เดินทางไปกับ Jeff Satur ใน Space Shuttle No.8

Chill Talk

เดินทางไปกับ Jeff Satur ใน Space Shuttle No.8

เรียกได้ว่าฮอตสุด ๆ สำหรับ “Jeff Satur” ศิลปินมากความสามารถ ที่ได้ปล่อยอัลบั้มแรก “Space Shuttle No.8” พร้อมจัดคอนเสิร์ตเอเชียทัวร์ที่ 6 เมืองใหญ่ ไทเป, ฮ่องกง, มะนิลา, จาการ์ตา, สิงคโปร์ และปิดท้ายที่กรุงเทพ เราจึงได้ชวน Jeff Satur มาพูดคุยถึงเรื่องราวการเดินทางครั้งนี้กัน

อัลบั้ม Space Shuttle No.8 มีที่มายังไง

“คือเราอยากจะรวบรวมเพลง ตั้งแต่เพลงแรก Highway จนมาถึงเพลงนี้ โดยที่เนื้อเรื่องของมันจะเชื่อมโยงกันหมด แล้วก็เราจะมีแกนกลางของเรื่องในอัลบั้มนี้อยู่แล้ว ซึ่งจะค่อย ๆ เห็นออกมาเรื่อย ๆ จากการดู MV จากการฟังสัมภาษณ์ จากการไปดูคอนเสิร์ตต่าง ๆ มันก็จะมี element hint เล็ก ๆ ออกมาเรื่อย ๆ จริง ๆ สิ่งที่อยากให้ทำเวลานั่งฟังอัลบั้มนี้ก็คือ เหมือนเรานั่งอยู่บน Space Shuttle หรือว่ากระสวยอวกาศเนี่ยแหละ นั่งคิดแล้วก็ฟัง แล้วก็ตั้งคำถามกับเพลง กับชีวิตตัวเอง รีเลทตัวเอง เหมือน have conversation กับตัวเอง แล้วก็มาดูว่า พอมันไปถึงปลายทางจริง ๆ มันพาเราไปถึงไหน”

อัลบั้มนี้ใช้ระยะเวลาในการทำนานเท่าไหร่

“ประมาณ 2 ปีกว่า ๆ ครับ”

ทำไมถึงใช้ชื่อ Space Shuttle No.8

“เพราะว่าผมรู้สึกวิวที่เราเห็นอยู่ทุกวันอะ เราเคยเห็นแล้วไง Space Shuttle คือการที่เราออกไปเจอสิ่งที่เรายังไม่เคยเห็น การที่ break boundary ว่าทำไมเราจะไม่สามารถไปที่อวกาศได้ล่ะ ในแต่ละสเตชั่นก็จะเป็นภาพวิวที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน ผมก็เลยอยากให้มันเป็นเหมือนการเดินทางไปสู่สิ่งที่เราไม่รู้”

แล้วเลข 8 มีความหมายอะไรด้วยมั้ย

“เลข 8 มันคล้ายสัญลักษณ์ infinity ครับ ผมเชื่อว่าถ้าผมตายไปแล้ว สุดท้ายแล้วผลงานเหล่านี้ มันก็จะยังคงอยู่ต่อไปเป็นนิรันดร์”

เพลง “ซ่อน(ไม่)หา” (Ghost) กระแสตอบรับดีมาก ได้คาดหวังมั้ยว่ากระแสตอบรับจะดีขนาดนี้

“ไม่ได้คาดหวังว่าฟีดแบคมันจะดีขนาดนี้ แล้วก็มีคนชื่นชอบขนาดนี้ การที่ได้เห็นศิลปินหลาย ๆ ท่าน หรือหลาย ๆ คนมาคอมเมนต์ ก็รู้สึกว่าเพลงนี้มันทำงานเนอะ เหมือนได้คุยกับพวกเขา ก็รู้สึกภูมิใจครับ”

ในมุมมองของเจฟที่เป็นคนทำเพลง เราตีความเพลงนี้ว่ายังไง

“ผมรู้สึกว่ามันเป็นเพลงที่เราก็เจ็บปวด แต่เราก็ต้อง let go กับอะไรบางอย่างไป โดยที่ต่อให้เราจะรั้งสิ่งเหล่านั้นไว้ มันก็ไม่ได้ทำให้เรามีความสุขมากกว่าเดิม มันจะยิ่งเจ็บปวดไปอีก มันเหมือนการที่ตัดสิ่งที่มันอยู่ต่อไม่ได้แล้ว ถ้าพูดตามตรงก็คือเหมือนส่วนไหนเน่าแล้วก็ต้องตัดออกไป เพื่อไม่ให้มันลุกลามแล้วก็เจ็บปวดกว่าเดิม คือมันไม่ใช่เพลงรักแน่นอนอยู่แล้ว แต่มันอาจจะเป็นเพลงที่รักตัวเอง อาจจะเป็นเพลงเศร้าในเชิงที่เราต้องเสียใจกับตัวเอง แต่ผมว่ามันก็เป็นเพลงนึงที่จะทำให้เรารักตัวเองมากขึ้น”

มาที่ “ส่วนน้อย” (Yellow Leaf) ทำไมเจฟถึงใช้เพลงนี้เป็นซิงเกิลโปรโมทปิดอัลบั้ม

“ผมรู้สึกว่าแต่ละเพลงที่เราทำมาตลอด มันมีความบู๊ประมาณนึง มีความรุนแรง มีความ aggressive เศร้าบ้าง ลึกบ้าง ก็เลยรู้สึกว่าอยากให้เพลงสุดท้ายของอัลบั้ม เป็นเพลงที่ซอฟต์ เหมือนได้จิบชาอุ่น ๆ ฟังแล้วรู้สึกว่าสบาย”

เจฟออกซิงเกิลที่ 10 ก่อนซิงเกิลที่ 9 ด้วย ตรงนี้มีความหมายอะไรมั้ย

“จริง ๆ ด้วยความที่มันเป็น Space Shuttle No.8 ไงครับ คือจบที่เลข 8 เพราะฉะนั้นการเริ่มสิ่งใหม่ ๆ มันจะเริ่มที่เลข 9 มันคือการสิ้นสุด และเริ่มต้นใหม่ที่เลข 9 แล้วก็เราจะได้เห็นว่า เนื้อเรื่องทั้งหมด เดี๋ยวจะได้รู้อีกทีว่าทำไมมันถึงต้องเป็นแบบนี้”

เรามีเฉลยเรื่องนี้ด้วยใช่มั้ย

“มีเฉลยครับ แต่ว่ายังไม่เฉลยตอนนี้”

เฉลยในคอนหรือเปล่า

“ไม่ใช่ในคอนด้วย ต้องรอติดตามครับ”

อีกหนึ่งเพลงใหม่ในอัลบั้ม “Almost over you” ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยว่าเพลงนี้เกี่ยวกับอะไร

“เพลงนี้เนื้อหาของมันคือการที่เราเกือบลืมเธอได้แล้ว สักวันนึงฉันจะลืมเธอได้จริง ๆ แต่อาจจะยังไม่ใช่ตอนนี้ แล้วก็มันพร่ำพรรณนาความเศร้าที่แบบ เธอไปแล้ว ดอกไม้มันเป็นสิ่งเดียวที่เป็นตัวแทนของเธอ ที่จะทำให้ฉันจำเธอได้ เพราะว่าทุกคนรอบข้างฉันลืมเธอไปหมดแล้ว เขาไม่พูดถึงเธอแล้ว สุดท้ายแล้วความเจ็บปวดของเรา มันก็จะเป็นความเจ็บปวดของเรา คนอื่นไม่ได้มีส่วนร่วมในความเจ็บปวดนี้ เพราะฉะนั้นเขาจะลืมความเจ็บปวดนี้ได้เร็วกว่า แล้วเพลงนี้มันถูกแต่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว คือจริง ๆ ทำ song camp กัน ใช้เวลา 4 ชั่วโมง เมโลดี้และคอร์ดก็เสร็จ แล้วก็ส่งต่อไปให้ทีมเขียนเนื้อที่เป็นทีมต่างประเทศเขียน ส่วนโปรดิวเซอร์ที่ทำเพลงนี้คือคุณ Hyuk Shin เป็นโปรดิวเซอร์ที่ทำเพลงให้ EXO ด้วยครับ”

เพลงสุดท้าย “Saturdayss” เจฟแต่งให้แฟนคลับ แล้วก็ใช้วิธีการอัดที่แตกต่างจากเพลงอื่นด้วย

“ใช่ครับ มันเป็นเพลงที่เหมือนฟังผมเล่นอยู่ในห้องทำงาน ผมกดอัด แล้วผมก็เล่นเลย อยากให้มันเป็นฟีลนั้น”

เจฟใช้เวลาทำนานมั้ยสำหรับเพลงนี้

“จริง ๆ ช่วงแต่งไม่นาน แต่ช่วงอัดจะนานตอนที่หาวิธีว่าโปรแกรมใช้ยังไง ผมไปเช่าห้องอัดที่ตราด เพราะว่าตอนนั้นผมถ่ายหนัง ก็เลยไม่มีเวลากลับมาอัดที่กรุงเทพ แต่ว่าใช้เวลาจริง ๆ อัดแค่ 10 นาทีเอง”

ทำไมถึงเลือกใส่ “Saturdayss” ไว้เป็นแทรคสุดท้ายในอัลบั้ม

“ผมรู้สึกว่ามันเป็นเพลงที่เรียบง่าย honest มาก แล้วก็เป็นเหมือนของขวัญ เหมือนเราผ่านอะไรด้วยกันมาในสเตชั่นต่าง ๆ เราไม่รู้ว่าสเตชั่นสุดท้ายมันจะเป็นยังไง แต่รู้ว่าปลายทางมีคนที่รักเราอยู่ สุดท้ายแล้วเราก็จะรอให้ถึงวันเสาร์อยู่เสมอ”

ถ้าให้เลือกเพลงในอัลบั้มที่ตรงกับชีวิตหรืออารมณ์ของเจฟในตอนนี้มากที่สุด จะเลือกเพลงไหน

“ยากจัง ไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อนเลย จริง ๆ ทุกเพลงมันคือ element ที่ดึงออกไปจากชิ้นส่วนของความทรงจำของผม แล้วก็ออกมาเป็นเพลง เพราะฉะนั้นถ้าถามว่าตอนนี้ความรู้สึกของผมตรงกับอันไหนเหรอ ผมเลือก ‘Saturdayss’ แล้วกัน เพราะผมรู้สึกว่า เราได้ความรักจากคุณวันเสาร์เยอะ รู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่ comfort เราเสมอ ไม่ว่าเราจะอยู่ในสถานการณ์ไหน แล้วก็เป็นแรงใจในการทำงาน ที่เราตื่นมาเดินสายสื่อ 4 วัน โดยที่เรารู้สึกว่ายังไหวอยู่ เพราะเรารู้ว่าพวกเขาเหล่านั้นกำลังรอชมสิ่งเหล่านี้อยู่ แล้วก็เขาให้กำลังใจเราเสมอ”

เพิ่งเปิดเอเชียทัวร์มา ไทเป และฮ่องกง เจฟร้องเพลงเวอร์ชั่นภาษาไทยเนอะ เขาร้องตามกันได้มั้ย

“ผมร้องเวอร์ชั่นไทยครับ เขาร้องตามได้ทุกเพลงเลย ประทับใจนะ เพราะเราก็ไม่คิดว่าเราออกเพลงมาเป็นภาษาไทยทุกเพลง แล้วเขาจะร้องตามได้ เพราะมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่าย ๆ ที่เขาต้องฝึกร้องได้ทุกคำขนาดนี้ แล้วก็ร้องเสียงดังด้วย ผมรู้สึกประทับใจมาก ๆ แล้วก็มันเติมฟีลในตัวเรามาก”

ช่วงเบเนฟิตมีได้พูดคุยกันด้วย รู้สึกยังไงที่ได้คุยกับคุณวันเสาร์ต่างชาติที่เขาอาจจะไม่ได้เจอเราบ่อย ๆ

“เรารู้สึกว่ามันไม่ใช่แค่เรื่องของการได้เจอกัน มันคือการได้คุยกันจริง ๆ แล้วโมเมนต์มันเป็นของเราจริง ๆ ผมมีความสุขมาก มันไม่เหนื่อยเลย มันแบบว่าหลายคนมากที่ต่อคิว แต่พอทำเสร็จผมรู้สึกไม่เหนื่อยเลยนะ มันเหมือนเป็นการเติมพลังให้กัน เขาอยากพูดอะไร เขาอยากคุยอะไรกับเรา เมสเสจมันมีแค่ 8 วินาที มันมีคุณค่ามาก ๆ ทั้งกับผมและกับเขา”

เห็นเจฟเต้นด้วย แล้ว Space Shuttle No.8 Asia Tour in Bangkok จะเต้นด้วยมั้ย

“จะเป็นเซิ้งแทนครับ ไม่เต้น แต่จะเป็นเซิ้ง หมอลำแทน”

พูดแบบนี้คนเขาคาดหวังนะ

“(หัวเราะ) ก็อาจจะมี ครับผม ต้องรอดูว่าเป็นยังไง”

เกสต์สำหรับคอนเสิร์ตนี้ล่ะ มีวางไว้หรือยังว่ากี่คน

“มี 2 ศิลปินครับ ยังไม่บอกว่าเป็นใคร แต่เป็นคนที่ทุกคนรู้จักแน่นอน”

อีกบทบาทที่เจฟทำอยู่ คือเป็นเมนเทอร์รายการ Chuang Asia เป็นยังไงบ้างกับการถ่ายทำรายการนี้

“ก็หนักหน่วงนะครับผม เพราะว่าจริง ๆ แล้วการที่เราได้มาอยู่ตรงนี้ คือเราต้องเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากสิ่งต่าง ๆ ที่ทำมา การไกด์น้อง ๆ เราก็ต้องระวังมาก ๆ ตรงที่ว่าคำพูดของเรามันมีความหมายมากสำหรับน้อง ๆ เพราะฉะนั้นการที่เราจะพูดอะไรออกไปสักอย่าง เราต้องคิดมาดี ๆ แล้ว แล้วก็ไม่ใช่ว่าทำให้เขารู้สึกหมดไฟในการทำงาน แต่ทำให้เขาพัฒนาขึ้นไป โดยที่เขาไม่ได้รู้สึกว่าสิ่งที่เขาทำมันผิดหรืออะไร เพราะสุดท้ายแล้วอาร์ตมันไม่มีสิ่งที่ผิด มันแค่ว่า ถ้าในสกิลเบสิคที่แบบ เต้นต้องล็อคท่านี้ อะไรแบบนี้มันโอเค ในวันนึงที่เราทำสิ่งนั้นได้แล้ว เราจะสามารถ expand ไปยังสิ่งต่าง ๆ ได้ คาแรคเตอร์ของน้อง ๆ ที่มีมาอยู่แล้ว อยากให้มันกรูมไปในแนวทางไหน เราต้องคิดตลอดเวลา แต่ความสนุกมันคือการได้ทำสิ่งนี้แหละ เพราะผมรู้สึกว่าการได้ไกด์น้อง ๆ ได้เอาประสบการณ์ทั้งหมดมาใช้ มันเป็นอะไรที่เราอยากทำให้กับใครสักคนนึง แล้วการได้มา explore ในสิ่งนั้น มันเป็นเรื่องที่ดี”

เจฟคิดว่าตัวเองเป็นเมนเทอร์สายไหน ดุมั้ย

“ผมไม่ได้ดุนะ เป็นเมนเทอร์สายชิล เป็นคนที่น้อง ๆ จะสามารถ โย่วเจฟ วอทซัพเจฟ อะไรแบบนี้ได้ ชิล เพราะผมมีความเชื่อว่างานศิลปะ มันจะเกิดมาจากการที่เรา relax อะครับ ในอีพีแรกผมอาจจะดูเคร่งนิดนึง เพราะว่ามันเป็นการที่เราต้องตั้งสมาธิมาก ๆ กับการดูน้อง ๆ ร้องเพลง ถ้าเราพูดอะไรออกไปโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจมากพอ ผมรู้สึกว่ามันเป็นการทรยศต่อความตั้งใจของน้อง ๆ”

เจฟทำอะไรหลายอย่างมากเลย แบ่งเวลายังไง

“ก็ไม่แบ่งนะฮะ (หัวเราะ) จริง ๆ ผมรู้สึกว่าสำคัญที่สุด คือเวลาพักผ่อน ผมควรจะพักยังไงให้มีคุณภาพ ก็คือการนอน การได้ดูอะไร ผมก็ใช้เวลาว่าง ๆ ในการทำสิ่งนั้น แต่ไม่ได้รู้สึกว่ามันเหนื่อยขนาดที่ทนไม่ไหว มันเป็นอะไรที่สนุกในทุกแง่มุม พอทำอะไรที่แตกต่างกัน อย่างเช่น สัมภาษณ์ ถ่ายแบบ โอเค มันก็เป็นสิ่งที่ต่างกัน มันก็รู้สึกว่าสนุกดี”

มีอะไรที่เจฟอยากทำ แล้วยังไม่ได้ทำอีกมั้ย

“ผมอยากทำซีรีส์ของตัวเอง ซึ่งก็คิดว่าก็คงได้ทำครับ”

พูดแบบนี้แสดงว่ามีแพลนไว้บ้างแล้ว

“คิดไว้แล้วครับ”

เจฟเคยบอกไว้ว่าอยากเขียนหนังสือ พาร์ทนี้มีความเป็นไปได้แค่ไหน

“อันนั้นก็มีแน่นอนครับ แล้วก็กลับมาที่คำถามเดิมว่า แล้วแบ่งเวลายังไง ก็ไม่แบ่งครับ (หัวเราะ)”

เจฟได้มองภาพในเส้นทางสายดนตรีไว้มั้ย ว่าเราอยากไปถึงจุดไหนในฐานะศิลปิน

“ความฝันของผมคือการได้เล่นเวิลด์ทัวร์ ไปเจอแฟน ๆ ในทุก ๆ เมือง ทุก ๆ ประเทศ ผมมองว่าถ้าได้ทำสิ่งนั้น มันก็จะเป็น achievement นึง แต่ถามว่ามองไปถึงตรงไหนมั้ย ผมว่าผมยังสนุกกับการลุ้นว่าพรุ่งนี้ผมจะทำอะไร หรือว่าพรุ่งนี้มันจะมีอะไรเกิดขึ้นอีก เพราะว่าจากที่เคยวางแพลนมาแล้วเนี่ย ทุกอย่างมันผิดไปหมดเลย มันคนละแบบ ผมก็เลยรู้สึกว่า งั้นก็ไม่ต้องวางหรอก ก็ทำเต็มที่ในทุก ๆ อย่างที่ทำ แล้วก็รอดูว่ามันจะพาเราไปไหน”

ถ้าให้พูดอะไรถึงเจฟในอดีต วันแรกที่เราเริ่มเข้ามาเป็นศิลปิน จะพูดอะไรกับเขา

“ไม่บอกอะไรฮะ เพราะว่าที่เขาทำมา มันก็ดีมากแล้ว”

แล้วถ้าให้พูดถึงเจฟในอนาคตล่ะ

“ก็ไม่บอกอะไรเหมือนกัน เพราะผมเชื่อว่าเขาจะเป็นคนที่คิดอะไรได้ด้วยตัวเองอยู่แล้วครับ เขาคงไม่ต้องการคำพูดจากผม”

ฝากผลงานหน่อย ช่วงนี้เจฟทำอะไรอยู่บ้าง

“ช่วงนี้ก็จะมีหนัง GDH ครับ ช่วงประมาณกลาง ๆ ปี มี Space Shuttle No.8 ที่เป็นทั้งอัลบั้มแล้วก็คอนเสิร์ต ยังซื้อบัตรรอบวันอาทิตย์ที่ 21 เมษายน 2567 ได้นะครับ ที่ Thai Ticket Major แล้วก็รายการ Chuang Asia ที่ผมเป็นเมนเทอร์ในเรื่องของโวคอล แล้วก็จะมีโปรเจคพิเศษค่อย ๆ ตามมา จะค่อย ๆ ปล่อยมาเรื่อย ๆ แต่ว่าตลอดปีนี้ยาว ๆ แน่นอนครับ”

อยากให้เจฟพูดอะไรถึงคุณวันเสาร์หน่อย

“การที่ได้มาเจอกันในช่วงเวลานี้ ไม่ว่าจะเพิ่งมาเจอกัน หรือเจอกันมานานแล้ว ก็อยากให้ทุกคนมีความสุข ไม่ต้องรู้สึกกดดันว่าเป็นแฟนคลับที่ดีต้องเป็นยังไง เป็นแฟนคลับที่ไม่ดีคืออะไร แค่รู้สึกว่าการที่เราได้รู้จักกัน ติดตามผลงาน ได้ร่วมเดินทางครั้งนี้ไปด้วยกัน ผมก็รู้สึกมีความสุขมากแล้ว เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นยังไง ผมก็หวังว่าทุกคนจะมีความสุขในการเดินทางครั้งนี้ เพราะว่าผมมีความสุขจริง ๆ ที่ได้เจอ แล้วก็ได้เดินทางร่วมกับทุกคน มันมีความหมายมาก แล้วก็ขอให้ทุกคนมีความสุข ไม่ว่าจะอยู่ตรงนี้ หรือไม่อยู่ตรงนี้ก็ตาม”

คุณวันเสาร์เขาจะชอบเจฟในหลาย ๆ โพ เรามีชอบโพไหนเป็นพิเศษมั้ย

“ผมไม่มีนะ แล้วแต่เขาแล้วกัน เขาอยากจะเลือกเป็นสถานะอะไรก็เลือกไปเถอะ เพราะทุกคนเป็นคนรักของผม”

you may also like

album

0
0.8
1