18 ม.ค. 2023
[REVIEW] ‘Babylon’ มหากาพย์สุดบ้าคลั่ง ฉากหลังยุคทองฮอลลีวูด| GOSSIP GUN
La La Land คือปรากฏการณ์ของฮอลลีวูด หลังจากเข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง13 สาขาเทียบเท่า Titanic แม้ว่าท้ายที่สุดจะพลาดรางวัลสำคัญอย่าง Best Picture แต่หนังก็ส่งให้ เดเมียน ชาเซลล์ กลายเป็นผู้กำกับที่อายุน้อยที่สุดที่ชนะสาขา Best Director นั่นทำให้ทุกโปรเจกต์หลังจาก La La Land จากฝีมือเขาล้วนถูกจับตา หลังจากเบนเข็มไปเล่าเรื่องนอกฮอลลีวูดมาแล้วกับ First Men เดเมียนขอกลับสู่เรื่องราวที่เขารักมากที่สุดอีกครั้ง เรื่องราวของแวดวงภาพยนตร์ใน 'Babylon' โปรเจกต์ยักษ์ทุนสร้าง80 ล้านเหรียญฯ ที่เปิดโอกาสให้เดเมียนที่โชว์ฝีมือแบบเต็มที่ จะได้โชว์เรื่องราวเกี่ยวกับฮอลลีวูดอย่างเต็มสตรีมBabylon พาผู้ชมย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นยุคทองของฮอลลีวู้ดในช่วงปลายยุค 1920s มหากาพย์ของหลากหลายตัวละคร ที่แจ้งเกิดและแตกดับ ท่ามกลางการเปลี่ยนถ่ายของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ จากยุคหนังเงียบ สู่หนังที่มีเสียง หลายความฝันเป็นจริง หลายคนมุ่งมั่นประสบความสำเร็จ แต่เมื่อทุกอย่างไม่ยั่งยืน จึงไม่มีคำว่า ตลอดไป โดยเฉพาะในวงการนี้ โดยตัวละครหลักๆที่หนังโฟกัส เริ่มจาก แมนนี่ (รับบทโดย ดิเอโก้ ซัลวา) หนุ่มจากเม็กซิโกที่ข้ามชายแดนมายังฮอลลีวู้ดเพราะหลงไหลในมนต์เสน่ห์ของภาพยนตร์ จนทำให้เขาอยากสร้างหนัง ได้มาเจอกับ เนลลี่ (รับบทโดย มาร์โก ร็อบบี้) หญิงสาวสุดทะเยอทะยานที่เธอเชื่อสุดใจว่าเธอเกิดมาเพื่อเป็นซูเปอร์สตาร์ ระหว่างที่ทั้งคู่ค่อยๆไล่ตามความฝันไปทีละขั้น พวกเขาก็ได้เจอกับ แจ็ค คอนราด (รับบทโดย แบรด พิตต์) นักแสดงเบอร์ท็อปของวงการในขณะนั้น ที่ไม่ว่าเล่นหนังเรื่องไหนก็ฮิตติดลมบนทุกเรื่อง แต่เมื่อฮอลลีวูดกำลังจะเปลี่ยนไป ยุคของหนังเสียงกำลังก้าวเข้ามาแทนที่หนังเงียบ พวกเขาทุกคนและทุกชีวิตในฮอลลีวูดก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปถ้าเปรียบ La La Land เป็นเหมือนน้ำนิ่งที่ไหลลึก หนังอย่าง Babylon ก็คือคลื่นที่ซัดกระหน่ำไม่หยุดตลอดเวลา แม้ว่ามันจะเล่าถึงคนตามฝันในวงการบันเทิงเหมือนกัน แต่สำหรับเรื่องนี้ เดเมียน ขอปรับเข้าสู่โหมดที่บ้าคลั่งอย่างเต็มที่ เรียกว่าปล่อยของแบบไม่มีลิมิตเลยจริงๆ หนังเริ่มจากฉากปาร์ตี้สุดคลั่ง ที่เต็มไปด้วยเหล้ายาเซ็กซ์ หลายอย่างที่ไม่มีใครคาดคิด (แม้แต่ช้างก็ยังมี) กับทุกเหตุการณ์ที่เหนือความควบคุม สะท้อนถึงภาพความสุดเหวี่ยงของไลฟ์สไตล์คนบันเทิงในยุคนั้น ก่อนที่จะต่อด้วยเช้าวันใหม่กับการถ่ายทำหนังที่เต็มไปด้วยความโกลาหลอลหม่านขั้นสุด กองถ่ายที่หนังฟอร์มใหญ่ที่ดูเหมือนกำลังจะพังพินาศ จะพังแหล่ไม่พังแหล่ แค่ฉากใหญ่สองซีนแรก ก็ทำให้ผู้ชมอารมณ์สูบฉีดขั้นสุด มันทั้งสนุก ทั้งบ้าคลั่ง ทั้งตลกอย่างร้ายกาจ และเป็น Mood Tone แรก ที่บอกถึงสไตล์อันชัดเจนของ Babylon ในช่วงเวลาที่เล่าถึงการผงาดของหลายความฝันและเมื่อความเปลี่ยนแปลงมาถึง อีกหนึ่ง Mood Tone ที่ค่อยๆเผยออกมาใน Babylon คือความดาร์กของชีวิต ที่หลายฉากพาให้อารมณ์ผู้ชมดำดิ่งอยู่ไม่น้อย เมื่อทุกอย่างไม่จีรั่งยั่งยืน ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้าไปได้ตลอด หนังค่อยๆพาผู้ชมไปดู ชีวิตที่ต้องจะเกียกตะกายไล่ตามฝันอีกครั้ง หลังจาก La La Land เดเมียนเคยสื่อสารกับผู้ชมว่า ทุกความฝันย่อมต้องมีการเสียสละ คุณไม่สามารถเอาชนะหรือทำตามใจตัวเองได้ทุกอย่าง นำไปสู่บทสรุปที่หลายคนใจสลาย สำหรับ Babylon เดเมียนกำลังจะบอกผู้ชมว่า แม้ความฝันจะเป็นจริงแล้ว แต่ไม่มีอะไรอยู่กับเราได้ตลอดไป ทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องชั่วคราวทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียงเงินทอง เมื่อหลายๆตัวละครขึ้นสู่จุดสูงสุด แล้วตกลงมาท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง มันจึงไม่ง่ายเลยที่จะกลับไปอยู่จุดเดิมอีกครั้ง (ซึ่งส่วนใหญ่ไม่มีโอกาสนั้นอีกแล้ว)ไม่แปลกใจที่กระแสคำวิจารณ์ของ Babylon จากเมืองนอก จะออกมาในลักษณะที่ไม่ รัก ก็ เกลียด มันเป็นหนังที่ส่วนตัวมากๆสำหรับเดเมียน เหมือนสร้างมาประหนึ่งว่าตัวเองจะไม่มีโอกาสได้สร้างหนังอีกแล้ว เขาอยากเล่าอะไรจึงเล่า อยากทำอะไรจึงทำ หนังมันจึงมีอารมณ์ที่ขึ้นสุดลงสุด ตลอด 3 ชั่วโมง 8 นาที บ้างก็ว่าหนังขาดความสมูธ บ้างก็ว่าทิศทางของหนังดูเหมือนจะไม่ชัดเจนเท่าไหร่นัก แต่โดยรวมต้องชื่นชมความจัดเต็มของเขา การออกแบบงานสร้างที่ไม่ธรรมดา ดนตรีประกอบสุดเร้าใจ และการแสดงโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดิเอโก้ ซัลวา และมาร์โก้ ร็อบบี้ ที่แสดงได้อย่างยอดเยี่ยมในหลายๆฉากที่ท้าทายฝีมือมากๆท้ายที่สุดแม้ว่า Babylon จะแตกต่างจาก La La Land อย่างมาก แต่ก็มีหลายครั้งที่กลิ่นอายของLa La Land (หรือแม้แต่งานก่อนหน้าอย่าง Whiplash) ชัดเจนมากเช่นกัน โดยเฉพาะดนตรีประกอบที่ท่วงทำนองในหลายฉากภาพของ La La Land ผุดเข้ามาในหัวเลย ใครที่เคยชอบ La La Land ก็อยากให้ลองมาพิสูจน์หนังเรื่องนี้ แม้ว่าหนังจะดูเป็นคนหลายบุคลิกไปหน่อย บ้าคลั่งไปหน่อย แต่แก่นก็มัน ก็ทั้งโรแมนติกและบีบหัวใจไม่แพ้กัน และที่แน่ๆ หลังจากดูจบเราเชื่อมั่นเหลือเกินว่า เดเมียน ชาเซลล์ รักในการทำหนัง รักในศาสตร์ของภาพยนตร์จริงๆ แม้ว่าช่วงท้ายเขาจะใส่หนักมากไปหน่อยก็ตาม แต่มันก็เป็นจดหมายแบบทั้งรักทั้งเกลียดของเขา ต่อสิ่งที่โลกเรียกว่า "ฮอลลีวูด"Babylon (บาบิลอน) เข้าฉาย 19 มกราคมนี้ ทุกโรงภาพยนตร์ภาพ : UIP Thailand