[REVIEW] ‘Bullet Train’ โหดมันส์ฮาหนังบู๊สายป่วน รถด่วนขบวนนักฆ่า | GOSSIP GUN

HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘Bullet Train’ โหดมันส์ฮาหนังบู๊สายป่วน รถด่วนขบวนนักฆ่า | GOSSIP GUN

11 ส.ค. 2022

จะเกิดอะไรขึ้น เมื่อภารกิจฉกของง่ายๆ บนรถไฟหัวกระสุน กลายเป็นสนามรบสุดเดือดบนขบวนรถไฟ ที่เต็มไปด้วยนักฆ่าจากรอบโลก นี่คือพล็อตของ Bullet Train ต้นฉบับคือนิยายของญี่ปุ่น ถูกนำมาสร้างเป็นหนังแอ็กชันคอเมดี้สุดชุลมุนโดยผู้กำกับที่เลื่องชื่อสายนี้อย่าง เดวิด ลีทช์ อดีตสตันท์แมน ที่เติบโตมาเป็นผู้กำกับหนังแอ็กชันสายเดือดอย่าง John Wick, Deadpool 2 และล่าสุด Fast & Furious : Hobbs & Shaw ที่แต่ละเรื่อง ฉากต่อสู้คลั่งของจริง และแฝงด้วยอารมณ์ขันอย่างเจ็บแสบ โดยหนังได้พระเอกตลอดกาลอย่าง แบรด พิตต์ มารับบทนำ ซึ่งถือเป็นการกลับมาเล่นหนังแอ็กชันในรอบหลายปี หลังจาก World War Z, Fury และ Allied ซึ่งมีรายงานว่า พิตต์ แสดงฉากแอ็กชันเองถึง 95% อีกด้วย

พิตต์ รับบทอดีตนักฆ่าฝีมือฉกาจ นามแฝงว่า "เลดี้บักส์" หลังจากเข้าบำบัดจิตเพื่อลืมอดีตอันน่าปวดหัว เขาต้องการรับแค่งานเบาๆ ไม่ได้อยากฆ่าคนมากมายอีกต่อไป จึงรับภารกิจง่ายๆ ด้วยการขึ้นไปฉกกระเป๋าใบหนึ่ง บนรถไฟสายด่วนที่มุ่งหน้าจากโตเกียว ไปยังเกียวโต เขาคิดว่างานนี้อย่างหมู เพราะแค่ขึ้นไป หยิบกระเป๋า แล้วลงมา ไม่มีอะไรซับซ้อนไปกว่านั้น แต่เขาไม่รู้เลยว่า รถไฟขบวนนี้ เต็มไปด้วยนักฆ่าจากทั่วโลกที่มีภารกิจเดียวกัน แถมยังมีนักฆ่าสายโหดอีก 2 คน ที่คอยเฝ้ากระเป๋าใบนี้อยู่ รถไฟหัวกระสุนขบวนนี้ จึงกลายเป็นสนามประลองสุดเดือด ที่มีผู้รอดตายเพียงคนเดียวเท่านั้น ที่จะได้กระเป๋าใบนี้ไปครอบครอง

สิ่งที่ทำให้ Bullet Train บันเทิงขีดสุด คือ ความชุลมุนวุ่นวายของหนัง การที่หนังค่อยๆวางหมากไว้มากมายตอนต้นเรื่อง ปูรายละเอียดตัวละครเอาไว้ ใส่ดีเทลไว้มากมาย แล้วหยิบมายำใหญ่มโหฬารในช่วงท้าย กลายเป็นจุดเด่นที่ชัดเจนมากๆ ได้ฟีลคล้ายการดูหนัง เควนติน ทารันติโน่ อาจจะไม่คมเท่า แต่ก็ดูง่ายกว่า ผสมกับฉากแอ็กชันที่ดุเดือด ตามสไตล์ของ เดวิด ลีทช์ ที่แม้ว่าฉากต่อสู้จะถูกออกแบบมาให้ดุดัน โหดระดับเรต R แต่มันก็แฝงด้วยอารมณ์ขันที่ร้ายกาจตลอดเวลา อาทิ ฉากที่พระเอกต้องต่อสู้กับนักฆ่าอีกคน บนรถไฟขบวนเงียบ กลายเป็นฉากต่อสู้ที่พวกเขาห้ามส่งเสียงอะไรทั้งนั้น ซึ่งในหนังจะมีฉากต่อสู้แปลกๆ ที่ทั้งโหด ทั้งมันส์ และทั้งฮา ประกอบเอาไว้อยู่มากมาย ถ้าจะอธิบายอารมณ์ของหนัง ที่ใกล้เคียงสุดก็น่าจะเป็น Deadpool 2 ของลีทช์นั่นเอง (ซึ่ง แบรด พิตต์ ก็เคยไปรับเชิญในนั้นด้วย)

พูดถึงแขกรับเชิญ Bullet Train เป็นหนังอีกเรื่องที่ผู้ชมจะได้เซอร์ไพรสกับกองทัพดารา ทั้งที่หนังหยิบมาโปรโมตและไม่ได้โปรโมต คนที่ชัดเจนสุดคือ แซนดร้า บูลล็อค ที่โผล่มาในบทผู้จ้างงานพระเอก (หนังเผยว่าเธอแสดงตั้งแต่ในตัวอย่างแล้ว)ซึ่งดีลนี้ เกิดจากการที่ พิตต์ และบูลล็อค ตกลงกันว่าจะมาปรากฏตัวในหนังของอีกฝ่าย เราจึงได้เห็น แบรด พิตต์ ไปโผล่ใน The Lost City ที่บูลล็อคแสดงนำเมื่อต้นปีที่ผ่านมา และได้เห็นบูลล็อค มาปรากฏตัวในเรื่องนี้ นอกจากนี้หนังยังมีนักแสดงรับเชิญอีกหลายคนที่ไม่สามารถสปอยล์ได้ สำหรับตัวของ แบรด พิตต์เอง บทบาทใน Bullet Train ทำให้ผู้ชมได้เห็นเขาในโหมดที่สบายๆ ตลกหน้าตายแบบเดียวกับใน Ocean's Eleven ความชิลล์ของคาแร็คเตอร์เขา ส่งผลให้หนังดูสบายๆไปด้วยเช่นกัน และอีกสองคนที่โดดเด่นจนแทบจะขโมยซีน คือ แอรอน เทย์เลอร์-จอห์นสัน (จาก Avengers : Age of Ultron) และไบรอัน ไทรี่ เฮนรี่ (จาก Eternals) ในบทสองนักฆ่าฝาแฝดที่ไม่เหมือนกันเลย กับหน้าที่เฝ้ากระเป๋าต้นเรื่อง เป็นสองนักแสดงที่เคมีอารมณ์ขัน เข้ากับพิตต์ได้ดีเหลือเกิน หลายฉากจะเห็นพวกเขารับส่งกันอย่างเป็นปี่เป็นขลุ่ย ทำให้หนังสมูธมากยิ่งขึ้น

จุดปัญหาของ Bullet Train ที่เห็นได้ชัด อาจจะเป็นช่วงองก์แรกที่หนังใช้เวลาในการปูตัวละครค่อนข้างเยอะ บางช่วงก็ย้วยเกินจำเป็น บางซีนก็เล่าไวจัด จนแทบจะตามไม่ทัน ก่อนที่จะมาแม่นจังหวะในช่วงองก์สองและสาม ด้วยความที่ตัวละครเยอะจัด และต้องเล่าที่มาที่ไป เพื่อใช้ประโยชน์ในตอนท้ายเรื่อง หนังเลยต้องใช้เวลาตรงนี้เยอะพอสมควร และอีกจุดที่จริงๆ อาจจะไม่ใช่จุดด้อย แต่เป็นปัญหากับผู้ชมบางส่วน คือการที่หนังใช้มุกตลกหน้าตายค่อนข้างมาก (โดยเฉพาะพระเอก) ถ้าผู้ชมไม่ใช่สายมุกทางนี้ อาจจะไม่เอ็นจอยกับหลายๆซีนของหนังก็เป็นอันได้

โดยรวม Bullet Train ถือเป็นหนังแอ็กชันชุลมุนที่เล่าเรื่องได้สนุก ฉากแอ็กชันทำถึง ฉากความวุ่นวายทำได้ดี และตัวละครล้วนสร้างสีสันให้กับหนังได้อย่างมาก แม้จะมีบางจุดที่อาจจะยาวไป และเล่นมุกเฉพาะทางเยอะไปหน่อย แต่ก็ถือว่าเป็นหนังฟอร์มใหญ่ส่งท้ายซัมเมอร์ 2022 ที่ค่อนข้างน่าพอใจเลยทีเดียว ถ้าเคยชอบผลงานชิ้นก่อนๆของ เดวิด ลีทช์ ทั้ง John Wick ภาคแรก, Deadpool ภาคสอง และ Fast & Furious ภาคแยก น่าจะเพลิดเพลินกับหนังเรื่องนี้ ท่ามกลางหนังภาคต่อหรือรีเมกมากมาย นานๆจะมีหนังออริจินัลโผล่เข้ามาให้ลิ้มลองในช่วงซัมเมอร์แบบนี้ ก็สามารถลองขึ้นรถไฟขบวนป่วนสายนี้ได้

ชมตัวอย่าง Bullet Train วันนี้ในโรงภาพยนตร์

ภาพ : Sony Pictures Thailand

related HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘Indiana Jones and the Dial of Destiny’ การผจญภัยครั้งสุดท้าย ได้ฟีลหนังสไตล์ยุค 80s | GOSSIP GUN

03 ก.ค. 2023

[REVIEW] ‘Indiana Jones and the Dial of Destiny’ การผจญภัยครั้งสุดท้าย ได้ฟีลหนังสไตล์ยุค 80s | GOSSIP GUN

ย้อนกลับไป Indiana Jones เคยได้รับการขนานนามว่า เป็นหนึ่งในหนังผจญภัยที่ยิ่งใหญ่สุดในฮอลลีวูด จากความสำเร็จของไตรภาคหลักในยุค 80s ที่เป็นการผนึกกำลังกันของสามยักษ์ใหญ่ในฮอลลีวูดอย่าง จอร์จ ลูคัส ผู้ให้กำเนิด Star Warsที่เป็นทั้งผู้สร้างและเจ้าของไอเดียหนังชุด Indiana Jones ซึ่งได้ดึงเอาเพื่อนสนิทอย่าง สตีเว่น สปีลเบิร์ก พ่อมดฮอลลีวูดมากำกับหนัง และมอบบทอินเดียน่า โจนส์ ให้กับ แฮร์ริสัน ฟอร์ด ที่กำลังมาแรงสุดๆในขณะนั้น จากบทฮาน โซโลในหนังระดับบล็อคบัสเตอร์อย่าง Star Wars ก่อนที่จะมีการกลับไปสร้างภาคต่ออีกครั้งในปี 2008 แต่กลับไม่ได้รับคำชมมากเท่า 3 ภาคแรก จนกระทั่งล่าสุด ดิสนีย์ ที่เพิ่งซื้อกิจการลูคัสฟิล์มมาไม่นาน ขอส่งท้ายตำนานอีกครั้งด้วยหนังภาคที่ 5 อย่าง 'Indiana Jones and the Dial of Destiny' โดย แฮร์ริสัน ฟอร์ด กลับมารับบทเป็นการส่งท้าย ด้าน สปีลเบิร์กและลูคัส กลับมานั่งตำแหน่งอำนวยการสร้าง และส่งต่อหน้าที่ผู้กำกับให้ เจมส์ แมนโกลด์ จาก The Wolverine และ Ford V Ferrariสำหรับ The Dial of Destiny พาผู้ชมย้อนกลับไปในปี 1969 ช่วงเวลา 12 ปีหลังจากภาคก่อน เมื่ออินเดียน่า โจนส์ เดินทางมาสู่วัยเกษียณ ชีวิตของเขาหมดความหมายอีกต่อไป เมื่อเขากำลังจะหย่าร้างกับภรรยาหลังสูญเสียลูกชายไปในสงคราม จนกระทั่งได้พบกับ เฮเลน่า (รับบทโดย ฟีบี้ วอลเลอร์ บริดจ์) ลูกสาวบุญธรรม ทายาทของเพื่อนสนิท ที่โผล่มาหาเขาเพราะต้องการรู้เรื่องราวของ สิ่งของโบราณอย่างหนึ่ง ซึ่งเชื่อกันว่าสามารถพาให้ผู้ครอบครองเดินทางย้อนเวลาได้ ซึ่งสมบัติชิ้นนี้ ก็เป็นที่หมายปองของ วอลเลอร์ (รับบทโดย แมดส์ มิคเคลเซ่น) อดีตนาซีศัตรูเก่าของอินเดียน่า ที่ปัจจุบันกลายเป็นหนึ่งในที่ปรึกษาของโครงการ NASA นำไปสู่การผจญภัยครั้งใหม่เพื่อตามหาสิ่งวิเศษชิ้นนี้ ก่อนที่มันจะตกอยู่ในมือผู้ประสงค์ร้ายIndiana Jones and the Dial of Destiny ถือเป็นหนังภาคส่งท้ายที่ค่อนข้างน่าพอใจ และได้บรรยากาศแบบเก่าๆกลับมาครบ เหมือนหนังพาผู้ชมย้อนเวลากลับไปสมัยปลายยุค 80s ถึงต้นยุค 90s อีกครั้ง เพราะถ้าไม่นับเรื่องของ CGI ที่มีพัฒนาการไปตามยุคสมัย Mood Tone ของหนังมีความคล้ายคลึงกับหนังยุคนั้น เหมือนหนังถูกสร้างและแช่แข็งเอาไว้ ก่อนที่จะนำออกมาฉายตอนนี้ ทำให้บรรยากาศแบบเดิมๆจากหนังไตรภาค กลับมาพอสมควร ใครที่คิดถึงหนังสไตล์นี้น่าจะพึงพอใจ เพราะแทบจะหาไม่ได้แล้วในยุคสมัยนี้ ในมุมหนึ่งมันก็ดูค่อนข้างจะโบราณไปบ้าง แต่ในมุมหนึ่งมันก็มีความ Old School เป็นความคลาสสิคที่นานๆกลับมาดู ก็เป็นรสชาติที่หลายคนคิดถึงองค์ประกอบต่างๆของหนังภาคนี้ ดูจะคล้ายคลึงกับภาคก่อนๆที่ผ่านมา ในด้านของเส้นเรื่องก็ไม่มีอะไรแปลกใหม่มากนัก เน้นเล่าการผจญภัยของอินเดียน่า โจนส์ ที่ต้องเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆตามลายแทงและหลักฐาน เพื่อตามหาสมบัติก่อนที่ตัวร้ายจะคว้าไป และระหว่างทางก็จะมีฉากแอ็กชันไล่ล่า ที่ก็จะเป็นไปตามเอกลักษณ์ของหนังสไตล์นี้ เนื่องด้วยพล็อตเรื่องจะเกิดขึ้นระหว่างช่วงปี 30s-60s ทำให้ฉากแอ็กชันส่วนใหญ่ก็จะเกิดขึ้นในป่า หรือตัวเมืองที่ค่อนข้างมีความโบราณ แต่การตัดต่อก็ทำออกมาได้ค่อนข้างเร้าอารมณ์ มีผสมกับอารมณ์ขันที่หนังมีอยู่เสมอ บวกกับเพลงธีมของ Indiana Jones ที่ทุกครั้งที่ใส่มา ยิ่งเพิ่มเอกลักษณ์ของหนังมาแบบเต็มๆสำหรับ แฮร์ริสัน ฟอร์ด ในวัย 80 ปี อาจจะไม่ได้กระฉับกระเฉงเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่หนังก็ไม่ได้พยายามจะให้ตัวละครอินเดียน่า โจนส์ในภาคนี้ หนุ่มกว่าวัยแต่อย่างใด หนังได้ใส่คาแรคเตอร์ในแบบวัยเกษียณเข้าไปด้วย มีกลิ่นความเป็นมนุษย์ลุงเบาๆ และช่วงองก์ที่ 3 ของหนังสำหรับภาคนี้ ถือมีบทส่งท้ายสำหรับอินเดียน่า โจนส์ ได้อย่างน่าพอใจ หนังพาผู้ชมไปไกลกว่าที่คาดคิดพอสมควร ยิ่งสำหรับตัวละครที่เป็นนักโบราณคดี การที่หนังพาไปไกลขนาดนั้น ถือว่าไม่ธรรมดา (แต่ขออนุญาตไม่สปอยล์ตรงนี้ เพื่ออรรถรสของผู้ชม) เป็นการปิดฉากสำหรับแฟรนไชส์หนังผจญภัยสุดยิ่งใหญ่ได้อย่างน่าพึงพอใจ ใครที่เป็นแฟนหนังแนวล่าขุมทรัพย์ ตามหาสมบัติก็ไม่ควรพลาดกันชมตัวอย่าง Indiana Jones and the Dial of Destiny วันนี้ในโรงภาพยนตร์ภาพ : Walt Disney Studios Thailand

[REVIEW] ‘The Flash’ หนังซูเปอร์ฮีโร่สุดเจ๋ง สร้างมัลติเวิร์สแบบไม่น้อยหน้าใคร | GOSSIP GUN

14 มิ.ย. 2023

[REVIEW] ‘The Flash’ หนังซูเปอร์ฮีโร่สุดเจ๋ง สร้างมัลติเวิร์สแบบไม่น้อยหน้าใคร | GOSSIP GUN

กวาดกระแสบวกไปอย่างท่วมท้นนับตั้งแต่ฉายรอบพิเศษในงาน CinemaCon เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา สำหรับ The Flash หนังซูเปอร์ฮีโร่เรื่องล่าสุดในจักรวาล DC ถึงขนาดที่ เจมส์ กันน์ หัวเรือของ DC Studio คนใหม่ที่ถึงแม้จะไม่ได้สร้างหนังเรื่องนี้ ก็ยังอดออกปากชมไม่ได้ว่านี่คือหนึ่งในหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่เคยมีมา ทำให้ตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา ก่อนที่ The Flash จะเข้าฉายจริงในกลางเดือนมิถุนายนนี้ ทางวอร์เนอร์ฯ สตูดิโอเจ้าของหนังจึงจัดรอบพิเศษมากมายทั่วโลกเพื่อบิลด์กระแสบวกให้กับหนัง ส่วนหนึ่งเพื่อกลบกระแสลบของนักแสดงนำอย่าง เอซร่า มิลเลอร์ ที่ก่อคดีมากมายตลอดปีที่ผ่านมา กลายเป็นดราม่าให้ผู้บริหารสตูดิโอปวดหัวว่าจะทำอย่างไรกับหนังเรื่องนี้ดี แต่เพราะผลลัพภ์ในแง่บวกสุดๆ ทำให้ค่ายหนังพยายามเบนเข็มความสนใจของแฟนหนังมายังรีวิว มากกว่าที่จะโฟกัสถึงพฤติกรรมส่วนตัวของนักแสดง เพื่อให้หนังได้เข้าฉายและประสบความสำเร็จมากที่สุดเท่าที่จะทำได้The Flash เป็นหนังเดีี่ยวเรื่องแรกของตัวละครแบร์รี่ อัลเลน หลังจากปรากฏตัวใน Justice League ของแซค สไนเดอร์ เอซร่า มิลเลอร์ก็กลับมารับบทนี้อีกครั้ง ภายใต้การคุมโปรเจกต์ของ แอนดี้ มุสชิเอติ จากหนัง Stephen King's It ทั้งสองภาคที่ประสบความสำเร็จจนวอร์เนอร์ไว้ใจให้เขาเข้ามาคุมหนังฟอร์มยักษ์เรื่องนี้ ซึ่งดูเหมือนว่า The Flash จะสร้างกระแสความฮือฮาต่อเนื่องตลอดการสร้าง เพราะข่าวน่าตื่นเต้นออกมามากมาย เริ่มจากการที่ เบน แอฟเฟล็ก จะกลับมารับบทแบทแมนในหนังเรื่องนี้ แต่ที่ทำให้แฟนๆตื่นตะลึงมากกว่า คือการที่ประกาศว่า ไมเคิล คีตัน จะกลับมารับบทแบทแมนอีกครั้ง หลังจาก Batman Returns ในปี 1992 ทำให้แฟนๆคาดการณ์ไปต่างๆนานาถึงพล็อต จนกระทั่งตัวอย่างปล่อยออกมาก็ยืนยันว่า หนังจะเล่าเรื่องในหลายมิติ ทำให้มีนักแสดงที่รับบทแบทแบน ปรากฏตัวใน The Flash มากกว่า 1 เวอร์ชั่นสำหรับในหนังเรื่องนี้จะเล่าถึง แบร์รี่ ที่ยังคงตกอยู่ในความเศร้า หลังสูญเสียแม่ไปตั้งแต่วัยเด็ก แต่เพราะเขาได้พลังเร็วกว่าแสงของ เดอะแฟลช มา ทำให้เขาสามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีตได้ ถึงแม้ว่า บรู๊ซ เวย์น จะพยายามห้ามไม่ให้เขาสร้างความวุ่นวายจากการเปลี่ยนอดีตก็ตาม แต่นั่นก็ไม่สามารถหยุดความตั้งใจของแบร์รี่ แต่ทุกอย่างเริ่มผิดพลาด เมื่อการย้อนกลับไปครั้งนี้ ทำให้เขาได้พบกับ แบร์รี่ ในอีกเวอร์ชั่น เขาได้สร้างมิติใหม่ขึ้นมา กลายเป็นโลกที่ นายพลซอด (รับบทโดย ไมเคิล แชนน่อน ที่กลับมารับบทเดิมจาก Man of Steel) กำลังจะบุกมาทำลาย เขามายังโลกใบนี้เพื่อที่จะตามหาซูเปอร์แมน ซึ่งทางเดียวที่จะหยุดแผนร้ายนี้นั้น คือการที่แบร์รี่ จะต้องตามหาเหล่าบรรดาจัสติซ ลีกในมิตินี้ ทำให้เขาพบกับ แบทแมนในเวอร์ชั่นที่เขาไม่เคยเจอมาก่อน แบทแมนที่ผู้ชมคุ้นเคยจากบทบาทการแสดงของ ไมเคิล คีตันแน่นอนว่า The Flash คือหนังทีี่สามารถอวยได้อย่างเต็มปากว่าเจ๋งมากๆ สมคำร่ำลือว่านี่คือหนังในจักรวาลดีซีที่อยู่ในระดับบนๆแน่นอน ความน่าสนใจมากๆของหนัง คือการวางโครงเรื่องและสร้างบทภาพยนตร์ออกมา ด้วยการเล่าเรื่องที่น่าติดตาม และคาดเดาไม่ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างหลังจากนี้ ความสนุกของหนังจึงอยู่ที่การพาผู้ชมเข้าสู่อีกมิติหนึ่งของดีซี มันเปิดโอกาสให้หนังสามารถเล่นอะไรได้มากมาย เปิดทางถึงความเป็นไปได้หลายๆอย่าง แน่นอนว่าหนังยังมีปมอีกมากมายที่ยังไม่ได้เล่าในตัวอย่าง ยังมีเซอร์ไพรสที่ซ่อนอยู่อีกพอสมควร ทำให้ระหว่างทางผู้ชมจะเจอได้กับหลายสิ่งที่ทำให้แปลกใจ นี่คือความสนุกของ The Flash และแน่นอนว่าหนังจะทำให้แฟนของดีซีกรี๊ดลั่นอย่างแน่นอนอีกหนึ่งความรู้สึกระหว่างดู The Flash คือการที่สัมผัสได้ว่า นี่เหมือนจะเป็นหนังภาคต่อกลายๆของ Batman Returns สำหรับแฟนๆของ แบทแมน ฉบับของ ไมเคิล คีตัน นี่เป็นเหมือนหนังที่จะพาผู้ชมไปรู้เรื่องราวของตัวละครนี้ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับบรู๊ซ เวย์น ฉบับนี้ตลอด 30 ปีที่ผ่านมา หลังจากจบภาคนั้นไปแล้วคีตันไม่รับบทนี้ต่อ ทำให้เกิด Batman Forever ขึ้น หนังเรื่องนี้เลยเปรียบเหมือนแบทแมนภาคที่หายสาบสูญไป ซึ่งการกลับมาครั้งนี้ของคีตัน เขายังคงเท่และทรงพลังมากๆในบทของแบทแมน แม้ว่าอายุของเขาและตัวละครบรู๊ซในหนังจะค่อนข้างมากแล้ว แต่ก็ไม่มีอะไรสามารถลดพลังและเสน่ห์ของแบทแมนในแบบของเขาได้เลย และจุดนี้ยิ่งเพิ่มเสน่ห์ให้กับหนังมากยิ่งขึ้นอย่างไรก็ตาม แม้ว่าหนัง The Flash จะมีแบทแมนเข้ามาปรากฏตัวถึงสองเวอร์ชั่น และใช้เวลากับตัวละครอัศวินแห่งรัตติกาลพอสมควร แต่ก็ไม่ได้แย่งซีนจากเดอะแฟลชไปแต่อย่างใด ผู้ชมยังคงเต็มอิิ่มกับตัวละครนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้ชมจะได้เจอกับแบร์รี่ถึงสองคน เดอะแฟลชถึงสองเวอร์ชั่นด้วยกัน ทำให้เราได้เรียนรู้และรู้จักตัวละครนี้มากเสียยิ่งกว่ามาก สิ่งที่ชอบมากๆใน The Flash คือการที่หนังทำให้ผู้ชมได้สัมผัสด้านที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนของตัวละครนี้ในหลายๆด้าน หลังจากใน Justice League เราอาจจะรู้จักเขาแค่เพียงผิวเผิน แต่ในหนังเดี่ยวจะได้เห็นถึงทั้งมุมที่แข็งแกร่งและอ่อนแอของตัวละคร ให้เห็นชัดว่าแม้เขาจะเป็นซูเปอร์ฮีโร่แต่ก็มีมุมที่เปราะบางในแบบมนุษย์มากๆ มีความผิดพลาดเฉกเช่นคนทั่วไป ทำให้นี่คือหนังเดี่ยวของ The Flash อย่างแท้จริง ไม่ได้โดนใครแย่งซีนไปทั้งนั้นโดยรวม The Flash ถือเป็นอีกสเต็ปของจักรวาลดีซีที่น่าพอใจมากๆ เป็นการสร้างมัลติเวิร์สของตัวเองในแบบที่ไม่น้อยหน้าใคร ในฐานะหนังเดี่ยวของเดอะแฟลชก็ทำหน้าที่ได้ดีที่ทำให้ผู้ชมได้รัก ได้เข้าใจตัวละครนี้ในฐานะมนุษย์มากขึ้น ในฐานะหนังในจักรวาลดีซีมันก็น่าจะทำให้แฟนๆพึงพอใจได้อย่างมากเช่นกัน ด้วยการพาไปสำรวจหลายๆมุมในโลกของดีซีที่หลายมุมแฟนๆอาจไม่เคยเห็นมาก่อน หลายมุมเคยเห็นแต่ห่างหายไปนาน ในฐานะหนังฟอร์มยักษ์กลางซัมเมอร์ หนังก็มาพร้อมกับงานโปรดักชั่นที่ไม่ธรรมดาและฉากแอ็กชันสุดตื่นตา เรียกว่าครบองค์ประกอบหนังฟอร์มใหญ่ที่ควรดูเลยจริงๆ ไม่ว่าในอนาคตจักรวาลดีซีจะถูกเปลี่ยนไปในทิศทางใด The Flash ยังจะได้ไปต่อหรือไม่ นี่คือหนังซูเปอร์ฮีโร่อีกหนึ่งเรื่องที่ไม่ควรพลาดชมตัวอย่าง The Flash เข้าฉายสัปดาห์นี้ในโรงภาพยนตร์

[REVIEW] ‘Babylon’ มหากาพย์สุดบ้าคลั่ง ฉากหลังยุคทองฮอลลีวูด| GOSSIP GUN

18 ม.ค. 2023

[REVIEW] ‘Babylon’ มหากาพย์สุดบ้าคลั่ง ฉากหลังยุคทองฮอลลีวูด| GOSSIP GUN

La La Land คือปรากฏการณ์ของฮอลลีวูด หลังจากเข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง13 สาขาเทียบเท่า Titanic แม้ว่าท้ายที่สุดจะพลาดรางวัลสำคัญอย่าง Best Picture แต่หนังก็ส่งให้ เดเมียน ชาเซลล์ กลายเป็นผู้กำกับที่อายุน้อยที่สุดที่ชนะสาขา Best Director นั่นทำให้ทุกโปรเจกต์หลังจาก La La Land จากฝีมือเขาล้วนถูกจับตา หลังจากเบนเข็มไปเล่าเรื่องนอกฮอลลีวูดมาแล้วกับ First Men เดเมียนขอกลับสู่เรื่องราวที่เขารักมากที่สุดอีกครั้ง เรื่องราวของแวดวงภาพยนตร์ใน 'Babylon' โปรเจกต์ยักษ์ทุนสร้าง80 ล้านเหรียญฯ ที่เปิดโอกาสให้เดเมียนที่โชว์ฝีมือแบบเต็มที่ จะได้โชว์เรื่องราวเกี่ยวกับฮอลลีวูดอย่างเต็มสตรีมBabylon พาผู้ชมย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นยุคทองของฮอลลีวู้ดในช่วงปลายยุค 1920s มหากาพย์ของหลากหลายตัวละคร ที่แจ้งเกิดและแตกดับ ท่ามกลางการเปลี่ยนถ่ายของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ จากยุคหนังเงียบ สู่หนังที่มีเสียง หลายความฝันเป็นจริง หลายคนมุ่งมั่นประสบความสำเร็จ แต่เมื่อทุกอย่างไม่ยั่งยืน จึงไม่มีคำว่า ตลอดไป โดยเฉพาะในวงการนี้ โดยตัวละครหลักๆที่หนังโฟกัส เริ่มจาก แมนนี่ (รับบทโดย ดิเอโก้ ซัลวา) หนุ่มจากเม็กซิโกที่ข้ามชายแดนมายังฮอลลีวู้ดเพราะหลงไหลในมนต์เสน่ห์ของภาพยนตร์ จนทำให้เขาอยากสร้างหนัง ได้มาเจอกับ เนลลี่ (รับบทโดย มาร์โก ร็อบบี้) หญิงสาวสุดทะเยอทะยานที่เธอเชื่อสุดใจว่าเธอเกิดมาเพื่อเป็นซูเปอร์สตาร์ ระหว่างที่ทั้งคู่ค่อยๆไล่ตามความฝันไปทีละขั้น พวกเขาก็ได้เจอกับ แจ็ค คอนราด (รับบทโดย แบรด พิตต์) นักแสดงเบอร์ท็อปของวงการในขณะนั้น ที่ไม่ว่าเล่นหนังเรื่องไหนก็ฮิตติดลมบนทุกเรื่อง แต่เมื่อฮอลลีวูดกำลังจะเปลี่ยนไป ยุคของหนังเสียงกำลังก้าวเข้ามาแทนที่หนังเงียบ พวกเขาทุกคนและทุกชีวิตในฮอลลีวูดก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปถ้าเปรียบ La La Land เป็นเหมือนน้ำนิ่งที่ไหลลึก หนังอย่าง Babylon ก็คือคลื่นที่ซัดกระหน่ำไม่หยุดตลอดเวลา แม้ว่ามันจะเล่าถึงคนตามฝันในวงการบันเทิงเหมือนกัน แต่สำหรับเรื่องนี้ เดเมียน ขอปรับเข้าสู่โหมดที่บ้าคลั่งอย่างเต็มที่ เรียกว่าปล่อยของแบบไม่มีลิมิตเลยจริงๆ หนังเริ่มจากฉากปาร์ตี้สุดคลั่ง ที่เต็มไปด้วยเหล้ายาเซ็กซ์ หลายอย่างที่ไม่มีใครคาดคิด (แม้แต่ช้างก็ยังมี) กับทุกเหตุการณ์ที่เหนือความควบคุม สะท้อนถึงภาพความสุดเหวี่ยงของไลฟ์สไตล์คนบันเทิงในยุคนั้น ก่อนที่จะต่อด้วยเช้าวันใหม่กับการถ่ายทำหนังที่เต็มไปด้วยความโกลาหลอลหม่านขั้นสุด กองถ่ายที่หนังฟอร์มใหญ่ที่ดูเหมือนกำลังจะพังพินาศ จะพังแหล่ไม่พังแหล่ แค่ฉากใหญ่สองซีนแรก ก็ทำให้ผู้ชมอารมณ์สูบฉีดขั้นสุด มันทั้งสนุก ทั้งบ้าคลั่ง ทั้งตลกอย่างร้ายกาจ และเป็น Mood Tone แรก ที่บอกถึงสไตล์อันชัดเจนของ Babylon ในช่วงเวลาที่เล่าถึงการผงาดของหลายความฝันและเมื่อความเปลี่ยนแปลงมาถึง อีกหนึ่ง Mood Tone ที่ค่อยๆเผยออกมาใน Babylon คือความดาร์กของชีวิต ที่หลายฉากพาให้อารมณ์ผู้ชมดำดิ่งอยู่ไม่น้อย เมื่อทุกอย่างไม่จีรั่งยั่งยืน ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้าไปได้ตลอด หนังค่อยๆพาผู้ชมไปดู ชีวิตที่ต้องจะเกียกตะกายไล่ตามฝันอีกครั้ง หลังจาก La La Land เดเมียนเคยสื่อสารกับผู้ชมว่า ทุกความฝันย่อมต้องมีการเสียสละ คุณไม่สามารถเอาชนะหรือทำตามใจตัวเองได้ทุกอย่าง นำไปสู่บทสรุปที่หลายคนใจสลาย สำหรับ Babylon เดเมียนกำลังจะบอกผู้ชมว่า แม้ความฝันจะเป็นจริงแล้ว แต่ไม่มีอะไรอยู่กับเราได้ตลอดไป ทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องชั่วคราวทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียงเงินทอง เมื่อหลายๆตัวละครขึ้นสู่จุดสูงสุด แล้วตกลงมาท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง มันจึงไม่ง่ายเลยที่จะกลับไปอยู่จุดเดิมอีกครั้ง (ซึ่งส่วนใหญ่ไม่มีโอกาสนั้นอีกแล้ว)ไม่แปลกใจที่กระแสคำวิจารณ์ของ Babylon จากเมืองนอก จะออกมาในลักษณะที่ไม่ รัก ก็ เกลียด มันเป็นหนังที่ส่วนตัวมากๆสำหรับเดเมียน เหมือนสร้างมาประหนึ่งว่าตัวเองจะไม่มีโอกาสได้สร้างหนังอีกแล้ว เขาอยากเล่าอะไรจึงเล่า อยากทำอะไรจึงทำ หนังมันจึงมีอารมณ์ที่ขึ้นสุดลงสุด ตลอด 3 ชั่วโมง 8 นาที บ้างก็ว่าหนังขาดความสมูธ บ้างก็ว่าทิศทางของหนังดูเหมือนจะไม่ชัดเจนเท่าไหร่นัก แต่โดยรวมต้องชื่นชมความจัดเต็มของเขา การออกแบบงานสร้างที่ไม่ธรรมดา ดนตรีประกอบสุดเร้าใจ และการแสดงโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดิเอโก้ ซัลวา และมาร์โก้ ร็อบบี้ ที่แสดงได้อย่างยอดเยี่ยมในหลายๆฉากที่ท้าทายฝีมือมากๆท้ายที่สุดแม้ว่า Babylon จะแตกต่างจาก La La Land อย่างมาก แต่ก็มีหลายครั้งที่กลิ่นอายของLa La Land (หรือแม้แต่งานก่อนหน้าอย่าง Whiplash) ชัดเจนมากเช่นกัน โดยเฉพาะดนตรีประกอบที่ท่วงทำนองในหลายฉากภาพของ La La Land ผุดเข้ามาในหัวเลย ใครที่เคยชอบ La La Land ก็อยากให้ลองมาพิสูจน์หนังเรื่องนี้ แม้ว่าหนังจะดูเป็นคนหลายบุคลิกไปหน่อย บ้าคลั่งไปหน่อย แต่แก่นก็มัน ก็ทั้งโรแมนติกและบีบหัวใจไม่แพ้กัน และที่แน่ๆ หลังจากดูจบเราเชื่อมั่นเหลือเกินว่า เดเมียน ชาเซลล์ รักในการทำหนัง รักในศาสตร์ของภาพยนตร์จริงๆ แม้ว่าช่วงท้ายเขาจะใส่หนักมากไปหน่อยก็ตาม แต่มันก็เป็นจดหมายแบบทั้งรักทั้งเกลียดของเขา ต่อสิ่งที่โลกเรียกว่า "ฮอลลีวูด"Babylon (บาบิลอน) เข้าฉาย 19 มกราคมนี้ ทุกโรงภาพยนตร์ภาพ : UIP Thailand

[REVIEW] ‘บ้านเช่า บูชายัญ (Home For Rent)’ ผู้เช่าบ้านกับลัทธิสยอง หนังหลอนตั้งแต่ต้นจนจบ ! | GOSSIP GUN

05 เม.ย. 2023

[REVIEW] ‘บ้านเช่า บูชายัญ (Home For Rent)’ ผู้เช่าบ้านกับลัทธิสยอง หนังหลอนตั้งแต่ต้นจนจบ ! | GOSSIP GUN

เตรียมหลอนรับสงกรานต์กันได้เลย กับการกลับมาทำหนังสยองขวัญอีกครั้งของค่ายจีดีเอช กับ 'บ้านเช่า บูชายัญ' เพราะตั้งแต่ปล่อยชิ้นงานโปรโมตทั้งตัวอย่างและโปสเตอร์ออกมา ก็ได้รับเสียงตอบรับที่ค่อนข้างหลากหลาย (ตั้งแต่บวกสุดไปจนถึงลบสุดๆ) ทำให้หลายคนยังกังขาว่า หนังฉบับเต็มจะออกมาเป็นเช่นไร ซึ่งคอหนังสยองน่าจะพอโล่งใจได้ เพราะกระแสส่วนใหญ่ของรอบพรีเมียร์นั้น ค่อนข้างออกไปทางบวกเกือบหมด ใครที่เคยดูตัวอย่างแล้วยังลังเล ขอให้ลองไปพิสูจน์ในโรงกันดู เพราะสิ่งที่อยู่ในตัวอย่างนั้น เป็นเพียงเสี้ยวเดียวของหนังเท่านั้น เพราะหนังจริงๆ แทบจะไม่สามารถเล่าอะไรได้มากเลย เนื่องจากจะเป็นการสปอยล์ แต่สิ่งที่ผู้ชมจากรอบแรกเห็นตรงกันคือ นี่คือการกลับมาคืนฟอร์มของ จิม-โสภณ จาก ลัดดาแลนด์ ผู้กำกับที่มุ่งมั่นกับการสร้างหนังแนวนี้มาโดยตลอด แต่ก็มีเป๋ไปบ้างกับผลงาน 2 เรื่องล่าสุด หลายเสียงจึงเห็นตรงกันว่า นี่คือหนังสยองขวัญที่เวิร์คที่สุดของเขา นับจาก ลัดดาแลนด์บ้านเช่า บูชายัญ ได้นักแสดงระดับซูเปอร์สตาร์อย่าง เวียร์-ศุกลวัฒน์ และ มิว-นิษฐา มารับบทสามีภรรยา กวินและหนิง ที่อาศัยอยู่ในบ้านอันสงบสุขกับลูกสาววัย 7 ขวบ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ทำให้ทั้งคู่ต้องปล่อยบ้านหลังนี้ให้เช่า และผู้ที่สนใจเข้ามาเช่านั้น คือครอบครัวของ ราตรี (รับบทโดย ต่าย-เพ็ญพักตร์) แพทย์ที่เกษียณแล้ว ที่กำลังมองหาที่พักในกรุงเทพฯ เพื่ออยู่ใกล้ลูกสาว แต่ไม่นานหลังจากราตรีย้ายเข้ามาอยู่ เพื่อนบ้านเริ่มสังเกตเห็นถึงความผิดปกติมากมาย จากบ้านหลังนี้ ไม่ว่าจะเป็นตัวของราตรีที่แทบจะไม่ออกมาจากบ้านเลย สภาพของบ้านที่เริ่มเก่าและทรุดโทรม รวมถึงเสียงสวดประหลาดที่มักจะดังขึ้นทุกเช้ามืดเวลาตี 4 เกิดอะไรขึ้นกันแน่ในบ้านหลังนี้? และชีวิตของทุกคนกำลังจะตกอยู่ในอันตรายหรือไม่ (อย่างที่เกริ่นไป นี่เป็นเพียง 10% ของเส้นเรื่องเท่านั้น ที่เหลือต้องไปดูกันเอง)นี่คือหนังที่อาจจะกล่าวได้ว่า รีวิวยากมากเรื่องหนึ่ง เพราะหลายๆอย่างในหนังไม่สามารถบอกได้ มิฉะนั้นจะเป็นการสปอยล์ ไม่ใช่แค่เนื้อเรื่องด้วย แต่เป็นวิธีในการเล่าที่ทำให้หนังยิ่งน่าติดตามมากขึ้น แต่สิ่งที่พอบอกได้ และเป็นจุดที่ทำให้ชอบมากๆ คือ การดำเนินเรื่องที่ค่อนข้างไว (และเมื่อดูไปเรื่อยๆ จะเข้าใจเหตุผลว่า ทำไมถึงต้องเล่าไวในช่วงครึ่งแรก) หนังแทบจะไม่เสียเวลาอ้อยอิ่งอะไรเลย ตั้งแต่วินาทีที่หนังเริ่ม หนังพาผู้ชมเข้าเรื่องทันที และพอหนังเดินเรื่องไว ฉากสยองจึงมาไวเช่นกัน โดยเฉพาะในองก์แรกที่จัดเต็มฉากหลอนมาแบบต่อๆกัน จนแทบไม่ให้พักเลย หนังสามารถรักษาบรรยากาศความหวาดผวาไว้ได้ดี บวกกับปมหลัก โดยเฉพาะตัวละคร หนิง ของ มิว-นิษฐา ที่ต้องเผชิญกับความกดดันขีดสุด ทำให้ความรู้สึกของคนดู ผนวกกันทั้งความน่ากลัวและความกดดันไฮไลต์สำคัญที่ทำให้ บ้านเช่า บูชายัญ น่าติดตามเป็นอย่างมาก คือวิธีการเล่าเรื่อง ที่เล่นกับมุมมอง ทำให้ภาพรวมของหนังเป็นเหมือนจิ๊กซอว์ที่ค่อยๆปะติดปะต่อเรื่อง จนกว่าจะเป็นภาพรวมออกมา สำหรับในองก์แรก หนังเล่นกับอารมณ์ความไม่รู้เป็นหลัก หนังเลือกที่จะแหย่คนดูให้รู้เห็นเหตุการณ์ทีละนิด ทีละหน่อย ไม่ต่างกับตัวละครนำ ที่ยังคงสับสนว่าสิ่งที่พวกเขากำลังจะต้องเผชิญคืออะไรกันแน่ ซึ่งเป็นพาร์ทที่น่าลุ้นน่าติดตามมาก ก่อนที่จะเข้าสู่องก์ที่ 2-3 ซึ่งเมื่อเรื่องดำเนินไปเรื่อยๆ ผู้ชมเริ่มเห็นสิ่งต่างๆมากขึ้นเรื่อยๆ จากอารมณ์ความหลอนเพราะไม่รู้ ก็เริ่มปรับเปลี่ยนเป็นหลอน เพราะสิ่งที่รู้มันน่ากลัว น่าหวาดผวาแทนแน่นอนว่า อีกไฮไลต์สำคัญ คือการแสดงของ 3 นักแสดงหลักของเรื่อง ซึ่งหนังเปิดโอกาสให้แต่ละคนได้โชว์การแสดงในมุมของตัวเองพอสมควร เริ่มจาก มิว ที่รับบทหญิงที่ต้องเผชิญกับความกลัวขีดสุด ความไม่มั่นคงใดๆในชีวิต และพร้อมทำทุกทางให้กับลูกสาว หลายฉากผู้ชมสัมผัสได้จริงๆว่าตัวละครนี้ กลัวมากๆ เพราะเธอแทบจะไม่มีอะไรยึดมั่นได้เลย ในขณะที่ เวียร์ ถ่ายทอดบทสามีที่ค่อนข้างซับซ้อนได้ดีทีเดียว และเมื่อเส้นเรื่องดำเนินไป หลายฉากต้องแสดงอารมณ์ที่ทั้งซับซ้อนและสับสนค่อนข้างเยอะมาก ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะถ่ายทอด ปิดท้ายด้วย พี่ต่าย กับบทคุณราตรี ตัวละครที่เต็มไปด้วยปริศนา และดูน่าหวาดผวาจากภายนอก ซึ่งเพียงแค่สีหน้าของพี่ต่ายนั้น แค่ยืนเฉยๆก็สร้างความหวาดกลัวให้กับคนดูได้มากแล้วโดยรวม 'บ้านเช่า บูชายัญ' ถือเป็นหนังสยองขวัญของคนไทย ที่ไม่ธรรมดาเลย มีอะไรที่หนังซ่่อนเอาไว้ ยังไม่บอกผู้ชมอีกเพียบ เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งตัดสินจากสิ่งที่เห็นบางส่วนเท่านั้น เชื่อว่าหลายคนหลังดูจบ จะเกิดความหวาดระแวงเมื่อออกจากโรงหนังอย่างแน่นอน เพราะหลังจากดูจบ แค่ลองมองบ้านธรรมดาๆ ก็รู้สึกถึงความน่ากลัวได้แล้ว แค่เห็นหน้าต่างที่ม่านปิดอยู่ เสียงนกร้องในตอนกลางคืน เสียงน้ำหยดในบ้าน หรือแม้แต่ เมื่อถึงเวลาตี 4 ถ้าใครนอนไม่หลับ แล้วเพิ่งดูหนังเรื่องนี้มา ต้องมีหลอนกันบ้างอย่างแน่นอน นี่คือหนังสยองขวัญอีกเรื่อง ที่ิบิลด์ความน่ากลัวได้เก่ง และมีวิธีการเล่าที่น่าติดตามมากจริงๆ.\ชมตัวอย่าง 'บ้านเช่า บูชายัญ' เข้าฉาย 6 เมษายนในโรงภาพยนตร์ภาพ : GDH

album

0
0.8
1