[REVIEW] 'Emergency Declaration' หายนะเหนือน่านฟ้า สุดบีบอารมณ์และสมจริง ! | GOSSIP GUN

HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] 'Emergency Declaration' หายนะเหนือน่านฟ้า สุดบีบอารมณ์และสมจริง ! | GOSSIP GUN

03 ส.ค. 2022

สิ้นสุดการรอคอยเสียที สำหรับภาพยนตร์หายนะบนเครื่องบินเรื่องแรกของเกาหลี ที่ทุ่มทุนสร้างมหาศาล ขนทัพนักแสดงแถวหน้าของวงการไว้มากมาย หลังจากไปเปิดตัวในเทศกาลหนังเมืองคานส์เมื่อปีก่อน และได้รับคำชมมากมาย หนังก็ขยับโปรแกรมฉายมาเรื่อยๆ (เนื่องจากช่วงก่อนหน้านี้ โควิดที่เกาหลียังแรงอยู่) จนกระทั่งล่าสุดได้โปรแกรมฉายเสียที นี่คืองานล่าสุดของผู้กำกับ ฮันแจริม (จาก The Face Reader) ที่เขาเผยว่า เขียนบทไว้ตั้งแต่ก่อนโควิดจะเริ่ม แต่ไปๆมาๆพอหนังเริ่มถ่ายทำไปแล้ว โควิดก็มาพอดี ซึ่งมีอะไรหลายอย่างที่ตรงกับในหนังอย่างไม่ได้ตั้งใจ !

Emergency Declaration เล่าถึงหายนะที่เกิดขึ้นบนเที่ยวบิน จากกรุงโซล มุ่งหน้าสู่ฮาวาย เมื่อมีผู้โดยสารคนหนึ่งเสียชีวิตอย่างเป็นปริศนา สร้างความตื่นตระหนกให้กับผู้โดยสารทุกคน และเมื่อเหตุการณ์เหนือการควบคุม กัปตันจึงต้องประกาศเหตุฉุกเฉินเพื่อขอลงจอดในสนามบินที่ใกล้ที่สุด แต่ปัญหาใหญ่คือ อันตรายที่อยู่บนเครื่องบิน อาจสร้างหายนะให้กับผู้คนข้างล่างได้เมื่อมันแลนดิ้ง เลยสร้างความกังวลให้กับทุกฝ่าย เพราะหายนะบนเครื่องบิน อาจกลายเป็นหายนะของคนทั้งโลก ! 

นี่คือหนังแอ็กชันระทึกขวัญที่จะทำให้ผู้ชมนั่งไม่ติดเก้าอี้ของจริง หนังใช้เวลาช่วงแรกในการค่อยๆแนะนำแต่ละตัวละครที่สำคัญ ทั้งบนเครื่องบิน เริ่มจากตัวละครของ อีบยองฮอน (จาก Mr.Sunshine) ที่รับบทคุณพ่อที่ต้องพาลูกสาวบินไปฮาวายเพื่อรักษาโรค แต่กลับเจอเหตุการณ์ไม่คาดคิดเสียก่อน โดย คิมนัมกิล (จาก Pandora) รับบทกัปตันที่ต้องทำการตัดสินใจประกาศ Emergency Declaration เพื่อให้เครื่องบินลงจอดฉุกเฉิน ในขณะเดียวกันฝั่งภาคพื้นดิน ก็มีตัวละครของ ซงคังโฮ (จาก Parasite) เป็นตำรวจฝีมือเยี่ยมที่ต้องทำทุกทางเพื่อช่วยภรรยา ซึ่งอยู่บนเครื่องบินไฟลต์นรกเช่นเดียวกัน โดยการตัดสินใจทั้งหมด เกิดขึ้นกับตัวละครของ จอนโดยอน (จาก Untold Scandal) ในบทรัฐมนตรีคมนาคม ที่ต้องรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินนี้

หนังใช้เวลาบิลด์เรื่องพอสมควร ทั้งในส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนฟ้า และเหตุการณ์บางอย่างที่เกี่ยวข้องด้านล่าง ทำให้ผู้ชมค่อยๆซึมซับอารมณ์ ค่อยๆบิลด์ความตื่นเต้น จนกระทั่งพีกขั้นสุดในช่วงแรกเมื่อหายนะได้เกิดขึ้น ชั่วโมงแรกของ Emergency Declaration หนังทำได้อย่างเยี่ยมยอดที่ทำให้เราลุ้นในแทบทุกนาที และรู้สึกไม่น่าไว้วางใจตลอดเวลาเมื่อหายนะเกิดขึ้น ลากยาวไปจนถึงช่วงครึ่งหลัง ที่ตรึงอารมณ์ผู้ชมไว้ได้ตลอด ความตื่นเต้นไม่ได้ลดระดับลงเลย แม้บางช่วงจะอารมณ์ดร็อปลงบ้าง เพราะสถานการณ์เหมือนจะเบาบางลง แต่หนังก็กระหน่ำวิกฤตใส่เข้ามาเรื่อยๆ ให้ผู้ชมแทบจะไม่ได้พักกันเลยทีเดียว นอกจากลุ้นในฝากของฉากตื่นเต้นแล้ว ในพาร์ทดราม่าที่เกี่ยวกับตัวละคร และการตัดสินใจ ถือว่าทำได้ดี เมื่อผู้ชมดูหนังไปซักพัก และเริ่มอินกับเรื่อง พอพาร์ทดราม่ามาถึง มันก็ทำงานได้ในจังหวะที่พอเหมาะ

ถ้าจะมีอะไรให้รู้สึกว่าหนังบกพร่องสำหรับ Emergency Declaration ก็น่าจะเป็นเรื่องความยาว ที่ยาวถึง 2.30 ชั่วโมง อาจจะมีบางช่วงที่สามารถตัดออกเพื่อให้หนังกระชับและเข้มข้นกว่านี้ได้ โดยเฉพาะช่วงกลางเรื่อง ที่มีกลิ่นอายของหนังแนวสืบสวนสอบสวนเข้ามา ทำให้ความรู้สึกลุ้นไปกับตัวละครลดลงไปเล็กน้อย ก่อนที่จะกลับมาบิลด์หนักอีกครั้งในช่วงองก์สุดท้าย และในช่วงท้ายที่หนังค่อนข้างใช้เวลากับบทสรุปที่ค่อนข้างนาน ในแง่ดีมันก็ทอดอารมณ์ให้ผู้ชมยังคงอินกับหนังได้อย่างเต็มอิ่ม แต่ในขณะเดียวกัน ก็รู้สึกว่ามันสามารถย่อให้สั้นลงได้อีก

ในฐานะหนังหายนะบนเครื่องบินเรื่องแรกของเกาหลี ต้องบอกว่า Emergency Declaration ตั้งมาตรฐานไว้ค่อนข้างสูง หลายฉากทำให้ผู้ชมตรึงอยู่กับที่นั่งด้วยความระทึก ยิ่งฉากที่โปรโมตกัน เรื่องของเครื่องบินที่หมุน 360 องศา ซึ่งหนังใช้เครื่องบินจริง มาตัดเป็นท่่อน แล้วหมุนจริง นักแสดงอย่าง อีบยองฮอน ก็นั่งอยู่บนเครื่องที่หมุนจริงด้วย พอมาดูเต็มๆในหนัง ทำให้ภาพที่ออกมาสมจริงมากๆ นอกจากนี้ต้องชื่นชมทีมนักแสดงทั้งรุ่นใหญ่ รุ่นกลาง รุ่นเล็ก นำทีมโดย ซงคังโฮ, อีบยองฮอน และจอนโดฮยอน ทำได้ดีมากๆเลย โดยเฉพาะ 3 ตัวหลักที่เอ่ยไป มีแง่มุมของตัวละครที่นักแสดงถ่ายทอดออกมาอย่างพอเหมาะ นี่เป็นอีกครั้งที่หนังเกาหลีก้าวไปข้างหน้าอีกสเต็ป และดูเหมือนว่าจะไม่แผ่วลงมาง่ายๆ ใครที่ชอบหนังตื่นเต้น บีบหัวใจ น่าตีตั๋วขึ้นไปคลั่งกันบนเที่ยวบินไฟลต์นี้มากๆ

ปล. หนังเข้าฉายในระบบ 4DX ด้วย และดูเหมือนว่าจะมีหลายฉากที่ออกแบบมาเพื่อระบบนี้ โดยเฉพาะ ยิ่งฉากที่ระทึกที่เกิดขึ้นบนเครื่องบินทั้งหมด ระบบ 4DX ช่วยเพิ่มอรรถรสได้อย่างมาก จนบางจุดให้อารมณ์คล้ายกับนั่งเครื่องบินจริงๆ ที่กำลังประสบปัญหาเลยทีเดียว เมื่อเทียบกับหนังหลายๆเรื่องก่อนหน้านี้ที่ฉายในระบบนี้ Emergency Declaration ถือว่ามีเอฟเฟคที่แรงทีเดียว อาจจะไม่ได้ถี่ตลอดเวลา แต่เมื่อไหร่ที่เอฟเฟคมาก ถึงขั้นตอนจับตรงที่กั้นระหว่างเก้าอี้เลยทีเดียว


 

ชมตัวอย่าง Emergency Declaration ไฟลต์คลั่ง ฝ่านรกชีวะ

ภาพ :  Mongkol Major Mongkol Cinema
 

related HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] 'Thor : Love and Thunder' โรแมนติกสมชื่อ สู่บทใหม่ของเทพเจ้าสายฟ้า | GOSSIP GUN

06 ก.ค. 2022

[REVIEW] 'Thor : Love and Thunder' โรแมนติกสมชื่อ สู่บทใหม่ของเทพเจ้าสายฟ้า | GOSSIP GUN

ในขณะที่เพื่อนร่วมรุ่นอย่างIron ManและCaptain Americaประกาศจบการศึกษากันไปแล้ว ด้วยการมีหนังเดี่ยวคนละ3ภาค แต่Thorกลายเป็นซูเปอร์ฮีโร่คนแรกในจักรวาลมาร์เวล ที่มีหนังของตัวเองเป็นภาคที่4ได้ ด้วยหลายๆปัจจัย ทั้งในแง่ของตัวละครที่ยังสามารถเล่าในแง่มุมต่างๆได้อีกเพียบ ความเป็นเทพ การเดินทางข้ามจักรวาล ทำให้เรื่องราวของThorถูกเปิดกว้างยิ่งกว่า รวมถึงปมที่เกี่ยวกับตัวละครแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เจน ฟอสเตอร์ อดีตแฟนสาวของเขา ที่ถูกทิ้งไปดื้อๆหลังจบภาค2ทำให้นี่อาจจะเป็นโอกาสที่จะมาสานต่อเรื่องราวให้สมบูรณ์ รวมถึงความสำเร็จของหนังภาคก่อนอย่างThor : Ragnarokที่ผู้กำกับ ไทก้า ไวติติ เข้ามาปรับMood Toneทำให้หนังสนุกขึ้นและฉูดฉาดขึ้น จึงน่าเสียดายที่หนังของThorจะจบแค่ไตรภาคแรกเท่านั้น ทั้งๆที่มันยังมีโอกาสไปต่อได้นำมาสู่Thor : Love and Thunderที่หยิบเรื่องราวของธอร์(รับบทโดย คริส เฮมเวิร์ธ)มาเล่าต่อหลังจากเหตุการณ์ในAvengers : Endgameเมื่อเขาได้ออกเดินทางไปทั่วจักรวาลพร้อมกับเหล่าGuardians of the Galaxyเพื่อช่วยเหลือใครก็ตามที่เดือดร้อน จนกระทั่งพวกเขาได้พบกับGorr The God Butcher (รับบทโดย คริสเตียน เบล)ชายที่คลั่งแค้น จนสาบานว่าเขาจะสังหารเหล่าทวยเทพให้หมดสิ้น เป้าหมายต่อไปของกอร์ คือนิวแอสการ์ด บ้านหลังใหม่ของชาวแอสการ์ดที่ตั้งอยู่บนโลกมนุษย์ ธอร์จึงต้องเดินทางกลับมาที่โลกอีกครั้งเพื่อปกป้องอดีตชาวเมืองของเขา และการกลับมาในครั้งนี้ทำให้เขาได้พบกับ เจน(รับบทโดย นาตาลี พอร์ตแมน อีกครั้ง)อดีตคนรักที่ตอนนี้เธอได้กลายเป็น ไมตี้ธอร์ ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว กลายเป็นหญิงพลังเทพแบบเดียวกับที่ธอร์เป็น และเมื่อแฟนเก่ามาอยู่ใกล้ๆกันแบบนี้ ความรู้สึกในอดีตของธอร์ จึงถูกขุดขึ้นมาอีกครั้ง!แน่นอนว่า เมื่อ ไทก้า ไวติติ กลับมานั่งแท่นผู้กำกับในภาคนี้ ภาพรวมของThor : Love and Thunderจึงมีบรรยากาศและสีสันใกล้เคียงกับThor : Ragnarokโดยเฉพาะอารมณ์ขันที่ถูกใส่เข้ามาเยอะยิ่งกว่าเดิม และการออกแบบงานสร้างที่ฉูดฉาดมากยิ่งขึ้นไปอีก แต่ในขณะเดียวกัน ก็ไม่ละทิ้งความดราม่าที่หนักหน่วง การลงลึกไปสำรวจความรู้สึกของ ธอร์ หลังจากจบEndgameที่ดูเหมือนเขาจะใช้ชีวิตอย่างไร้ทิศทางและเป้าหมายพอสมควร ในหนังภาคนี้ ธอร์จะได้สำรวจความรู้สึกตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของความรัก ที่เขาเก็บมันไว้ในส่วนลึกนานถึง8ปี และในภาคนี้เขาก็ได้จะค้นหาเป้าหมายใหม่ในการใช้ชีวิต ซึ่งนั่นทำให้หนังในภาคนี้ อาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ สำหรับไตรภาคต่อไปของThorก็เป็นอันได้ไฮไลต์ที่สำคัญมากๆสำหรับThor : Love and Thunderคือการกลับมาอีกครั้งของ นาตาลี พอร์ตแมน หลังจากไม่ปรากฏตัวในหนังภาคก่อนLove and Thunderทำให้เส้นเรื่อง ความสัมพันธ์ของ ธอร์และเจน สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น หลายประเด็นที่ถูกทิ้งไว้และยังไม่เคยเล่า ถูกหยิบมาเล่าให้คอมพลีต ยิ่งฉากโรแมนติกของ ธอร์และเจน ในภาคนี้ ยิ่งทำให้รู้สึกว่ามันมีอารมณ์บางอย่างที่ขาดหายไปในThorภาคก่อน และกลับมาอยู่ในภาคนี้อีกครั้ง นอกจากนี้การปรากฏตัวของ ไมตี้ธอร์ ทำให้เส้นเรื่องของThor : Love and Thunderมีสีสันมากยิ่งขึ้น และทำให้เราได้เห็นอีกมุมของธอร์ หลังจากที่ภาคก่อน เน้นไปที่ประเด็นด้านครอบครัว ในภาคนี้ก็จะโฟกัสที่ความรักเป็นหลักอีกหนึ่งไฮไลต์ที่ถือว่าเป็นหมัดเด็ดสำหรับThor : Love and Thunderคือการเข้าร่วมจักรวาลมาร์เวล ของ คริสเตียน เบล อดีตพระเอกแบทแมน ที่พลิกมารับบทร้ายแบบสุดขั้ว การแสดงของเบลทำให้ตัวละคร กอร์ เต็มไปด้วยความสยดสยอง ทุกครั้งที่เขาปรากฏตัวชวนขนลุก และบางซีนน่ากลัวยิ่งกว่าผีปรากฏตัวในหนังสยองขวัญเสียอีก แต่ในขณะเดียวกัน เบลก็ใส่มิติ ความลึกของตัวละครเข้าไป กอร์ มีที่มาที่ไป ก็น่าเห็นใจอย่างมาก อะไรที่เปลี่ยนให้เขากลายเป็นปีศาจที่เต็มไปด้วยความแค้น นี่ไม่ใช่ตัวร้าย ที่คลั่งอำนาจ แต่กลับคลั่งแค้นด้วยความไร้เมตตาที่เขาได้รับ เบลเล่นดีจนกระทั่งอยากให้ กอร์ เป็นตัวร้ายใหญ่ในจักรวาลมาร์เวลเลยด้วยซ้ำปัญหาสำคัญของThor : Love and Thunderคือความกลมกล่อมของหนัง แน่นอนว่าไทก้าใส่สีสันมากมายเข้ามา ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ในแบบที่แฟนๆมาร์เวลจำนวนไม่น้อยชอบมาก แต่ในภาคนี้เขาไม่สามารถบาลานซ์มันได้ดีเท่าRagnarokอาทิ จังหวะการปล่อยมุก ซึ่งในภาคก่อนค่อนข้างแม่นยำและได้ผลมาก แต่ในภาคนี้ กลับขำบ้างแป้กบ้าง บางจังหวะก็ได้แต่หัวเราะแห้งๆ ดูเหมือนจะเน้นตลกไปเรื่อย จนความจริงจังในหนังแอบหายไปพอสมควร เมื่อหนังเดินทางมาถึงจุดที่ต้องซีเรียส อารมณ์ร่วมเลยไปไม่ถึงเท่าไหร่นัก เพราะเขาทำให้ตัวละครดูไม่จริงจังกับเหตุการณ์ที่ต้องเผชิญ ทำให้แม้หนังจะออกมาสนุกสนาน บันเทิงระหว่างดู แต่น้ำหนักของเส้นเรื่องกลับเบาอย่างน่าเสียดายท้ายที่สุดThor : Love and Thunderก็ยังคงเป็นหนังป็อปคอร์นฟอร์มยักษ์กลางซัมเมอร์ ที่ยังคงดูสนุกและสร้างความบันเทิงได้เช่นเดิม แม้มันจะไม่ได้ลงตัวเท่างานชิ้นก่อนของ ไทก้า แต่เอกลักษณ์ในแบบของเขาก็ถูกใส่มาอย่างไม่ยั้งมือ รวมถึงหนังตอบโจทย์เรื่อง แฟนเซอร์วิส ได้แบบเต็มๆ โดยThor : Love and Thunderเหมือนเป็นจุดเชื่อมสำคัญของThorยุคก่อนEndgameและยุคหลังจากนี้ บางปมที่ยังไม่ถูกเล่า ก็มาคลี่คลายในภาคนี้(โดยเฉพาะเรื่องเจน)ในขณะเดียวกันหนังก็ผูกปมใหม่ ให้สำหรับThorในอนาคต ทำให้แฟนๆของมาร์เวลได้เห็นภาพกว้างๆว่า เส้นทางของเทพเจ้าสายฟ้าคนนี้ ในจักรวาลมาร์เวลนั้น ยังอีกยาวไกล...(ให้7.5คะแนนจากคะแนนเต็ม10คะแนน)ชมตัวอย่างThor : Love and Thunderวันนี้ในโรงภาพยนตร์

[REVIEW] ‘ขุนพันธ์ ๓’ ปิดไตรภาคแบบจัดใหญ่ หนังฮีโร่แบบไทยๆที่ไม่ธรรมดา| GOSSIP GUN

02 มี.ค. 2023

[REVIEW] ‘ขุนพันธ์ ๓’ ปิดไตรภาคแบบจัดใหญ่ หนังฮีโร่แบบไทยๆที่ไม่ธรรมดา| GOSSIP GUN

จะว่าไปแล้วในระยะหลัง การสร้างหนังไทยให้เป็นแฟรนไชส์ใหญ่ก็ดูจะลดลงเรื่อยๆ ยิ่งช่วงโควิด-19 ที่ระบาดหนักทำให้หนังไทยฟอร์มใหญ่ๆ หายไปจากการเข้าฉายในโรงมานานพอสมควร การกลับมาของหนังตระกูล 'ขุนพันธ์' ที่เดินทางมาถึงภาคที่3 แล้ว ดูจะเป็นการปักธงรบครั้งสำคัญ ที่ประกาศกร้าวว่า หนังไทยพร้อมที่จะคัมแบ็คแล้ว ด้วยฟอร์มที่จัดใหญ่จัดเต็มยิ่งกว่าสองภาคที่ผ่านมา ทุ่มทุนสร้างเนรมิตฉากแอ็กชันสุดอลังการ การันตีความเอพิคด้วยความยาวที่เฉียดๆ 2 ชั่วโมง 40 นาที ทำให้ 'ขุนพันธ์ ๓' เป็นหนังไทยโปรแกรมใหญ่ ที่มาเพื่อเติบเต็มอุตสาหกรรมหนังไทยอีกครั้ง และผลลัพธ์ที่ออกมา ดูเหมือนว่านี่ีคือความพยายามที่ไม่เสียเปล่า เพราะคำวิจารณ์ล็อตแรก ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า นี่คือหนังที่โคตรสนุก นี่คือหนังแอ็กชันของคนไทยที่ดูแล้วอยากลุกขึ้นปรบมือให้จริงๆอนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม กลับมาสวมบท ขุนพันธ์ ตำรวจยอดมือปราบที่วิชาอาคมแกร่งกล้าอีกครั้ง แต่เมื่อทุกสิ่งไม่จีรัง ทุกอย่างต่างมีอายุ มีเวลาเสื่อมของมัน ทำให้วิชาคงกระพันของเขาเริ่มอ่อนล้าลง โดยเหตุนี้ทำให้เขาตัดสินใจของย้ายตัวเองกลับไปยังบ้านเกิด เพื่อดูแลเมียและลูกในท้องของเธอ แต่แล้วกลับมีภารกิจใหญ่ ที่ทางกรมตำรวจต้องขอความช่วยเหลือจากขุนพันธ์อีกครั้ง เมื่อโจรผู้ร้ายในเชิ้ตดำ นำทีมโดย เสือมเหศวร และเสือดำ (รับบทโดย มาริโอ้ เมาเร่อ และโตโน่ ภาคิน)ออกปล้นสดมภ์ พร้อมกับลักพาตัว นักการเมืองคนสำคัญไป ขุนพันธ์จึงต้องนำทีมตำรวจรุ่นใหม่ บุกไปกลางป่าลึก เพื่อไล่ล่ากลุ่มโจรแก๊งนี้ ที่มีวิชาอาคมแกร่งกล้าไม่แพ้กัน กลายเป็นศึกใหญ่ที่ต่างเดิมพันด้วยชีวิต ท่ามกลางสถานการณ์อันเปราะบางทางการเมืองถ้าให้เทียบกับหนังไตรภาคฟอร์มใหญ่ของฮอลลีวูด อย่าง Spider-Man ก็อาจจะขนานนามว่าภาคนี้ว่าเป็นภาค No Way Home ของไตรภาคขุนพันธ์ก็ว่าได้ ด้วยความเล่นใหญ่ทั้งในด้านพล็อตและสเกลหนังมากกว่าภาคก่อนๆ รวมถึงมีการรวมตัวละครในจักรวาลขุนพันธ์มากกว่าภาคไหนๆ จนได้บรรยากาศความหึกเหิมในสไตล์นั้น โดยรวมถือว่าภาคนี้ค่อนข้างจัดใหญ่จัดเต็มมาก เริ่มตั้งแต่การเล่าเรื่อง ผู้ชมจะสัมผัสได้ตั้งแต่แรกว่าหนังภาคนี้ มีความเอพิกอย่างแน่นอน และเมื่อหนังเริ่มออกสตาร์ทกับฉากแอ็กชัน ผู้ชมจะได้เห็นฉากบู๊ที่ค่อยๆไต่ระดับความใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ ไต่ระดับความตู้มต้ามมากขึ้นเรื่อยๆ และมีอะไรที่แปลกตามากขึ้นเรื่อยๆ ในแบบที่เราไม่คาดคิด หรือไม่เคยเห็นมาก่อนในหนังตระกูลขุนพันธ์ความสนุกของการดู ขุนพันธ์ ๓ คือการได้เห็นการผสมผสานหนังหลากหลายสไตล์อยู่ในหนังเรื่องนี้ แม้ว่ามันจะเริ่มต้นจากการเป็นหนังแนวตำรวจจับผู้ร้าย แต่ด้วยอภินิหารที่ตัวละครมี ความแฟนตาซีที่ไต่ระดับมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้หลายครั้งได้ฟีลเหมือนดูหนังซูเปอร์ฮีโร่ในแบบไทยๆ และด้วยฉากหลังที่เป็นบรรยากาศย้อนยุค ตัวร้ายที่มาในรูปแบบกองโจร ทำให้หนังมีกลิ่นอายแบบหนังแก๊งสเตอร์สุดเท่ อัดแน่นอยู่ในหนังเช่นกัน และหลังจากลองชิมลางใส่กลิ่นอายความเหนือธรรมชาติเข้ามาในสองภาคแรก ดูเหมือนว่าภาคนี้จะเร่งเกียร์เข้าสู่โหมดแฟนตาซีแบบจัดเต็ม เรียกว่าเทกระจาดของที่อยากใส่มาก็ว่าได้ หลายซีนชวนให้นึกถึงหนังแนวสัตว์สยอง หลายซีนพาผู้ชมเหมือนไปดูหนังผีดิบ และอีกหลายซีนที่เข้าขั้นหนังสยองขวัญสุดผวา แต่ทั้งหมดที่เล่ามา ไม่ได้มีตรงไหนที่รู้สึกว่ามันเกิน หรือหลุดพวกไปจากหนังเลย ยิ่งทำให้จักรวาลของ ขุนพันธ์ ใหญ่โตขึ้น และเป็นการเปิดทางสู่แฟรนไชส์ที่ใหญ่ขึ้นอีกหลังจากนี้อีกจุดที่แอบโดนใจมากๆในหนังภาคนี้ คือการให้ฉากหลังของเรื่องราว เป็นบ้านเมืองในยุคที่ทรราชย์ปกครอง เต็มไปด้วยคอร์รัปชั่นและการใช้อำนาจในทางที่ผิด กรมตำรวจเต็มไปด้วยเรื่องฉาวโฉ่ มีเพียงขุนพันธ์ ที่อาจเป็นความหวังเดียวของชาวบ้าน ในขณะที่กลุ่มปัญหาชนคนรุ่นใหม่ที่ต่อต้านรัฐบาล กลับต้องหนีตายไปเข้าป่า กลายเป็นผู้ต้องหาจากหมายจับของรัฐ ไม่น่าเชื่อว่าภาพเหตุการณ์เหล่านั้น ที่เป็นฉากหลังของหนัง ขุนพันธ์ ๓ กลับคล้ายคลึงกับยุคปัจจุบันอย่างไม่น่าเชื่อ สะท้อนถึงการย่ำอยู่กับที่ บรรยากาศการเมืองการปกครองที่แทบจะไม่เดินหน้าไปไหน นอกจากฉากแอ็กชันที่จัดใหญ่จัดเต็ม พล็อตหนังสุดเข้มข้นแล้ว แบ็คกราวน์เรื่องเหล่านี้นี่แหละ ที่ทำให้ ขุนพันธ์ ๓ เป็นหนังย้อนยุคที่ไม่ตกยุคเลยสักนิด มีคุณค่าในตัวมัน ทั้งในแง่ของงานสร้าง การก้าวหน้าของหนังไทย และคุณค่าในแง่สังคม ที่สะท้อนอะไรหลายๆอย่าง ให้ผู้ชมได้เห็น ได้ฉุกคิดกันขุนพันธ์ ๓ เข้าฉาย 1 มีนาคมนี้ในโรงภาพยนตร์ภาพ : Sahamongkolfilm International Co.,Ltd

[REVIEW] ‘Ride On ควบสู้ฟัด’ หนังเฉินหลงแบบดีต่อใจ เชิดชูยกย่องอาชีพสตันต์แมน| GOSSIP GUN

27 เม.ย. 2023

[REVIEW] ‘Ride On ควบสู้ฟัด’ หนังเฉินหลงแบบดีต่อใจ เชิดชูยกย่องอาชีพสตันต์แมน| GOSSIP GUN

ถ้าจะมีหนังเฉินหลงสักเรื่อง ที่บทที่เขาได้รับ ดูใกล้เคียงและมีความทับซ้อนกับอาชีพจริงๆของเขามากที่สุด ก็น่าจะเป็นผลงานล่าสุดอย่าง 'Ride On' (ชื่อไทย ควบสู้ฟัด) ซึ่งนักแสดงสายบู๊ในวัยใกล้เลข 7 รับบทเป็น สตันต์แมนในวัยเกินเกษียณ ที่แม้สังขารจะไม่ให้ แต่ใจยังคงรักในอาชีพนักแสดงเสี่ยงตาย ตัวละครของเฉินหลงในเรื่อง คือชายที่ใช้ชีวิตเพียงลำพังในกองถ่าย ความผูกพันเดียวที่เขามีคือเจ้า กระต่ายแดง ม้าคู่ใจที่เขาดูแลมาตั้งแต่มันยังเล็กและฝึกให้้เป็นม้าที่แสดงฉากเสี่ยงตายเช่นเดียวกับเขา แต่เมื่อเวลาเปลี่ยนไป วงการภาพยนตร์ก็เช่นกัน สตันต์แมนอย่างเขาและม้าสตันต์ กลับกลายเป็นสิ่งไม่จำเป็น เมื่อสเปเชียลเอฟเฟกต์ เข้ามาแทนที่ การที่เอาคนมาแสดงผาดโผนและเอาสัตว์มาเข้าฉาก กลายเป็นเรื่องไม่จำเป็นอีกต่อไป และพวกเขาจะทำเช่นไรต่อดี ?แม้ว่า Ride On จะถูกโปรโมตในสไตล์หนังแอ็กชันดราม่ามิตรภาพของคนกับม้า ในแบบที่คนรักสัตว์จะต้องเทใจให้กับหนังเรื่องนี้ แต่ในขณะเดียวกัน มันก็ถูกวางให้เป็นหนังที่มาเพื่อเชิดชูและสดุดีอาชีพสตันต์แมนเช่นเดียวกัน หนังค่อยๆพาผู้ชมเข้าสู่โลกของคนที่ทำอาชีพนี้ แม้ว่าอาชีพของพวกเขาจะดูง่าย เพียงแค่ เดินกล้อง กระโดดข้ามตึก นอนโรงพยาบาล (แบบที่เฉินหลงเคยให้สัมภาษณ์แบบติดตลกในรายการทอล์กโชว์) แต่อันที่จริงแล้ว พวกเขาต้องแลกมาด้วยหลายๆอย่าง ทั้งร่างกายที่ไม่เหมือนเดิม เสี่ยงบาดเจ็บหนัก ซึ่งสร้างความเป็นห่วงให้กับคนใกล้ตัว หนังค่อยๆพาผู้ชมไปดูแง่มุมต่างๆของอาชีพนี้ ทั้งในแง่ผลกระทบส่วนตัว และภาพรวมของวงการภาพยนตร์ ซึ่งส่วนนี้เองมีความทับซ้อนกับชีวิตจริงของเฉินหลงอยู่ไม่น้อย เพราะในชีวิตจริง เขาก็คือนักแสดงที่เล่นฉากผาดโผนด้วยตัวเอง ถึงขั้นหลายฉากหยิบเอาฟุตเทจจากหนังเก่าๆของเขามี Insert เป็นงานเก่าๆของตัวละครในเรื่องด้วยซ้ำแต่สิ่งที่เซอร์ไพรสที่สุดสำหรับ Ride On คืออีกหนึ่งปมที่หนังเลือกหยิบขึ้นมาชู และโดดเด่นไม่แพ้ประเด็นมิตรภาพคนกับม้าและประเด็นชีวิตของสตันต์แมน นั่นคือปมดราม่าระหว่างพ่อกับลูก เนื่องจากตัวละครพระเอกในเรื่องทุ่มเทกับงานจนห่างเหินกับลูกสาว ที่ไปอาศัยอยู่กับแม่หลังพ่อแม่หย่าร้าง และเมื่อแม่ของเธอเสียไป เธอจึงใช้ชีวิตตามลำพังโดยที่เกลียดพ่อมาโดยตลอด แต่เพราะเหตุจำเป็น เมื่อม้าของพ่อกำลังจะถูกยึดไป พระเอกจึงติดต่อไปยังลูกสาวที่เรียนนิติศาสตร์เพื่อขอความช่วยเหลือ นำไปสู่การกลับมาสานสัมพันธ์อีกครั้ง ของคู่พ่อลูกสายเลือดเดียวกันที่ห่างกันไปนาน เส้นเรื่องตรงนี้ถือว่าค่อนข้างแปลกใจพอสมควร เพราะเดิมทีไม่คิดว่าหนังจะเน้นแง่มุมนี้ แต่กลับเป็นปมหลักที่หนังให้ความสำคัญ และขยี้หัวใจของคนดูได้พอสมควรเลยทีเดียวโดยรวม Ride On อาจจะสามารถนิยามได้ว่า เป็นหนังแอ็กชันเฉินหลงที่ดีต่อใจ เพราะนอกจากฉากบู๊ปนฮาที่เป็นเอกลักษณ์ในหนังของแกแล้ว (ซึ่งในเรื่องนี้มีให้ดูกันอยู่ตลอดทั้งเรื่อง) หนังยังเต็มไปด้วยปมดราม่าที่เล่นกับความรู้สึกของคนดูอยู่ไม่น้อย ทั้งปมพ่อลูกที่หนังทำถึงอยู่พอสมควร ปมมิตรภาพคนกับสัตว์ที่ขยี้แล้วขยี้อีก และปมเรื่องอาชีพที่เมื่อเวลาเปลี่ยนไป ก็ย่อมต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลง แต่ก็อย่าเพิ่งตกใจว่า หนังจะเทอารมณ์ไปทางดราม่าเสียส่วนใหญ่ เพราะมันก็ยังมีฉากตลกอมยิ้มในสไตล์แกอยู่ ทั้งพาร์ทแอ็กชัน พาร์ทขำขัน และพาร์ทดราม่า ถูกผสมผสานมาได้ค่อนข้างพอเหมาะ ทำให้ Ride On อาจจะเรียกได้ว่าเป็นหนังเฉินหลงที่ดูสนุก และดูเพลินอยู่ไม่น้อยสรุปแล้ว Ride On ถือเป็นหนังครบรส ที่มาพร้อมกับพล็อตแบบ 3 In 1 ที่แม้หน้าหนังจะเน้นไปทางหนังมิตรภาพคนกับสัตว์ หัวใจมันก็ยังเป็นหนังครอบครัวที่ชวนประทับใจ และเป็นหนังที่ยกย่องคนที่ทำอาชีพในวงการบันเทิง อาชีพที่เฉินหลงทำและคลุกคลีมาตลอดหลายทศวรรษอีกด้วย ใครที่เป็นแฟนหนังของเฉินหลงหรือติดตามหนังฮ่องกงมาหลายทศวรรษ ก็น่าจะอินกับหนังเรื่องนี้ได้มากเป็นพิเศษ เพราะมีองค์ประกอบบางอย่างที่น่าจะถูกใจอย่างแน่นอน ส่วนตัวสำหรับผู้เขียนมีโอกาสได้ดูหนังในแบบเสียงจีน บรรยายไทย พบว่าหลายฉากดูจะเอื้อกับการพากย์เสียงของทีมพากย์พันธมิตรมากๆ ถ้ามีโอกาส เลือกชม Ride On แบบเสียงไทยก็น่าจะเพิ่มอรรถรสให้หนังอยู่ไม่น้อยภาพ : Major Groupชมตัวอย่าง Ride On ควบสู้ฟัด วันนี้ในโรงภาพยนตร์

[REVIEW] ‘The Flash’ หนังซูเปอร์ฮีโร่สุดเจ๋ง สร้างมัลติเวิร์สแบบไม่น้อยหน้าใคร | GOSSIP GUN

14 มิ.ย. 2023

[REVIEW] ‘The Flash’ หนังซูเปอร์ฮีโร่สุดเจ๋ง สร้างมัลติเวิร์สแบบไม่น้อยหน้าใคร | GOSSIP GUN

กวาดกระแสบวกไปอย่างท่วมท้นนับตั้งแต่ฉายรอบพิเศษในงาน CinemaCon เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา สำหรับ The Flash หนังซูเปอร์ฮีโร่เรื่องล่าสุดในจักรวาล DC ถึงขนาดที่ เจมส์ กันน์ หัวเรือของ DC Studio คนใหม่ที่ถึงแม้จะไม่ได้สร้างหนังเรื่องนี้ ก็ยังอดออกปากชมไม่ได้ว่านี่คือหนึ่งในหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่เคยมีมา ทำให้ตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา ก่อนที่ The Flash จะเข้าฉายจริงในกลางเดือนมิถุนายนนี้ ทางวอร์เนอร์ฯ สตูดิโอเจ้าของหนังจึงจัดรอบพิเศษมากมายทั่วโลกเพื่อบิลด์กระแสบวกให้กับหนัง ส่วนหนึ่งเพื่อกลบกระแสลบของนักแสดงนำอย่าง เอซร่า มิลเลอร์ ที่ก่อคดีมากมายตลอดปีที่ผ่านมา กลายเป็นดราม่าให้ผู้บริหารสตูดิโอปวดหัวว่าจะทำอย่างไรกับหนังเรื่องนี้ดี แต่เพราะผลลัพภ์ในแง่บวกสุดๆ ทำให้ค่ายหนังพยายามเบนเข็มความสนใจของแฟนหนังมายังรีวิว มากกว่าที่จะโฟกัสถึงพฤติกรรมส่วนตัวของนักแสดง เพื่อให้หนังได้เข้าฉายและประสบความสำเร็จมากที่สุดเท่าที่จะทำได้The Flash เป็นหนังเดีี่ยวเรื่องแรกของตัวละครแบร์รี่ อัลเลน หลังจากปรากฏตัวใน Justice League ของแซค สไนเดอร์ เอซร่า มิลเลอร์ก็กลับมารับบทนี้อีกครั้ง ภายใต้การคุมโปรเจกต์ของ แอนดี้ มุสชิเอติ จากหนัง Stephen King's It ทั้งสองภาคที่ประสบความสำเร็จจนวอร์เนอร์ไว้ใจให้เขาเข้ามาคุมหนังฟอร์มยักษ์เรื่องนี้ ซึ่งดูเหมือนว่า The Flash จะสร้างกระแสความฮือฮาต่อเนื่องตลอดการสร้าง เพราะข่าวน่าตื่นเต้นออกมามากมาย เริ่มจากการที่ เบน แอฟเฟล็ก จะกลับมารับบทแบทแมนในหนังเรื่องนี้ แต่ที่ทำให้แฟนๆตื่นตะลึงมากกว่า คือการที่ประกาศว่า ไมเคิล คีตัน จะกลับมารับบทแบทแมนอีกครั้ง หลังจาก Batman Returns ในปี 1992 ทำให้แฟนๆคาดการณ์ไปต่างๆนานาถึงพล็อต จนกระทั่งตัวอย่างปล่อยออกมาก็ยืนยันว่า หนังจะเล่าเรื่องในหลายมิติ ทำให้มีนักแสดงที่รับบทแบทแบน ปรากฏตัวใน The Flash มากกว่า 1 เวอร์ชั่นสำหรับในหนังเรื่องนี้จะเล่าถึง แบร์รี่ ที่ยังคงตกอยู่ในความเศร้า หลังสูญเสียแม่ไปตั้งแต่วัยเด็ก แต่เพราะเขาได้พลังเร็วกว่าแสงของ เดอะแฟลช มา ทำให้เขาสามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีตได้ ถึงแม้ว่า บรู๊ซ เวย์น จะพยายามห้ามไม่ให้เขาสร้างความวุ่นวายจากการเปลี่ยนอดีตก็ตาม แต่นั่นก็ไม่สามารถหยุดความตั้งใจของแบร์รี่ แต่ทุกอย่างเริ่มผิดพลาด เมื่อการย้อนกลับไปครั้งนี้ ทำให้เขาได้พบกับ แบร์รี่ ในอีกเวอร์ชั่น เขาได้สร้างมิติใหม่ขึ้นมา กลายเป็นโลกที่ นายพลซอด (รับบทโดย ไมเคิล แชนน่อน ที่กลับมารับบทเดิมจาก Man of Steel) กำลังจะบุกมาทำลาย เขามายังโลกใบนี้เพื่อที่จะตามหาซูเปอร์แมน ซึ่งทางเดียวที่จะหยุดแผนร้ายนี้นั้น คือการที่แบร์รี่ จะต้องตามหาเหล่าบรรดาจัสติซ ลีกในมิตินี้ ทำให้เขาพบกับ แบทแมนในเวอร์ชั่นที่เขาไม่เคยเจอมาก่อน แบทแมนที่ผู้ชมคุ้นเคยจากบทบาทการแสดงของ ไมเคิล คีตันแน่นอนว่า The Flash คือหนังทีี่สามารถอวยได้อย่างเต็มปากว่าเจ๋งมากๆ สมคำร่ำลือว่านี่คือหนังในจักรวาลดีซีที่อยู่ในระดับบนๆแน่นอน ความน่าสนใจมากๆของหนัง คือการวางโครงเรื่องและสร้างบทภาพยนตร์ออกมา ด้วยการเล่าเรื่องที่น่าติดตาม และคาดเดาไม่ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างหลังจากนี้ ความสนุกของหนังจึงอยู่ที่การพาผู้ชมเข้าสู่อีกมิติหนึ่งของดีซี มันเปิดโอกาสให้หนังสามารถเล่นอะไรได้มากมาย เปิดทางถึงความเป็นไปได้หลายๆอย่าง แน่นอนว่าหนังยังมีปมอีกมากมายที่ยังไม่ได้เล่าในตัวอย่าง ยังมีเซอร์ไพรสที่ซ่อนอยู่อีกพอสมควร ทำให้ระหว่างทางผู้ชมจะเจอได้กับหลายสิ่งที่ทำให้แปลกใจ นี่คือความสนุกของ The Flash และแน่นอนว่าหนังจะทำให้แฟนของดีซีกรี๊ดลั่นอย่างแน่นอนอีกหนึ่งความรู้สึกระหว่างดู The Flash คือการที่สัมผัสได้ว่า นี่เหมือนจะเป็นหนังภาคต่อกลายๆของ Batman Returns สำหรับแฟนๆของ แบทแมน ฉบับของ ไมเคิล คีตัน นี่เป็นเหมือนหนังที่จะพาผู้ชมไปรู้เรื่องราวของตัวละครนี้ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับบรู๊ซ เวย์น ฉบับนี้ตลอด 30 ปีที่ผ่านมา หลังจากจบภาคนั้นไปแล้วคีตันไม่รับบทนี้ต่อ ทำให้เกิด Batman Forever ขึ้น หนังเรื่องนี้เลยเปรียบเหมือนแบทแมนภาคที่หายสาบสูญไป ซึ่งการกลับมาครั้งนี้ของคีตัน เขายังคงเท่และทรงพลังมากๆในบทของแบทแมน แม้ว่าอายุของเขาและตัวละครบรู๊ซในหนังจะค่อนข้างมากแล้ว แต่ก็ไม่มีอะไรสามารถลดพลังและเสน่ห์ของแบทแมนในแบบของเขาได้เลย และจุดนี้ยิ่งเพิ่มเสน่ห์ให้กับหนังมากยิ่งขึ้นอย่างไรก็ตาม แม้ว่าหนัง The Flash จะมีแบทแมนเข้ามาปรากฏตัวถึงสองเวอร์ชั่น และใช้เวลากับตัวละครอัศวินแห่งรัตติกาลพอสมควร แต่ก็ไม่ได้แย่งซีนจากเดอะแฟลชไปแต่อย่างใด ผู้ชมยังคงเต็มอิิ่มกับตัวละครนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้ชมจะได้เจอกับแบร์รี่ถึงสองคน เดอะแฟลชถึงสองเวอร์ชั่นด้วยกัน ทำให้เราได้เรียนรู้และรู้จักตัวละครนี้มากเสียยิ่งกว่ามาก สิ่งที่ชอบมากๆใน The Flash คือการที่หนังทำให้ผู้ชมได้สัมผัสด้านที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนของตัวละครนี้ในหลายๆด้าน หลังจากใน Justice League เราอาจจะรู้จักเขาแค่เพียงผิวเผิน แต่ในหนังเดี่ยวจะได้เห็นถึงทั้งมุมที่แข็งแกร่งและอ่อนแอของตัวละคร ให้เห็นชัดว่าแม้เขาจะเป็นซูเปอร์ฮีโร่แต่ก็มีมุมที่เปราะบางในแบบมนุษย์มากๆ มีความผิดพลาดเฉกเช่นคนทั่วไป ทำให้นี่คือหนังเดี่ยวของ The Flash อย่างแท้จริง ไม่ได้โดนใครแย่งซีนไปทั้งนั้นโดยรวม The Flash ถือเป็นอีกสเต็ปของจักรวาลดีซีที่น่าพอใจมากๆ เป็นการสร้างมัลติเวิร์สของตัวเองในแบบที่ไม่น้อยหน้าใคร ในฐานะหนังเดี่ยวของเดอะแฟลชก็ทำหน้าที่ได้ดีที่ทำให้ผู้ชมได้รัก ได้เข้าใจตัวละครนี้ในฐานะมนุษย์มากขึ้น ในฐานะหนังในจักรวาลดีซีมันก็น่าจะทำให้แฟนๆพึงพอใจได้อย่างมากเช่นกัน ด้วยการพาไปสำรวจหลายๆมุมในโลกของดีซีที่หลายมุมแฟนๆอาจไม่เคยเห็นมาก่อน หลายมุมเคยเห็นแต่ห่างหายไปนาน ในฐานะหนังฟอร์มยักษ์กลางซัมเมอร์ หนังก็มาพร้อมกับงานโปรดักชั่นที่ไม่ธรรมดาและฉากแอ็กชันสุดตื่นตา เรียกว่าครบองค์ประกอบหนังฟอร์มใหญ่ที่ควรดูเลยจริงๆ ไม่ว่าในอนาคตจักรวาลดีซีจะถูกเปลี่ยนไปในทิศทางใด The Flash ยังจะได้ไปต่อหรือไม่ นี่คือหนังซูเปอร์ฮีโร่อีกหนึ่งเรื่องที่ไม่ควรพลาดชมตัวอย่าง The Flash เข้าฉายสัปดาห์นี้ในโรงภาพยนตร์

album

0
0.8
1