[REVIEW] 'Thirteen Lives' หนังภารกิจถ้ำหลวงฉบับฮอลลีวูด ระทึกและสมจริงสุด | GOSSIP GUN

HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] 'Thirteen Lives' หนังภารกิจถ้ำหลวงฉบับฮอลลีวูด ระทึกและสมจริงสุด | GOSSIP GUN

05 ส.ค. 2022

ในฐานะคนไทย ภาพยนตร์ Thirteen Lives ถือเป็นหนังที่หลายคนรอคอยมากๆ เพราะนอกจากจะสร้างจากเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นในประเทศไทยและกลายเป็นข่าวดังระดับโลก กับภารกิจช่วยชีวิต 13 หมูป่าจากถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน หนังยังมีนัักแสดงชื่อดังและทีมงานชาวไทย ไปมีส่วนร่วมในโปรเจกต์นี้อีกเพียบ ไฮไลต์หลักๆของ Thirteen Lives คงหนีไม่พ้นชื่อชั้นของผู้กำกับอย่าง รอน ฮาเวิร์ด จากหนังบล็อกบัสเตอร์อย่าง Apollo 13 และ The Da Vinci Code อีกทั้งยังเคยชนะรางวัลออสการ์จาก A Beautiful Mind มาแล้ว โดยหนังได้ดาราฮอลลีวูดอย่าง วิกโก้ มอร์เทนเซ่น (พระเอก The Lord of the Rings), โคลิน ฟาร์เรล และโจเอล เอ็ดเกอร์ตัน มารับบทนำ ในบทของเหล่านักดำน้ำระดับโลก ที่เดินทางมายังไทยเพื่อช่วยเหลือในภารกิจครั้งนี้

ในฝากของนักแสดงชาวไทย นำทีมโดย เวียร์ ศุกลวัฒน์ ในบทจ่าแซม อดีตทหารเรือที่สละชีวิตในถ้ำหลวง, เจมส์ ธีรดนย์ รับบท โค้ชเอก ผู้ใหญ่คนเดียวที่ติดอยู่ในถ้ำหลวงกับเด็กๆและคอยดูแลพวกเขาเป็นอย่างดี ร่วมด้วย ตุ้ย ธีรภัทร, ตู่ ภพธร รวมถึงสองนักแสดงไทย ที่เรามักเห็นปรากฏตัวในหนังต่างประเทศที่ถ่ายทำในไทยบ่อยๆอย่าง ปู สหจักร ซึ่งรับบทเป็นผู้ว่าฯ ณรงค์ศักดิ์ และ ปู วิทยา รับบทเป็น รัฐมนตรี (ซึ่งแม้ในหนังจะไม่ได้เอ่ยชื่อ แต่ก็มีการเปิดเผยว่าตัวละครนี้คือ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา) และนักแสดงไทยอีกเพียบ ในส่วนของทีมงานนั้น ไฮไลต์สำคัญคือ คุณสยุมภู มุกดีพร้อม ผู้กำกับภาพชาวไทย ที่โด่งดังระดับโลก จากผลงานในหนัง เจ้ย อภิชาติพงศ์ มากมาย จนกระทั่งได้กำกับภาพหนังฮอลลีวูดอย่าง Call Me By Your Name และ Suspiria โดยทั้งหมดได้เดินทางไปยังออสเตรเลีย โลเคชั่นหลักที่ใช้ในการถ่ายทำ รวมถึงบางส่วนของหนังก็ถ่ายทำในประเทศไทยด้วย

พอเป็นคนไทย ระหว่างดู Thirteen Lives ก็จะตื่นเต้นเป็นพิเศษ กับการที่ได้เห็นนักแสดงที่คุ้นหน้าคุ้นตาในหนังระดับฮอลลีวูด ได้ฟังภาษาไทยแบบชัดๆในหนังที่กำกับโดยผู้กำกับระดับโลก ได้เฝ้าดูภารกิจอย่างใกล้ชิด กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย โดยรวม Thirteen Lives สร้างออกมาได้ค่อนข้างสมจริงมาก จนบางจังหวะในการดู แทบจะไม่รู้สึกเลยว่ามันคือหนัง ความรู้สึกในบางจุด เหมือนกำลังดูฟุตเทจจากเหตุการณ์จริงเสียมากกว่า หรือแม้แต่นักแสดงอย่าง วิกโก้ มอร์เทนเซ่น และ โคลิน ฟาร์เรล ที่ดูแทบจะไร้ความเป็นดาราเลย ทั้งสองคนสามารถเนียนไปกับหนังได้ เหมือนเป็นนักประดาน้ำจริงๆ นอกจากนี้ ในแง่การออกแบบงานสร้าง หนังสามารถทำให้คนไทยเชื่อได้ว่านี่คือประเทศไทย ด้วยรายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่สมจริงไปหมด ต่างจากหนังฮอลลีวูดหลายๆเรื่อง ที่สร้างเมืองไทย ไม่เหมือนเมืองไทย (อย่างล่าสุดคือ The Gray Man ที่ขัดใจแฟนหนังชาวไทยเหลือเกิน)

แม้จะมีความยาวถึง 2 ชั่วโมง 30 นาที แต่ Thirteen Lives ถือว่าเดินเรื่องไปข้างหน้าด้วย Pacing ที่ค่อนข้างเร็ว เผลอแป้ปเดียวก็เข้าสู่ช่วงเวลาที่เด็กๆติดอยู่ในถ้ำหลายวันแล้ว อาจจะเพราะด้วยต้องขยี้ในช่วงหลังค่อนข้างมาก รวมถึงหนังตัดรายละเอียดที่ไม่จำเป็นออกเกือบหมด และโฟกัสที่ภารกิจการช่วยเหลือ ทำให้ไม่มีจุดที่รู้สึกว่าหนังน่าเบื่อเลยในช่วงของการปูพล็อต นำไปสู่ภารกิจหลัก ในขณะที่ครึ่งหลัง หนังก็เลือกที่จะมาขยี้ในช่วงสุดท้ายที่ช่วยเด็กๆทั้งหมดแบบเต็มๆ ซึ่งพาร์ทนี้เอง Thirteen Lives ทำออกมาได้อย่างสมจริง ทั้งระทึก ทั้งชวนอึดอัดเป็นอย่างมาก ความเก่งกาจของผู้สร้างคือ แม้ว่าเราจะรู้บทสรุปของเรื่องราวทั้งหมดอยู่แล้ว แต่หนังก็ยังบิลด์ให้เราตื่นเต้นไปกับภารกิจได้ สามารถตรึงเราไว้ได้ตลอด ซึ่งถือว่าเป็นข้อดีมากๆของหนังเรื่องนี้ ถ้าจะมีจุดบกพร่องที่เห็นได้ชัด อาจจะเป็นเรื่องของการปูคาแร็คเตอร์ ซึ่งหนังไม่มีเวลามากพอ ทำให้ผู้ชมจะไม่ค่อยได้เห็นที่มาของตัวละคร ได้แค่รู้จักพวกเขาผิวเผิน ระหว่างที่ภารกิจดำเนินไปแล้วเท่านั้น

สิ่งที่น่าเสียดายมากๆ สำหรับ Thirteen Lives คือการที่ผู้ชมส่วนใหญ่จะไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้ในโรง ซึ่งการดูในโรงเพิ่มทั้งอรรถรสและเพิ่มสมาธิระหว่างชมได้อย่างมาก เดิมทีหนังเรื่องนี้สร้างโดยสตูดิโอใหญ่อย่าง MGM (ค่ายที่สร้าง เจมส์ บอนด์) และเคยวางโปรแกรมฉายในโรง แต่เพราะค่าย Amazon ได้ซึ่งกิจการของ MGM ไป และเพื่อดันสตรีมมิ่งของค่ายอย่างAmazon Prime โปรเจกต์หนัง Thirteen Lives จึงถูกโยกมาฉายในแพลตฟอร์มนี้แทน โดยคอหนังชาวไทยสามารถรับชมThirteen Lives ได้แล้วตั้งแต่ตอนนี้ ซึ่งตัวของ Amazon Prime ในประเทศไทยนั้น เพิ่งเปิดตัวทำการตลาดไปเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา และสามารถสมัครสมาชิกได้ โดยเสียค่ารับชมเดือนละ 149 บาทเท่านั้น (แต่มีให้ทดลองใช้ฟรี 7 วัน) สำหรับใครที่แพลนจะดู Thirteen Lives อยากแนะนำให้สร้างบรรยากาศในการดู ด้วยการปิดไฟหรีือชมในที่มืด น่าจะช่วยให้อินกับหนังได้มากขึ้น เพราะหลายฉาก อาทิ ฉากในถ้ำ อาจจะค่อนข้างมืด ถ้าดูในที่สว่างมากๆ มีโอกาสที่ผู้ชมจะถูกผลักออกมาจากหนังก็เป็นอันได้

ชมตัวอย่าง Thirteen Lives สตรีมได้แล้วใน Amazon Prime Video

related HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘Knock At The Cabin’ เคาะกระท่อมระทึก ตึงเครียดหนักตั้งแต่ต้นจนจบ| GOSSIP GUN

02 ก.พ. 2023

[REVIEW] ‘Knock At The Cabin’ เคาะกระท่อมระทึก ตึงเครียดหนักตั้งแต่ต้นจนจบ| GOSSIP GUN

หลังจากแจ้งเกิดจาก The Sixth Sense ชื่อของผู้กำกับ เอ็ม.ไนท์ ชยามาลาน ก็ไม่เคยหายไปจากฮอลลีวูดอีกเลย เขากลายเป็นสัญลักษณ์ของหนังระทึกขวัญที่มาพร้อมกับพล็อตหักมุม หรือหลายครั้งที่เล่าถึงเรื่องเหนือธรรมชาติ แต่ชื่อของ เอ็ม.ไนท์ นั้น ไม่ได้การันตีว่าหนังจะออกมาดี ตลอด 20 กว่าปีที่ผ่านมา หนังของเอ็ม.ไนท์ ถือว่าผาดโผนในแง่คำวิจารณ์พอสมควร มีตั้งแต่หนังที่ดีมากๆ ไปจนถึงหนังที่ห่วยมากๆ ทำให้หลายครั้งที่แฟนหนังเข้าไปชม และนอกจากจะต้องลุ้นกับพล็อตแล้ว ยังต้องลุ้นไปถึงคุณภาพหนังอีกด้วย แต่ดูเหมือนผลงานล่าสุดอย่าง 'Knock At The Cabin' น่าจะจัดเข้ากลุ่มหนัง เอ็ม.ไนท์ ที่คว้าคะแนนบวกไปเสียส่วนใหญ่ โดยล่าสุดคะแนนจาก Rotten Tomatoes สามารถแตะคะแนนบวกได้ถึง 71% แม้จะไม่สูงเท่า The Sixth Sense แต่ก็อยู่ในระดับเดียวกับUnbreakable, Signs และ Split'Knock At The Cabin' มาพร้อมกับเรื่องราวที่เกิิดขึ้นในเพียงสถานที่เดียว แต่คอนเซปท์สุดล้ำ เล่าถึง เอริคและแอนดรูว์ คู่รักชายชาย ที่พาลูกสาวบุญธรรมของพวกเขาไปพักผ่อนในบ้านพักตากอากาศ ซึ่งเป็นกระท่อมกลางป่าที่ห่างไกลจากผู้คน แต่จู่ๆ เสียงเคาะที่ประตูของกระท่อมพวกเขาก็ดังขึ้น พร้อมกับคนแปลกหน้าที่ปรากฏตัวทั้งหมด 4 คน ซึ่งต่างที่มาที่ไป แต่พวกเขามีจุดประสงค์เดียว คือ ต้องการหยุดวันสิ้นโลก ! โดยผู้ที่จะหยุดหายนะนี้ได้ มีเพียง 3 คนในกระท่อมเท่านั้น โดยเพียงเขาต้องตัดสินใจ เสียสละ 1 ชีวิต โดยพวกเขาต้องเลือกกันเอง และฆ่ากันเอง มิฉะนั้น หายนะวันสิ้นโลกจะมาถึง และทุกชีวิตบนโลกจะถึงจุดอวสานแน่นอนว่า 'Knock At The Cabin' จัดเข้ากลุ่มหนัง เอ็ม.ไนท์ ที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย ข้อดีมากๆของมันคือการที่หนังสามารถรักษาระดับความตึงเครียดไว้ได้ดีตลอดทั้งเรื่อง เพียงไม่กี่นาทีหลังหนังเริ่มฉาย ก็เข้าสู่พล็อตหลักแบบทันที หนังไม่ปล่อยให้มีเวลาน่าเบื่อเลยแม้แต่น้อย และตั้งแต่วินาทีนั้น หนังสามารถบิวด์ระดับความระทึกได้มากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเหตุการณ์เริ่มไต่ระดับความบีบคั้น โดยความเจ๋งคือ หนังสามารถตรึงผู้ชมได้อยู่หมัด แม้ว่าจะเล่าเรื่องราวเพียงเหตุการณ์เดียว และในสถานที่เดียว เอ็ม.ไนท์ ยังคงเก่งกาจในการตรึงคนดูไว้กับเหตุการณ์สุดเหวอบนหน้าจอได้เสมอไฮไลต์สำคัญ คือ ทีมนักแสดงที่อาจกล่าวได้ว่า เล่นได้ดีแบบยกทีม นี่คือหนังที่ต้องอาศัยฝีมือการแสดงอยู่ไม่น้อย เพราะแต่ละตัวละครถ้าไม่อยู่ในภาวะสับสน ก็จะต้องมีความซับซ้อนทางอารมณ์ ตัวละครหลักที่สำคัญของหนังคือบท ลีโอนาร์ด ชายปริศนาร่างยักษ์ ซึ่งรับบทโดย เดฟ บอทิสต้า จาก Guardians of the Galaxy หนังเปิดโอกาสให้เขาแสดงเป็นตัวละครที่มีความลึกทางอารมณ์ และเดฟก็ทำได้ดีมากๆเลยทีเดียว โดยเฉพาะฉากที่ผู้กำกับเลือกที่จะโคลสอัพหน้าของเขา แม้ตัวละครนี้จะแสดงออกอย่างนุ่มนวล แต่มันกลับน่าขนลุก และน่าหดหู่อยู่ไม่น้อยสิ่งที่น่าเสียดายเบาๆสำหรับ 'Knock At The Cabin' อาจจะเป็นช่วงโค้งสุดท้ายของหนัง ซึ่งแน่นอนว่า เมื่อเป็นหนังของ เอ็ม.ไนท์ ผู้ชมจะต้องคาดหวังไปก่อนแล้วว่า จะเจอกับบทสรุปที่ไม่คาดคิด หรือตอนจบที่ไม่ธรรมดา แต่ปรากฏว่าหนังไม่สามารถพาผู้ชมไปได้ถึงระดับนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 'Knock At The Cabin' ถือเป็นหนังที่ High Concept มากๆ ปูพล็อตมาค่อนข้างแรง แต่กลับแลนดิ้งตอนท้ายอย่างเบาบาง จนแอบเสียดายนิดๆ เมื่อเทียบกับงานชิ้นก่อนอย่าง Old แม้จะแลนดิ้งพลาด แต่ก็ยังปล่อยของหนัก เมื่อเทียบกับผลงานล่าสุดนี้โดยรวม 'Knock At The Cabin' คือหนังของ เอ็ม.ไนท์ ชยามาลาน ในระดับที่ค่อนข้างน่าพอใจเลยทีเดียว หนังมีความน่าสนใจทั้งในแง่พล็อต การสร้างสถานการณ์สุดตึงเครียด ไปจนถึงหลายจุดที่ไม่คาดคิด มาพร้อมกับการแสดงที่ยกระดับฝีมือของหลายต่อหลายคน ใครที่เป็นแฟนหนังของผู้กำกับคนนี้ ก็ไม่น่าพลาดเช่นเดิมชมตัวอย่าง Knock At The Cabin เสียงเคาะที่กระท่อมภาพ : UIP Thailand

[REVIEW] 'Minions : The Rise of Gru' ความป่วนครั้งใหม่ ที่ทำให้ตกหลุมรักมินเนียนมากขึ้น | GOSSIP GUN

30 มิ.ย. 2022

[REVIEW] 'Minions : The Rise of Gru' ความป่วนครั้งใหม่ ที่ทำให้ตกหลุมรักมินเนียนมากขึ้น | GOSSIP GUN

สิ่งที่ผู้ชมต้องการจากหนังMinionsคงไม่มีอะไรมากนอกจากเสียงหัวเราะ ดังนั้นถ้าหนังสามารถตอบโจทย์ข้อนี้ได้ ก็ถือว่าบรรลุเป้าหมายแล้ว ส่วนข้อดีอื่นๆที่เพิ่มขึ้นมา คงเป็นของแถม ซึ่งMinions : The Rise of Gruทำหน้าที่เป็นหนังแอนิเมชั่นคลายเครียดได้อย่างอยู่หมัด เป็นเวลา90นาทีที่เราสามารถลืมทุกอย่างภายนอก แล้วไปสนุกกับโลกป่วนๆของพวกมินเนียนได้ หลังจากที่พวกเราห่างหายจากการดูหนังเดี่ยวของMinionsมานานถึง7ปี และห่างหายจากDespicable Meมานานถึง5ปีแล้วถ้าจะอธิบายถึงสถานะของหนังMinions : The Rise of Gruอาจจะวุ่นวายเล็กน้อย เพราะมันคือหนังภาคต่อของMinionsในปี2015ซึ่งตัวหนังMinionsเองถือเป็นหนังภาคแยกออกมาจากDespicable Meซึ่งเน้นไปที่ตัวละครกรู บอสใหญ่ของเหล่ามินเนียน ซึ่งเหตุการณ์ในหนังMinions : The Rise of Gruจะเกิดขึ้นหลังจากMinionsแต่เป็นก่อนDespicable Meในภาคแรก โดยจะเล่าถึงกรูในวัย12ปีที่กำลังหาทางขึ้นไปเป็นวายร้ายระดับท็อปของโลกให้ได้ และโอกาสก็มาถึงเมื่อเหล่า วิกเชียส6แก๊งหกวายร้ายตัวเป้งของโลก เปิดรับสมัครสมาชิกใหม่ กรูจึงตั้งใจจะเป็นสมาชิกให้ได้ แต่กลับถูกเหล่าวายร้ายรุ่นเดอะเหยียดหยามว่าเขาเป็นแค่เด็ก กรูจึงขโมยสมบัติล้ำค่าออกมา เพื่อพิสูจน์ว่า เขาไม่ใช่เด็กทั่วไป นำไปสู่การผจญภัยสุดป่วน ของทั้งกรู และแก๊งมินเนียนสมุนของเขาทั้งหมดแม้หนังภาคนี้ จะมีเรื่องราวของ กรู ในวัยเด็กเข้ามาเป็นแกนหลักในการดำเนินเรื่อง แต่ไฮไลต์จริงๆ คงหนีไม่พ้นเหล่าตัวละคร มินเนียน ที่ถาโถมความป่วนเข้ามาตลอดทั้งเรื่อง เหมือนผู้สร้างรู้ดีว่า อะไรคือสิ่งที่แฟนๆชอบ อะไรคือสิ่งที่ผู้ชมที่ตั๋วเข้ามาดูต้องการ จึงสร้างสรรค์ฉากฮาๆ สำหรับตัวละครมินเนียนออกมาได้เพียบ ฉากการเดินทางข้ามอเมริกาและฉากฝึกศิลปะการต่อสู้ ก็เปิดโอกาสให้ผู้สร้างได้ใส่มุกมากมายในหนัง ซึ่งส่วนใหญ่ก็ได้ขำตลอด แต่ที่เซอร์ไพรสคือ ผู้สร้างเลือกที่จะชูตัวละครนึงขึ้นมาคือ อ็อตโต้ ซึ่งทำสิ่งผิดพลาดบางอย่างในตอนต้นเรื่อง ทำให้เขาค่อยๆเรียนรู้การใช้ชีวิต และเติบโตขึ้น ในขณะเดียวกัน เราจะได้เห็นการเรียนรู้บางอย่างและเติบโตขึ้นของกรูเช่นกัน ทำให้Minions : The Rise of Gruเป็นหนังตลกโบ๊ะบ๊ะเท่านั้น แต่ก็ยังมีความเป็นComing-of-Ageผสมผสานเข้ามาด้วยสีสันที่ทำให้Minionsน่าสนใจเพิ่่มขึ้นมา คือการสร้างบรรยากาศในยุค70s (ต่างจากDespicable Meที่เล่าให้ยุคปัจจุบัน)หนังมีการหยิบเอาPop Cultureบางอย่างมาใช้ประกอบ หยิบเอาอุปกรณ์ต่างๆในยุคนั้นมาเล่น มาแซว ทำให้ผู้ชมที่เป็นกลุ่มพ่อแม่ ที่พาลูกเข้าไปดูหนังเรื่องนี้ อาจจะนั่งขำหรือนึกย้อนถึงสมัยก่อน เพิ่มขึ้นจากการขำตัวมินเนียนแค่นั้น อีกหนึ่งสีสันสำคัญ คือการกลับมาพากย์เสียงประกอบ ของ สตีฟ คาร์เรล ในบทของกรู บวกกับการปรากฏตัวของบางตัวละคร ที่จะเชื่อมไปยังDespicable Meภาคแรก ทำให้ผู้ชมที่อาจจะพอจำภาคแรกได้ ได้ถึงย้อนไปถึงจุดเริ่มต้นของหนังแฟรนไชส์นี้ได้ โดยหนังยังมีนักแสดงสายแอ็กชันมาพากย์เสียงเพียบ ทั้ง มิเชลล์ โหย่ว,ฌอง คลอด แวน แดมม์ และดอล์ฟ ลุนเกรน เรียกว่าจัดเต็มในกลุ่มทีมพากย์พอสมควรสิ่งที่น่าเสียดายเล็กน้อยสำหรับMinions : The Rise of Gruคือพล็อตเรื่องที่อาจจะเบาบางไปนิด แต่ก็เอื้อให้เกิดฉากผจญภัยที่สนุกสนานและฉากตลกมากมาย และการสร้างตัวร้ายประจำภาคนี้ นั่นคือ กลุ่มวิกเชียส6ซึ่งมีสมาชิกมากถึงหกคน แต่กลับไม่ค่อยเป็นที่จดจำเท่าไหร่นัก แต่ละตัวละครต่างมีจุดเด่นที่ปรากฏเยอะไปหมด ความเยอะในทุกตัวละครนี้ กลับทำให้ไม่มีตัวละครไหนเด่นเลย แทนที่การรวมพลัง6คน มันควรจะยิ่งใหญ่ดูน่าเกรงขาม แต่พวกเขากลับร้ายแค่ระดับผิวเผินเท่านั้นเอง เมื่อเทียบกับ ตัวละคร สการ์เล็ต โอเวอร์คิล(ที่พากย์เสียงโดย แชนดร้า บูลล็อค)ในภาคก่อน ยังน่าจดจำยิ่งกว่าสรุปแล้วMinions : The Rise of Gruคือยาแก้เครียดขนานแท้ ภาคนี้จัดเต็มความฮาจากเหล่ามินเนียนแน่นอน รับประกันความป่วน แต่ก็จะมีมุมอื่นๆให้ได้เห็นอยู่เรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นมุมน่ารักแบ๊วๆ หรือมุมดราม่า ที่จะทำให้ผู้ชมยิ่งตกหลุมรักเหล่ามินเนียนมากขึ้นไปอีก นี่เป็นหนังอีกเรื่องที่ทำให้แบรนด์ดิ้ง ของ มินเนียน แข็งแรงขึ้น สิ่งที่น่าสนใจคือ หลังจากจบภาคนี้ ดูเหมือนเส้นเรื่องจะวนกลับมาครบลูป จากDespicable Meภาคแรกแล้ว ผู้สร้างจะเลือกทิศทางไปเล่าอย่างไรต่อ จนต้องติดตามกันต่อไป(ให้7.5คะแนนจากคะแนนเต็ม10คะแนน)ภาพ : UIP Thailandชมตัวอย่างMinions : The Rise of Gruวันนี้ในโรงภาพยนตร์

[REVIEW] ‘Knives Out : Glass Onion’ ฆาตกรรมหรรษาเคสใหม่ สนุกฮาชั้นเชิงเกินร้อย| GOSSIP GUN

22 ธ.ค. 2022

[REVIEW] ‘Knives Out : Glass Onion’ ฆาตกรรมหรรษาเคสใหม่ สนุกฮาชั้นเชิงเกินร้อย| GOSSIP GUN

ยกให้เป็นหนังโคตรสนุกส่งท้ายปีเลยก็ว่าได้ สำหรับภาคใหม่ของ Knives Out หนังตามหาฆาตกรสไตล์ Whodunit ที่มาพร้อมกับความแสบสันต์ และทีมนักแสดงชุดใหญ่ ย้อนกลับไปเมื่อ 3 ปีก่อน Knives Out กลายเป็นหนังระดับโคตรฮิตและกวาดคำวิจารณ์ในแง่บวกไปเพียบ จากทุนสร้างเพียง 40 ล้านเหรียญฯ สามารถทำรายได้ทั่วโลกไปกว่า 300 ล้าน กลายเป็นแฟรนไชส์ใหม่สำหรับพระเอก แดเนียล เคร็ก หลังโบกมือลาบท เจมส์บอนด์ ไปแล้ว เขาก็ได้หนังฮิตชุดใหม่ต่อทันที และเมื่อหนังสามารถเรียกผู้ชมได้มากขนาดนี้ Netflix เลยตาไว ซื้อสิทธิจากค่าย Lionsgate ไปซะเลย และซื้อแบบรวดเดียวทั้งภาค 2 และ 3 ทำให้หนัง Knives Out ภาคใหม่นี้ ผู้ชมจะไม่ได้ดูในโรงเหมือนภาคก่อน แต่จะลงให้ชมใน Netflix เป็นสเต็ปแรกไปเลยหนังภาคใหม่นี้ ใช้ชื่อเต็มๆว่า "Glass Onion : A Knives Out Mystery” พาผู้ชมไปหรรษากับคดีใหม่ของ นักสืบเบอร์นัวห์ บลองค์ ซึ่งรับบทโดย แดเนียล เคร็ก เขาคือนักแสดงคนเดียวจากภาคแรกที่กลับมาแสดงในภาคต่อนี้ โดยเบอร์นัวห์ ได้บัตรเชิญให้ไปร่วมงานปาร์ตี้สุดเอ็กซ์คลูซีฟ บนเกาะส่วนตัวสุดหรู ที่ทะเลในประเทศกรีซ ซึ่งเจ้าของคือมหาเศรษฐีผู้ร่ำรวยจากเทคโนโลยีใหม่ๆ เมื่อเขามาถึงก็ได้พบว่า แขกทั้งหมดล้วนเป็นเพื่อนที่สนิทสนมกันมานานของ เศรษฐีคนนี้ ซึ่งทั้ง นักการเมืองปากเก่ง ยูทูปเบอร์สุดเพี้ยน อดีตนางแบบสาวตัวแม่ และอีกเพียบ โดยทุกคนจะต้องมาร่วมสนุกกับการไขปริศนาคดีฆาตกรรม แต่ทุกอย่างกลับเข้มข้นขึ้น เมื่อมีหนึ่งในกลุ่มเพื่อน เสียชีวิตจริงๆ แต่ใครคือฆาตกรกันแน่ ?สามารถพูดได้เต็มปากว่า Glass Onion คือหนังที่โคตรสนุก โคตรแสบ และคาดเดาไม่ได้จริงๆ ดูเหมือนองค์ประกอบในหลายๆอย่างจะถูกเพิ่มขึ้นจากภาคก่อน หลังจากที่ Knives Out ภาคแรกกลายเป็นหนังที่ประสบความสำเร็จเกินคาด กลายเป็นจุดที่เพิ่มความมั่นใจให้กับผู้กำกับ ไรอัน จอห์นสัน มากยิ่งขึ้น ว่าเขามาถูกทางแล้ว กับการผสมผสานระหว่างหนังสไตล์ตามหาฆาตกรสุดเข้มข้น กับหนังตลกเสียดสีสุดแสบสันต์ สิ่งที่ผู้ชมชื่นชอบ ดูเหมือนจะถูกเพิ่มดีกรีในภาคนี้หมด สิ่งที่ทำให้หนังสนุกมาก คือชั้นเชิงในการเล่าเรื่องของไรอัน มันไม่ใช่แค่ผู้ชมจะลุ้นว่าใครจะตาย ใครคือฆาตกร แต่ดีเทลต่างๆที่ใส่มา ล้วนมีความสำคัญแทบทั้งหมด มุกเล็กๆน้อยๆที่หยอดไว้ มันอาจจะเชื่อมโยงกับอะไรบางอย่างหลังจากนั้นก็ได้ กลายเป็นหนังที่เล่าอย่างแพรวพราวจริงๆสิ่งที่ถูกเพิ่มดีกรีขึ้นมาใน Glass Onion อย่างชัดเจนอีก คืองานโปรดักชั่น และอารมณ์ขันสุดแสบ หลังจากที่ภาคแรกเน้นการเล่าเรื่องในคฤหาสน์สุดหรูของคุณปู่ ภาคนี้จัดความใหญ่ด้วยเกาะส่วนตัวกันไปเลย ซึ่งมีรายละเอียดของสถานที่ที่อลังการอยู่ไม่น้อย (รวมถึงสถานที่ที่จะเผยว่าชื่อหนัง Glass Onion หมายถึงอะไร) อีกจุดที่เพิ่มดีกรีขึ้นมา คือ ความตลกแบบแสบจี๊ด หลังจากภาคแรกเสียดสี สังคมอเมริกาและการเมืองแบบไม่แตะเบรก ภาคนี้ดูเหมืิอนจะเสียดสีและล้อเลียน กลุ่มคนที่ถูกยกให้เป็น Elite ของสังคม ไม่ว่าจะเป็น เศรษฐีเทคโนโลยี (แบบ อีลอน มัสก์) ผู้ที่โด่งดังจากโลกออนไลน์ โดยมุกต่างๆที่แทรกไว้ ค่อนข้างเวิร์กเลยทีเดียว และจังหวะการเล่น การขยี้ก็ค่อนข้างลงตัว จากรอบปฐมทัศน์ในไทยที่ Netflixจัดฉายพิเศษในโรง สามารถบอกได้ว่า หัวเราะกันลั่นโรงจริงๆพาร์ทสำคัญที่เป็นไฮไลต์ของหนังสไตล์ Whodunit คือ Ensemble Cast หลักจากภาคนี้ ไรอัน จอห์นสัน ชวนนักแสดงดังๆมาร่วมแสดงกันแน่นจอ ภาคนี้แม้ว่าดีกรีความดังของนักแสดงอาจจะเทียบภาคแรกไม่ได้ แต่ว่าแต่ละคนก็มีของแบบไม่ธรรมดา ประกอบด้วย เอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน, เคต ฮัดสัน, เดฟ บอทิสต้า, แคทเธอรีีน ฮาห์น แต่ที่โดดเด่นเหนือออกมา คือการแสดงของ จาเนล โมเน่ห์ ในบทเพื่อนรักเพื่อนแค้นของคนกลุ่มนี้ ด้วยคาแรคเตอร์ของเธอทำให้ จาเนล สามารถโชว์สกิลได้อย่างหลากหลาย ส่วนนักแสดงนำอย่าง แดเนียล เคร็ก ภาคนี้ดูเหมือนเขาจะเอ็นจอยกับบทมากขึ้น แดเนียลดูสบาย ดูสนุกกับบท จนทำให้คนดูเพลิดเพลินกับตัวละครนี้ไปด้วย จนอยากจะตามต่อภาคหน้าแล้วว่าเขาจะไปคลี่คลายคดีที่ไหนโดยรวม Glass Onion : A Knives Out Mystery ถือเป็นหนังโคตรบันเทิงมากๆ ผสมผสานระหว่างหนังสืบหาฆาตกรกับตลกเสียดสีอย่างลงตัว จนไม่แปลกใจที่หลายๆสถาบันจะให้เรื่องนี้ติดอันดับหนังยอดเยี่ยมของปีด้วย รวมถึง แดเนียล เคร็ก ก็ได้ชิงรางวัลในหลายๆสถาบัน นอกจากทีมนักแสดงสุดแสบแล้ว Knives Out ภาคนี้ยังแอบใส่นักแสดงรับเชิญไว้หลายคน นอกจากคนดูจะเซอร์ไพรสกับเส้นเรื่องที่คาดเดาไม่ได้แล้ว ยังจะเซอร์ไพรสกับแขกรับเชิญที่หนังใส่มาอีกด้วย (นักแสดงบางคนมาแต่เสียงก็มี) นี่จึงเป็นหนังที่สนุกและห้ามพลาดส่งท้ายปี แม้ว่าคุณจะยังไม่เคยดูภาคแรกมาก่อน ก็สามารถมาเอ็นจอยกับภาคนี้ได้เลย เพราะเป็นการเปิดคดีใหม่ เส้นเรื่องไม่ได้เกี่ยวโยงกันGlass Onion : A Knives Out Mystery สตรีม 23 ธันวาคมใน Netflix

[REVIEW] ‘Project Wolf Hunting’ ภารกิจเรือคลั่งขนนักโทษ โหดอำมหิตระดับ 20+ | GOSSIP GUN

03 พ.ย. 2022

[REVIEW] ‘Project Wolf Hunting’ ภารกิจเรือคลั่งขนนักโทษ โหดอำมหิตระดับ 20+ | GOSSIP GUN

แรกเริ่มเดิมที เมื่อได้ยินข่าวของ Project Wolf Hunting หลังจากดูพล็อต ดูนักแสดง ก็นึกไปว่ามันคงเป็นหนังแหกคุกอีกหนึ่งเรื่อง เพียงแค่เปลี่ยนสถานที่เกิดเหตุไปเป็นบนเรือ แต่เมื่อล่าสุดที่ สหมงคลฟิล์ม ประกาศว่า หนังคว้าเรต ฉ20 ในประเทศไทย (ห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 20 ปีเข้าชมเด็ดขาด) ดีกรีความน่าดูจึงพุ่งพรวด มันเป็นการการันตีทางอ้อมว่า หนังจะต้องเต็มไปด้วยฉากเอ็กซ์ตรีม โหดระดับสิบกระโหลก จนกระทั่งกองเซ็นเซอร์ในบ้านเราไม่ยอมให้เยาวชนเข้าไปดูอย่างแน่นอน แม้หนังดูจะโหดเลือดสาด แต่ภาพรวมของหนังก็น่าจะออกมาเป็นที่พอใจของแฟนๆและนักวิจารณ์ การันตีจากคะแนนรีวิว Rotten Tomatoes ที่มีนักวิจารณ์ชอบมากถึง 85% ในขณะที่คะแนน Audience Score จากฝั่งคนดู ก็สูงถึง 88% เช่นกัน เรียกว่าน่าจะสะใจทั้งสายหนังและสายบันเทิงอย่างแน่นอนProject Wolf Hunting เล่าถึงภารกิจโหดในการขนนักโทษจากกรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ มายังเมืองปูซาน ประเทศเกาหลีใต้ โดยใช้วิธีล่องมาบนเรือขนส่งสินค้าขนาดยักษ์ที่ใช้เวลาแล่นมาราว 2-3 วัน โดยการขนนักโทษคราวนี้ถือเป็นภารกิจหิน เพราะเต็มไปด้วยนักโทษระดับอันตรายขั้นสุด ไม่ว่าจะเป็นฆาตกรโรคจิต หรือนักโทษคดีข่มขืน จึงต้องใช้ตำรวจคุมภารกิจมากถึง20 คน หลังจากที่ปฏิบัติการขนนักโทษรอบก่อนหน้านี้เคยผิดพลาดมาแล้ว เมื่อเรือลำนี้แล่นออกจากท่า ดูเหมือนทุกอย่างจะสงบนิ่ง แต่แล้วเหตุการณ์บางอย่างได้เกิดขึ้น นำไปสู่ความโกลาหล และความวิบัติขั้นสุด เกินกว่าที่ใครจะคาดคิด เมื่อทั้งตำรวจและนักโทษ ต้องสวมวิญญาณนักฆ่า เอาตัวรอดจากเดนมนุษย์บนเรือคลั่งลำนี้หลังดูจบก็ไม่แปลกใจเลยว่าทำไม Project Wolf Hunting ได้รับเรต ฉ20 ในไทย (ไม่ได้สิแปลก) เพราะมันไม่ใช่หนังเรือคลั่งเฉยๆ อาจเรียกได้ว่า โคตรพ่อโคตรแม่คลั่งเลยก็ว่าได้ หนังอัดแน่นด้วยฉากโหดในระดับ 10/10 สำหรับใครที่เป็นคอหนังโหดอยู่แล้ว น่าจะสะใจและถูกใจกับหนังเรื่องนี้ ในขณะที่ใครดูฉากโหดได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น อยากให้หลีกเลี่ยง เพราะหนังถือว่าโหดในระดับที่ไม่ปราณีผู้ชมทั่วไป เต็มไปด้วยเลือดนองดั่งคลื่นมหาสมุทร ฉากทุบอวัยวะต่างๆจนเละ หรือหั่นอวัยวะในแบบอำมหิตขั้นสุด อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้ Project Wolf Hunting โหดแต่ไม่ได้ถึงขั้นดูไม่ได้ แค่หนังโหดแบบโอเว่อร์ ในความเป็นจริง ฉากฆ่าแกงกัน มันไม่ได้โหดหนักขนาดนี้ หรือเลือดออกเยอะขนาดนี้ หนังมีความเกินเบอร์อยู่หน่อย ทำให้ดูเว่อร์เกินจริง และเมื่อหนังไม่ได้สมจริง ความน่ากลัวจึงลดลงไป กลายเป็นโหดแบบหนังการ์ตูนผู้ใหญ่ ความโหดนี้จึงไม่ใช่โหดแบบโหดร้าย แต่เป็นโหดแบบสนุก โหดแบบสะใจมากกว่า หลายซีนเลยเป็นการสนุกกับการทายว่า ฉากต่อไปจะฆ่าแกงกันแบบไหน จะโหดได้ระดับได้มากกว่านี้อีกหรือไม่นอกจากความโหดแบบไม่ยั้งแล้ว สิ่งที่ทำให้ Project Wolf Hunting น่าสนใจ คือพล็อตที่ชวนติดตาม และบรรยากาศดิบเถื่อนที่หนังรักษาไว้ได้ดีตลอดทั้งเรื่อง ในแง่ของพล็อตแม้หนังจะเปิดมา ว่านี่คือภารกิจขนนักโทษกลับเกาหลีผ่านเรือขนส่งขนาดใหญ่ แต่ไส้ในของหนังมันกลับมาอะไรซ่อนกว่านั้น หนังยังมีพล็อตบางอย่างที่เก็บเอาไว้ ตัวละครบางตัวที่ยังไม่เปิดเผย ตรงนี้เองทำให้หนังสนุกมากขึ้น แม้ว่าบางจุดอาจจะดูออกทะเลไปบ้าง (ไม่ใช่ออกทะเลแค่พล็อตหลัก)แต่นี่คือส่วนที่ทำให้หนังคาดเดาไม่ได้ และเพิ่มความโกลาหลเข้าไป ทำให้บางจุดผู้ชมเองก็ไม่รู้จะเชียร์ใครดี บางฉากก็อยากจะเชียร์ตำรวจ แต่ดูไปดูมาก็อยากจะให้นักโทษรอดก็มี ซึ่งทั้งหมดนี่ ดูถ่ายทอดผ่านงานภาพและอารมณ์ของหนังที่ ตรึงบรรยากาศแบบดิบๆไว้ได้ตลอด เป็นหนังเกาหลีอีกเรื่องที่ถึงแม้งานภาพจะโหด แต่ต้องชื่นชมว่า คุมธีมไว้ได้แบบไม่หลุดโทนเลย (แค่ดูจากภาพนิ่งที่ปล่อยออกมา จะเห็นได้ว่าหนังสวยงามในแบบดิบๆได้มากเลยทีเดียว)โดยรวม Project Wolf Hunting ถือเป็นหนังแอ็กชันเอ็กซ์สตรีมที่น่าจะสะใจสายโหดอยู่ไม่น้อย แม้พล็อตตั้งต้นจะดูเหมือนCon Air ในฉบับเปลี่ยนจากเครื่องบินเป็นเรือ แต่ตัวหนังเองพาผู้ชมไปไกลกว่านั้น (ที่แน่ๆมันโหดกว่า Con Air ในแบบคูณสิบไปเลย) นอกจากจะสนุกกับดีกรีความโหดที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อีกหนึ่งความสนุกที่สายเกาหลีน่าจะบันเทิงคือ การลุ้นว่านักแสดงที่เราชื่นชอบ ตัวละครของพวกเขาจะรอดไปจากเรือคลั่งลำนี้หรือไม่ ใครจะตายก่อนตายหลัง และตายด้วยวิธีสุดอำมหิตแบบไหน บางอย่างมันก็บียอนด์ไปไกลกว่าที่คาดคิดอยู่ไม่น้อย เตรียมใจให้พร้อมแล้วออกแล่นไปกับเรือคลั่งลำนี้กันไป โดยก่อนไปชมอย่าลืมเตรียมบัตรประชาชนไปแสดงกันด้วย (ในรอบเปิดตัวหนัง ตรวจบัตรก่อนเข้าชมทุกที่นั่งจริงๆ)Project Wolf Hunting เรือคลั่ง เกมล่าเดนมนุษย์ สัปดาห์นี้ในโรงภาพยนตร์ภาพ : Major Group

album

0
0.8
1