[Review] Thanksgiving สาแก่ใจคอหนังไล่เชือด ฆาตกรโรคจิตกับคืนวันขอบคุณพระเจ้า

HOLLYWOOD GOSSIP

[Review] Thanksgiving สาแก่ใจคอหนังไล่เชือด ฆาตกรโรคจิตกับคืนวันขอบคุณพระเจ้า

30 พ.ย. 2023

จะเกิดอะไรขึ้น? ถ้าการลดราคาครั้งใหญ่ Black Friday ในช่วงเทศกาลขอบคุณพระเจ้า กลายเป็นคืนแห่งเลือดในห้างสรรพสินค้าห้างหนึ่ง นี่คือไอเดียตั้งต้นของ Thanksgiving หนังสยองขวัญแนวเชือด ที่เป็นการกลับมาสู่หนังแนวนี้อีกครั้งของผู้กำกับ อีไล รอธ หลังแจ้งเกิดจากหนังสยองขวัญสายโหดอย่าง Cabin Fever และ Hostel แล้วก็วนไปกำกับหนังแนวอื่น ซึ่งเดิมทีไอเดียของ Thanksgiving เริ่มจากการทำตัวอย่างหนังปลอม ๆ ไปใส่ไว้ในหนังชื่อ Grindhouse (2007) จนต่อมา อีไล ได้พัฒนาบทหนัง จนกลายมาเป็นหนังใหญ่ในที่สุด ซึ่งหนังจากเขาเบนเข็มไปกำกับทั้งหนังแอ็กชัน หนังแฟนตาซี และหนังไซไฟ ก็ได้ฤกษ์ที่เขาจะกลับมาทำหนังที่แจ้งเกิดเขาอีกครั้งเสียที

Thanksgiving เล่าเรื่องราวความสยองในคืนวันเทศกาลขอบคุณพระเจ้า เมื่อเกิดความโกลาหลขึ้นในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ที่ผู้คนพากันเหยียบกันตาย เพราะแย่งกันซื้อของลดราคา กลายเป็นฝันร้ายของเมืองพลีมัธนับจากนั้น แม้ผู้คนจะกลับไปใช้ชีวิตตามปกติ แต่เมื่อ 1 ปีผ่านไป ฝันร้ายก็ย้อนกลับมาอีกครั้ง เมื่อมีฆาตกรโรคจิตใส่หน้ากาก แต่งตัวเป็นผู้ก่อตั้งเมือง ออกมาไล่เชือดประชาชน ซึ่งทุกคนล้วนแต่เกี่ยวข้องกับเหตุโศกนาฏกรรมเมื่อปีก่อน โดยเป้าหลักคือ เจสสิก้า หญิงสาวที่พ่อของเธอเป็นเจ้าของห้างที่เกิดเหตุร้าย แถมเธอยังอยู่ในเหตุการณ์คืนวันนั้น จึงกลายเป็นหน้าที่ของ เอริค (รับบทโดย แพทริค เดมพ์ซีย์ จาก Grey's Anatomy) นายอำเภอของเมืองที่จะต้องจัดการคนร้าย ก่อนที่เทศกาลแห่งการเฉลิมฉลอง จะกลายเป็นคืนสยองอีกครั้ง!

ใครที่เป็นแฟนหนังแนวนี้ Thanksgiving คือหนังที่น่าจะสาแก่ใจคอหนังไล่เชือดอยู่ไม่น้อย โดยรวมนี่คือหนังที่ค่อนข้างเดินตามรอยหนังแนวเดียวกันที่ฮิตในช่วงปลายยุค 90s ไล่ตั้งแต่ Scream, I Know What You Did Last Summer ไปจนถึงUrban Legend เรื่องราวของวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งที่ต้องเผชิญกับฆาตกรโรคจิตในหน้ากากปริศนาที่คอยตามไล่ฆ่า กับเหตุฝันร้ายในอดีตที่ตามหลอกหลอนพวกเขา โดยเหตุการณ์มักจะเกิดขึ้นในเมืองเล็กๆเมืองนึง และฆาตกรก็มักจะเป็นตัวละครสักตัว โดยจะเฉลยปมเหตุการฆ่าในตอนท้าย สำหรับ Thanksgiving แล้ว มาในสูตรแบบเดียวกันนี้เลย แต่ทำออกมาได้อย่างสนุก มีองค์ประกอบต่าง ๆ ที่ใส่มาอย่างน่าพอใจ ซึ่งปัจจุบันผู้ชมอาจจะไม่ค่อยได้เห็นหนังแนวนี้มากนัก เหมือน Thanksgivingสร้างมาให้หายคิดถึงกึ่ง ๆ Tribute ให้ด้วยซ้ำ

Thanksgiving คือหนังที่สามารถนิยามได้ว่า “ฆ่ากันแบบเถิดเทิง” เพราะหนังมีองค์ประกอบที่ทำถึงมาก ๆ ในสองส่วน พาร์ทแรกคือความโหด ที่ Thanksgiving จัดเต็มความโหดแบบไม่ยั้ง ไม่ให้เสียชื่อ อีไล รอธ หลังจากหนังสยองหลายเรื่องกลัวไม่ได้ผู้ชมกลุ่มอายุน้อย เลยโหดแบบเบาๆเพื่อให้ได้เรต PG-13 แต่หนังเรื่องนี้ มุ่งหน้าสู่เรต R แบบไม่กลัว ทำให้ฉากฆ่า ฉากเชือด จัดเต็มทั้งเลือดและฉากอวัยวะขาดแบบสะใจคอหนังเชือด และอีกพาร์ทที่หนังทำได้ดีคือ อารมณ์ขัน หนังเต็มไปด้วยอารมณ์ตลกร้าย จนหลายครั้งตัวหนังเองก็เกือบจะเป็นหนังล้อเลียน Parody หนังแนวไล่เชือดอยู่ไม่กัน โดยเฉพาะพวกฉากฆ่าต่าง ๆ มีดีไซน์ที่เต็มไปด้วยอารมณ์ขัน ทำให้หนังยิ่งสนุกมากขึ้น

สรุปแล้ว Thanksgiving คือหนังประเภท Teen-Slasher ที่แม้จะเดินตามสูตร แต่ก็ทำออกมาได้อย่างสนุกสนาน มีองค์ประกอบทั้งความโหดและอารมณ์ขันแบบจัดเต็ม เป็นความโหดที่บันเทิงใช้ได้เลย และสำหรับแฟนของ แพทริค เด็มพ์ซีย์ ก็ถือว่าค่อนข้างแปลกตา ที่เขามารับบทนำในหนังแนวนี้ หลังติดภาพเขาเป็นผู้ชายในฝันเจ้าสำอาง บทบาทนี้ก็ดูสดใหม่ดีสำหรับเขาอยู่เหมือนกัน ใครที่คิดถึงหนังไล่เชือดที่เต็มไปด้วยความเถิดเทิง ไม่ต้องเนี้ยบมาก ไม่ต้องฉลาดมาก เรื่องนี้คือตัวเลือกที่น่าสนใจ

Thanksgiving คืนเดือดเชือดขาช็อป / เข้าฉาย 5 ธันวาคมนี้


related HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] Jurassic World Dominion บทสรุปจูราสสิคที่โคตรลุ้นและจัดเต็มทีมนักแสดง | GOSSIP GUN

08 มิ.ย. 2022

[REVIEW] Jurassic World Dominion บทสรุปจูราสสิคที่โคตรลุ้นและจัดเต็มทีมนักแสดง | GOSSIP GUN

เดินทางมาถึงภาคที่6แล้วสำหรับหนังไดโนเสาร์ในตำนานอย่างJurassic Parkซึ่งภาคใหม่นี้อย่างJurassic World : Dominionถือเป็นการปิดไตรภาคสำหรับหนังชุดเวิร์ลด้วย หลังจากที่กลับมาชุบชีวิตให้แฟรนไชส์จูราสสิคกลับมาโลดแล่นบนจอหนังอีกครั้ง สำหรับหนังภาคนี้ ได้ โควิน ทราเวอโรว์ ผู้กำกับจากภาคดังกล่าว กลับมาทำหน้าที่อีกครั้ง ซึ่งไฮไลต์สำหรับภาคนี้ ซึ่งอาจจะเรียกว่าเป็นJurassic All Starก็ว่าได้ คือการกลับมาของ3นักแสดงนำต้นฉบับ คือ แซม นีลล์,ลอร่า เดิร์น และ เจฟฟ์ โกลด์บลัม แม้บางคนจะกลับมาโผล่ในภาคต่อบ้าง แต่ไม่เคยมาครบทีมเลย ดังนั้นนี่คือครั้งแรกในรอบ29ปี ที่พวกเขารวมตัวกัน และได้มาผนึกกำลังกับสองคนนักแสดงนำในหนังชุดใหม่อย่าง คริส แพรตต์ และไบรซ ดัลลัส ฮาเวิร์ด!เรื่องราวในหนังภาคนี้ เกิดขึ้นหลังจากภาคFallen Kingdomเมื่อโลกกลายเป็นแหล่งที่อยู่ที่ผสมผสานกันของ มนุษย์ และไดโนเสาร์ พวกมันกระจายอยู่ทั่วโลก ทั้งในป่า ไม่เว้นแม้แต่ในเมือง แต่การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ย่อมส่งผลร้ายต่อระบบนิเวศน์ และที่สำคัญส่งผลเสียต่อมนุษย์ เมื่อพวกเราไม่ใช่นักล่าระดับบนสุดอีกต่อไป!ในภาคนี้ โอเว่นและแคลร์(รับบทโดย คริส แพรตต์ และไบรซ ดัลลัส ฮาเวิร์ด)ต้องออกช่วยเหลือ เมซี่ ลูกเลี้ยงของพวกเขาที่ถูกองค์กรร้ายที่บังหน้าด้วยสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์จับตัวไป ในขณะเดียวกับโลกก็กำลังเผชิญกับเหตุแมลงยักษ์ทำลายพืชผักของชาวไร่ จึงเป็นหน้าที่ของ ดร.อลัน และดร.เอลลี่(รับบทโดย แซม นีลล์ และลอร่า เดิร์น)ที่ต้องสืบที่มา และพวกเขาเชื่อว่า มันเกี่ยวข้องกับองค์กรนี้เช่นเดียวกัน!ใครที่เป็นแฟนของหนังชุดJurassic ParkและJurassic Worldยังไงก็ไม่ควรพลาดอยู่แล้ว เพราะนอกจากจะเป็นภาคบทสรุปเรื่องราวทั้งหมด ยังเป็นครั้งแรกที่รวมนักแสดงในแฟรนไชส์ไว้ได้เยอะขนาดนี้ ซึ่งทำให้หนังได้บรรยากาศเก่าๆกลับมาเยอะพอสมควร ยิ่งแฟนๆที่โตมากับหนังภาคแรกอย่างJurassic Parkการกลับมาเจอ3นักแสดงทีมออริจินัล เหมือนการได้กลับมาเจอเพื่อนเก่าในงานรียูเนียน และพวกเขาทั้ง3ก็ยังคงมีเคมีบนจอที่ดี และเข้ากับทีมนักแสดงชุดเวิร์ล อย่างทั้ง คริส แพรตต์ และ ไบรซ์ ดัลลัส ฮาเวิร์ด อีกด้วยจุดเด่นมากๆของJurassic World Dominionคือฉากแอ็กชัน หลังจากหนังใช้เวลาปูเรื่องในองก์แรกนานพอสมควร เมื่อเริ่มเข้าสู่โหมดแอ็กชันไล่ล่าแล้ว ก็สนุกแบบหยุดไม่ได้เลย ให้อารมณ์เหมือนขึ้นเครื่องเล่นในสวนสนุก ที่พอมันเริ่มแล้วก็ลุ้นตื่นเต้นกันแบบนันสต็อป เริ่มตั้งแต่ฉากไล่ล่าในมอลต้า ยาวไปจนถึงฉากต่างๆในป่าขนาดใหญ่ ที่ได้ฟีลเหมือนหนังJurassicภาคก่อนๆ ความน่าสนใจคือ ภาคนี้ เราจะได้เห็นฉากแอ็กชันระหว่างคนกับไดโนเสาร์ ในสภาพแวดล้อมที่หลากหลายสุดเท่าที่หนังเคยมีมา เริ่มตั้งแต่ใจกลางเมือง ไปจนถึงในห้องทดลอง กลางป่า บนฟ้า หรือแม้แต่บนพื้นน้ำแข็งที่หนาวเหน็บ ซึ่งแต่ละฉากทำออกมาได้ลุ้นจิกเบาะมาก แม้ว่าดูเหมือนหนังจะได้แรงบันดาลใจมาจากหนังแอ็กชันที่หลากหลายทั้ง หลายครั้งที่รู้สึกเหมือนดูFast Furious, Jason Bourne, James Bondหรือแม้แต่Mission: Impossibleอยู่ปัญหาใหญ่ๆของJurassic World Dominionคือพล็อตและบทสนทนา หนังเรื่องนี้จะเจ๋งมากถ้าตัดบทพูดออกไปให้หมด หนังค่อนข้างเสียเวลาในการปูเรื่อง และเต็มไปด้วยฉากสนทนาที่ไม่จำเป็น หลายฉากที่จำเป็นบทพูดก็ประหลาด ให้ความรู้สึกอิหยังวะค่อนข้างมากเลยทีเดียว โดยเฉพาะบทของตัวละคร3นักแสดงต้นฉบับ ที่หลายครั้งดูตลก ความเท่ในแบบที่พวกเขาเป็นในภาคแรกถูกลดทอนลงไป ด้วยบทพูดที่ดูไม่Make Senseเลย รวมไปถึงตัวโครงเรื่องหลัก ที่ปูมาตั้งแต่แรกอย่างเข้มข้นถึงความขัดแย้งและปัญหา ในการอยู่ร่วมกันระหว่างคนกับไดโนเสาร์ แต่ท้ายที่สุดหนังกลับหาทางออกอย่างง่ายดายจนเกินไปอย่างไรก็ตาม แม้Jurassic World Dominionจะมีจุดบกพร่องเรื่องบทอย่างเด่นชัด แต่ภาพรวมก็ยังถือว่า นี่คือหนังฟอร์มยักษ์ที่ดูสนุกเอามากๆ และมีความตื่นตาด้วยสเกลของงานโปรดักชั่นที่ดูยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อดูในระบบIMAXยิ่งเสริมความอลังการของหนังเข้าไปอีก(ในระบบIMAXจะมีการฉายสลับทั้งในระบบปกติ และ3D)นอกจากนี้แม้ว่าบทจะไม่ส่งซักเท่าไหร่ แต่พลังดาราของนักแสดงนำ รวมถึงเสน่ห์ของพวกเขาก็ยังน่าดึงดูดมากพอ ที่จะทำให้ผู้ชมทั้งลุ้นและทั้งรักพวกเขาได้อย่างไม่ยาก ในฐานะหนังปิดท้ายตระกูลJurassic Parkซึ่งไม่รู้ว่าอนาคตจะมีการชุบชีวิตกลับมาสานต่ออีกหรือไม่ นี่คือภาคจบที่ยังไงก็ไม่ควรพลาดอยู่ดี(ให้7คะแนนจากคะแนนเต็ม10คะแนน)ภาพ : UIP Thailandชมตัวอย่างJurassic World Dominionวันนี้ทุกโรงภาพยนตร์

[REVIEW] “Spencer” 3 วันที่หมดรักของเจ้าหญิงไดอาน่า | GOSSIP GUN

18 ม.ค. 2022

[REVIEW] “Spencer” 3 วันที่หมดรักของเจ้าหญิงไดอาน่า | GOSSIP GUN

สมคำร่ำลือจริงๆ สำหรับSpencerของผู้กำกับ พาโบล ลาร์เรน ที่เคยกำกับหนังหญิงโศกอย่างJackieมาแล้ว จากเรื่องนั้นที่เล่าถึงอดีตสุภาพสตรีหมายเลข1ของอเมริกาที่สูญเสียสามีจากเหตุลอบสังหาร มาสู่เจ้าหญิงขวัญใจประชาชนที่หมดรักกับเจ้าชายที่เธอถูกจับคู่ด้วยSpencerคืออีกครั้งที่โลกของภาพยนตร์และซีรีส์ หยิบเอาเรื่องราวของ เจ้าหญิงไดอาน่ามาถ่ายทอด แต่ความแตกต่างของSpencer (ซึ่งเป็นนามสกุลเดิมของไดอาน่า)คือการเลือกเล่าช่วงเวลาระยะสุดท้ายก่อนที่เธอจะแยกทางกับเจ้าฟ้าชายชาร์ล หลังอภิเษกสมรสมานานนับทศวรรษ ช่วงเวลาที่เธออึดอัด ช่วงเวลาที่เธอโศกเศร้า ชีวิตที่เหมือนถูกขังไว้ในกรงทองแน่นอนว่าไฮไลต์สำคัญของ Spencerคือการเลือกให้ คริสเต็น สจ๊วร์ต นางเอกจากTwilightที่ค่อยๆพัฒนาฝีมือเล่นหนังน้อยใหญ่ จนกระทั่งวันนี้เธอพิสูจน์ตนเองในฐานะนักแสดงคุณภาพอย่างเต็มตัว โดยหนังเลือกเล่าเหตุการณ์ที่กินระยะเวลาเพียงแค่3วันเท่านั้น ในช่วงปลายปี1991นับตั้งแต่วันก่อนคริสต์มาส ไปจนถึงBoxing Dayเมื่อเจ้าหญิงไดอาน่าต้องเดินทางไปยัง แซนด์ริมแฮมเฮ้าส์ คฤหาสน์สุดหรูของราชวงศ์ เพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลคริสต์มาสตามประเพณี แต่ทริปนี้สำหรับเธอ เปรียบเสมือนการตกนรก เพราะเธอต้องปฏิบัติกฏระเบียบและขนบต่างๆอย่างเคร่งครัด ท่ามกลางสมาชิกในราชวงศ์ที่เธอรู้สึกแตกต่าง มีเพียงลูกๆของเธออย่าง เจ้าชายวิลเลี่ยมและเจ้าชายแฮร์รี่ ที่ทำให้เธออบอุ่นหัวใจ และเหล่าข้าราชบริพารบางคน ที่เธอสามารถเปิดใจ แสดงตัวตนที่แท้จริงออกมาได้สิ่งที่ยอดเยี่ยมมากๆสำหรับSpencerคือการถ่ายทอดความรู้สึกของเจ้าหญิงไดอาน่า ออกมาให้ผู้ชมสัมผัสได้อย่างเต็มๆ ทั้งความรู้สึกทุกข์ โศกเศร้า อึดอัดกับสภาพแวดล้อม ความรู้สึกที่อยากจะหนีออกไปจากตรงนี้ หลังจากที่ต้องทนทุกข์มาเป็นเวลายาวนาน ทำให้ผู้ชมเข้าใจความรู้สึกของเธอในช่วงเวลาสุดท้ายก่อนแยกทางกับเจ้าฟ้าชายชาร์ลได้อย่างดีเยี่ยม สิ่งที่ชอบมากๆ คือการที่หนังพยายามกันตัวละครในราชวงศ์เป็นแค่แบ็คกราวน์เท่านั้น นอกจากลูกๆทั้งสอง สมาชิกคนอื่นๆในราชวงศ์แทบจะไม่มีบทบาทหรือบทสนทนาเลย แต่ไปเน้นที่ไดอาน่า กับผู้ดูแลเครื่องแต่งกายของเธอ ไดอาน่ากับหัวหน้าเชฟประจำวัง หรือไดอาน่ากับหัวหน้าผู้รับใช้ ซึ่งทำให้ได้เห็นแง่มุมความเป็นมนุษย์ ความเป็นคนธรรมดาของเธอได้อย่างดีและทั้งหมดทั้งมวล ศูนย์กลางของหนังที่ทำให้Spencerถ่ายทอดอารมณ์ของไดอาน่าอย่างเต็มเปี่ยม คือการแสดงของ คริสเต็น สจ๊วร์ต ที่ผู้ชมซึมซับความทุกข์และอึดอัดของเธอได้อย่างเต็มร้อย ไม่แน่ใจว่า เจ้าหญิงไดอาน่าตัวจริงในช่วงเวลานั้นเป็นเช่นไร แต่ไม่นานหลังจากชม เราเชื่อว่าเธอคือไดอาน่าอย่างไม่มีข้อสงสัย แน่นอนว่ารูปลักษณ์ภายนอกถูกแต่งจนกลืนไปกับตัวจริง แต่จริต ท่าทางการแสดงออก และอารมณ์ ไม่ว่ามันจะเหมือนจริงขนาดไหน แต่คริสเต็นทำให้เรา"เชื่อ"ว่าเธอคือไดอาน่า และทำให้พวกเรารู้สึกหนักหน่วงไปกับไดอาน่า ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จมากที่สุดแล้วอีกหนึ่งจุดสำคัญของSpencerที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้คือ งานภาพของ แคลร์ มาธอน จากPortrait of a Lady on Fireที่ถ่ายทอดทุกฉากในหนังออกมาด้วยภาพสไตล์วินเทจ ดูเก่าๆ ดูฟุ้งๆ เพิ่มความย้อนยุคเข้าไปในหนัง สร้างอารมณ์ร่วม และเพิ่มเสน่ห์ให้Spencerดูเป็นงานศิลปะมากขึ้น ทุกฉากแทบจะสามารถกดหยุดแล้วตัดมาเป็นโปสการ์ดหรือวอลล์เปเปอร์ได้หมดเลย พร้อมด้วยงานดนตรีประกอบจาก จอห์นนี่ กรีนวู้ดจากRadioheadที่ช่วยถ่ายทอดอารมณ์ของเจ้าหญิงไดอาน่าได้อย่างลงตัว(โดยเฉพาะช่วงท้ายๆ ที่เพลงช่วยเล่าเรื่องได้ดี แต่จะเป็นอย่างไรต้องไปดูเอง)(ให้9คะแนนจากคะแนนเต็ม10คะแนน)

[REVIEW] “Everything Everywhere All At Once” ตะลุยมัลติเวิร์สแบบสุดจัดในทุกทาง | GOSSIP GUN

11 พ.ค. 2022

[REVIEW] “Everything Everywhere All At Once” ตะลุยมัลติเวิร์สแบบสุดจัดในทุกทาง | GOSSIP GUN

ไม่รู้ว่าจะด้วยความบังเอิญหรืออะไร ทำให้คนไทยมีหนังเล่าถึงมัลติเวิร์ส หรือ พหุภพ ในโรงภาพยนตร์ถึง2เรื่อง จากค่ายที่สร้างจักรวาลหนังซูเปอร์ฮีโร่ได้ยิ่งใหญ่สุดอย่างMarvelและค่ายหนังอินดี้ที่พิสูจน์ตัวเองในฐานะหนังดี หนังแปลก หนังลองของอย่างA24กับผลงานอย่างEverything Everywhere All At Onceที่สร้างกระแสปากต่อปากในอเมริกาอย่างต่อเนื่องตลอดเดือนที่ผ่านมา นอกจากคะแนนบวกจากนักวิจารณ์ที่ตรึงคะแนน96%ในRotten Tomatoesหนังค่อยๆ เพิ่มจำนวนโรงฉาย จนล่าสุดในสัปดาห์นี้ ไต่ขึ้นมาเป็นหนังทำเงินอันดับ2แล้ว(แน่นอนว่าอันดับ1คือDoctor Strange In The Multiverse of Madness)และหนังกำลังค่อยๆ เก็บรายได้ จนกลายเป็นว่าที่หนังทำเงินสูงสุดตลอดกาลในอเมริกาของค่ายA24แน่นอนว่ามันต้องมีดีอะไร ไม่เช่นนั้น ไม่มาไกลถึงเบอร์นี้ มิเชลล์ โหย่ว ที่รับบทอันหลากหลายตลอดชีวิตในวงการของเธอ ในเรื่องนี้เธอรับบทเป็นหญิงชาวจีนที่ชีวิตแสนจะธรรมดาที่สุด“เอเวอลีน”เธอทิ้งพ่อแม่จากเมืองจีน หนีตามคนรักมาอยู่อเมริกา และทำธุรกิจร้านซักรีดอบผ้าไปด้วยกัน แต่ชีวิตปีแล้วปีเล่ากลับไม่มีอะไร ลูกสาวที่เป็นเกย์ก็ขัดใจเธอเหลือ และเจ้าหน้าที่สรรพากรก็ตรวจสอบกิจการของเธอแบบกัดไม่ปล่อย ชีวิตของเอเวอลีนคงไม่มีอะไรหวือหวาไปกว่านี้แล้ว จนกระทั่ง เธอได้เจอสามีของเธอที่มาจากจักรวาลอื่น เขาบอกว่ามัลติเวิร์สกำลังล่มสลายด้วยภัยอันตรายเกินกว่าใครที่จะหยุดได้ มีเพียง เอเวอลีน เท่านั้น ที่ต้องดึงพลังของตัวเองในจักรวาลอื่นมาต่อสู้ ซือเจ๊ธรรมดากำลังจะกลายเป็นความหวังเดียวของพหุภพแห่งนี้ นอกจากคาแรคเตอร์ที่แสนจะธรรมดา (ในช่วงแรก)ของ มิเชลล์ โหย่ว ไม่มีอะไรที่ธรรมดาในหนังเรื่องนี้Everything Everywhere All At Onceคือหนังที่สุดจัดในทุกทาง ถ้าใช้ศัพท์ฝรั่งมาอธิบาย มักจะบอกว่าBlow Your Mindคือดูแล้วสติแตกไปเลย เพราะมันเต็มไปด้วยไอเดียครีเอทีฟที่แสนจะประหลาดเกินกว่าผู้ชมจะคาดคิด ว่าหนังเรื่องหนึ่งมันจะสามารถไปสุดได้ถึงเบอร์นี้ นับตั้งแต่นาทีที่ประตูมัลติเวิร์สในหนังถูกเปิดออก ก็เหมือนกับผู้สร้างได้พรั่งพรูไอเดียสุดบ้าคลั่งมากมายออกมา ที่หลายอย่างดูแปลกประหลาด ดูบ้าบอกว่าที่เราจะคาดคิด ซึ่งความWeirdของหนังตรงนี้ ทำให้ผู้ชมขำออกมาหลายช่วงมาก กลายเป็นหนังประสบความสำเร็จในการสร้างความบันเทิงได้อย่างยอดเยี่ยม แต่สิ่งที่เกินคาดมากไปกว่า ความน่าตื่นตาของไอเดียการนำเสนอมัลติเวิร์สแล้ว คือประเด็นหลักของหนัง ที่จับใจผู้ชม มีความลึกซึ้ง บางฉากถึงขั้นบ้าบอไปด้วยแต่ก็ส่งMessageที่กินใจผู้ชมเข้ามาได้อย่างไม่ขัดเขิน กลายเป็นอารมณ์ที่แปลกกว่าหนังทั่วไป ไม่น่าเชื่อว่าหนังเพี้ยนๆ ใส่ไอเดียเพ้อๆ จะสามารถลึกซึ้งไปได้พร้อมๆ กัน เวลาเดียวกับที่เราหัวเราะไปกับหนัง หนังก็สามารถทำให้เราไม่หยุดคิดถึงแก่นของหนังได้ ซึ่งมันแข็งแรงและบีบหัวใจมากๆ ต้องขอบคุณความปราณีตในการเขียนบท และการตัดต่อที่ลื่นไหล รับส่งอารมณ์ได้อย่างลงตัว เป็นหนังที่นำเสนอได้อย่างแพรวพราวแต่ก็กลมกล่อมมากๆ ในขณะเดียวกัน สิ่งที่ชอบมากๆ ของEverything Everywhere All At Onceคือการที่หนังเล่าถึงจักรวาลที่กว้างใหญ่มากๆ โลกของมัลติเวิร์ส แต่ในขณะเดียวกัน ฉากหลังของมันส่วนใหญ่กลับอยู่แค่ตึกสรรพากร ภาพรวมอันใหญ่โตของหนัง เกิดขึ้นในสถานที่เล็กๆ แค่นิดเดียว เช่นเดียวกับประเด็นของหนังที่เล่าไปถึงตั้งแต่ สัจธรรมของจักรวาลที่เราเป็นเพียงมนุษย์ตัวเล็กๆ ในความกว้างใหญ่ไพศาลที่ไม่มีขอบเขตที่สิ้นสุด ไปจนถึงประเด็นเล็กๆ ตั้งแต่ตัวเราเอง การรับมือกับจิตใจของเรา ครอบครัวของเรา ช่องว่างระหว่างวัยที่เกิดขึ้นระหว่างคนแต่ละรุ่น วัฒนธรรมของโลกตะวันออกและตะวันตก หนังจับประเด็นอันหลากหลายใส่ไว้ในหนังเพียงเรื่องเดียว ซึ่งน่าจะกระแทกใจผู้ชมด้วยประเด็นที่ต่างกันไป แล้วแต่แบคกราวน์ชีวิตของแต่ละคน โดยรวมEverything Everywhere All At Onceคือประสบการณ์การดูหนังที่แปลกใหม่และน่าตื่นเต้นสุดเรื่องนึงของปีนี้ หนังมีคุณค่าของภาพยนตร์ครบแทบทุกประการ แถมยังสดุดีหนังเก่าๆ อีกเพียบ(ถ้าคุณชอบดูหนัง อาจจะสังเกตเห็นว่าหลายฉากแอบแซว แอบกล่าวถึงหนังบางเรื่อง)ทั้งหมดทั้งมวลถูกถ่ายทอดโดยการแสดงอันยอดเยี่ยมแบบยกทีม ไม่ใช่แค่ มิเชลล์ โหย่วเท่านั้น แต่นี่คืองานกลุ่มที่ควรค่าแก่การได้รับคำชมเชยแบบทั้งเซ็ต นี่คือหนังที่รวมเอาหลายๆGenreไว้ในเรื่องเดียว มันทั้งแอ็กชัน มันทั้งตลก มันทั้งโรแมนติก มันทั้งดราม่าบีบอารมณ์ มันทั้งซึ้งกินใจEverything Everywhere All At Onceคือความกล้าที่จะแปลกของA24ซึ่งทำออกมาได้ลงตัว หนังเรื่องนี้อาจจะไม่ใช่สำหรับทุกคน แต่ควรค่าแก่การลอง(ให้9คะแนนจากคะแนนเต็ม10คะแนน)

[REVIEW] ‘The Menu’ หนังเขย่าขวัญเสิร์ฟเมนูสยอง ระทึก ร้ายกาจ คาดเดาไม่ได้ | GOSSIP GUN

18 พ.ย. 2022

[REVIEW] ‘The Menu’ หนังเขย่าขวัญเสิร์ฟเมนูสยอง ระทึก ร้ายกาจ คาดเดาไม่ได้ | GOSSIP GUN

จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าคุณเดินทางไปยังภัตตาคารสุดหรู เพื่อรับประทานอาหารแบบ Fine Dining แต่แล้ว เมื่อดินเนอร์เริ่มเสิร์ฟ ทุกอย่างรอบตัวคุณค่อยๆผิดปกติ และสถานการณ์เลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ จนนี่อาจจะเป็นดินเนอร์มื้อสุดท้ายของคุณ นี่คือพล็อตคร่าวๆของ The Menu หนังเขย่าขวัญตลกร้าย ซึ่งนอกจากเรื่องราวอันแสนจะยั่วยวนให้แฟนหนังไปชมในโรงภาพยนตร์แล้ว หนังยังมีไฮไลต์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นชื่อชั้นของ 3 นักแสดงนำอย่าง อันยา เทย์เลอร์-จอย, นิโคลัส โฮลต์ และ เรล์ฟ ไฟนส์ และเครดิตของทีมโปรดิวเซอร์ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ อดัม แมคเคย์ และวิลล์ ฟาร์เรล ที่สร้างหนังตลกแสบสันอย่าง Don't Look Up และซีรีส์สุดร้ายกาจอย่าง Succession มาแล้ว ส่วนผู้กำกับ มาร์ก มายลอด ก็เคยกำกับหลายเอพพิโซดของSuccession ดังนั้น ถ้าใครเคยดูซีรีส์มา ก็น่าจะพอเดาอารมณ์ออก ว่าหนังจะแสบได้ถึงขนาดไหนThe Menu เล่าถึงคู่รัก มาร์โก และเทย์เลอร์ (รับบทโดย อันยา เทย์เลอร์-จอย จาก The Queen's Gambit และ นิโคลัส โฮลต์ จาก X-Men) ที่เดินทางไปยังเกาะส่วนตัว เพื่อรับประทานอาหารเย็นที่ ฮอว์ธอร์น ห้องอาหารสุดหรู ที่ราคาต่อคอร์สแพงลิบ พวกเขาเดินทางไปพร้อมกับแขกดินเนอร์มื้อเดียวกันอีกจำนวนหนึ่งที่ดูเหมือนแต่ละคน ล้วนแต่จะเป็นบุคคลระดับวีไอพี เมื่อเดินทางมาถึงทุกคนก็ได้พบกับ จูเลี่ยน สโลวิก (รับบทโดย เรล์ฟ ไฟนส์ จาก Harry Potter) เชฟชื่อดัง หัวหน้าเชฟประจำห้องอาหารแห่งนี้ ซึ่งเขาค่อยๆเสิร์ฟอาหารแต่ละจาน ที่เต็มไปด้วยไอเดียและแนวคิดสุดแปลก ก่อนที่เหล่าแขกจะค่อยๆรู้ตัวว่า ทุกอย่างกำลังผิดปกติ นี่อาจจะไม่ใช่การรับประทานไฟน์ไดนิ่งทั่วไป แต่มีอะไรชวนขนลุกแฝงอยู่ในนั้นระหว่างที่ผู้ชมได้ดูหนัง The Menu ก็เหมือนกับผู้ชมได้เข้าไปนั่งอยู่ในห้องอาหารเดียวกับตัวละคร มันเริ่มต้นจากการเป็นหนังที่ดูเหมือนหนังทั่วไป ไม่ได้มีอะไรแปลกประหลาด จนกระทั่งอาหารจานต่างๆค่อยๆเสิร์ฟ ผู้ชมจะได้เริ่มสัมผัสถึงความผิดปกติอะไรบางอย่าง บรรยากาศความไม่น่าไว้วางใจค่อยๆครอบคลุมไปทั่วในหนังเรื่องนี้ ระดับความเป็นหนังเขย่าขวัญค่อยๆเพิ่มขึ้น เจือปมด้วยรสชาติแบบหนังตลกร้าย เสียดสีสังคมในแง่มุมต่างๆ แฝงด้วยความคิด เหมือนกับตัวละครที่กำลังขบคิดไอเดียที่แฝงอยู่ในอาหารแต่ละคอร์ส ผู้ชมก็ขบคิดไปเช่นกันว่า หนังจะสื่อสารถึงอะไร The Menu จึงเป็นหนังที่มีส่วนผสมค่อนข้างเฉพาะตัว รวมความเป็นหนังตลกร้ายกับเขย่าขวัญไว้ด้วยกันอย่างน่าลิ้มลอง ช่วงแรกอาจจะใช้เวลานานในการปูเรื่องราว แต่เมื่อเรื่องดำเนินไป หนังก็ค่อยๆไต่ระดับความระทึกเพิ่มขึ้นนอกจากพล็อตที่เดาทางได้ยาก บรรยากาศที่อบอวลไปด้วยความไม่น่าไว้วางใจ The Menu ขับเคลื่อนไปได้ดี ด้วยทีมนักแสดงที่ชวนดึงดูด ไฮไลต์หลักของหนีไม่พ้น อันยา เทย์เลอร์-จอย และ เรล์ฟ ไฟนส์ หลายฉากที่เพียงแค่ทั้งสองเผชิญหน้ากัน ก็ชวนขนลุกไม่ไหวแล้ว สำหรับอันยาที่แจ้งเกิดมาจากหนังสยองขวัญชุดใหญ่ทั้ง The Witch, Split หรือแม้แต่หนังล่าสุดอย่าง Last Night In Soho การที่ได้เห็นเธอรับเล่นหนัง Horror/Thriller อย่างต่อเนื่อง เป็นอะไรที่ถูกใจแฟนๆมาก เธอมีเสน่ห์มากเป็นพิเศษเมื่อแสดงนำในหนังแนวนี้ และชวนให้ผู้ชมได้เอาใจช่วยอยู่เสมอ ในขณะที่ เรล์ฟ ไฟนส์ ชวนขนลุกกับบทชวนสยองเสมอมา ไล่มาตั้งแต่ Schindler's List มาจนถึงหนังอย่าง Red Dragon บทโวลเดอมอร์ในจักรวาล Harry Potter มาจนถึงบทในหนังเรื่องนี้แค่เขาแสดงสีหน้าก็น่ากลัวไม่ไหวแล้ว ยิ่งเสริมให้เรื่องชวนระทึกขึ้นไปอีกโดยรวม The Menu เป็นหนังที่รสชาติแปลกน่าลอง เหมาะสำหรับคนที่ชอบตลกแบบร้ายกาจ หนังมีประเด็นเสียดสีชนชั้นที่น่าสนใจ หลายฉากฮาอย่างเจ็บแสบ ในขณะที่สายเขย่าขวัญ แม้ว่าหนังจะไม่ได้น่ากลัวอะไรมากนัก แต่ก็อบอวลด้วยบรรยากาศชวนขนลุก ให้ตึงเครียดได้จริงๆ ผู้ชมจะได้สนุกกับการคาดเดาว่า เมนูต่อไปเชฟจะเสิร์ฟอะไร คาดเดาว่าแต่ละตัวละครซ่อนปมอะไรไว้ และหนังจะพาเราไปสู่จุดไหน ถือว่าเป็นหนังสยองแสบๆเรื่องหนึ่ง ที่ไม่อยากให้พลาดชมตัวอย่าง The Menu เมนูสยอง สัปดาห์นี้ในโรงภาพยนตร์ภาพ : Major Group

album

0
0.8
1