ริเริ่มขึ้นครั้งแรกใน พ.ศ. 2534 โดยสหพันธ์โรคเบาหวานนานาชาติ (The International Diabetes Federation IDF) และองค์การอนามัยโลก เพื่อรณรงค์สร้างความตื่นรู้ถึงภัยโรคเบาหวาน เหตุที่เลือกวันที่ 14 พฤศจิกายน เนื่องจากเป็นวันเกิดของเฟรเดอริก แบนติง นักวิทยาศาสตร์ชาวแคนาดา ผู้ร่วมกับชาร์ลส์ เบสต์ เป็นคนแรกที่เข้าใจแนวคิดซึ่งนำไปสู่การค้นพบอินซูลินใน พ.ศ. 2465 และทำให้ได้รับรางวัลโนเบล ปี 1923 (พ.ศ. 2466)
โรคเบาหวาน คืออะไร
โรคเบาหวานเป็นภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ เกิดขึ้นเนื่องจากความสามารถในการจัดการน้ำตาลในกระแสเลือดโดยฮอร์โมนอินซูลินลดลง ซึ่งอาจเกิดได้จากความผิดปกติของตับอ่อนที่ไม่สามารถผลิตฮอร์โมนอินซูลินให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย เรียกว่า ภาวะขาดอินซูลิน หรือเกิดจากความสามารถในการตอบสนองของร่างกายต่อฤทธิ์ของอินซูลินลดลง เรียกว่า ภาวะดื้ออินซูลิน ส่งผลให้ร่างกายมีการเผาผลาญที่ผิดปกติทั้งคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน ทำให้ร่างกายใช้น้ำตาลกลูโคสไม่ได้ตามปกติ และมีระดับน้ำตาลในเลือดสูง
โรคเบาหวาน แบ่งออกเป็นกี่ชนิด?
ในปี ค.ศ. 2019 องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ปรับการจัดจำแนกชนิดของเบาหวานออกเป็น 6 ชนิด ชนิดที่ทุกคนรู้จักจะมีอยู่ 2 ชนิดด้วยกันคือ
การวินิจฉัยและการรักษาโรค
การวินิจฉัยเบาหวานในปัจจุบันทำได้หลายวิธีด้วยกัน โดยหลักจะต้องใช้การตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อตรวจเจาะเลือดดูระดับน้ำตาลหรือน้ำตาลสะสม แนะนำให้ทำในกลุ่มผู้ที่มีความเสี่ยงดังได้กล่าวไปแล้วข้างต้น โดยการตรวจระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งอาจทำได้โดยการเจาะเลือดจากหลอดเลือดดำหรือเจาะเลือดจากปลายนิ้ว หากระดับน้ำตาลในเลือดภายหลังอดอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมง มากกว่าหรือเท่ากับ 126 มก./ดล. หรือระดับน้ำตาลในเลือดที่ตรวจขณะไม่งดอาหาร มากกว่าหรือเท่ากับ 200 มก./ดล. ถือว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเป็นเบาหวาน หากมีอาการของเบาหวานมีความชัดเจนว่าน่าจะเป็นเบาหวานจริง แต่หากยังไม่มีอาการของโรคเบาหวาน ควรตรวจยืนยันอีกครั้งในวันหรือสัปดาห์ถัดไป หากมีค่าสูงแพทย์จะวินิจฉัยว่าเป็นเบาหวานได้ และการตรวจระดับน้ำตาลสะสมปัจจุบันสามารถใช้วินิจฉัยเบาหวานได้ ไม่ต้องงดน้ำงดอาหาร แต่ต้องตรวจด้วยวิธีการที่ได้มาตรฐาน หากตรวจพบระดับน้ำตาลสะสมมากกว่า 6.5 เปอร์เซ็นต์ ถือว่าเป็นเบาหวาน
เราจะปรับเปลี่ยนชีวิตอย่างไรไม่ให้เป็นโรคเบาหวาน?
หลักสำคัญในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อป้องกันเบาหวาน ใช้ได้สำหรับเบาหวานชนิดที่ 2 ประกอบไปด้วยการปรับพฤติกรรมการกินอาหารให้เป็นไปตามหลักโภชนาการ การเพิ่มกิจกรรมทางกายที่เหมาะสม ร่วมกับการส่งเสริมพฤติกรรมอื่นๆ ที่ดีต่อสุขภาพ เช่นนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ลดสภาวะเนือยนิ่ง งดสูบบุหรี่และดื่มสุรา
การปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันเบาหวาน
1. ควบคุมอาหาร ควรรับประทานอาหารแต่พอดี ไม่มากหรือน้อยเกินไป เพื่อไม่ให้มีน้ำหนักเกินหรืออ้วน ชนิดของอาหารที่ให้พลังงานทั้งคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมันควรเลือกกินให้หลากหลายและมีการกระจายอย่างเหมาะสม เลือกคาร์โบไฮเดรตที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ เลือกโปรตีนคุณภาพไม่ติดมัน และเลือกไขมันชนิดไม่อิ่มตัวและหลีกเลี่ยงไขมันทรานส์ ร่วมกับการรับประทานผักและผลไม้ให้เพียงพอ
2. ออกกำลังกาย ควรทำอย่างสม่ำเสมอโดยเลือกรูปแบบที่เหมาะสมกับช่วงอายุ เช่นในเด็กและวัยรุ่นควรเน้นการออกกำลังกายแบบแอโรบิก และการยืดเหยียดกล้ามเนื้อ ผู้ใหญ่อาจเน้นทั้งการออกกำลังกายแบบแอโรบิก และการออกกำลังกายแบบแรงต้าน ส่วนในผู้สูงอายุเน้นการฝึกความยืดหยุ่นและการทรงตัว ให้ได้ความถี่ประมาณ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์
3. ลดพฤติกรรมเนือยนิ่ง หมายถึงช่วงเวลาที่ร่างกายไม่มีการเคลื่อนที่ เช่น นอนเล่น นั่งทำงานอยู่กับที่ นั่งเรียน/อ่าน/เขียนหนังสือ ดูโทรทัศน์หรือหน้าจอ เป็นต้น โดยควรปรับให้มีกิจกรรมที่ได้เคลื่อนไหวร่างกายอย่างน้อยเป็นเวลาสั้น ๆ ทุก ๆ 30-60 นาที และกำหนดให้เวลาในการดูโทรทัศน์หรืออยู่หน้าจอ น้อยกว่า 2 ชั่วโมงต่อวัน
4. งดสูบบุหรี่ ผู้ที่สูบบุหรี่รวมถึงบุหรี่ไฟฟ้ามีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวานมากกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ถึงร้อยละ 30-40 เนื่องจากสารนิโคตินในระดับสูงจะส่งผลให้การทำงานของอินซูลินมีประสิทธิภาพลดลง นอกจากนี้การสูบบุหรี่ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคร้ายแรงอื่น ๆ เช่นโรคหัวใจ โรคหลอดเลือด และ โรคไต เป็นต้น
5. งดหรือลดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น และอาจส่งผลให้เกิดโรคทางระบบหัวใจและหลอดเลือด ควรงดการดื่มแอลกอฮอล์ถ้าเป็นไปได้
6. นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ โดยต้องคำนึงถึงทั้งปริมาณ คือระยะเวลาการนอนที่เพียงพอ และคุณภาพการนอนที่ดี คือนอนหลับสนิท โดยสมาพันธ์โรคหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ. 2565 กำหนดให้ปริมาณการนอนที่เหมาะสมคือ 7-9 ชั่วโมงต่อคืน