Talk with “Mirrr” กับเรื่องราวในซิงเกิลล่าสุด “ย้ำคิดย้ำทำ (OCD)”

Chill Talk

Talk with “Mirrr” กับเรื่องราวในซิงเกิลล่าสุด “ย้ำคิดย้ำทำ (OCD)”

“Mirrr” ศิลปินภายใต้สังกัดค่าย What The Duck กลับมาพร้อมซิงเกิลใหม่ “ย้ำคิดย้ำทำ (OCD)” ที่พูดถึงการอยากลบใครสักคนออกจากสมองและหัวใจ แต่ต้องคิดถึงเขาซ้ำไปซ้ำมา ไม่สามารถเอาเรื่องเขาออกจากความคิดได้ เราจึงได้ชวน "โต-เลอทัศน์ เกตุสุข" และ "นาว-วิชชานนท์ ว่องวีรชัยเดชา" จากวง Mirrr มาพูดคุยถึงเรื่องราวในเพลงนี้กัน

จุดเริ่มต้นของเพลง “ย้ำคิดย้ำทำ (OCD)” เริ่มมาจากอะไร

โต – “จุดเริ่มต้นมาจากตอนนั้นคิดอะไรในหัวเยอะ ๆ ก็เลยเอาสิ่งที่คิดในหัวเขียนออกมาเป็นเพลง ทำเป็นเดโม่ขึ้นมา แล้วก็เอาไปเสนอขายนาวอีกที”

เพลงนี้ใช้เวลาทำนานมั้ย

นาว – “ประมาณเดือนนิด ๆ ครับ เกือบสองเดือน”

เพลงไฟนอลที่ได้ฟังกัน มีการปรับแก้จากดราฟแรกที่ส่งไปขายเยอะไหม

นาว – “จริง ๆ ไม่เหมือนดราฟแรกเลย”

โต – “พอเอาจากที่ผมทำเดโม่มา เราก็ไปเวิร์คกันต่อให้เป็นสไตล์ที่เราสองคนชื่นชอบ”

คิดว่าอะไรคือพาร์ทที่ยากที่สุดในการทำเพลงนี้

นาว – “ทุกตอนครับ เหมือนทำ ๆ ไปก็จะมีอุปสรรคเข้ามา”

โต – “อุปสรรคคือการเถียงกัน (หัวเราะ) ไม่ใช่ อันนั้นคือเรื่องปกติ”

นาว – “แต่ว่าป่วยกันครับตอนนั้น แล้วต้องอัดร้อง ก็เลยยากนิดนึง”

ช่วยเล่าแนวคิดของ MV นี้ให้เราฟังหน่อย สตอรีเป็นยังไง

โต – “MV ตอนแรกมันคือสิ่งที่ผมเห็นในหัวครับ เป็นภาพของครอบครัวนึง แล้วก็เกี่ยวกับคนที่เติบโตมา ได้มาเจอเรื่องราวต่าง ๆ จนพาเขาไปพบกับจุดจบที่ไม่ค่อยสวยงาม แล้วผมก็เอาเรื่องทั้งหมดนี้เล่าให้ พี่แพน ผู้กำกับฟัง แล้วเขาก็เอาเรื่องเหล่านี้ไป develop ใหม่ แล้วก็ทำมันออกมาเป็นสตอรีแบบที่ทุกคนได้เห็นกันครับ”

ตอนแรกที่ฟังแค่เพลง คนจะตีความไปแบบนึง พอดู MV ก็จะเห็นอีกเรื่องราวนึง เป็นความตั้งใจของ Mirrr ไหมที่อยากให้ภาพออกมาเป็นแบบนี้

โต – “อาจจะเป็นทั้งความตั้งใจและไม่ตั้งใจครับ ที่ตั้งใจคือตั้งใจให้ดู MV และฟังเพลงแยกกัน แล้วชอบทั้งเพลง ชอบทั้ง MV นั่นหมายความว่างานสองชิ้นนี้เป็นปัจเจคต่อกัน ไม่จำเป็นต้องอยู่ติดกัน เขาจะเลือกฟังเพลงอย่างเดียวก็ได้ หรือดู MV อย่างเดียวก็ได้ ก็ถือว่าถ้าเราตั้งใจที่จะทำงานสักอย่างนึง มันก็น่าจะประสบความสำเร็จ ในอีกแง่นึงก็คือ ทีมงานทุกคนที่สร้างงานชิ้นนี้มาก็น่าจะดีใจที่มีคนชื่นชอบมัน ถ้าในเวย์ความไม่ตั้งใจอาจจะเป็นเรื่องที่แบบว่า ถ้ามันเป็น MV แล้วมันสามารถอยู่ด้วยกันได้ ไม่ว่ามันจะ contrast หรือไม่ contrast อันนี้อาจจะเป็นเรื่องปัจเจคอีกเช่นกันครับ ว่าคนดูสิ่งนี้แล้วจะรู้สึก contrast มั้ย อาจจะไม่ใช่คีย์ที่เรานั่งคุยกันในที่ประชุมว่าเราจะมาทำ MV ที่ contrast กัน แต่ตอนแรกที่คุย ผมคุยกับพี่แพน ผู้กำกับ ว่าผมอยากนำเสนอในเวย์ที่ว่า ให้คนที่ได้ดูงานชิ้นนี้ มีความรับผิดชอบต่อคนรอบตัว เทคแคร์คนรอบข้างบ้างสักนิดนึงก็ยังดี หรือถ้าใครที่เป็นพ่อกับแม่ ดูแล้วก็อยากให้คิดถึงว่าเราได้ทำอะไรบางอย่างกับลูกไปโดยไม่ได้ตั้งใจบ้างหรือเปล่า หรือว่าการที่เราเห็นใครบางคนที่เรามองว่าเขาไม่ปกติ แต่ว่าจริง ๆ แล้วเขาอาจจะเป็นอย่างงั้นโดยธรรมชาติของเขา แล้วเขาไม่ได้ผิดอะไร มันอาจจะไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่สำหรับคนอื่น แต่สำหรับเขามันอาจจะกวนใจเขาอยู่ เขาอาจจะพยายามปรับอยู่ อย่างเช่น คนที่เป็นย้ำคิดย้ำทำ เขาอาจจะไม่ได้อยากเป็นอย่างงั้น แต่ว่าเขาอาจจะต้องเผชิญกับสิ่งที่เขาแก้ไม่ได้ หนีไม่ได้จากคำพูดบางอย่าง คำสัญญาบางอย่าง หรืออะไรบางอย่างที่เขาเชื่อใจ เขาก็ไม่ได้ผิด ซึ่งถ้าเป็นอย่างใน MV ตัวนี้อะครับ ก็อาจจะเป็นการที่ลูกสักคนนึงจะยึดมั่นถือมั่นกับคำสัญญาของคนเป็นแม่ ก็ไม่ได้ผิด แต่สุดท้ายทางที่เขาเลือกนั้นถูกหรือผิด ก็เป็นเรื่องของคนที่ดูเป็นคนตัดสินครับ”

ส่วนตัว Mirrr เคยมีโมเมนต์แบบในเพลงมั้ย ที่อยากลืมอะไรสักอย่าง แต่ลืมไม่ได้สักที จัดการกับความรู้สึกตอนนั้นยังไง

นาว – “ผมว่าทุกคนน่าจะเคยมีโมเมนต์แบบนั้นนะครับ ด้วยความเป็นมนุษย์ปกติธรรมดา ก็จะเจอเรื่องดีบ้าง ไม่ดีบ้างในชีวิต มันเป็นเรื่องปกติ เรื่องแย่ ๆ บางทีเราก็ไม่ได้อยากจำ แต่มันก็จำ เราไม่ได้เหมือนคอมพิวเตอร์ที่อยากลบทิ้งแล้วลบได้ เราก็เลยต้องหาวิธีเรียนรู้เพื่อที่จะอยู่กับมัน”

โต – “แต่ถ้าเป็นผมอะ ผมจะไม่ค่อยอยากลืม จะอยากจำมากกว่า เพราะผมจะจำไม่ค่อยได้ คือเวลาเราจำอะ มันจะมีบางเรื่องเหมือนเราจำได้ คำว่า จำฝังใจ มันอาจจะเป็นความรู้สึกที่มันฝังใจ แต่ถ้าเราจำได้ แต่ความรู้สึกมันไม่ได้ฝังใจ มันก็อาจจะไม่ได้จำฝังใจ แต่ว่าบางครั้งเราอยากจะจำ เพราะเราอยากรู้สึกนึกถึงมันก็ได้ เช่น เก็บของอันนี้ไว้ที่ไหน คนนี้พูดว่าอะไร หรือว่าเขาทำอะไร สถานการณ์ไหน ในความรู้สึกคือผมอยากจำได้ทุกเรื่องแหละ แต่มันเป็นไปไม่ได้ คือมีช่วงนึงบางทีจำเรื่องวัยเด็กขึ้นมาได้เรื่องนึง มันก็รู้สึกดีมากเลย ต่อให้มันเป็นเรื่องธรรมดาในตอนนั้น แต่พอมันนึกขึ้นมาได้ มันก็รู้สึกดีครับ แต่ถ้าอยากลืมจะนึกไม่ค่อยออกว่าอยากลืมเรื่องอะไร”

นาว – “ผมเป็นฟีลอยากเข้าใจตัวเอง อยากใช้ชีวิตให้มีความสุขมากกว่า เหมือนต่อให้เรามีเรื่องแย่ ๆ ถึงเราจะคิดถึงมันบ้างบางที แต่โดยรวมเราคิดถึงมันแล้วเราไม่ทุกข์ก็พอแล้ว เราก็ไม่ต้องพยายามจะลืม”

ถ้ามีคนตกอยู่ในสถานการณ์แบบในเพลง จะแนะนำพวกเขายังไงบ้าง

โต – “ถ้ามีคนถามเรื่องมูฟออน สำหรับผมนะ ผมมักจะบอกว่า ถ้าเรายังมูฟออนไม่ได้ ก็ไม่เป็นไรครับ มันเป็นปกติที่เราจะเสียใจกับเรื่องอะไรก็ตาม แค่อยากให้เข้าใจว่ามันเป็นเรื่องปกติ ที่มันไม่สมบูรณ์ ที่เราผิดพลาด มันเป็นธรรมดา แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่สังคมหรือคนรอบข้างมองว่าเป็นเรื่องใหญ่ รู้สึกว่ามันต้อง take serious มันจะกลายเป็นสิ่งที่ทำให้คนเป็นทุกข์ได้ เพราะเราต้องอยู่ในสังคม สุดท้ายแล้วถ้ามีใครสักคนตกอยู่ในสถานการณ์แบบใน MV ไม่ว่าจะเป็นพ่อ แม่ ลูก หรือว่าใครก็ตามนะครับ ผมรู้สึกว่าอย่างน้อยทำความเข้าใจกับบริบทที่เราเป็นอยู่ ระลึกว่าเรามีหน้าที่ที่ต้องทำอะไร เราอยู่กับปัจจุบัน เราเอาอดีตเป็นบทเรียน ผมคิดว่าผมเองก็ทำไม่ได้ 100% แต่ก็หวังว่าวันนึงเราจะทำให้ได้ คือเอาอดีตมาเป็นบทเรียน เป็นสิ่งที่เตือนใจเรา แต่ไม่ได้จมอยู่กับมัน เหมือนเราเรียนประวัติศาสตร์ คือเราทำปัจจุบันให้ดี เพื่อจะได้วางแผนอนาคต”

Mirrr ทำเพลงเศร้าซะเยอะ ทำไมพาลงตลอดเลย ถือเป็นแนวที่ Mirrr ถนัดด้วยหรือเปล่า

โต – “อันนี้เราอาจจะไม่ได้เลือก มันไม่ได้เป็นคอนเซ็ปต์ว่าเรามาทำเพลงเศร้ากันดีกว่า มันอาจจะเป็นอะไรที่แบบ เราคิดว่ามู้ดนี้ได้ เราก็จะคุยกัน แล้วก็เลยทำเพลงออกมา”

การทำเพลงตัวเอง กับทำเพลงให้คนอื่น มีความยากง่ายแตกต่างกันตรงไหนบ้าง

โต – “ต่างเยอะครับ ทำเพลงตัวเองน่าจะยากกว่า ความยากน่าจะเป็นเดดไลน์ มันดูเหมือนเป็นเรื่องตลกนะ เดดไลน์ แต่ว่าพอเราทำให้คนอื่น มันจะมีเดดไลน์ครับ แล้วเรารู้สึกว่าเราโอเคกับการมีเดดไลน์ เพราะจะหยุดคิดได้ เราจะ priority ได้ว่า โอเค ตอนนี้เราจะหยุดคิดละ นี่คืองานที่โอเคละ เราไม่ต้องคาดหวังความเพอร์เฟ็ค ความดีไปกว่านี้ นี่คือดีที่สุด ณ ช่วงเวลานี้แล้ว แต่ถ้าเกิดว่าเป็นงานของวง เราอาจจะมีเดดไลน์กันก็จริง แต่เราจะขยับเดดไลน์ บางทีเรารู้สึกว่า อันนี้เปลี่ยนใจได้มั้ย อันนี้รู้สึกว่ามันไม่ได้ในฟีลลิ่งตอนนี้แล้ว ขอเก็บไว้ก่อน ขอไปทำเพลงใหม่ก่อน เราก็เลยจะมีเพลงเก็บเยอะมาก แต่ยังไม่ได้ทำอัลบั้มที่ 2 ออกมา”

Mirrr เพิ่งจัดแฟนมีตครั้งแรกไปด้วย เป็นยังไงบ้าง

โต – “ครบทุกอย่าง ทั้งตื่นเต้น ดีใจ แล้วก็แฮปปี้”

นาว – “มีเสียใจมั้ย”

โต – “ไม่มีนะ”

นาว – “ก็ไม่ครบสิ”

โต – “อ่าว เราต้องเอาเสียใจเข้ามาด้วย ถึงจะครบทุกอารมณ์งี้เหรอ งั้นเสียใจมั้ยวันนั้น”

นาว – “เสียใจครับ เสียใจ”

โต – “เล็ก ๆ มันมีความเสียใจอยู่นิดนึงด้วยนะ คือมันเป็นสิ่งที่ผมคิดอยู่ในใจมาตลอดเลย คือตอนที่เราจะคัดเลือกคนมาอะครับ เราก็คุยกันตั้งแต่จุดเริ่มต้นเลยว่าแฟนมีตคืออะไร ก็ได้ความกันว่า แฟนมีตคือเราอยากทำกิจกรรมอะไรก็ได้ที่ให้ giveaway แฟน ๆ ที่เขาซัพพอร์ตเรามาตลอด ได้ทำกิจกรรมเพื่อขอบคุณเขา มีสิ่งของที่ตอบแทนเขาบ้าง ตอนนั้นก็ได้ลองปรึกษาค่ายครับ เพราะเราไม่เคยจัดแฟนมีตที่เป็นแฟนมีตจริงจังเลย อาจจะมีได้เจอกับแฟน ๆ บ้าง แต่มันไม่ได้เป็นงานแบบออฟฟิเชียลเนอะ อันนี้น่าจะเป็นงานแบบออฟฟิเชียลครั้งแรก ก็เลยมาศึกษากับมันตั้งแต่ต้น จนแบบ โอเค เราต้องใกล้ชิดกัน เราจะได้ใช้เวลาร่วมกับทุกคน จำนวนคนเราก็เลยสรุปกันมาที่ 40 คน แต่มีน้อง ๆ ให้ความสนใจ ส่งข้อความเข้ามากันเยอะมากครับ เกินกว่าที่เราคาดหวังไว้เยอะมาก แล้วก็ตอนแรกเหมือนผมก็คุยกันว่าเราจะคัดเลือกจากข้อความที่ทุกคนเขียนมา 40 คน แล้วปรากฎว่าพอเรามานั่งอ่านกันดูจริง ๆ แล้ว เราเลือกไม่ได้ครับ เพราะทุกคนเขาซัพพอร์ตเราหมด ทุกคนเขาตั้งใจกับเราหมด มันไม่ได้อยู่ที่ว่าข้อความที่เขาเขียนมามันคืออะไร มันไม่ได้อยู่ที่ตรงนั้นเลย เราไม่สามารถเลือกได้ เราก็เลยปล่อยให้เป็นเรื่องของโชคชะตาแล้วกันครับ เราก็เลยบอกทุกคนที่ส่งเข้ามาว่าเราขอเปลี่ยนกติกา จากตอนแรกที่เราบอกว่าจะคัดเลือกจากข้อความที่ส่งเข้ามา ก็เป็นการสุ่มแทน แต่เราได้อ่านของทุกคนนะครับ ซึ่งก็รู้สึกว่าผมอยากจะจัดอีกนะ แล้วถ้าได้จัดอีกก็อยากจะขยายให้ใหญ่ขึ้น รองรับคนให้มากขึ้น น้อง ๆ คนที่ไม่ได้มาก็ยังมีฝากเค้กฝากของมาให้ด้วย ก็เลยรู้สึกว่าถ้าได้มีโอกาสจัดงานครั้งหน้า ก็อยากจะทำให้ดีขึ้นกว่านี้ครับ”

พูดถึงแฟนคลับที่ติดตามวง Mirrr กันอยู่หน่อย เรามีความประทับใจอะไรในตัวพวกเขาบ้าง

โต – “ผมคิดอยู่ว่าจะเริ่มที่ตรงไหน คือมันเยอะ มันทุกจุดอะครับ ย้อนกลับไปตั้งแต่ตอนแรก ถ้าไม่มีแฟนเพลงเอาเพลงไปเล่น เพลงเราก็ไม่เป็นที่รู้จัก แล้วเราก็จะไม่มีโอกาสได้มีทัวร์แรกเลยด้วยซ้ำ แล้วพอเรามีทัวร์แรก เราก็เริ่มมีคนเข้ามาทำความรู้จัก เราเริ่มไลฟ์แล้วมีคนดู มีคนมาพูดคุยด้วย มีคนมาแลกเปลี่ยน มีคนมาสอนเราว่าด้อมคืออะไร มีคนมาตั้งไลน์สแควร์ให้ทั้งที่เราก็ไม่รู้ ซึ่งตอนนี้ไลน์สแควร์มีพี่มีน้องมาทำหน้าที่แอดมินให้แล้วด้วย กลายเป็นว่าเส้นทางจากจุดเริ่มต้นจนวันนี้ ครอบครัวของพวกเราใหญ่ขึ้นมาก ๆ แล้วเราไม่มีทางที่จะทำเพลงมาจนถึงทุกวันนี้ได้เลย ถ้าไม่มีทุกคนที่สนับสนุนอยู่ เพราะงั้นความประทับใจมันน่าจะเป็นการมีอยู่ของพวกเขา น่าจะตอบทุกมิติได้ครับ”

สุดท้ายให้ Mirrr ฝากผลงานหน่อย ทั้งผลงานเพลงนี้ แล้วก็ในอนาคตจะมีอะไรออกมาให้เราติดตามกันอีกบ้าง

นาว – “ก็มีเพลงนี้นะครับ ‘ย้ำคิดย้ำทำ’ ที่เพิ่งปล่อยมา ก็ตั้งใจจะปล่อยอีกหลาย ๆ เพลงเลยครับ อยากให้ทุกคนได้ติดตามกัน แล้วก็ตอนนี้กำลังคุยกันเรื่องที่ว่าจะจัดคอนเสิร์ตอะไรสักอย่างนึง ซึ่งอยากให้รอติดตามกันมาก ๆ เลยครับ เพราะว่าเราก็คุยกันแบบเป็นจริงเป็นจังกันมาก”

ใบ้ได้ไหมว่าภายในปีนี้จะมีซิงเกิลใหม่ปล่อยออกมาให้เราได้ฟังกันอีกไหม

นาว – “อยากให้มีครับ แล้วก็อยากให้ติดตามกัน”

you may also like

album

0
0.8
1