[REVIEW] ‘Bullet Train’ โหดมันส์ฮาหนังบู๊สายป่วน รถด่วนขบวนนักฆ่า | GOSSIP GUN

HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘Bullet Train’ โหดมันส์ฮาหนังบู๊สายป่วน รถด่วนขบวนนักฆ่า | GOSSIP GUN

11 ส.ค. 2022

จะเกิดอะไรขึ้น เมื่อภารกิจฉกของง่ายๆ บนรถไฟหัวกระสุน กลายเป็นสนามรบสุดเดือดบนขบวนรถไฟ ที่เต็มไปด้วยนักฆ่าจากรอบโลก นี่คือพล็อตของ Bullet Train ต้นฉบับคือนิยายของญี่ปุ่น ถูกนำมาสร้างเป็นหนังแอ็กชันคอเมดี้สุดชุลมุนโดยผู้กำกับที่เลื่องชื่อสายนี้อย่าง เดวิด ลีทช์ อดีตสตันท์แมน ที่เติบโตมาเป็นผู้กำกับหนังแอ็กชันสายเดือดอย่าง John Wick, Deadpool 2 และล่าสุด Fast & Furious : Hobbs & Shaw ที่แต่ละเรื่อง ฉากต่อสู้คลั่งของจริง และแฝงด้วยอารมณ์ขันอย่างเจ็บแสบ โดยหนังได้พระเอกตลอดกาลอย่าง แบรด พิตต์ มารับบทนำ ซึ่งถือเป็นการกลับมาเล่นหนังแอ็กชันในรอบหลายปี หลังจาก World War Z, Fury และ Allied ซึ่งมีรายงานว่า พิตต์ แสดงฉากแอ็กชันเองถึง 95% อีกด้วย

พิตต์ รับบทอดีตนักฆ่าฝีมือฉกาจ นามแฝงว่า "เลดี้บักส์" หลังจากเข้าบำบัดจิตเพื่อลืมอดีตอันน่าปวดหัว เขาต้องการรับแค่งานเบาๆ ไม่ได้อยากฆ่าคนมากมายอีกต่อไป จึงรับภารกิจง่ายๆ ด้วยการขึ้นไปฉกกระเป๋าใบหนึ่ง บนรถไฟสายด่วนที่มุ่งหน้าจากโตเกียว ไปยังเกียวโต เขาคิดว่างานนี้อย่างหมู เพราะแค่ขึ้นไป หยิบกระเป๋า แล้วลงมา ไม่มีอะไรซับซ้อนไปกว่านั้น แต่เขาไม่รู้เลยว่า รถไฟขบวนนี้ เต็มไปด้วยนักฆ่าจากทั่วโลกที่มีภารกิจเดียวกัน แถมยังมีนักฆ่าสายโหดอีก 2 คน ที่คอยเฝ้ากระเป๋าใบนี้อยู่ รถไฟหัวกระสุนขบวนนี้ จึงกลายเป็นสนามประลองสุดเดือด ที่มีผู้รอดตายเพียงคนเดียวเท่านั้น ที่จะได้กระเป๋าใบนี้ไปครอบครอง

สิ่งที่ทำให้ Bullet Train บันเทิงขีดสุด คือ ความชุลมุนวุ่นวายของหนัง การที่หนังค่อยๆวางหมากไว้มากมายตอนต้นเรื่อง ปูรายละเอียดตัวละครเอาไว้ ใส่ดีเทลไว้มากมาย แล้วหยิบมายำใหญ่มโหฬารในช่วงท้าย กลายเป็นจุดเด่นที่ชัดเจนมากๆ ได้ฟีลคล้ายการดูหนัง เควนติน ทารันติโน่ อาจจะไม่คมเท่า แต่ก็ดูง่ายกว่า ผสมกับฉากแอ็กชันที่ดุเดือด ตามสไตล์ของ เดวิด ลีทช์ ที่แม้ว่าฉากต่อสู้จะถูกออกแบบมาให้ดุดัน โหดระดับเรต R แต่มันก็แฝงด้วยอารมณ์ขันที่ร้ายกาจตลอดเวลา อาทิ ฉากที่พระเอกต้องต่อสู้กับนักฆ่าอีกคน บนรถไฟขบวนเงียบ กลายเป็นฉากต่อสู้ที่พวกเขาห้ามส่งเสียงอะไรทั้งนั้น ซึ่งในหนังจะมีฉากต่อสู้แปลกๆ ที่ทั้งโหด ทั้งมันส์ และทั้งฮา ประกอบเอาไว้อยู่มากมาย ถ้าจะอธิบายอารมณ์ของหนัง ที่ใกล้เคียงสุดก็น่าจะเป็น Deadpool 2 ของลีทช์นั่นเอง (ซึ่ง แบรด พิตต์ ก็เคยไปรับเชิญในนั้นด้วย)

พูดถึงแขกรับเชิญ Bullet Train เป็นหนังอีกเรื่องที่ผู้ชมจะได้เซอร์ไพรสกับกองทัพดารา ทั้งที่หนังหยิบมาโปรโมตและไม่ได้โปรโมต คนที่ชัดเจนสุดคือ แซนดร้า บูลล็อค ที่โผล่มาในบทผู้จ้างงานพระเอก (หนังเผยว่าเธอแสดงตั้งแต่ในตัวอย่างแล้ว)ซึ่งดีลนี้ เกิดจากการที่ พิตต์ และบูลล็อค ตกลงกันว่าจะมาปรากฏตัวในหนังของอีกฝ่าย เราจึงได้เห็น แบรด พิตต์ ไปโผล่ใน The Lost City ที่บูลล็อคแสดงนำเมื่อต้นปีที่ผ่านมา และได้เห็นบูลล็อค มาปรากฏตัวในเรื่องนี้ นอกจากนี้หนังยังมีนักแสดงรับเชิญอีกหลายคนที่ไม่สามารถสปอยล์ได้ สำหรับตัวของ แบรด พิตต์เอง บทบาทใน Bullet Train ทำให้ผู้ชมได้เห็นเขาในโหมดที่สบายๆ ตลกหน้าตายแบบเดียวกับใน Ocean's Eleven ความชิลล์ของคาแร็คเตอร์เขา ส่งผลให้หนังดูสบายๆไปด้วยเช่นกัน และอีกสองคนที่โดดเด่นจนแทบจะขโมยซีน คือ แอรอน เทย์เลอร์-จอห์นสัน (จาก Avengers : Age of Ultron) และไบรอัน ไทรี่ เฮนรี่ (จาก Eternals) ในบทสองนักฆ่าฝาแฝดที่ไม่เหมือนกันเลย กับหน้าที่เฝ้ากระเป๋าต้นเรื่อง เป็นสองนักแสดงที่เคมีอารมณ์ขัน เข้ากับพิตต์ได้ดีเหลือเกิน หลายฉากจะเห็นพวกเขารับส่งกันอย่างเป็นปี่เป็นขลุ่ย ทำให้หนังสมูธมากยิ่งขึ้น

จุดปัญหาของ Bullet Train ที่เห็นได้ชัด อาจจะเป็นช่วงองก์แรกที่หนังใช้เวลาในการปูตัวละครค่อนข้างเยอะ บางช่วงก็ย้วยเกินจำเป็น บางซีนก็เล่าไวจัด จนแทบจะตามไม่ทัน ก่อนที่จะมาแม่นจังหวะในช่วงองก์สองและสาม ด้วยความที่ตัวละครเยอะจัด และต้องเล่าที่มาที่ไป เพื่อใช้ประโยชน์ในตอนท้ายเรื่อง หนังเลยต้องใช้เวลาตรงนี้เยอะพอสมควร และอีกจุดที่จริงๆ อาจจะไม่ใช่จุดด้อย แต่เป็นปัญหากับผู้ชมบางส่วน คือการที่หนังใช้มุกตลกหน้าตายค่อนข้างมาก (โดยเฉพาะพระเอก) ถ้าผู้ชมไม่ใช่สายมุกทางนี้ อาจจะไม่เอ็นจอยกับหลายๆซีนของหนังก็เป็นอันได้

โดยรวม Bullet Train ถือเป็นหนังแอ็กชันชุลมุนที่เล่าเรื่องได้สนุก ฉากแอ็กชันทำถึง ฉากความวุ่นวายทำได้ดี และตัวละครล้วนสร้างสีสันให้กับหนังได้อย่างมาก แม้จะมีบางจุดที่อาจจะยาวไป และเล่นมุกเฉพาะทางเยอะไปหน่อย แต่ก็ถือว่าเป็นหนังฟอร์มใหญ่ส่งท้ายซัมเมอร์ 2022 ที่ค่อนข้างน่าพอใจเลยทีเดียว ถ้าเคยชอบผลงานชิ้นก่อนๆของ เดวิด ลีทช์ ทั้ง John Wick ภาคแรก, Deadpool ภาคสอง และ Fast & Furious ภาคแยก น่าจะเพลิดเพลินกับหนังเรื่องนี้ ท่ามกลางหนังภาคต่อหรือรีเมกมากมาย นานๆจะมีหนังออริจินัลโผล่เข้ามาให้ลิ้มลองในช่วงซัมเมอร์แบบนี้ ก็สามารถลองขึ้นรถไฟขบวนป่วนสายนี้ได้

ชมตัวอย่าง Bullet Train วันนี้ในโรงภาพยนตร์

ภาพ : Sony Pictures Thailand

related HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘The Point Men’ แผนชิงตัวประกันในอัฟกานิสถาน ระทึกหนักตั้งแต่นาทีแรก ! | GOSSIP GUN

22 ก.พ. 2023

[REVIEW] ‘The Point Men’ แผนชิงตัวประกันในอัฟกานิสถาน ระทึกหนักตั้งแต่นาทีแรก ! | GOSSIP GUN

ถือเป็นหนังเกาหลีโปรแกรมใหญ่เรื่องแรกประเดิมปี 2023 เลยสำหรับ The Point Men ที่เรียกได้ว่าใหญ่ในทุกๆองค์ประกอบ เริ่มจากนักแสดงนำที่ใหญ่ระดับบิ๊กเนมแห่งเกาหลี อย่าง ฮวางจองมิน ที่หนังของเขาล้วนติดอันดับ All-Time Box Office มากมาย อาทิ Ode To My Father, Veteran, A Violent Prosecutor และ The Wailing มาประกบกับ ฮยอนบิน จาก Clash Landing on You ที่เพิ่งมี Confidential Assignment 2 กวาดเงินถล่มทลายเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ใหญ่ทั้งพล็อตซึ่งหยิบเอาเหตุการณ์จริงช็อกโลก ของนักท่องเที่ยวเกาหลีในอัฟกานิสถานที่ถูกจับเป็นตัวประกันมาเล่า และใหญ่จนถึงงานโปรดักชั่น ซึ่งเพื่อความสมจริง หนังจึงยกกองกันไปถ่ายทำไกลถึงประเทศจอร์แดน จนได้บรรยากาศรกร้างว่างเปล่าใกล้เคียงกับอัฟกานิสถานจริง (ที่เข้าไปถ่ายทำไม่ได้ ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย)The Point Men สร้างจากเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นในปี 2007 ที่ประเทศอัฟกานิสถาน เมื่อนักท่องเที่ยวชาวเกาหลีใต้ จำนวน 23 คน ถูกกลุ่มติดอาวุธตาลีบัน จับไปเป็นตัวประกัน เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลอัฟกานิสถาน ปล่อยตัวนักโทษตาลีบันที่ถูกจับคุมขังไว้ในคุกเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน เหตุการณ์วิกฤตครั้งนี้ กลายเป็นภารกิจสำคัญของ แจโฮ (รับบทโดย ฮวางจองมิน) นักการทูตที่ถูกส่งตัวไปยังกรุงคาบูลทันที เพื่อรับมือกับเหตุการณ์ครั้งนี้ และต้องร่วมมือกับ เดซิก (รับบทโดย ฮยอนบิน) เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองที่เชี่ยวชาญในพื้นที่แถบนี้ แม้ว่าในตอนแรกพวกเขาจะแทบเข้ากันไม่ได้เลย แต่เพื่อช่วยชีวิตพลเมืองเกาหลีถึง 23 ชีวิต พวกเขาจึงต้องทำทุกทางเพื่อหยุดวิกฤตครั้งนี้ให้ได้โดยรวม The Point Men สามารถรักษาบรรยากาศความตึงเครียดได้ตั้งแต่นาทีแรก หนังแทบจะไม่เสียเวลาในการเล่าเรื่องที่ไม่สำคัญเลย เปิดมาฉากแรกก็เข้าสู่โหมดระทึก และแทบจะไม่กราฟตกเลยนับจากนั้น โดยหนังมีมู้ดและโทนที่เน้นไปในทางการเจรจาต่อรอง หรือ หาวิธีในการช่วยตัวประกัน มากกว่าอัดฉากแอ็กชันที่เน้นลุยเน้นต่อสู้ ทำให้ The Point Men ดูจะเป็นหนังแอ็กชันทริลเลอร์ ที่มีความบุ๋น มากกว่าความบู๊ เน้น ใช้สมอง มากกว่าเน้นลุย อาจจะไม่ได้ถูกใจคอแอ็กชั่นมากนัก แต่ใครที่ชอบหนังที่มีความกดดัน เรื่องนี้สามารถทำให้ผู้ชมลุ้นตามได้แทบทุกฉากเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงท้ายๆ ที่แม้ว่าจะพอรู้บทสรุปอยู่บ้าง(ถ้าติดตามข่าว เพราะมันคือเรื่องจริง) แต่หนังก็ยังสามารถเร้าอารมณ์ได้ถึงขีดสุดอยู่ดีในแง่ของนักแสดงยิ่งทำให้ The Point Men หายห่วงเข้าไปใหญ่ เมื่อตัวละครหลักในการดำเนินเรื่องอยู่ที่ ฮวางจองมิน นักแสดงรุ่นใหญ่ที่ไม่ว่าบทไหนเขาก็เอาอยู่หมด มาประกบกับ ฮยอนบิน ที่เรื่องนี้เปลี่ยนจากลุคมาดคลีนๆมาเป็นหนุ่มใหญ่สายลุย ที่อาจจะดูแปลกตาไปบ้าง แต่ก็เป็นภาพที่เท่อยู่ไม่น้อย และเมื่อมาเจอกับ ฮวางจองมิน กลายเป็นสองคาแรคเตอร์ที่ลักษณะดูแตกต่างกันสุดขั้ว แต่เคมีกลับเข้ากันอย่างมาก ถือเป็นส่วนผสมที่ค่อนข้างเพอร์เฟคเลยทีเดียว แถมในหนังยังได้ คังคิยง (จาก Extraordinary Attorney Woo) มาสร้างสีสันในบทของ กาซิม ชายชาวเกาหลีที่อาศัยอยู่ในอัฟกานิสถาน ตัวละครของเขาคือส่วนของอารมณ์ขัน ที่หยิบเข้ามาแทรกในจังหวะตึงเครียด ให้ผู้ชมได้เบรกอารมณ์ผ่อนคลายบ้าง ในจังหวะที่พอเหมาะสรุปแล้ว The Point Men ถือเป็นหนังแอ็กชันทริลเลอร์ที่เน้นสร้างบรรยากาศระทึก มากกว่าลงลึกด้านการเมือง และบิลด์ฉากแอ็กชัน เน้นฉากการเจรจาต่อรองเพื่อช่วยเหลือตัวประกันเป็นหลัก ซึ่งภาพรวมสร้างออกมาได้อย่างสมจริง และยิ่งใหญ่ในงานสร้าง หนังสามารถถ่ายทอดบรรยากาศของอัฟกานิสถานออกมาได้อย่างหลากหลายแบบตามจุดประสงค์ของแต่ละซีน ฉากในกรุงคาบูลก็เต็มไปด้วยความชุลมุนวุ่นวาย ฉากนอกเมืองก็มีแต่บรรยากาศที่เคว้งคว้าง ใครที่ชื่นชอบหนังแนวนี้ หรือเป็นแฟนหนังเกาหลี น่าจะไม่ควรพลาด The Point Men ที่การันตีความฮิตมาแล้ว ด้วยการครองอันดับ 1 ของตารางหนังทำเงินเกาหลี ได้นานถึง 3 สัปดาห์ซ้อนชมตัวอย่าง The Point Men ล็อคเป้าตาย ค่าไถ่หยุดโลกภาพ : Mongkol Major Mongkol Cinema

[REVIEW] ‘เธอกับฉันกับฉัน (You and Me and Me)’ หนังแฟนฉันของคนยุคนี้ รักแรกของฝาแฝดสุดประทับใจ| GOSSIP GUN

10 ก.พ. 2023

[REVIEW] ‘เธอกับฉันกับฉัน (You and Me and Me)’ หนังแฟนฉันของคนยุคนี้ รักแรกของฝาแฝดสุดประทับใจ| GOSSIP GUN

ใครที่เคยคิดถึงหนัง Feel Good ดีต่อใจสไตล์ค่ายจีดีเอช (หรือค่ายก่อนหน้านี้) การรอคอยกำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว กับผลงานใหม่อย่าง 'เธอกับฉันกับฉัน' ที่จะชวนให้ผู้ชมหวนระทึกถึงความทรงจำในวัยเด็ก และรักแรกในวัยรุ่นของเราอีกครั้ง แต่ความแตกต่างของโปรเจกต์นี้ คือการ ใช้ตัวละครนำเป็นฝาแฝด และพาผู้ชมเข้าสู่โลกของแฝด กับรายละเอียดหลายแง่มุมที่อาจไม่เคยรู้มาก่อน ผ่านสองผู้กำกับแฝดหญิงอย่าง วรรณแวว และแวววรรณ หงษ์วิวัฒน์ ที่เคยจับงานเบื้องหลังในหลังคาค่ายนี้อยู่นาน ก่อนที่จะได้รับโอกาสในการกำกับหนังใหญ่เรื่องแรก ผ่านการดูแลของ โต้ง บรรจง ผู้กำกับระดับพันล้าน ที่มีผลงานการันตีแน่นเครดิต'เธอกับฉันกับฉัน' พาผู้ชมย้อนกลับไปในยุคสมัย Y2K (ซึ่งอยู่ดีๆก็กลับมาเป็นเทรนด์ ณ เวลานี้) ในปี 1999 ช่วงเวลาที่คนทั้งโลกกำลังหวาดวิตกว่า การก้าวเข้าสู่ยุค 2000 จะเกิดปัญหาด้านคอมพิวเตอร์ ทำให้เกิดภัยพิบัติมากมาย ซึ่งตรงกับคำทำนายของนอสตราดามุส ว่าโลกอาจถึงจุดสิ้นสุด โดยสองตัวละครหลักของเรื่อง คือ พี่น้องฝาแฝด ยู และ มี (รับบทโดย ใบปอ ธิติยา จิระพรศิลป์ ซึ่งแสดงคนเดียวเป็นสองบทบาทเลย) ทั้งคู่เติบโตมาด้วยกัน แชร์หลายๆอย่างด้วยกัน และเป็นส่วนหนึ่งของกันและกันมาตลอดชีวิต จนกระทั่งพวกเธอได้พบกับ หมาก (รับบทโดย อันโทนี่ บุยเซอเรท์) หนุ่มหล่อลูกครึ่งเพื่อนร่วมโรงเรียน ที่เจอกันตั้งแต่ตอนสอบซ่อม ไปจนถึงช่วงปิดเทอมซัมเมอร์ที่นครพนม ไม่นานเรื่องราวความรักก็เริ่มเข้ามาในหัวใจของคนทั้งสาม นี่คือรักแรกของสองแฝด กับ หนึ่งหนุ่ม ที่ความสัมพันธ์ค่อยๆ ยุ่งเหยิงและนำไปสู่ การตัดสินใจที่พวกเธอไม่เคยเผชิญมาก่อน'เธอกับฉันกับฉัน' คือหนังที่ค่อยๆพาผู้ชมเข้าสู่โลกของฝาแฝด ที่ทั้งมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไป หลายอย่างอาจจะเป็นมุมอินไซด์ที่คนทั่วไปอาจไม่ได้รู้มาก่อน ทำให้เกิิดพล็อตที่ทั้งสนุกสนานและยุ่งเหยิงได้มากมาย จากการที่เธอทั้งสองหน้าเหมือนกัน แทบจะเป็นคนๆเดียวกัน และในขณะเดียวกัน มันก็ถูกเล่าผ่านโครงเรื่องในลักษณะ รักแรก ผสมกับ รักสามเส้า ทำให้นอกจากมุมดีต่อใจแล้ว ผู้ชมสามารถคาดเดาได้เลยว่า จะได้เจอมุมบีบหัวใจอย่างแน่นอน ทำให้หนังนอกจากจะน่าติดตามในปมเรื่องแฝดแล้ว ยังน่าจะทำให้ผู้ชมอินในประเด็นรักแรก หรือรักในวัยเรียนได้อีกด้วยสิ่งที่เพิ่มความน่าสนใจให้กับ 'เธอกับฉันกับฉัน' ยิ่งขึ้นไปอีก คือการที่หนังเลือกเล่าในบรรยากาศปลายยุค 90s ซึ่งเป็นอีกหนึ่งยุคที่มีเสน่ห์เฉพาะตัวเพราะอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน กำลังเข้าสู่ยุคออนไลน์ หนังสนุกกับการหยิบ Pop Culture ในยุคนั้นมาเล่นหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ที่ฉายในปีนั้น เพลงดังที่ถูกปล่อยในช่วงนั้น ร้านอาหารที่เป็นที่นิยมของคนยุคนั้น ไปจนถึงไอเท็มบางอย่างที่บอกยุคสมัยได้อย่างดี สำหรับผู้ชมที่สมัยหนัง แฟนฉัน เข้าฉายแล้วอาจจะเกิดไม่ทัน ไม่ได้อินกับเรื่องแวดล้อมในหนัง อาจจะมาอินกับหนังเรื่องนี้ได้ไม่ยาก สำหรับใครที่อายุราว 30-40 ปี น่าจะเป็นช่วงที่กำลังเติบโต กำลังเสพสื่อ กำลังใช้ชีวิตผ่านช่วงเวลานั้น หนังทำให้ผู้ชมระลึกถึงความทรงจำในอดีตอันหอมหวานได้อย่างดีอีกด้วยแต่สิ่งที่น่าชื่นชมมากที่สุด ต้องยกให้กับงานสร้าง ที่อาจกล่าวได้ว่า นี่คืองานที่ไม่ง่ายเลยทั้งสำหรับทีมงานและนักแสดง เพราะเมื่อ 'เธอกับฉันกับฉัน' ใช้นักแสดงเพียงคนเดียว เล่นเป็นฝาแฝด ดังนั้นเทคนิคการถ่ายทำหลายๆอย่างจึงถูกหยิบนำมาใช้ ส่วนที่ง่ายหน่อยน่าจะเป็นซีนที่ถ่ายผ่านหลัก ทำให้เห็นตัวละครเพียงคนเดียว แต่สำหรับฉากที่ต้องเห็นทั้งสอง ทั้งถ่ายทำและตัดต่อออกมาได้เนี้ยบมากๆ จนแทบจะไม่มีจุดไหนรู้สึกสะดุดเลย และที่สำคัญต้องชื่นชมน้องใบปออย่างยิ่ง ที่สร้างคาแรคเตอร์ ยูกับมี ออกมาแตกต่างได้อย่างชัดเจน ในช่วงแรกอาจจะต้องตั้งใจดูเพื่อจับความแตกต่างพอสมควร แต่เมื่อหนังดำเนินไป ไม่ใช่แค่ไฝที่ต่าง แต่วิธีการพูด ลักษณะของตัวละครก็สามารถแยกได้ชัด ซึ่งเป็นงานที่ไม่ง่ายเลยสำหรับนักแสดงหน้าใหม่ ซึ่งต้องปรบมือชื่นชมในจุดนี้โดยรวม 'เธอกับฉันกับฉัน' ถือเป็นหนังไทยที่น่าสนใจและไม่ควรพลาดอีกเรื่อง ด้วยคุณภาพที่กล่าวได้ว่าตามมาตรฐานค่ายจีดีเอช ทั้งในแง่บท งานสร้าง และองค์ประกอบต่างๆ ใครที่เคยคิดถึงหนังอารมณ์ดี หนังแนว Coming-of-Age ที่ทางค่ายเองก็ไม่ได้สร้างหนังแนวนี้มาพักใหญ่ นี่คือการกลับมาที่น่าพอใจ และเชื่อว่า หนังจะสามารถเข้าไปอยู่ในใจของผู้ชมหลายต่อหลายคนได้อย่างแน่นอนชมตัวอย่าง 'เธอกับฉันกับฉัน' วันนี้ในโรงภาพยนตร์ภาพ : GDH

[REVIEW] ‘Hunger คนหิว เกมกระหาย’ หนังไทยสุดเชือดเฉือนของคนหิวอำนาจ ! | GOSSIP GUN

07 เม.ย. 2023

[REVIEW] ‘Hunger คนหิว เกมกระหาย’ หนังไทยสุดเชือดเฉือนของคนหิวอำนาจ ! | GOSSIP GUN

เตรียมจัดเข้ากลุ่มหนังไทยระดับท็อปแห่งปีแน่นอน สำหรับ 'Hunger คนหิวเกมกระหาย'หนังไทยเรื่องล่าสุดที่เป็นออริจินัลของ Netflix ที่พร้อมประกาศศักดาฉายพร้อมกันทั่วโลกสุดสัปดาห์นี้ ด้วยพล็อตที่เชือดเฉือน การแสดงสุดเข้มข้น และการชำแหละสังคมอย่างไม่ประนีประนอม นี่คือผลงานล่าสุดของ คงเดช จาตุรันต์รัศมี (จาก ตั้งวง, Where We Belong) ที่ลงมือเขียนบทและทำหน้าที่อำนวยการสร้าง พร้อมดึงผู้กำกับรุ่นใหม่มากฝีมืออย่าง สิทธิศิริ มงคลสิริ จาก แสงกระสือ มากำกับภาพยนตร์ เล่าถึง ออย (รับบทโดย ออกแบบ-ชุติมณฑน์) แม่ครัวสตรีทฟู้ดที่ถนัดทำอาหารประเภทผัด แต่ด้วยฝีมือและเซ้นต์ในการทำอาหารที่ไม่ธรรมดา ทำให้เธอได้รับการชักชวนให้เข้ามาร่วมงานกับ เชฟพอล (รับบทโดย ปีเตอร์-นพชัย) เชฟชื่อดังระดับประเทศ ที่โด่งดังจากการทำอาหารแบบ Fine Dining ซึ่งมีเฉพาะมหาเศรษฐีและบุคคลระดับวีไอพีเท่านั้น ที่จะได้ลิ้มรสอาหารของเขา และเมื่อออยก้าวเข้าสู่โลกของการทำอาหารในอีกขั้นนึง เมื่ออาหารไม่ใช่แค่สิ่งประทังชีวิต แต่เป็นสิ่งบ่งบอกสถานะทางชนชั้น ชีวิตของออยจึงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป..'Hunger คนหิวเกมกระหาย' คือหนังที่แม้ว่าหน้าหนังจะเล่าเหตุการณ์ในห้องครัว แต่อันที่จริงมันกลับพูดถึงเรื่องที่ใหญ่กว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นชนชั้นในสังคม สภาพอันน่ารังเกียจของคนกระหายอำนาจในโลกของการเมือง หนังพาผู้ชมไปดูสังคมจำลองในห้องครัวของเชฟพอล สถานที่ซึ่งคำว่าประชาธิปไตยไม่มีอยู่จริง ณ ที่แห่งนี้คืออำนาจเผด็จการล้วนๆ ทุกคนล้วนต้องทำตามคำสั่งของเขาอย่างเคร่งครัด และผลผลิตทุกจาน ล้วนถูกตอบแทนด้วยเงินมหาศาล อาหารชั้นเลิศที่ไม่มีเชฟคนในนอกจากเชฟพอล พอจะมีเงินจ่ายเพื่อรับประทานได้ หลังจากนั้นหนังค่อยๆขยายเรื่องราวให้กว้างขึ้นเรื่อยๆ พาผู้ชมเข้าไปสู่โลกของสังคมชั้นสูง ทั้งในแวดวงการเมือง และไฮโซ ผ่านมุมมองของออย เชฟสาวที่มาจากข้างถนน นี่คือหนังที่ถ่ายทอดประเด็นความแตกต่างทางชนชั้นได้อย่างชัดเจน และสื่อสารกับคนดูแบบไม่ประนีประนอม ไม่อ้อมค้อม แถมหลายฉากยังคล้ายคลึงกับเหตุการณ์จริงในหน้าข่าว จนระหว่างดูแอบอึ้งไปหลายจังหวะอยู่เหมือนกันนอกจากประเด็นและเส้นเรื่องอันเข้มข้นแล้ว นี่คือหนังไทยที่มาพร้อมกับคำว่า "คุณภาพ" ในแทบทุกองค์ประกอบ เริ่มจากงานสร้าง นี่คือหนังที่ภาพรวมสามารถกล่าวได้ว่าเป็นโปรดักชั่นระดับโลก ทุกฉากดูเนี้ยบ ไม่มีจุดไหนหนังของที่ดูเป็นงานCheap หรืองานลวกๆเลย ทุกอย่างถูกดีไซน์มาอย่างดี ทั้งการออกแบบงานสร้าง การบันทึกภาพ การตัดต่อ และอีกส่วนที่เสริมหนังขั้นสุด คือ ดนตรีประกอบ ที่ยิ่งฟังยิ่งขนลุก ยิ่งฟังแล้วยิ่งเร้าอารมณ์ และหลายท่อนถูกออกแบบมาให้เข้ากับหนังที่มีธีมเกี่ยวกับการทำอาหาร มีกลิ่นอายแบบเสียงเคาะของเครื่องครัว กลายเป็น Score ที่ทั้งเพิ่มอารมณ์ร่วมและสร้างเอกลักษณ์ให้กับหนังได้อย่างดีจริงๆและที่สำคัญที่สุด สิ่งที่ส่งให้ 'Hunger คนหิวเกมกระหาย' คือหนังต้องดูแห่งปี คือการแสดงของ ออกแบบ และพี่ปีเตอร์ ทุกฉาก (ย้ำว่า ทุกฉาก) ที่ทั้งสองคนปรากฏตัวร่วมกันบนจอ มันโคตรจะ Intense เต็มไปด้วยความตึงเครียด การส่งพลังการแสดงของทั้งคู่ เหมือนสงครามประสาทที่ทำเอาผู้ชมรู้สึกบีบอารมณ์ตามไปด้วย หรือแม้แต่ฉากเดี่ยวๆของทั้งคู่ ก็ยังยอดเยี่ยม ออกแบบ ทำให้ผู้ชมเข้าใจความรู้สึกอันซับซ้อนของตัวละคร ออย ได้ จากคนธรรมดาที่เริ่มเห็นภาพความเหลื่อมล้ำทางสังคม เหตุการณ์บางอย่างที่บีบบังคับให้เธอกระหายความเป็นคนพิเศษ จนถึงจุดที่เธอเริ่มเห็นว่า โลกของคนชั้นบนมันเป็นอย่างไร ออกแบบสามารถแสดงออกผ่านสีหน้าและอารมณ์ได้อย่างดี เธอสามารถตรึงคนดูให้อยู่กับตัวละคร ออย ได้ตลอดเวลาจริงๆ เสริมทัพด้วยการแสดงที่เป็นธรรมชาติสุดๆ ของทั้ง กรรณ สวัสดิวัตน์ ณ อยุธยา และ เอม ภูมิภัทร ยิ่งทำให้หนังสมบูรณ์แบบมากขึ้น(รายหลังนี่ ปรากฏตัวในหนังไทยเป็นเรื่องที่3ของปีนี้แล้ว ต่อจาก ขุนพันธ์ ๓ และ แสงกระสือ 2โดยรวม 'Hunger คนหิวเกมกระหาย'คือหนังไทยที่ทำให้คนดูยังศรัทธาและเชื่อมั่นว่า หนังไทยยังไปได้อีกไกล ยิ่งเรื่องนี้ลงใน Netflix และดูได้พร้อมกันกว่า 190 ประเทศทั่วโลก ยิ่งเป็นงานที่ไปฉายโชว์ให้คนข้างนอกดูได้อย่างน่าภูมิใจ (แต่ก็อับอายในประเด็นความเหลื่อมล้ำที่ชัดเจนเช่นกัน) แต่ก็น่าเสียดายที่จะไม่ได้ดูในโรงกัน เพราะงานโปรดักชั่นระดับนี้เหมาะกับการเข้าโรงมาก และถ้าเข้าโรงก็น่าจะกลายเป็นหนังตัวเต็งรางวัลในต้นปีหน้าได้แบบสบายๆ แต่ข้อดีของการดูผ่าน Netflix ที่บ้าน คือผู้ชมสามารถกด Pause เพื่อไปทำอาหารหรือสั่งอะไรมากินได้ เพราะหนังเรื่องนี้จะทำให้คุณน้ำลายไหลอย่างแน่นอน แม้แต่ข้าวผัดธรรมดาๆ หนังก็สามารถทำให้คนดูหิวได้ (อันนี้เรื่องจริงนะ เตรียมของกินรอไว้เลย)ชมตัวอย่าง Hunger คนหิวเกมกระหาย 8 เมษายนใน Netflix ทั่วโลกภาพ : Netflix Thailand

[REVIEW] ‘Black Panther : Wakanda Forever’ ภาคต่อที่ยิ่งใหญ่และบีบหัวใจขั้นสุด จุดเปราะบางของวากานด้า | GOSSIP GUN

09 พ.ย. 2022

[REVIEW] ‘Black Panther : Wakanda Forever’ ภาคต่อที่ยิ่งใหญ่และบีบหัวใจขั้นสุด จุดเปราะบางของวากานด้า | GOSSIP GUN

สิ้นสุดการรอคอยแล้ว สำหรับหนึ่งในหนังภาคต่อจากจักรวาลมาร์เวลที่แฟนๆทั่วโลกรอคอยมากที่สุดอย่าง Black Panther : Wakanda Forever ซึ่งแบกภาระอันหนักอึ้งไว้หลายๆอย่างด้วยกัน ตั้งแต่นาทีแรกที่ Black Panther ประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลาย หน้าที่ของหนังเรื่องนี้คือการเป็นภาคต่อของหนึ่งในหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่ฮิตสุดและได้รับคำชมมากที่สุดตลอดกาล เพียงเท่านี้ก็เป็นหน้าที่อันหนักหนาสาหัส และแบกความหวังของแฟนๆไว้มากพออยู่แล้ว แต่สถานการณ์ทุกอย่างเปลี่ยนไป เมื่อข่าวร้ายของ แชดวิก บอสแมน เดินทางมาถึง ในวันที่เขาจากโลกไปก่อนวัยอันควร ไม่เพียงแค่โลกสูญเสียแชดวิกเท่านั้น แต่วากานด้าก็ได้สูญเสียผู้นำของเขาเช่นกัน อีกหน้าที่ที่กลายเป็นบทบาทสำคัญของ Wakanda Forever คือการไว้อาลัยแด่นักแสดงผู้เป็นที่รัก แต่ในขณะเดียวกันผู้สร้างก็มีหน้าที่สานต่อเรื่องราว ทำให้ Black Panther คือแฟรนไชส์ที่แข็งแกร่งต่อไป ในวันที่ไม่มีแชดวิก ในวันที่ไม่มีทีชัลล่า พวกเขาต้องไปต่อให้ได้ และในวันนี้ โลกก็ได้รับคำตอบแล้วว่า พวกเขาทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม.Wakanda Forever เล่าถึงช่วงเวลาที่ประเทศวากานด้าสูญเสียกษัตริย์ทีชัลล่าไปอย่างไม่มีวันกลับ เช่นเดียวกับ แบล็กแพนเตอร์ที่อาจจะไม่มีอีกแล้ว ด้วยเหตุผลบางประการ เจ้าหญิงชูริ ยังคงทำใจไม่ได้กับการจากไปของพี่ชาย ในขณะที่มารดาอย่าง รามอนด้า ต้องเข้มแข็งให้ถึงที่สุด เพราะเธอต้องขึ้นทำหน้าที่ราชินีปกครองวากานด้าต่อ เธอจึงไม่สามารถอ่อนแอได้ แต่ในขณะที่ประเทศของพวกเธอกำลังเปราะบาง วากานด้ากลับต้องเผชิญกับภัยจากภายนอกที่อันตรายที่สุดเท่าที่พวกเขาเคยเผชิญมา จาก เนย์มอร์ ผู้นำอาณาจักรลึกลับใต้น้ำ ที่เผยตัวเองต่อโลกภายนอกเป็นครั้งแรกเพราะปมบางอย่าง ที่เกี่ยวข้องกับวากานด้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และนี่คือพล็อตบางส่วนเท่านั้นที่พอจะเล่าได้จาก Black Panther : Wakanda Forever ที่เหลือคือสิ่งที่ผู้ชมจะได้สัมผัสเองในโรงภาพยนตร์.คำที่จะสามารถอธิบายความเป็น Wakanda Forever ได้อย่างดีที่สุด คือคำว่า "เอพิก" นี่คือหนังแห่งความยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง ทั้งในแง่ของพล็อตและสเกลของเรื่อง แม้โดยรวมหนังอาจจะไม่ได้ลงตัวเทียบเท่า Black Panther ภาคแรก แต่มันก็ทวีคูณในหลายๆส่วน ทั้งพาร์ทของโปรดักชั่น รวมไปถึงอารมณ์ร่วมของผู้ชม ที่กล้าพูดได้อย่างเต็มปากว่าภาคนี้ เต็มไปด้วยฉากบีบหัวใจตลอดแทบทั้งเรื่อง เริ่มจากในพาร์ทของการไว้อาลัย แม้ในเรื่องจะเป็นการกล่าวถึงการจากไปของทีชัลล่า แต่ต้องยอมรับว่า มันคือการสื่ออารมณ์รำลึกถึง แชดวิกเช่นเดียวกัน หนังทำหน้าที่ตรงนี้ได้อย่างดีเยี่ยม และพยายามใช้เวลาพอสมควร ก่อนที่จะมูฟสู่พล็อตหลักของภาคนี้ ปมที่นำไปสู่สงคราม ซึ่งพาร์ทนี้เองหนังค่อยๆบิลด์ความตึงเครียดได้อย่างดีเยี่ยม แกนหลักของหนังคือ การที่ตัวละครหลักต้องพยายามเข้มแข็งให้ได้ในยามที่พวกเขาเปราะบางมากที่สุด การเยียวยาจิตใจเพื่อนำไปสู่ความแข็งแกร่งของวากานด้า ปมหลักตรงนี้เองที่แทบจะบีบหัวใจผู้ชมตลอดทั้งเรื่องสองนักแสดงหลักที่สำคัญมากๆของ Wakanda Forever คือ เลททิเรีย ไรท์ ในบทชูริ นอกจากเราจะเห็นเธอเติบโตจากภาคแรกแล้ว เราจะค่อยๆเห็นพัฒนาการของตัวละครนี้ตลอดทั้งเรื่อง ในวันที่เธอไม่ใช่แค่น้องของกษัตริย์อีกต่อไป ในวันที่เธอคือทายาทเพียงคนเดียวของวากานด้า เลททิเรียทำหน้าที่ได้อย่างน่าชื่นชมในการค่อยๆก้าวขึ้นมาเป็นนักแสดงนำของ Black Panther ในขณะที่ แองเจล่า บาสเซ็ตต์ กับบทควีน มีหลายฉากที่เธอแสดงได้อย่างชวนขนลุก ทำเอาไม่สามารถละสายตาจากจอได้อย่าง ทั้งแววตาและน้ำเสียง ของหญิงที่ต้องเข้มแข็งในจุดที่เธอสูญเสียแทบจะทุกสิ่ง แต่คนที่ไม่มีใครกลืนได้ลงคือ ตัวละครเนมอร์ ตัวร้ายหลักประจำภาคนี้ ที่ทำให้ผู้ชมสัมผัสได้ว่า วากานด้ากำลังเจอกับภัยที่อันตรายขั้นสุดแล้ว ได้เจอกับศัตรูที่สมน้ำสมเนื้อ ยิ่งวากานด้าอยู่ในจุดที่เปราะบาง ภัยรุกรานครั้งนี้คืออันตรายกว่าครั้งไหนๆ ซึ่ง เทนอช เฮอร์ตา นักแสดงชาวเม็กซิกัน สวมบทบาทนี้ได้อย่างดีเยี่ยมในแง่ของงานสร้าง สิ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือสเกลของฉากแอ็กชันที่ยกระดับความใหญ่โตเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะฉากสงครามในช่วงครึ่งหลัง ที่ทั้งใหญ่และตึงเครียด ถ้าจะมีข้อติบ้างน่าจะเป็นช่วงแรกที่หนังเล่าเหตุการณ์ในช่วงเวลากลางคืนเยอะ ทำให้ฉากแอ็กชันหลายซีนค่อนข้างมืด ยิ่งชมในระบบสามมิติยิ่งปรับสายตายาก ส่วนอีกหนึ่งไฮไลต์ที่ไม่เอ่ยถึงไม่ได้ และเป็นเอกลักษณ์สำคัญของ Black Panther ตั้งแต่ภาคแรกคือเพลงประกอบและดนตรีประกอบที่ยังคงไม่ทำให้ผิดหวัง ยกระดับความเท่ และเพิ่มความคูลให้กับแฟรนไชส์นี้ได้อย่างมากเลยทีเดียว โดยรวม Black Panther : Wakanda Forever จึงเป็นหนึ่งในหนังที่สำคัญมากๆในจักรวาลมาร์เวล และในขณะเดียวกันก็เป็นหนึ่งในหนังที่ผลลัพภ์ดีเยี่ยมเรื่องหนึ่งในเฟส 4 ถ้ามีโอกาสอยากให้ลองชมในระบบ IMAX3Dซึ่งเพิ่มความยิ่งใหญ่ เสริมอรรถรสในการชมได้อย่างดีเลยทีเดียวชมตัวอย่าง Black Panther : Wakanda Forever วันนี้ในโรงภาพยนตร์ภาพ : Marvel Thailand

album

0
0.8
1