คุยกับ “PUIMEKSTER” ให้หายคิดถึง ถึงซิงเกิลใหม่ “ไม่อยากคิดถึงเธออีกแล้ว (Pause)”

Chill Talk

คุยกับ “PUIMEKSTER” ให้หายคิดถึง ถึงซิงเกิลใหม่ “ไม่อยากคิดถึงเธออีกแล้ว (Pause)”

ไม่ต้องทนคิดถึงอีกแล้ว เพราะ “PUIMEKSTER” หรือ ปุยเมฆ-นภสร วีระยุทธวิไล กลับมาแล้ว ในฐานะศิลปินเดี่ยว ภายใต้สังกัด LOVEiS ENTERTAINMENT พร้อมซิงเกิลเอาใจคนอยากมูฟออน “ไม่อยากคิดถึงเธออีกแล้ว (Pause)” วันนี้เราจึงได้ชวนปุยเมฆมาพูดคุยกันให้หายคิดถึง ถึงซิงเกิลแรกในบทบาทของศิลปินเดี่ยวเต็มตัวกัน

 

ช่วยเล่าคอนเสปของเพลง “ไม่อยากคิดถึงเธออีกแล้ว” ให้เราฟังหน่อย

“เพลงไม่อยากคิดถึงเธออีกแล้ว เป็นเพลงที่บอกเล่าความสัมพันธ์ ณ ช่วงเวลาหนึ่ง ที่เราไม่สามารถออกมาจากวังวนของความคิดถึงได้ บางทีคำว่า ไม่อยากคิดถึงแกแล้วว่ะ มันพูดง่าย แต่มันทำยาก บางทีเราตื่นเช้ามาก็คิดถึงเขา มองนู่นมองนี่ก็คิดถึงเขา แล้วบางทีความสัมพันธ์นั้นมันอาจจะไม่สามารถไปต่อได้ เราก็เลยรู้สึกว่าเพลงนี้อาจจะเป็นตัวแทนของคนที่ไม่สามารถออกมาจากวังวนอะไรแบบนี้ได้”

เพลงนี้ภาษาอังกฤษชื่อ Pause ทำไมเลือกเป็นคำนี้ ตั้งเองด้วยมั้ย

“ตั้งเองค่ะ จริง ๆ อารมณ์มันประมาณว่า ไม่อยากคิดถึงแกอีกแล้วว่ะ Pause สิ่งนี้ไว้ได้มั้ย มันเป็นคำที่บอกจบในคำเดียว เป็นความรู้สึกที่เราอยากหยุดสิ่งนี้ หยุดความรู้สึกที่มีต่อคนนี้ไว้ก่อน ไม่อยากให้ความคิดถึงของเรามันทำงานต่อไปอีกแล้ว เพราะทุกครั้งที่คิดถึงเขา เราก็ไม่สามารถมีเขาอยู่ในชีวิตได้”

ปุยเมฆมีส่วนร่วมในการทำงานพาร์ทไหนบ้าง

“เพลงนี้ร่วมกันเขียนกับพี่โด้ Slapkiss ค่ะ ตอนนั่งเขียนเพลงก็เหมือนมาช่วยกันตบว่าตรงนี้จะเล่ายังไงดี ปรับตรงนี้มั้ย แต่ว่าส่วนใหญ่จะเป็นพี่โด้ขึ้นโครงมาให้ แล้วเราก็มานั่งตบ ๆ กันว่าประโยคนี้ เราว่าเปลี่ยนตรงนี้นิดหน่อย ให้มันดูรีเลทกับเรามากขึ้น เข้าปากเรามากขึ้น”

เคยเจอสถานการณ์แบบในเพลงมั้ย แล้วจัดการกับมันยังไง

“เคยเจอค่ะ จริง ๆ เพลงนี้ก็ค่อนข้างเขียนมาจากเรื่องราวของตัวเรา จัดการกับมันยังไงเหรอ ตอนนั้นก็ออกไปกินข้าวกับเพื่อน ใช้ชีวิตอยู่กับเพื่อน พยายามไม่เข้าไปส่องเขา เพื่อให้ตัวเราไม่ไปโฟกัสเขา แต่สุดท้ายแล้วตัวเราก็ยังกลับไปคิดถึงเขาเหมือนเดิม มันเป็นวังวนอยู่แบบนี้ช่วงเวลาหนึ่งเลย นานเป็นปี แต่สุดท้ายแล้วก็ออกมาได้ค่ะ ณ วันนั้นมันอาจจะดูเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเรา เราไม่สามารถลืมได้ แต่พอมองย้อนกลับไป ก็รู้สึกว่าดีแล้วที่ผ่านมันมาได้”

จุดที่ทำให้ตัดสินใจเดินออกมาเลยคืออะไร

“น่าจะเป็นจุดที่เรารู้สึกว่า มันเหมือนภาพวิดีโอซ้ำ ๆ เราคุยกับเขาจนเรารู้สึกว่า นี่เราเป็นอะไรกันนะ แต่เขากลับบอกว่า อยู่แบบนี้ต่อไปก็ดีแล้วนี่นา มันไม่สามารถที่จะไปต่อในการมีสถานะที่ชัดเจนได้ เราก็เลยรู้สึกว่าหยุดไว้ดีกว่า เพราะเวลาเราคบใคร ก็อยากจะจริงจัง อยากจะไปต่อในฐานะคนรัก ไม่ได้อยากคบเล่น ๆ เราก็เลยรู้สึกว่าต้องไปต่อแล้ว แต่ถามว่ามันเดินออกมาได้ซะทีเดียวมั้ย มันก็เดินออกมาไม่ได้ซะทีเดียว ความคิดถึงมันก็ยังทำงานอยู่เรื่อย ๆ สุดท้ายเวลามันถึงช่วยฮีลไปเอง”

เพลงนี้ได้คอปเตอร์มาเป็นพระเอก MV เป็นการร่วมงานกันครั้งแรกมั้ย

“ใช่ค่ะ จริง ๆ เคยเจอกันตามงานอีเวนต์ เคยเจอหน้ากัน ทักทาย แต่ไม่เคยได้ร่วมงานกัน สำหรับเพลงนี้ก็เป็นครั้งแรกที่ได้ร่วมงานกันแบบจริง ๆ”

บรรยากาศในการถ่าย MV เป็นยังไงบ้าง

“สนุกดีค่ะ ชิล คอปเตอร์เขาก็ค่อนข้างรับส่งอารมณ์ได้ดี แล้วเราเองก็รู้สึกว่า เราเกิดมาจากการเป็นนักแสดงเนอะ ก็เป็นงานที่ถนัดอยู่แล้ว ก็เลยค่อนข้างสนุกค่ะ ออกกองวันนั้นตั้งแต่หกโมงเช้า จนถึงสองสามทุ่มเลย แต่เป็นทั้งวันที่เอ็นจอยค่ะ”

มีอะไรที่รู้สึกว่าเซอร์ไพรส์มั้ย คิดไว้ว่าเขาเป็นแบบนี้ แต่พอเจอแล้วไม่เหมือนที่คิดไว้

“เขาดูเป็นเด็กน้อยกว่าที่คิดไว้ค่ะ (หัวเราะ) ตอนแรกเห็นคอปเตอร์ตามโซเชียลมีเดีย เขาจะดูนิ่ง ๆ คูล ๆ แต่พอรู้จักจริง ๆ คอปเตอร์เขาก็มีความตลกเหมือนกัน เพราะอายุใกล้ ๆ กันด้วย ก็เลยคุยกันได้ง่าย”

ในมุมมองของปุยเมฆ คิดว่าบทบาทของการเป็นศิลปินเดี่ยวเต็มตัว ยากกว่าการเป็นนักแสดงมั้ย

“ยากกว่าการเป็นนักแสดงค่ะ พอมาเป็นศิลปินจริง ๆ ต้องมีการร้องเพลง ทำ performance มากขึ้น ก็ต้องฝึกใหม่พอสมควร เพราะมายเซตเราก็มองว่า เราเป็นศิลปินใหม่ ในวงการใหม่ ก็จะค่อย ๆ ปรับตัว ค่อย ๆ ฝึกฝนให้ตัวเองมีสกิลมากขึ้น ก็มีการเรียนเพิ่มเยอะอยู่เหมือนกัน แล้วก็ฝึกต่อไปเรื่อย ๆ ฝึกทุกวันค่ะ ออกซิงเกิลแล้วก็ยังฝึกอยู่”

ช่วงนี้งานยุ่งมั้ย ยังทำงานเป็นหมออยู่ด้วยหรือเปล่า

“ก็ยังทำงานหมออยู่ด้วย แล้วก็ทำงานเพลงด้วย แล้วก็มีงานอินฟลูเอนเซอร์อื่น ๆ ด้วย ค่อนข้างหัวหมุนพอสมควร แต่รู้สึกว่าสนุกดีค่ะ เพราะว่าแต่ละวันเราก็มีบทบาทเยอะ ได้ทำอะไรหลาย ๆ อย่าง ได้เจอคนหลาย ๆ แบบ ได้เห็นว่างานแบบนี้เป็นประมาณนี้นะ ทำให้ต้องชาเลนจ์ตัวเองในแต่ละวัน ว่าต้องทำทุกอย่างออกมาให้ดีที่สุด ตอนนี้ก็ค่อนข้างสนุกกับชีวิตพอสมควรเลยค่ะ”

ทำงานหลายบทบาทแบบนี้ ปุยเมฆแบ่งเวลายังไง

“ช่วงกลางวันวันไหนที่ไม่ได้มีงานก็จะอยู่คลินิก ส่วนตอนกลางคืนก็จะไปทำเพลงค่ะ ส่วนใหญ่ก็จะประมาณนี้”

แนวเพลงไหนที่รู้สึกว่าเป็นตัวตนของปุยเมฆ

“ก็น่าจะเป็นเพลงป็อปเนี่ยแหละค่ะ จริง ๆ แล้วเราก็ร้องได้ทั้งป็อปเศร้า และป็อปสดใสเลย แต่ว่าซิงเกิลนี้ก็ขอแตะเรื่องเศร้าดูก่อน เพราะว่าเรามีเรื่องราวที่อยากถ่ายทอดในจุดนี้อยู่”

มีเพลงอื่น ๆ ที่แต่งเก็บไว้เยอะมั้ย

“ก็จริง ๆ มีประมาณหนึ่งเลยค่ะ มีหลากหลายแนว ช่วงนี้ก็มีประชุมกับทางทีมเพลงเยอะอยู่ ว่าไดเรกชันเราจะไปทางประมาณไหน ซิงเกิลหน้าจะยังไงต่อดี”

พูดอะไรถึงแฟน ๆ ที่ติดตามปุยเมฆอยู่หน่อย

“ขอบคุณทุกคนมาก ๆ ที่ยังอยู่ด้วยกันมา จริง ๆ เราอยู่ในวงการมา ปีนี้ก็เข้าปีที่ 8 แล้วค่ะ ก็ค่อนข้างนานพอสมควร รู้สึกดีใจมาก ๆ ที่ทุกวันนี้ทำผลงานออกมา ก็ยังมีแฟนคลับคอยซัพพอร์ตเราอยู่ อยากขอบคุณมาก ๆ จริง ๆ ที่ยังอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่วันแรกที่เรายังร้องเพลงไม่เก่งเลย มาจนถึงทุกวันนี้ที่เรามีโอกาสได้ทำเพลง มีโอกาสได้มาเป็นศิลปินในแบบที่เราชอบ แล้วทุกคนก็ยังอยู่ รู้สึกขอบคุณมาก ๆ ที่ยังไม่ไปไหน แล้วก็อยากให้เป็นกำลังใจให้ปุยเมฆในผลงานต่อ ๆ ไปด้วย สัญญาว่าจะเก่งขึ้นในทุก ๆ วัน ไม่ทำให้ทุกคนผิดหวังค่ะ”

ฝากอะไรถึงคนที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์แบบในเพลงหน่อย

“สำหรับใครที่กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ ไม่อยากคิดถึงเธออีกแล้ว ไม่สามารถออกมาจากความสัมพันธ์ที่เป็นวังวนได้ ก็สู้ ๆ นะคะ ใช้ชีวิตอยู่กับคนรอบข้างเยอะ ๆ พยายามไม่ไปส่องเขา พยายามเอาตัวเองออกมาจากเขาให้ได้ แต่ว่าถ้าเอาตัวเองออกมาไม่ได้ ก็ให้ฟังเพลง ไม่อยากคิดถึงเธออีกแล้ว ได้ค่ะ”

you may also like

album

0
0.8
1