็ทำให้ผู้ชมอารมณ์สูบฉีดขั้นสุด มันทั้งสนุก ทั้งบ้าคลั่ง ทั้งตลกอย่างร้ายกาจ และเป็น Mood Tone แรก ที่บอกถึงสไตล์อันชัดเจนของ Babylon ในช่วงเวลาที่เล่าถึงการผงาดของหลายความฝันและเมื่อความเปลี่ยนแปลงมาถึง อีกหนึ่ง Mood Tone ที่ค่อยๆเผยออกมาใน Babylon คือความดาร์กของชีวิต ที่หลายฉากพาให้อารมณ์ผู้ชมดำดิ่งอยู่ไม่น้อย เมื่อทุกอย่างไม่จีรั่งยั่งยืน ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้าไปได้ตลอด หนังค่อยๆพาผู้ชมไปดู ชีวิตที่ต้องจะเกียกตะกายไล่ตามฝันอีกครั้ง หลังจาก La La Land เดเมียนเคยสื่อสารกับผู้ชมว่า ทุกความฝันย่อมต้องมีการเสียสละ คุณไม่สามารถเอาชนะหรือทำตามใจตัวเองได้ทุกอย่าง นำไปสู่บทสรุปที่หลายคนใจสลาย สำหรับ Babylon เดเมียนกำลังจะบอกผู้ชมว่า แม้ความฝันจะเป็นจริงแล้ว แต่ไม่มีอะไรอยู่กับเราได้ตลอดไป ทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องชั่วคราวทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียงเงินทอง เมื่อหลายๆตัวละครขึ้นสู่จุดสูงสุด แล้วตกลงมาท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง มันจึงไม่ง่ายเลยที่จะกลับไปอยู่จุดเดิมอีกครั้ง (ซึ่งส่วนใหญ่ไม่มีโอกาสนั้นอีกแล้ว)ไม่แปลกใจที่กระแสคำวิจารณ์ของ Babylon จากเมืองนอก จะออกมาในลักษณะที่ไม่ รัก ก็ เกลียด มันเป็นหนังที่ส่วนตัวมากๆสำหรับเดเมียน เหมือนสร้างมาประหนึ่งว่าตัวเองจะไม่มีโอกาสได้สร้างหนังอีกแล้ว เขาอยากเล่าอะไรจึงเล่า อยากทำอะไรจึงทำ หนังมันจึงมีอารมณ์ที่ขึ้นสุดลงสุด ตลอด 3 ชั่วโมง 8 นาที บ้างก็ว่าหนังขาดความสมูธ บ้างก็ว่าทิศทางของหนังดูเหมือนจะไม่ชัดเจนเท่าไหร่นัก แต่โดยรวมต้องชื่นชมความจัดเต็มของเขา การออกแบบงานสร้างที่ไม่ธรรมดา ดนตรีประกอบสุดเร้าใจ และการแสดงโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดิเอโก้ ซัลวา และมาร์โก้ ร็อบบี้ ที่แสดงได้อย่างยอดเยี่ยมในหลายๆฉากที่ท้าทายฝีมือมากๆท้ายที่สุดแม้ว่า Babylon จะแตกต่างจาก La La Land อย่างมาก แต่ก็มีหลายครั้งที่กลิ่นอายของLa La Land (หรือแม้แต่งานก่อนหน้าอย่าง Whiplash) ชัดเจนมากเช่นกัน โดยเฉพาะดนตรีประกอบที่ท่วงทำนองในหลายฉากภาพของ La La Land ผุดเข้ามาในหัวเลย ใครที่เคยชอบ La La Land ก็อยากให้ลองมาพิสูจน์หนังเรื่องนี้ แม้ว่าหนังจะดูเป็นคนหลายบุคลิกไปหน่อย บ้าคลั่งไปหน่อย แต่แก่นก็มัน ก็ทั้งโรแมนติกและบีบหัวใจไม่แพ้กัน และที่แน่ๆ หลังจากดูจบเราเชื่อมั่นเหลือเกินว่า เดเมียน ชาเซลล์ รักในการทำหนัง รักในศาสตร์ของภาพยนตร์จริงๆ แม้ว่าช่วงท้ายเขาจะใส่หนักมากไปหน่อยก็ตาม แต่มันก็เป็นจดหมายแบบทั้งรักทั้งเกลียดของเขา ต่อสิ่งที่โลกเรียกว่า "ฮอลลีวูด"Babylon (บาบิลอน) เข้าฉาย 19 มกราคมนี้ ทุกโรงภาพยนตร์ภาพ : UIP Thailand

[REVIEW] ‘OMG รักจังวะ..ผิดจังหวะ’ นี่คือเพื่อนสนิทในฉบับยุคใหม่ หวนนึกถึงหนังวัยรุ่นจีทีเอช | GOSSIP GUN

28 ต.ค. 2022

[REVIEW] ‘OMG รักจังวะ..ผิดจังหวะ’ นี่คือเพื่อนสนิทในฉบับยุคใหม่ หวนนึกถึงหนังวัยรุ่นจีทีเอช | GOSSIP GUN

นานแค่ไหนแล้วที่ผู้ชมไม่ได้ดูหนังวัยรุ่น ในแบบที่คุณเคยตกหลุมรักค่ายจีทีเอช หนังรักในวัยเรียนในแบบ เพื่อนสนิท หรือ Season Change การมาถึงของ 'OMG รักจังวะ..ผิดจังหวะ' เป็นเหมือนการพาผู้ชมย้อนกลับไปสัมผัสหนังรักในสไตล์นั้นอีกครั้ง แต่ถูกเล่าด้วยจังหวะในแบบยุคใหม่ ในสไตล์ของคนรุ่นใหม่ แต่ยังคงมีพล็อตที่กระแทกใจ และคนส่วนใหญ่สามารถเชื่อมโยงกับประสบการณ์ของตัวเองได้ นั่นทำให้ OMG มีส่วนผสมของหนังวัยรุ่นจีทีเอชที่หลายคนคิดถึง กับซีรีส์วัยรุ่นยุคปัจจุบันที่มีสไตล์การเล่าที่ค่อนข้างเร็ว มีจังหวะที่โบ๊ะบ๊ะ เหมือนดูรายการทาง YouTube ผสมกับความเป็นยุค TikTok บวกกับวิธีการเล่าในแบบหนังของ เต๋อ นวพล'OMG รักจังวะ..ผิดจังหวะ' มาพร้อมกับชื่อตัวละครที่จำง่ายๆ เพราะแทบจะโยงมาจากชื่อจริงของนักแสดงนำเกือบทั้งหมด เล่าเรื่องราวของ กาย (รับบทโดย สกาย วงศ์รวี) เด็กหนุ่มที่โตมากับพี่น้องหญิงล้วน ที่คอยสอนเขาให้จีบหญิง มารยาทในการเข้าสังคมกับผู้หญิง กายตกหลุมรัก จูน (รับบทโดย จูเน่ เพลินพิชญา) เพื่อนในมหาลัยฯเดียวกัน แต่ทุกครั้งที่เขาพยายามจะจีบหรือบอกรักจูน ดูเหมือนพระเจ้าจะไม่เข้าข้างเขาตลอด ทุกอย่างดูผิดจังหวะและไม่เป็นใจไปเสียหมด ตอนที่เขาโสด จูนก็ดันมีแฟน พอจูนเลิกกับแฟน กายก็ดันไม่โสด จังหวะไม่ลงล็อกเสียที จนกระทั่ง จูนได้เจอกับ พี่พีต (รับบทโดย พีช พชร) หนุ่มนักร้องโปรไฟล์โคตรดี ชายหนุ่มสุดแสนจะเพอร์เฟ็ค การที่ที่จูนคบกับพี่พีต ทำให้ความรักของกาย ยิ่งไม่เป็นไปตามแผน ท้ายที่สุด จังหวะรักของเขาและจูน จะลงตัวหรือไม่ ต้องไปติดตามกันต่อในหนังอย่างที่เกริ่นไป OMG เป็นหนังโรแมนติกคอเมดี้ที่ไม่ค่อยเห็นค่ายหนังอารมณ์ดีสร้างมาสักพักแล้ว (ส่วนใหญ่ จีีดีเอช จะสร้างหนังรอมคอมที่ตัวละครโตขึ้นกว่าเดิม อย่าง น้อง/พี่/ที่รัก และ Friend Zone ที่ไม่ใช่วัยรุ่นในรั้วมหาลัยฯ) การพาผู้ชมไปสัมผัสความรักของวัยเรียนอีกครั้ง ทำให้หวยคิดถึงหนังรักวัยรุ่นแบบ จีทีเอช อยู่ไม่น้อย ระหว่างที่ดู OMG ทำให้หวนคิดถึงหนังอย่าง เพื่อนสนิท ตลอดเวลา พร้อมกับนึกไปว่า ถ้าเพื่อนสนิท ถูกหยิบมาสร้างในยุคนี้ มันก็คงเล่าเรื่องในสไตล์แบบนี้ จังหวะแบบนี้ Pacing แบบนี้ ที่ค่อนข้างลงล็อกกับรสนิยมของวัยรุ่นยุคนี้ นอกจากพล็อตที่มีจุดร่วมคือการตกหลุมรักเพื่อนสนิทแล้ว ตัวละคร กาย ยังทำให้หวนนึกถึง หลายๆบทที่ ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ เคยแสดง มีคาแร็คเตอร์ที่คล้ายคลึงกัน หรือแม้แต่การลง Voice Over สิ่งที่ตัวละครกายคิด ก็มีความคล้ายคลึงกับหนังอย่าง ฟรีแลนซ์ อยู่ไม่น้อย แม้ว่าหนังอาจจะไม่สามารถเทียบเท่าหนังอย่าง เพื่อนสนิท หรือ Season Change ที่กลายเป็นหนังวัยรุ่นระดับคลาสสิกไปแล้ว แต่ OMG ก็สนุกมากพอที่จะทำให้นึกถึงหนังเหล่านั้นสิ่งที่น่าชื่นชมสำหรับ OMG มีหลายๆส่วน ที่ทำให้หนังค่อนข้างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นมุกตลก ที่จังหวะโบ๊ะบ๊ะและเวิร์กในเกือบทุกฉาก พอถึงช่วงดราม่าหนักๆ หนังก็สามารถดึงจังหวะให้ผู้ชมอินกับอารมณ์ในฉากนั้นได้ ไม่ได้ย้วยหรือสั้นจนเกินไป รวมถึงการแสดงของทั้ง สกายและจูเน่ ที่ต่างมีเสน่ห์และออร่ามากๆทั้งคู่ บวกกับเคมีที่เข้ากันดี เหมาะกับการเป็นทั้งเพื่อนสนิทและคู่รัก จนอดเชียร์สองตัวละครนี้ไม่ได้ แต่สิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดของ OMG คือ บทภาพยนตร์ และการตัดสินใจว่าเส้นเรื่องจะไปยังจุดไหน โดยเฉพาะในครึ่งหลัง ที่มีปมด้านศีลธรรมเข้ามาเกี่ยวข้อง หนังเลือกทางออกที่สมจริงมากพอ เลือกบทสรุปที่ค่อนข้างน่าพอใจ ทำให้สิ่งที่ OMG ปูมาตั้งแต่แรกไม่สูญเปล่า ไม่ว่าจะในแง่มุมใดโดยรวม 'OMG รักจังวะ..ผิดจังหวะ' คือหนังรอมคอมวัยรุ่นฟีลกู้ด ที่ผู้ชมน่าจะเอ็นจอยกับเรื่องราวและอินกับหนังได้อย่างไม่ยาก ด้วยพล็อตที่เชื่อว่าใกล้ตัวเกือบทุกคน ไม่ว่าจะเคยผ่านประสบการณ์แบบนี้มา หรืออาจจะกำลังเกิดขึ้นกับตัวเองในขณะนี้ ผ่านการแสดงที่มีเสน่ห์มากๆ ของทั้ง สกายและจูเน่ สองนักแสดงที่ถ่ายทอดสองตัวละครที่มีความเป็น มนุษย์สุดๆ ดีบ้าง ร้ายบ้าง เห็นแก่ตัวบ้าง เอาแต่ใจบ้าง ชั่วบ้าง แต่ทั้งหมดมันก็คือ คนทั่วไป ที่ผิดพลาดได้ แต่ก็ต้องแก้ไขและยอมรับในความผิดพลาด หลายครั้งที่ผู้ชมทั้งเชียร์และไม่เชียร์คู่นี้ ตามจังหวะชีวิตและสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปในแต่ละฉาก หนังยังฝากให้ผู้ชมได้คิดในหลายๆประเด็นความรัก จังหวะที่ใช่มันคืออะไร ต้องไปหาคำตอบกันในหนังเรื่องนี้'OMG รักจังวะ..ผิดจังหวะ' วันนี้ในโรงภาพยนตร์ภาพ : GDH

album

0
0.8
1