[REVIEW] “The Unbearable Weight of Massive Talent” ป่วนเกินต้านและกินใจเกินคาด คนรักหนังต้องดู! | GOSSIP GUN

HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] “The Unbearable Weight of Massive Talent” ป่วนเกินต้านและกินใจเกินคาด คนรักหนังต้องดู! | GOSSIP GUN

18 พ.ค. 2022

นี่คือหนังตลกไอเดียสุดล้ำที่ให้ดาราฮอลลีวูดเล่นเป็นตัวเอง นี่คือจดหมายรักที่คนรักหนังเขียนเพื่อบอกรักการมีอยู่ของศิลปะภาพยนตร์ นี่คือหนังแอ็กชันวายป่วงที่ใครๆก็สามารถเอ็นจอยกับมันได้ The Unbearable Weight of Massive Talent คือหนังที่มีองค์ประกอบหลายอย่างเพื่อผู้ชมต่างกลุ่มกันไป มันเริ่มต้นด้วยไอเดียสุดแหวก ที่ได้นักแสดงระดับตำนานอย่าง "นิโคลัส เคจ" มาเล่นเป็นตัวเอง ซึ่งไอเดียที่ว่านี้ มันก็ปรากฏในหนังฮอลลีวูดบ้าง (อาทิ จูเลีย โรเบิร์ต เล่นเป็นตัวเองแบบแว้บๆ ใน Ocean's Twelve) แต่ไม่เคยมีเรื่องไหน เอามาขยายใหญ่ใส่มุกไม่ยั้งแบบเรื่องนี้ จนสามารถเรียกได้ว่า "เคจกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว"และหนังก็สร้างความไฮป์ด้วยการฉายรอบปฐมทัศน์ในเทศกาลหนัง SXSW และกวาดคคะแนน 100% ในเว็บมะเขือเน่า (แม้ตอนหลังคะแนนจะลดลงนิดหน่อยก็ตาม)

แม้จะแสดงเป็นตัวเอง แต่ "นิโคลัส เคจ" ก็ให้สัมภาษณ์ว่า นิค เคจ ฉบับในหนังไม่ได้เหมือนตัวจริงหนัก ในหนังเขาคือดาราที่สิ้นหวังกับอาชีพนักแสดง เพราะตกอับขีดสุด แต่ในชีวิตจริงเขายังคงรักและอินเลิฟกับการแสดงหนัง และด้วย นิคเคจในเรื่องมีหนี้สินมากมาย แถมไม่มีงานใหม่เข้ามา ผู้จัดการเลยเสนองานสุดแปลกให้เขา ด้วยการไปร่วมงานวันเกิดเสี่ยใหญ่ไฮโซ ซึ่งเป็นแฟนเบอร์หนึ่งของ นิคเคจ ด้วยค่าตัวสุดแพง 1 ล้านเหรียญฯ แน่นอนว่า นิคเคจไม่มีทางเลือกนอกจากบินไปสเปนเพื่อร่วมงานดังกล่าว แต่แล้วทริปสุดชิลล์ก็กลายเป็นภารกิจสุดอันตราย เมื่อซีเอไอ บังคับให้ นิคเคจ ต้องเป็นสายลับให้พวกเขา เนื่องจากเสี่ยใหญ่คนนี้ดันเป็นพ่อค้าอาวุธระดับโลกที่หน่วยงานต่างๆ ต้องการตัว พี่เคจเลยต้องงัดสกิลสายลับจากหนังต่างๆ มาเพื่อปฏิบัติการลับสุดป่วนนี้!

ความสนุกที่สุดของ Massive Talent คือการรวมฮิต "นิค เคจ" เพราะมันเป็นเรื่องของนักแสดงที่ต้องไปเจอกับแฟนคลับ ดังนั้นผลงานเก่าๆของเขา ก็จะถูกกล่าวถึง พูดถึง นำมาแซว นำมาขยี้ เต็มไปหมด ไล่ตั้งแต่หนังยุค 80s อย่าง Moonstruck ต่อเนื่องด้วยหนังบล็อกบัสเตอร์ยุค 90s ถึงต้น 2000s อย่างเซ็ต The Rock, Face/Off, Con Air มาจนถึงผลงานยุคหลังๆที่กลายเป็นหนังคัลต์อย่าง Mandy ทั้งหมดถูกแทรกไว้อย่างแพรวพราว ราวกับจักรวาลมาร์เวลฉบับ นิค เคจ หนังเต็มไปด้วย Easter-Egg มากมาย หนังบางเรื่องถูกกล่าวถึง หนังบางเรื่องถูกถ่ายทอดเลียนแบบ หรือบางเรื่องก็โผล่มาแว้บๆเป็นสิ่งของประกอบฉาก ใครที่เป็นแฟน นิคเคจ ก็ต้องจับตาดูให้ดี เพราะไม่รู้ว่าเรื่องไหนจะโผล่มาตอนไหนบ้าง

แต่สิ่งที่เซอร์ไพรสและทำให้ Massive Talent เป็นมากกว่าหนังแอ็กชันคอเมดี้ทั่วไป คือ ความหลงใหลในศาสตร์ภาพยนตร์ ที่ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างเต็มเปี่ยมผ่านตัวละคร ฮาวี่ (รับบทโดย เพโดร ปาสคาล) เสี่ยใหญ่ที่นอกจากจะเป็นแฟนคลับเคจแล้ว เขาคือ คนรักหนังอย่างเต็มตัว บทสนทนาระหว่างเขากับเคจ เวลาคุยกันเรื่องหนังที่อะไรที่อิ่มเอมใจมาก ผู้ชมจะสัมผัสได้ถึง Passion ที่มีอันเต็มเปี่ยมของฮาวี่ จะสัมผัสได้ถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของโลกภาพยนตร์ ที่มันอิมแพ็คต่อคนๆ หนึ่งมากแค่ไหน ซึ่งผู้ชมที่เป็นคนรักหนัง คงรู้สึกเช่นเดียวกับฮาวี่ ในฐานะคนคอเดียวกัน กลุ่มคนที่ตกหลุมรักเสน่ห์ของหนังเช่นกัน

คงไม่เกินจริงนัก นี่จะกล่าวว่านี่คือการ "คัมแบ็ค" อย่างแท้จริงของ นิโคลัส เคจ ด้วยปัญหาหนี้สินในชีวิตจริง ทำให้ระยะหลังเขาตัดสินใจรับเล่นหนังจำนวนมาก ซึ่งมักสลับกันไประหว่างหนังเกรดบีรีวิวแย่ กับหนังอินดี้ที่โดนใจนักวิจารณ์ แต่สำหรับ Massive Talent มันคือหนังสตูดิโอที่ครบถ้วนในแง่ต่างๆ รวมถึงเฉลิมฉลองเส้นทางในวงการภาพยนตร์ของ นิคเคจ ด้วย ดูเหมือนเขาจะสนุกอย่างแท้จริงในการรับบทนี้ และพลังความสนุกก็ส่งออกมาเต็มๆ ในขณะที่ เพโดร ปาสคาล เกือบจะขโมยซีนในบทฮาวี่ เชื่อว่าผู้ชมจำนวนไม่น้อยจะตกหลุมรักเขาในเรื่องนี้ เพราะพลังบวกที่ส่งออกมา มันเยอะมากๆ และเคมีระหว่าง นิคเคจ กับเพโดร ก็เข้ากันได้อย่างลงตัว

อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะกังขาว่า แล้วถ้าไม่ใช่แฟนคลับ นิโคลัส เคจ หรือไม่ใช่คนที่ดูหนังแบบจริงจัง จะสามารถเอ็นจอยกับ Massive Talent ได้หรือไม่ คำตอบคือ นี่คือหนังบันเทิงมากๆ เรื่องหนึ่ง ที่คุณสามารถสนุกกับเส้นเรื่องได้ โดยไม่ต้องสนใจ Easter-Egg เพราะโครงหลักของมัน ก็ยึดกับภารกิจสายลับจำเป็น ของดาราตกอับ ที่ต้องมาไล่จับอาชญากรที่ดันเป็นแฟนคลับของเขา แค่พล็อตก็ชวนชุลมุนและเอื้อให้เกิดฉากสนุกๆมากมายแล้ว ซึ่ง Massive Talent ก็ใช้ประโยชน์ตรงนี้ได้อย่างเต็มที่ ดีไม่ดี ดูเสร็จคุณอาจจะไล่ย้อนหาหนังเก่าๆ ของ นิคเคจ มาดูเพิ่มก็ได้


(ให้ 8 คะแนนจากคะแนนเต็ม 10 คะแนน)


related HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘เธอกับฉันกับฉัน (You and Me and Me)’ หนังแฟนฉันของคนยุคนี้ รักแรกของฝาแฝดสุดประทับใจ| GOSSIP GUN

10 ก.พ. 2023

[REVIEW] ‘เธอกับฉันกับฉัน (You and Me and Me)’ หนังแฟนฉันของคนยุคนี้ รักแรกของฝาแฝดสุดประทับใจ| GOSSIP GUN

ใครที่เคยคิดถึงหนัง Feel Good ดีต่อใจสไตล์ค่ายจีดีเอช (หรือค่ายก่อนหน้านี้) การรอคอยกำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว กับผลงานใหม่อย่าง 'เธอกับฉันกับฉัน' ที่จะชวนให้ผู้ชมหวนระทึกถึงความทรงจำในวัยเด็ก และรักแรกในวัยรุ่นของเราอีกครั้ง แต่ความแตกต่างของโปรเจกต์นี้ คือการ ใช้ตัวละครนำเป็นฝาแฝด และพาผู้ชมเข้าสู่โลกของแฝด กับรายละเอียดหลายแง่มุมที่อาจไม่เคยรู้มาก่อน ผ่านสองผู้กำกับแฝดหญิงอย่าง วรรณแวว และแวววรรณ หงษ์วิวัฒน์ ที่เคยจับงานเบื้องหลังในหลังคาค่ายนี้อยู่นาน ก่อนที่จะได้รับโอกาสในการกำกับหนังใหญ่เรื่องแรก ผ่านการดูแลของ โต้ง บรรจง ผู้กำกับระดับพันล้าน ที่มีผลงานการันตีแน่นเครดิต'เธอกับฉันกับฉัน' พาผู้ชมย้อนกลับไปในยุคสมัย Y2K (ซึ่งอยู่ดีๆก็กลับมาเป็นเทรนด์ ณ เวลานี้) ในปี 1999 ช่วงเวลาที่คนทั้งโลกกำลังหวาดวิตกว่า การก้าวเข้าสู่ยุค 2000 จะเกิดปัญหาด้านคอมพิวเตอร์ ทำให้เกิดภัยพิบัติมากมาย ซึ่งตรงกับคำทำนายของนอสตราดามุส ว่าโลกอาจถึงจุดสิ้นสุด โดยสองตัวละครหลักของเรื่อง คือ พี่น้องฝาแฝด ยู และ มี (รับบทโดย ใบปอ ธิติยา จิระพรศิลป์ ซึ่งแสดงคนเดียวเป็นสองบทบาทเลย) ทั้งคู่เติบโตมาด้วยกัน แชร์หลายๆอย่างด้วยกัน และเป็นส่วนหนึ่งของกันและกันมาตลอดชีวิต จนกระทั่งพวกเธอได้พบกับ หมาก (รับบทโดย อันโทนี่ บุยเซอเรท์) หนุ่มหล่อลูกครึ่งเพื่อนร่วมโรงเรียน ที่เจอกันตั้งแต่ตอนสอบซ่อม ไปจนถึงช่วงปิดเทอมซัมเมอร์ที่นครพนม ไม่นานเรื่องราวความรักก็เริ่มเข้ามาในหัวใจของคนทั้งสาม นี่คือรักแรกของสองแฝด กับ หนึ่งหนุ่ม ที่ความสัมพันธ์ค่อยๆ ยุ่งเหยิงและนำไปสู่ การตัดสินใจที่พวกเธอไม่เคยเผชิญมาก่อน'เธอกับฉันกับฉัน' คือหนังที่ค่อยๆพาผู้ชมเข้าสู่โลกของฝาแฝด ที่ทั้งมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไป หลายอย่างอาจจะเป็นมุมอินไซด์ที่คนทั่วไปอาจไม่ได้รู้มาก่อน ทำให้เกิิดพล็อตที่ทั้งสนุกสนานและยุ่งเหยิงได้มากมาย จากการที่เธอทั้งสองหน้าเหมือนกัน แทบจะเป็นคนๆเดียวกัน และในขณะเดียวกัน มันก็ถูกเล่าผ่านโครงเรื่องในลักษณะ รักแรก ผสมกับ รักสามเส้า ทำให้นอกจากมุมดีต่อใจแล้ว ผู้ชมสามารถคาดเดาได้เลยว่า จะได้เจอมุมบีบหัวใจอย่างแน่นอน ทำให้หนังนอกจากจะน่าติดตามในปมเรื่องแฝดแล้ว ยังน่าจะทำให้ผู้ชมอินในประเด็นรักแรก หรือรักในวัยเรียนได้อีกด้วยสิ่งที่เพิ่มความน่าสนใจให้กับ 'เธอกับฉันกับฉัน' ยิ่งขึ้นไปอีก คือการที่หนังเลือกเล่าในบรรยากาศปลายยุค 90s ซึ่งเป็นอีกหนึ่งยุคที่มีเสน่ห์เฉพาะตัวเพราะอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน กำลังเข้าสู่ยุคออนไลน์ หนังสนุกกับการหยิบ Pop Culture ในยุคนั้นมาเล่นหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ที่ฉายในปีนั้น เพลงดังที่ถูกปล่อยในช่วงนั้น ร้านอาหารที่เป็นที่นิยมของคนยุคนั้น ไปจนถึงไอเท็มบางอย่างที่บอกยุคสมัยได้อย่างดี สำหรับผู้ชมที่สมัยหนัง แฟนฉัน เข้าฉายแล้วอาจจะเกิดไม่ทัน ไม่ได้อินกับเรื่องแวดล้อมในหนัง อาจจะมาอินกับหนังเรื่องนี้ได้ไม่ยาก สำหรับใครที่อายุราว 30-40 ปี น่าจะเป็นช่วงที่กำลังเติบโต กำลังเสพสื่อ กำลังใช้ชีวิตผ่านช่วงเวลานั้น หนังทำให้ผู้ชมระลึกถึงความทรงจำในอดีตอันหอมหวานได้อย่างดีอีกด้วยแต่สิ่งที่น่าชื่นชมมากที่สุด ต้องยกให้กับงานสร้าง ที่อาจกล่าวได้ว่า นี่คืองานที่ไม่ง่ายเลยทั้งสำหรับทีมงานและนักแสดง เพราะเมื่อ 'เธอกับฉันกับฉัน' ใช้นักแสดงเพียงคนเดียว เล่นเป็นฝาแฝด ดังนั้นเทคนิคการถ่ายทำหลายๆอย่างจึงถูกหยิบนำมาใช้ ส่วนที่ง่ายหน่อยน่าจะเป็นซีนที่ถ่ายผ่านหลัก ทำให้เห็นตัวละครเพียงคนเดียว แต่สำหรับฉากที่ต้องเห็นทั้งสอง ทั้งถ่ายทำและตัดต่อออกมาได้เนี้ยบมากๆ จนแทบจะไม่มีจุดไหนรู้สึกสะดุดเลย และที่สำคัญต้องชื่นชมน้องใบปออย่างยิ่ง ที่สร้างคาแรคเตอร์ ยูกับมี ออกมาแตกต่างได้อย่างชัดเจน ในช่วงแรกอาจจะต้องตั้งใจดูเพื่อจับความแตกต่างพอสมควร แต่เมื่อหนังดำเนินไป ไม่ใช่แค่ไฝที่ต่าง แต่วิธีการพูด ลักษณะของตัวละครก็สามารถแยกได้ชัด ซึ่งเป็นงานที่ไม่ง่ายเลยสำหรับนักแสดงหน้าใหม่ ซึ่งต้องปรบมือชื่นชมในจุดนี้โดยรวม 'เธอกับฉันกับฉัน' ถือเป็นหนังไทยที่น่าสนใจและไม่ควรพลาดอีกเรื่อง ด้วยคุณภาพที่กล่าวได้ว่าตามมาตรฐานค่ายจีดีเอช ทั้งในแง่บท งานสร้าง และองค์ประกอบต่างๆ ใครที่เคยคิดถึงหนังอารมณ์ดี หนังแนว Coming-of-Age ที่ทางค่ายเองก็ไม่ได้สร้างหนังแนวนี้มาพักใหญ่ นี่คือการกลับมาที่น่าพอใจ และเชื่อว่า หนังจะสามารถเข้าไปอยู่ในใจของผู้ชมหลายต่อหลายคนได้อย่างแน่นอนชมตัวอย่าง 'เธอกับฉันกับฉัน' วันนี้ในโรงภาพยนตร์ภาพ : GDH

[REVIEW] ‘Laal Singh Chaddha’ ฟอร์เรสต์ กัมป์ ในบริบทอินเดียที่ดีต่อใจไม่แพ้ต้นฉบับ | GOSSIP GUN

31 ส.ค. 2022

[REVIEW] ‘Laal Singh Chaddha’ ฟอร์เรสต์ กัมป์ ในบริบทอินเดียที่ดีต่อใจไม่แพ้ต้นฉบับ | GOSSIP GUN

ไอเดียการรีเมกหนังระดับ Forrest Gump ไม่ใช่เรื่องง่าย จะกล่าวว่ามันน่าสนใจ ดูท้าทายก็เป็นอันได้ แต่ในอีกมุมหนึ่ง จะบอกว่าเสี่ยงตายโดยใช่เหตุ มันก็ใช่ แต่การรีเมกครั้งนี้ มันน่าสนใจตรงที่ฮอลลีวูดไม่ได้รีเมกหนังของพวกเขา แต่เป็นบอลลีวูดที่หยิบเอา Forrest Gump ไปสร้างใหม่ ซึ่งแน่นอนว่าการ Copy และ Paste ลงไปคงทำไม่ได้ เพราะใน Forrest Gump มันมีการอ้างอิงถึงเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์เป็นจำนวนมาก มีการเมนชั่นถึงบุคคลที่มีอยู่ในสังคมอเมริกา หรือมีแม้แต่การเอา ทอม แฮงค์ เข้าไปใส่ในฟุตเทจจริงในประวัติศาสตร์ ให้ดูเหมือนว่า ฟอร์เรสต์ กัมป์ เป็นส่วนนึงของเหตุการณ์นั้นจริงๆ พอถูกหยิบมาสร้างใหม่เป็นฉบับอินเดีย ความน่าสนใจคือ มันจะถูกดัดแปลง และเปลี่ยนให้เข้ากับเหตุการณ์ในอดีตจนถึงปัจจุบันของอินเดียอย่างไร ให้รู้สึกสมูทแบบเดียวกับต้นฉบับLaal Singh Chaddha เป็นโปรเจกต์ล่าสุดของหนึ่งในนักแสดงที่ยิ่งใหญ่สุดของบอลลีวูด อย่าง อาเมียร์ ข่าน เจ้าของผลงานระดับบล็อกบัสเตอร์อย่าง 3 Idiots, PK และ Dangal โดยเฉพาะเรื่องกลางที่ตกผู้ชมในเมืองไทยไปไม่น้อย เขาซื้อสิทธิ์ของ Forrest Gump มาในปี 2018 และดึงผู้กำกับที่เขาเคยผลักดัน จาก Secret Superstar มาทำหน้าที่กำกับเรื่องนี้ อาร์เมียร์ รับบท ลาล ซิงห์ จัดด้า เด็กชายที่เกิดมาพร้อมกับความไม่เหมือนใคร แม้สติปัญญาอาจจะสู้เพื่อนร่วมรุ่นไม่ได้ แต่ลาลไม่เคยย่อท้อต่อสิ่งใด แม้ทุกคนจะไม่เปิดรับ แต่เขาก็ได้รู้จักกับ รูปา (รับบทโดย กรีนา กปูร นางเอกแถวต้นๆของบอลลีวูด ที่โคจรมาเจอกับ อาเมียร์ อีกครั้งหลังจาก 3 Idiots) เด็กสาวที่กลายเป็นคนสนิทที่สุดของลาล เขาเติมโตมาพร้อมกับชีวิตที่ไม่ธรรมดา จากนักกีฬาวิ่งในมหาวิทยาลัย สู่การเป็นทหารในสนามรบจริงๆ สู่แวดวงธุรกิจที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อน เขาเติบโตผ่านช่วงเวลาประวัติศาสตร์มากมายของอินเดีย เรื่องราวชีวิตของลาล เต็มไปด้วยความอัศจรรย์ใจที่ใครๆได้ฟังก็ร้องว้าวหลังจากใช้เวลาถ่ายทำอยู่เกือบ 3 ปีเพราะติดช่วงโควิด-19 ใช้โลเคชั่นในการถ่ายทำทั่วทั้งอินเดียกว่า 100 แห่ง ในที่สุด Laal Singh Chaddha ก็พร้อมออกสู่สายตาผู้ชม สิ่งที่ Laal Singh Chaddha ทำได้ดีที่สุด คือการรักษาจิตวิญญาณของ Forrest Gump ไว้ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แน่นอนว่าหนังมันมีส่วนแตกต่างกันพอสมควร แต่ความรู้สึกที่ผู้ชมสัมผัสได้ระหว่างที่ชม แทบจะเป็นอารมณ์เดียวกับตอนที่ชม Forrest Gump แต่มันเป็นอีกรสชาติที่เหมือนไม่เดิม มีการปรุงแต่งให้กลิ่นอายเป็นแบบบอลลีวูด และที่สำคัญคือการปรับบริบทให้เข้ากับอินเดีย ซึ่งทำให้ความสนุกของการดูอยู่ตรงที่เราจะคอยลุ้นว่า ลาลจะไปเจอเหตุการณ์อะไรบ้าง จะเหมือนที่เราคาดเดาก่อนไปดูหรือไม่ ซึ่งหลายครั้งก็เป็นไปอย่างที่คิด แต่ก็มีเซอร์ไพรสพอสมควร ถ้าใครติดตามหนังบอลลีวูดมาโดยตลอด รับประกันความว้าวเลย สำหรับใครที่เคยตกหลุมรัก ฟอร์เรสต์ กัมป์ มาแล้ว เชื่อว่าหนังจะทำให้คุณตกหลุมรัก ลาล ซิงห์ จัดด้า ไม่แพ้กันการดำเนินเรื่องของ Laal Singh Chaddha ใช้ลักษณะที่เหมือนกับ Forrest Gump ที่ตัดสลับระหว่างการเล่าชีวิตของ ลาลกับเหตุการณ์ในอดีต ซึ่งในหนังต้นฉบับถ้ายังจำกันได้ ฟอร์เรสต์ จะนั่งอยู่เก้าอี้ริมถนน ระหว่างรอรถเมล์ และชักชวนให้ผู้คนรอบข้างกินช็อคโกแลต ฉบับบอลลีวูดนี้ เปลี่ยนสถานที่ให้เป็นบนรถไฟ (ซึ่งเข้ากับอินเดียมากๆ) และเปลี่ยนช็อคโกแลตให้เป็นขนมของอินเดียที่ชวนให้ผู้ชมแปลกตาและอยากลิ้มลองอยู่เหมือนกัน นอกจากนี้เอกลักษณ์ของหนังอินเดีย ไม่ว่าจะภาษาใด ที่ขาดไม่ได้จริงๆคือบทเพลง หนังมีตัดสลับกับซีนเพลงอยู่เรื่อยๆ เป็นความโดดเด่นและอรรถรสที่มีเฉพาะอินเดียจริงๆ(แม้แต่หนังแอ็กชันบล็อกบัสเตอร์อย่าง RRRก็ต้องตัดไปฉากเต้นรำ ยังจำกันได้ไหม ?)สิ่งที่อาจจะเป็นปัญหาเล็กน้อย สำหรับผู้ที่เคยชม Forrest Gump มาแล้ว คือการที่เราพอจะรู้เส้นเรื่องคร่าวๆ รู้ว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวละครนำ และบุคคลรอบข้าง นั่นทำให้เราอาจจะไม่ได้ลุ้นกับลาลไปตลอด แต่ก็ยังสนุกกับการรอดูชีวิตของเขา และในช่วงประมาณ 30 นาทีสุดท้าย ที่หนังใช้เวลาตรงนี้ค่อนข้างมาก จนแอบรู้สึกว่าลากนิดๆ เหมือนจบไม่ลงหน่อยๆ ทั้งๆที่ปกติแล้ว เวลาเราดูหนังอินเดีย มันจะยาวแถวๆ 2 ชั่วโมงครึ่ง ถึง 3 ชั่วโมงเป็นประจำ ซึ่งไม่ได้รู้สึกมีปัญหาอะไร แต่กับ Laal Singh Chaddha รู้เลยว่าผู้สร้างพยายามจะขยี้อารมณ์อย่างมากๆในช่วงท้าย ซึ่งหลายจังหวะแอบยาวไปจริงๆ สามารถกระชับได้เล็กน้อยโดยรวม Laal Singh Chaddha คือหนังที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น ทำให้หัวใจผู้ชมพองโตได้แทบจะตลอดทั้งเรื่อง พร้อมกับมุมมองที่ทำให้เราหันกลับมามองชีวิตของเรา หนังสามารถสร้างเสียงหัวเราะได้เรื่อยๆ จากความตลกที่ไม่ได้ตั้งใจของลาล ความใสซื่อของเขาที่ทำออกมาได้น่ารัก น่าถนุถนอม บทของลาล เป็นคาแรคเตอร์ที่เหมาะกับ อาเมียร์ ข่าน มากๆ ซึ่งรู้สึกว่า เขาเลือกบทได้เหมาะกับตัวตั้งแต่แรกที่ประกาศสร้าง และผลที่ออกมาก็ใช่จริงๆ ยิ่งดูเราจะยิ่งตกหลุมรักลาลมากขึ้น ถ้าคุณเป็นแฟนหนัง Forrest Gump ถ้าคุณเป็นแฟนหนังบอลลีวูด ถ้าคุณต้องการหนังที่ดีต่อใจสักเรื่อง Laal Singh Chaddha เป็นช้อยส์ที่น่าสนใจสำหรับช่วงนี้ !ภาพ : UIP Thailandชมตัวอย่าง Laal Singh Chaddha เข้าฉาย 1 กันยายนนี้ ทุกโรงภาพยนตร์

[REVIEW] “Fantastic Beasts : The Secrets of Dumbledore” หรือนี่คือหนังรัก ในคราบของหนังพ่อมดโลกเวทมนตร์ | GOSSIP GUN

14 เม.ย. 2022

[REVIEW] “Fantastic Beasts : The Secrets of Dumbledore” หรือนี่คือหนังรัก ในคราบของหนังพ่อมดโลกเวทมนตร์ | GOSSIP GUN

ไม่แน่ใจว่านี่คือหนังเวทมนตร์หรือหนังต้องคำสาปกันแน่ เพราะภาคใหม่ของหนังตระกูลFantastic Beastsที่เปรียบเสมือนภาคก่อนหน้าของHarry Potterใช้เวลานานถึง4ปีในการเดินทางมาขึ้นจอใหญ่ ซึ่งโดยปกติแล้วหนังใหญ่ระดับนี้สตูดิโอมักไม่เว้นช่วงห่างนัก ส่วนสำคัญอาจเป็นเพราะกระแสตอบรับของภาคก่อนอย่างThe Crimes of Grindelwaldที่ทำรายได้น้อยที่สุดในเหล่าบรรดาจักรวาลพ่อมดทั้งหมด แถมยังได้รับคำวิจารณ์ในแง่ลบเยอะที่สุดด้วย ถ้าจะให้แฟรนไชส์นี้ไปต่อได้(สามารถสร้างได้ถึง5ภาคแบบที่ เจ.เค.โรว์ลิ่ง บอกไว้)วอร์เนอร์ต้องใช้เวลาพอสมควรในการพัฒนาบทให้ออกมาดีที่สุด แต่กระนั้นถึงเวลาหนังจะพร้อมถ่ายทำแล้ว กลับเจอหลายปัญหา ทั้งการเปลี่ยนนักแสดงที่รับบท กรินเดลวัลด์ จาก จอห์นนี เด็ปป์ เป็น แมดส์ มิคเคลสัน รวมถึงโควิด-19ทำให้การถ่ายทำล่าช้าออกไป นี่ยังไม่รวมถึงดราม่าเกี่ยวกับ เจ.เค.โรว์ลิ่ง และสดๆร้อนๆกับ เอซร่า มิลเลอร์ ที่ทำให้ทางค่ายต้องแทบจะไม่พูดถึงทั้งคู่ในการโปรโมตหนัง The Secrets of Dumbledoreพาผู้ชมกลับสู่โลกแห่งเวทมนตร์อีกครั้ง ในช่วงเวลาปี ค.ศ.1932ช่วงเวลาแห่งความตึงเครียดของโลกพ่อมด โดยเรื่องราวหลักในภาคนี้คือการหยุด กรินเดลวัลด์ พ่อมดผู้ฝักใฝ่ในอำนาจด้านมืด เขาหวังจะครองทั้งโลกมนุษย์และโลกแห่งเวทมนตร์ ศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์(รับบทโดย จูด ลอว์)พยายามจะหยุดเขา จึงได้รวบรวมทีมพ่อมดและแม่มดที่เก่งกาจในด้านต่างๆ นำทีมโดย นิวท์(รับบทโดย เอ็ดดี้ เรดเมย์น)นักสัตว์วิเศษ กับภารกิจเสี่ยงตายหยุดยั้งแผนการร้ายของกรินเดลวัลด์ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่มีการเลือกตั้งผู้นำของโลกเวทมนตร์คนใหม่ ที่อาจจะเอื้อประโยชน์กับพ่อมดฝ่ายชั่วก็เป็นอันได้ ถ้าความพยายามของวอร์เนอร์ คือการพัฒนาหนังชุดสัตว์มหัศจรรย์ให้ไปในทางบวกมากขึ้นThe Secrets of Dumbledoreถือว่าประสบความสำเร็จ ในฐานะคอหนังที่ติดตามหนังชุดHarry Potterอยู่ห่างๆ ไม่ได้ศึกษาหรือดูซ้ำมากมายอะไรนัก หนังภาคนี้สามารถสร้างความบันเทิงให้กับผู้ชมได้อย่างดี หนังมาพร้อมกับพล็อตที่ไม่ได้สลับซับซ้อน แม้ว่าผู้ชมจะห่างหายจากภาคก่อนไปนานถึง4ปี ก็สามารถต่อเรื่องได้แบบทันที หนังยังคงมีฉากผจญภัยที่สนุกสนานสมกับความเป็นแฟนตาซีหลายฉาก รวมถึงมีสัตว์มหัศจรรย์ที่น่ารักน่าเอ็นดูมากมาย แต่หัวใจจริงของThe Secrets of Dumbledoreดูเหมือนจะเป็นเรื่องความรัก ระหว่างดูไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหนังคลี่คลาย จะพบว่าหนังภาคนี้มีเส้นรักปรากฏเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นของตัวพระเอก ตัวเพื่อนสนิทพระเอก ตัวละครแวดล้อม ไปจนถึงปมใหญ่ระหว่างคู่เพื่อนรักเพื่อนแค้นอย่าง ดัมเบิลดอร์ และกรินเดลวัลด์ ที่เปรียบเหมือนแกนหลักของหนังภาคนี้ จูด ลอว์ และ แมดส์ มิคเคลสัน มีเคมีที่น่าสนใจมากทีเดียว หลายฉากที่ทั้งสองปรากฏตัวร่วมกันตั้งแต่ฉากแรกในหนังล้วนเป็นไฮไลต์ ซึ่ง แมดส์ เลือกที่จะถ่ายทอดบท กรินเดลวัลด์ ในแบบของเขา ซึ่งค่อนข้างฉีกต่างจากเวอร์ชั่น จอห์นนี เด็ปป์ ซึ่งนับเป็นทางเลือกที่ดี เพราะการเปรียบเทียบย่อมไม่ส่งผลดีต่อใคร การแสดงของเขา ทำให้กรินเดลวัลด์ทั้งสองแบบ ต่างมีเอกลักษณ์ในแบบตัวเอง ซึ่งชอบทั้งสองแบบจริงๆ หนังภาคนี้เปิดเรื่องได้อย่างสนุก เล่าปมหลักได้น่าติดตาม กับภารกิจของแก๊งนิวท์ที่จะต้องหยุดกรินเดลวัลด์ เป็นพล็อตที่เปิดโอกาสให้หนังสร้างซีนต่างๆมากมาย แต่น่าเสียดายที่พอมาถึงช่วงคลายปมท้ายๆ ทุกอย่างแอบคลี่คลายง่ายเกินไป ต่างจากตอนต้นที่บิลด์เรื่องมาค่อนข้างซีเรียส แต่พอมาถึงบทสรุป กลับง่ายดายกว่าที่คิด แต่อย่างไรก็ตาม ช่วงท้ายนี่เองที่สำหรับผู้เขียนถือเป็นไฮไลต์ เพราะหนังพาผู้ชมในจักรวาลHarry Potterออกสู่โลเคชั่นอื่น นอกจากยุโรปเป็นหลัก(และในอเมริกาบ้าง)หนังพาผู้ชมมาสู่โซนเอเชีย ซึ่งแปลกตาดีเหมือนกัน โดยรวมThe Secrets of Dumbledoreถือเป็นหนังFantastic Beastsภาคที่ดูสนุก และมีหลากหลายอารมณ์ ค่อนข้างครบรสทีเดียว แม้มันจะยังมีข้อบกพร่องบ้าง ทั้งการคลายปมที่ง่ายดาย และความยาวที่หนังเองสามารถกระชับได้หลายๆฉาก และอีกจุดที่อาจจะทำให้แฟนๆสงสัย คือการที่หนังภาคนี้แทบจะคลายปมของFantastic Beastsไปเกือบหมดแล้ว มันทำตัวเป็นเหมือนภาคจบ ทั้งๆที่แฟนๆรู้ดีว่า แผนการเดิมคือการสร้าง5ภาค เหมือนวอร์เนอร์ กำลังจะบอกว่า ถ้าภาคนี้ไม่ทำเงินตามที่พวกเขาคาดคิดFantastic Beastsก็มีภาคบทสรุปที่เกือบจะสมบูรณ์แล้วนะ แต่หนังก็ยังเปิดช่องไว้นิดๆ ว่า ถ้าแฟนๆกลับมาหนาแน่นเหมือนเดิม ก็ยังมีปมที่เราทิ้งไว้สำหรับภาค4-5เหมือนกัน กลายเป็นแทนที่หนังจะบิลด์หนักๆไปยังภาค4เหมือนทุกอย่างจะจบลงตรงนี้เลย(ให้7คะแนนจากคะแนนเต็ม10คะแนน)

[REVIEW] Jurassic World Dominion บทสรุปจูราสสิคที่โคตรลุ้นและจัดเต็มทีมนักแสดง | GOSSIP GUN

08 มิ.ย. 2022

[REVIEW] Jurassic World Dominion บทสรุปจูราสสิคที่โคตรลุ้นและจัดเต็มทีมนักแสดง | GOSSIP GUN

เดินทางมาถึงภาคที่6แล้วสำหรับหนังไดโนเสาร์ในตำนานอย่างJurassic Parkซึ่งภาคใหม่นี้อย่างJurassic World : Dominionถือเป็นการปิดไตรภาคสำหรับหนังชุดเวิร์ลด้วย หลังจากที่กลับมาชุบชีวิตให้แฟรนไชส์จูราสสิคกลับมาโลดแล่นบนจอหนังอีกครั้ง สำหรับหนังภาคนี้ ได้ โควิน ทราเวอโรว์ ผู้กำกับจากภาคดังกล่าว กลับมาทำหน้าที่อีกครั้ง ซึ่งไฮไลต์สำหรับภาคนี้ ซึ่งอาจจะเรียกว่าเป็นJurassic All Starก็ว่าได้ คือการกลับมาของ3นักแสดงนำต้นฉบับ คือ แซม นีลล์,ลอร่า เดิร์น และ เจฟฟ์ โกลด์บลัม แม้บางคนจะกลับมาโผล่ในภาคต่อบ้าง แต่ไม่เคยมาครบทีมเลย ดังนั้นนี่คือครั้งแรกในรอบ29ปี ที่พวกเขารวมตัวกัน และได้มาผนึกกำลังกับสองคนนักแสดงนำในหนังชุดใหม่อย่าง คริส แพรตต์ และไบรซ ดัลลัส ฮาเวิร์ด!เรื่องราวในหนังภาคนี้ เกิดขึ้นหลังจากภาคFallen Kingdomเมื่อโลกกลายเป็นแหล่งที่อยู่ที่ผสมผสานกันของ มนุษย์ และไดโนเสาร์ พวกมันกระจายอยู่ทั่วโลก ทั้งในป่า ไม่เว้นแม้แต่ในเมือง แต่การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ย่อมส่งผลร้ายต่อระบบนิเวศน์ และที่สำคัญส่งผลเสียต่อมนุษย์ เมื่อพวกเราไม่ใช่นักล่าระดับบนสุดอีกต่อไป!ในภาคนี้ โอเว่นและแคลร์(รับบทโดย คริส แพรตต์ และไบรซ ดัลลัส ฮาเวิร์ด)ต้องออกช่วยเหลือ เมซี่ ลูกเลี้ยงของพวกเขาที่ถูกองค์กรร้ายที่บังหน้าด้วยสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์จับตัวไป ในขณะเดียวกับโลกก็กำลังเผชิญกับเหตุแมลงยักษ์ทำลายพืชผักของชาวไร่ จึงเป็นหน้าที่ของ ดร.อลัน และดร.เอลลี่(รับบทโดย แซม นีลล์ และลอร่า เดิร์น)ที่ต้องสืบที่มา และพวกเขาเชื่อว่า มันเกี่ยวข้องกับองค์กรนี้เช่นเดียวกัน!ใครที่เป็นแฟนของหนังชุดJurassic ParkและJurassic Worldยังไงก็ไม่ควรพลาดอยู่แล้ว เพราะนอกจากจะเป็นภาคบทสรุปเรื่องราวทั้งหมด ยังเป็นครั้งแรกที่รวมนักแสดงในแฟรนไชส์ไว้ได้เยอะขนาดนี้ ซึ่งทำให้หนังได้บรรยากาศเก่าๆกลับมาเยอะพอสมควร ยิ่งแฟนๆที่โตมากับหนังภาคแรกอย่างJurassic Parkการกลับมาเจอ3นักแสดงทีมออริจินัล เหมือนการได้กลับมาเจอเพื่อนเก่าในงานรียูเนียน และพวกเขาทั้ง3ก็ยังคงมีเคมีบนจอที่ดี และเข้ากับทีมนักแสดงชุดเวิร์ล อย่างทั้ง คริส แพรตต์ และ ไบรซ์ ดัลลัส ฮาเวิร์ด อีกด้วยจุดเด่นมากๆของJurassic World Dominionคือฉากแอ็กชัน หลังจากหนังใช้เวลาปูเรื่องในองก์แรกนานพอสมควร เมื่อเริ่มเข้าสู่โหมดแอ็กชันไล่ล่าแล้ว ก็สนุกแบบหยุดไม่ได้เลย ให้อารมณ์เหมือนขึ้นเครื่องเล่นในสวนสนุก ที่พอมันเริ่มแล้วก็ลุ้นตื่นเต้นกันแบบนันสต็อป เริ่มตั้งแต่ฉากไล่ล่าในมอลต้า ยาวไปจนถึงฉากต่างๆในป่าขนาดใหญ่ ที่ได้ฟีลเหมือนหนังJurassicภาคก่อนๆ ความน่าสนใจคือ ภาคนี้ เราจะได้เห็นฉากแอ็กชันระหว่างคนกับไดโนเสาร์ ในสภาพแวดล้อมที่หลากหลายสุดเท่าที่หนังเคยมีมา เริ่มตั้งแต่ใจกลางเมือง ไปจนถึงในห้องทดลอง กลางป่า บนฟ้า หรือแม้แต่บนพื้นน้ำแข็งที่หนาวเหน็บ ซึ่งแต่ละฉากทำออกมาได้ลุ้นจิกเบาะมาก แม้ว่าดูเหมือนหนังจะได้แรงบันดาลใจมาจากหนังแอ็กชันที่หลากหลายทั้ง หลายครั้งที่รู้สึกเหมือนดูFast Furious, Jason Bourne, James Bondหรือแม้แต่Mission: Impossibleอยู่ปัญหาใหญ่ๆของJurassic World Dominionคือพล็อตและบทสนทนา หนังเรื่องนี้จะเจ๋งมากถ้าตัดบทพูดออกไปให้หมด หนังค่อนข้างเสียเวลาในการปูเรื่อง และเต็มไปด้วยฉากสนทนาที่ไม่จำเป็น หลายฉากที่จำเป็นบทพูดก็ประหลาด ให้ความรู้สึกอิหยังวะค่อนข้างมากเลยทีเดียว โดยเฉพาะบทของตัวละคร3นักแสดงต้นฉบับ ที่หลายครั้งดูตลก ความเท่ในแบบที่พวกเขาเป็นในภาคแรกถูกลดทอนลงไป ด้วยบทพูดที่ดูไม่Make Senseเลย รวมไปถึงตัวโครงเรื่องหลัก ที่ปูมาตั้งแต่แรกอย่างเข้มข้นถึงความขัดแย้งและปัญหา ในการอยู่ร่วมกันระหว่างคนกับไดโนเสาร์ แต่ท้ายที่สุดหนังกลับหาทางออกอย่างง่ายดายจนเกินไปอย่างไรก็ตาม แม้Jurassic World Dominionจะมีจุดบกพร่องเรื่องบทอย่างเด่นชัด แต่ภาพรวมก็ยังถือว่า นี่คือหนังฟอร์มยักษ์ที่ดูสนุกเอามากๆ และมีความตื่นตาด้วยสเกลของงานโปรดักชั่นที่ดูยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อดูในระบบIMAXยิ่งเสริมความอลังการของหนังเข้าไปอีก(ในระบบIMAXจะมีการฉายสลับทั้งในระบบปกติ และ3D)นอกจากนี้แม้ว่าบทจะไม่ส่งซักเท่าไหร่ แต่พลังดาราของนักแสดงนำ รวมถึงเสน่ห์ของพวกเขาก็ยังน่าดึงดูดมากพอ ที่จะทำให้ผู้ชมทั้งลุ้นและทั้งรักพวกเขาได้อย่างไม่ยาก ในฐานะหนังปิดท้ายตระกูลJurassic Parkซึ่งไม่รู้ว่าอนาคตจะมีการชุบชีวิตกลับมาสานต่ออีกหรือไม่ นี่คือภาคจบที่ยังไงก็ไม่ควรพลาดอยู่ดี(ให้7คะแนนจากคะแนนเต็ม10คะแนน)ภาพ : UIP Thailandชมตัวอย่างJurassic World Dominionวันนี้ทุกโรงภาพยนตร์

album

0
0.8
1