หลังจากห่างหายจากการปล่อยเพลงมานาน ล่าสุด “โดม จารุวัฒน์” คัมแบคพร้อมซิงเกิลใหม่ “เธอไม่ชอบฝน (Rainfall)” ที่ยังคงสไตล์การเป็นดรามาติคโดมคนเดิม แต่เพิ่มสีสันใหม่ ๆ เข้ามา เราจึงได้ชวน “โดม จารุวัฒน์” มาพูดคุยถึงเรื่องราวเบื้องหลังเพลงนี้กัน
ห่างหายจากการปล่อยเพลงที่เป็นเพลงของตัวเองจริง ๆ มานานมาก อะไรทำให้เลือกกลับมาในช่วงนี้
“เป็นช่วงที่เรารู้สึกว่าเราคิดถึงมาก ๆ จริง ๆ ก็พยายามที่จะกลับมาในช่วงก่อนหน้านี้หลายครั้งแล้วเหมือนกัน แต่ว่ามันก็ด้วยเวลาของเราเอง ด้วยความเหมาะสมต่าง ๆ ที่เรารู้สึกว่าตัวเองอาจจะยังไม่พร้อมขนาดนั้น ก็ทำแล้วทิ้งอยู่พักนึงเหมือนกันครับ แล้วตอนนี้ก็รู้สึกว่าตัวเองพร้อมแล้ว อยากจะกลับมาร้องเพลงแล้ว”
เพลง “เธอไม่ชอบฝน (Rainfall)” แต่งไว้นานแล้วหรือยัง
“แต่งไว้ประมาณปีกว่า ๆ แล้วครับ ตั้งแต่ปีที่แล้ว จริง ๆ ชอบเพลงนี้ตั้งแต่ตอนที่เริ่มเขียนเลย แล้วก็เก็บเอาไว้อยู่ ยังรอวันที่สมมุติว่าถ้าจะกลับมาปล่อยเพลงอีกครั้งนึง เพลงนี้น่าจะเป็นเพลงแรก คิดไว้ในใจว่าอยากปล่อยเพลงนี้เพลงแรก”
“เธอไม่ชอบฝน (Rainfall)” มาในคอนเซ็ปต์อะไร
“ก็ยังเป็น โดม จารุวัฒน์ เนี่ยแหละ ที่เล่าเรื่องราวความดรามาติคอยู่เสมอ อย่างเพลงของผมเอง มันมีทั้งในมุมเพลงรัก เพลงรักมันก็ดรามาติคมากจนไปถึงเป็นเพลงงานแต่ง แล้วในขณะเดียวกันก็จะมีเพลงที่เศร้าสุดกู่ มีน้ำตาแน่นอน ซึ่งมันก็เลยทำให้ยังคงเป็นคนที่ร้องอะไรที่มันดรามาติคอยู่เสมอ แต่ว่าในครั้งมันก็คงเป็นความดรามาติคที่เป็นสีสันใหม่ ๆ รสชาติใหม่ ๆ มากขึ้น ด้วยสไตล์ดนตรีที่มีการเปลี่ยนแปลง การเพิ่มอะไรที่มันเป็นสิ่งใหม่ ๆ มากขึ้น แบบที่ตัวเองไม่เคยทำมาก่อน อย่างเช่น การร้องเพลงกับซาวน์ที่เป็นอิเล็กทรอนิกส์มาก ๆ เพื่อให้มันดูเป็นอีกสีนึง แล้วมันดูโตขึ้น ก็เลยกลับมาด้วยคอนเซ็ปต์ที่ยังคงเป็นดรามาติคโดมคนเดิม แต่ว่ามีสีสันใหม่ ๆ เพิ่มเข้ามาครับ”
เพลงนี้ปล่อยมาหลายเวอร์ชันมาก ทำไมถึงทำออกมาเยอะขนาดนี้
“อันนี้เป็นไอเดียของน้องที่มาช่วยโปรเจคนี้ด้วย ซึ่งเขาก็แนะนำว่าน่าจะลองทำเพลงนี้ในแบบที่มีเสียงฝนใส่เข้าไปด้วย เพราะว่าคนอะชอบเพลงแล้วเปิดเสียงฝนคลอ จะมีคนที่เปิดเพลงปกติเนี่ยแหละ แล้วก็เปิดเสียงฝนคลอไปด้วย มันมีความเป็น ASMR อยู่ มันจะรู้สึกนอนหลับสบายขึ้นครับ แล้วเราก็รู้สึกว่า เออ ในเมื่อเพลงเรามันพูดถึงฝน ก็ลองดู ลองใส่เสียงฝนเข้าไป แต่ว่าจะทำยังไง ทำแค่ใส่เสียงฝนเข้ามาเฉย ๆ มันก็จะธรรมดาไป ก็เลยลองไล่สิ ตั้งแต่ฝนเริ่มตกเปาะแปะ ๆ ไปจนถึงฝนตกหนัก ฝนตกบนหลังคารถแล้วก็มีเสียงที่ปัดน้ำฝนไปด้วย ฝนที่มาพร้อมลมพายุ ฟ้าผ่า แล้วสุดท้ายคือฝนที่มันซา ก็เลยไล่ไดนามิคไป แล้วก็ลองปล่อยโยนทิ้งเอาไว้ ยังไม่ได้ไปทำอะไรกับมัน แล้วก็มีคนไปเจอ ก็เป็นอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เราแอบใส่เอาไว้ แต่ว่าก็ดีใจที่มีคนไปค้นเจอครับ”
แล้วส่วนตัวโดมชอบเวอร์ชันไหนที่สุด
“ผมชอบเวอร์ชันที่เป็นฝนตกบนหลังคารถ เพราะว่าเป็นคนขับรถบ่อย เพราะฉะนั้นเราจะคุ้นเคยกับการที่เราเปิดเพลงในรถแล้วฝนตก แล้วก็จะได้ยินเสียงที่ปัดน้ำฝนด้วย ก็เลยรู้สึกว่ามันเป็นเสียงที่เราคุ้นเคยมาก แล้วก็เป็นประสบการณ์ของการฟังเพลงที่มันแตกต่างออกไปครับ”
มาที่พาร์ท MV เห็นว่าใช้การถ่ายทำแบบ Long Take ด้วย การทำงานเป็นยังไงบ้าง
“คือถึงแม้ว่าออนแอร์มันจะเป็น Long Take แต่ว่าขั้นตอนการถ่ายจริง ๆ มันก็ไม่ได้เป็น Long Take แบบนั้น คือมันเป็นเทคนิคในการเชื่อมแต่ละเทคต่อกันครับ แต่ว่าวิธีการถ่ายก็จะมีความทรหดมาก ๆ เพราะว่าทั้ง MV มันก็คือเราคนเดียวแหละ เราเป็นคนเล่าเรื่องทั้งหมด แล้วก็อยู่ในสถานที่ที่เดียว แล้วก็มีเอฟเฟคต่าง ๆ มีคิว มีวิธีการที่จะทำให้มันมีไดนามิคเกิด เพราะฉะนั้นมันก็เลยเป็นสิ่งที่เป็นความท้าทายอย่างนึงเหมือนกัน เพราะว่าตัวเองไม่ได้ปล่อยเพลงไม่พอ ไม่ได้อยู่ใน MV มาสักระยะนึงแล้วด้วย เพราะว่าถ้าเป็นเมื่อก่อน เพลงผมก็จะไม่ได้มีผมอยู่ในนั้นเลย ก็จะเป็นเรื่องราวของพระเอกนางเอกอะไรไป ตัวเราที่เป็นไลน์ซิงค์ก็จะโผล่มานิด ๆ หน่อย ๆ แต่ว่าอันนี้จะเป็นตัวเราทั้ง MV เลย ถือว่าเป็นอะไรที่ท้าทาย ในมุมที่เราเองก็ไม่เคยทำอะไรแบบนี้เหมือนกัน”
เพลงนี้ได้ “อาตี้ วง bamm” มากำกับ MV ให้ การทำงานกับน้องในพาร์ทของการเป็นผู้กำกับ กับการเป็นศิลปินในค่าย มันแตกต่างกันยังไง
“คือเขาเท่มาก เมื่อไหร่ที่อาตี้เขาจับงานเบื้องหลัง เขาจะเป็นอีกโหมดนึง อีกร่างนึงไปเลย แล้วเราก็รู้สึกว่าเขาเท่มาก คือเห็นงานเขา ติดตามงานเขา แล้วก็เคยให้เขามาทำงานของค่าย LIT Entertainment ด้วย ก็จะรู้สึกว่าเขาเป็นเลือดใหม่ ไฟแรงมาก อยากทำ อยากทดลอง อยากใส่สิ่งที่มันดีที่สุดเข้าไปในทุกงาน เรารู้สึกว่าอะไรแบบนี้มันรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ทำงานด้วย แล้วก็ในวันออกกอง น้องก็เป็นคนคุมทุกอย่าง ก็เลยรู้สึกว่าเขามีโหมดที่น่าสนใจมากในการทำงาน อยากให้คนได้เห็นงานเขาเยอะ ๆ”
การแต่งเพลงตัวเอง กับการแต่งเพลงให้คนอื่น มันต่างกันไหม อะไรยากกว่ากัน
“จริง ๆ ก็มีทั้งส่วนทั้งมันต่าง แล้วก็ส่วนที่มันเหมือนกัน อย่างส่วนที่มันต่างก็คือ เราอาจจะมีโจทย์ที่มันต่างกัน เราแต่งให้คนอื่น เราอาจจะเอาตัวศิลปินมาวาง แล้วก็ลองหาคาแรคเตอร์จากเขา เราอาจจะต้องทำความรู้จักกับตัวตนของศิลปินคนนั้นมาก ๆ แต่ถ้าแต่งเพลงของเราเอง เราก็จะพอสโคปตัวเองได้ เข้าใจตัวเองได้ ประโยคนี้เราคงไม่พูดแบบนี้หรอก ถ้าเราจะสื่อสารแบบนี้ เราคงจะพูดประมาณไหน อันนี้ก็จะเป็นสิ่งที่ผมว่าก็จะมีความแตกต่างกันในเรื่องโจทย์ แต่ว่าด้วยวิธีการของการเขียน มันก็มีแพทเทิร์นของมันแหละในการเขียนเพลง ว่าเราอยากจะทำอะไร แบบไหน ซึ่งถ้าถามว่าอันไหนยากกว่ากัน ผมว่าจริง ๆ มันก็พอ ๆ กัน มันก็คิดด้วยโจทย์ มาด้วยโจทย์เหมือนกัน เพียงแต่ว่าโจทย์มันแตกต่างกันแค่นั้นเอง”
การได้มาเป็นผู้บริหารของ LIT Entertainment ด้วย ทำให้การจะปล่อยซิงเกิลออกมา ต้องคิดเยอะขึ้นกว่าเดิมไหม
“คิดเยอะครับ คิดเยอะมาก เพราะว่าพอเรามาทำงานเบื้องหลัง เราก็จะมีความเอ๊ะ อันนี้มันทำแล้วน่าจะเวิร์คนะ อันนี้เคยลองทำแล้วมันไม่เวิร์ค อะไรแบบนี้ เราก็จะเอามาผสมกันหมดแหละ เอาอันนี้ดีกว่า ไม่เอาอันนี้ แต่จริง ๆ มันทำให้เราเรียนรู้ว่าจริง ๆ แล้ว มันไม่มีใครรู้ขนาดนั้นว่าอันไหนเวิร์คหรือมันไม่เวิร์ค เพราะถ้าสมมุติว่าเรารู้ว่าอะไรเวิร์ค เราก็คงทำทุกเพลงดังไปหมดแล้ว เพราะฉะนั้นมันก็คือการทดลองแหละ แล้วโจทย์ในแต่ละครั้ง มันไม่เคยเหมือนกันสักครั้ง คนดูคนฟังก็ไม่เคยมาด้วยมู้ดเดียวกันสักครั้งนึง คนฟังในช่วงที่แล้วกับช่วงนี้ มันก็ไม่เหมือนกันอีก เราก็ต้องปรับให้มันทันกับสังคมที่สุด ให้มันเทรนดี้ที่สุด ซึ่งก็เลยเป็นสิ่งที่เราคิดตอนแรกว่า มันก็คงเหมือน ๆ กันแหละ เอาสิ่งที่เราเคยทำในเบื้องหลัง LIT Entertainment มาทำกับเพลงเราได้ สรุปไม่ได้ มันก็ไม่เหมือนกันอีก ผมว่าการทำเพลงมันก็ยังเป็นสิ่งที่ลึกลับอยู่ดี มีความน่าค้นหาของมัน แล้วก็มีคำตอบที่ไม่เคยเหมือนกันสักครั้ง ไม่ว่าเราจะควบคุมตัวแปรมันยังไง ทำเหมือนเดิมเลยนะ มันไม่ได้แปลว่าผลลัพธ์มันจะออกมาเป็นเหมือนเดิมเสมอไป เพราะมันงานศิลปะ มันไม่มีสูตรตายตัว ไม่มีผิด ไม่มีถูก มันมีแค่ชอบหรือไม่ชอบ คำว่าชอบไม่ชอบมันก็แล้วแต่รสนิยมคนอีก ณ ช่วงนี้ อาจจะฟังแล้วไม่ชอบ แต่พอผ่านไปสักสองเดือน กลับมาฟังแล้วอาจจะชอบขึ้นมา ซึ่งอันนี้มันเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถควบคุมได้ มันเป็นตัวแปรที่มันหลากหลายมาก ถ้าถามว่าเอาอะไรบางอย่างมาใช้กับเพลงตัวเองได้บ้าง ก็เอามาได้เยอะอยู่ครับ รู้วิธีการทำงานเบื้องหลังมากขึ้น จากที่เราเคยเป็นศิลปินที่รับโจทย์มาแล้วก็ร้อง แล้วก็มีทีมงานช่วยพาเพลงไปสู่ทุกคน แต่พอทุกวันนี้ที่เราพาเพลงไปหาทุกคนด้วยตัวเอง จากการทำงานเบื้องหลังมา มันก็เลยรู้วิธีการมากขึ้น แต่มันไม่ได้มีสูตรตายตัวในการทำงานแน่นอนครับ”
มีโอกาสได้ทำอะไรหลายอย่างมาก ตอนนี้มีความสุขกับพาร์ทไหนมากที่สุด
“จริง ๆ พาร์ทเบื้องหลังเนี่ยแหละ พาร์ทเบื้องหลังเป็นสิ่งที่เราแฮปปี้มากครับ แล้วก็ชื่นชอบงานเบื้องหลังตั้งแต่สมัยยังไม่ทำงานเบื้องหน้าด้วยซ้ำ หมายถึงว่าถ้าย้อนกลับไปตอนเป็น ด.ช.จารุวัฒน์ เนี่ย ก็จะเป็นคนนึงที่เนิร์ดกับการดูงานเบื้องหลัง ชอบอะไรพวกนี้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นพอได้มีโอกาสมาทำงาน มันเริ่มต้นด้วยการทำงานเบื้องหน้าก็จริง แต่ว่าในการทำงานเบื้องหน้านั้น เราก็แอบดูไปเรื่อย ๆ ดูว่าคนเบื้องหลังเขาทำงานยังไงบ้าง โดยที่ไม่ได้คิดหรอกว่าวันนึงเราจะได้มีโอกาสมาจับงานเบื้องหลังแบบจริงจังขนาดนี้ แล้วพอมาจับงานเบื้องหลัง ก็กลายเป็นสิ่งที่เราชอบนะ แล้วก็สนุกมาก การได้เห็นได้อยู่เบื้องหลังของเด็ก ๆ อะ ด้วยวัยนี้ด้วยมั้ง มันน่าจะเป็นวัยที่กำลังพอดีมากกับการได้ทำงานแบบนี้ มันยังคงมีแรง ยังคงมีไฟอยู่ กับการปั้นเด็ก ๆ แล้วก็ได้เติมไฟให้ตัวเอง จากการเห็นไฟของเด็ก ๆ เขาด้วย มันก็เลยกลายเป็นสิ่งที่ทุกวันนี้มีความสุขมาก”
เคยหมดไฟไหม อะไรทำให้ดึงตัวเองกลับมาได้
“ก็มีนะ คำว่าหมดไฟในทีนี้ มันอาจจะเป็นการนึกงานไม่ออก หมดแรงบันดาลใจ หรือรู้สึกว่าทุกวันนี้ไม่ได้แอคทีฟเหมือนเมื่อก่อน แต่ว่าจริง ๆ ความรู้สึกสนุกในการทำงานของผม มันยังมีอยู่เสมอ เพราะฉะนั้นถ้าการหมดไฟหมายถึงการหมดไอเดีย การทำทุกอย่างเป็นรูทีน ทำทุกอย่างซ้ำ ๆ วน ๆ อันนั้นอาจจะมีบ้าง แต่ในมุมของการทำงาน ยังคงกระหายกับการทำงานอยู่เสมอ แล้วก็ยังคงรู้สึกว่าเรามีช่วงเวลาในช่วงนี้แหละที่เราไหว ที่เราทำได้ หลังจากนี้ไปเราอาจจะไม่อยากทำงานแล้วก็ได้ เพราะฉะนั้นในตอนที่เรายังคงแฮปปี้กับมันอยู่ เราก็จะทำให้มันเต็มที่ มันก็เลยเป็นคอนเซ็ปต์ของเราแหละมั้ง ตั้งแต่ผมเข้าวงการมา ไม่ว่าจะเป็นโอกาสไหนก็แล้วแต่ ที่มันเข้ามาในชีวิต ไม่เคยปิดรับเลย อะไรเข้ามาปุ๊บ เอาครับ ทำครับ ได้ครับ ลองดูก่อน แล้วเดี๋ยวทุกงานมันจะมีเมสเสจของมันเอง เดี๋ยวมันจะมีประโยชน์และมีอะไรบางอย่างให้เราได้เรียนรู้เอง ก็เลยคิดแบบนั้นมาเสมอในการทำงานมาตลอด แล้วทุกวันนี้ก็ยังคงคิดแบบนั้นอยู่เรื่อย ๆ นะครับ ไม่ว่าจะเป็นงานไหนก็แล้วแต่ที่เข้ามา”
ถ้าพูดถึง “โดม จารุวัฒน์” อยากให้เป็นภาพจำแบบไหน
“ก็คงเป็นคนที่สนุกสนาน แต่ว่าก็โตขึ้นจากที่เคยรู้จัก คือภาพจำที่คนจำ โดม จารุวัฒน์ ได้ เมื่อสิบกว่าปีที่แล้วจากการประกวดรายการ The Star อาจจะจำเป็นผู้ชายอบอุ่น พูดน้อย ๆ ดูเรียบร้อย ดูจืด ๆ อะไรแบบนี้มั้ง แต่เมื่อเวลาผ่านไป งานที่เราได้ทำมันก็ฉูดฉาดพอสมควร 4 โพดำ หรือว่างานอื่น ๆ เอง มันก็มีความฉูดฉาดในตัวของมัน ก็อาจจะทำให้คนมีความสับสนว่า เอ๊ะ ตกลงเขาเรียบร้อย หรือว่าเขาจะสนุก แต่ถ้าตัวตนจริง ๆ เราก็อยากให้คนรู้สึกว่าเรามีสีสันแหละ สนุกสนาน เพียงแต่ว่า ณ ตอนนี้ เราก็มีภาระหน้าที่ มีการงานที่มันเป็นอีกขั้นนึง มันก็เลยเป็นความรู้สึกที่เราโตขึ้น”
ขอ 1 สิ่งที่ได้เรียนรู้ในช่วงนี้ แล้วอยากแชร์กับทุกคน
“อายุเป็นเรื่องที่เราไม่เคยคิดว่ามันจะ matter แต่มัน matter มาก (หัวเราะ) เราเคยคิดว่า ไม่จริงหรอก การเดินขึ้นภูเขา ขึ้นบันได 4-5 ชั้นเนี่ย เป็นเรื่องที่ปกติมาก ยังไงก็ค่อย ๆ เดินไปสิ หายใจลึก ๆ เดี๋ยวมันก็ไม่เหนื่อย แต่ว่ามันไม่จริง อายุมันน่ากลัวกว่าที่คิดครับ ผมไม่เคยเชื่อเวลาแม่บอกปวดหลัง เราแบบ แม่ยังไม่เห็นได้ทำอะไรเลย ก็บอกแล้วว่าอย่าไปรดน้ำต้นไม้ อย่าไปถูพื้น เดี๋ยวมันก็ปวดหลังไง แต่กลายเป็นว่าเราอยู่เฉย ๆ ก็ปวดหลังแล้ว แล้วเราก็รู้สึกว่า อ๋อ จริง ๆ แล้วมันก็เป็นไปวัยและสังขารของเรา อันนี้เป็นสิ่งที่ได้เรียนรู้ในช่วงนี้ครับ แล้วก็รู้สึกว่าอย่าไปดูถูกอะไรพวกนี้ เพราะเวลามันเกิดขึ้นกับตัวเองแล้วมันจะยาก มันจะรู้สึกว่าไม่น่าไปพูดแบบนั้นเลย ทุกวันนี้ไม่ต้องทำอะไรก็ยืดกล้ามเนื้ออย่างเดียว ไม่ไหวแล้ว เมื่อยไปหมด”
สุดท้าย ฝากผลงานหน่อย ช่วงนี้มีอะไรให้ติดตามกันบ้าง
“ก็มีเพลงนี้แหละครับ ‘เธอไม่ชอบฝน’ ที่เพิ่งปล่อยออกมา แล้วก็คิดว่าเดี๋ยวน่าจะมีเพลงต่อ ๆ ไปให้ได้ฟังกันด้วย ตอนนี้ก็เข้าไปฟังเพลงนี้กันก่อนได้ที่ YouTube Dome Jaruwat Official ครับ แล้วก็มีรายการอยู่ในนั้นด้วย เป็นรายการเพลงที่ผมรู้สึกว่าทำแล้วมีความสุขมาก ๆ เหมือนกัน ก็คือ Missing Voice ที่ชวนคนในวงการบันเทิงวงการเพลงที่ผมคิดถึง อยากฟังเสียงเขา อยากร้องเพลงกับเขา มาร้องเพลงด้วยกัน ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ทำด้วยแพชชั่นมาก ๆ ทำด้วยความคิดถึงมาก ๆ ก็ติดตามกันได้ใน YouTube ช่องเดียวกันครับ แล้วก็ฝากค่าย LIT Entertainment ครับ ก็อยากจะชวนทุกคนมาสนับสนุนวงการ T-Pop แล้วก็เป็นกำลังใจให้กับน้อง ๆ รุ่นใหม่กันครับ หลาย ๆ วงผมก็เลี้ยงมากับมือ ปั้นมาด้วยกัน แล้วก็โตมาด้วยกัน ก็ฝากน้อง ๆ ด้วยแล้วกันครับ”