[Review] The Hunger Games – The Ballad of Songbirds and Snakes : ต้นกำเนิดความอำมหิต หนังภาคก่อนหน้าที่ทั้งขนลุกและทรงพลัง

HOLLYWOOD GOSSIP

[Review] The Hunger Games – The Ballad of Songbirds and Snakes : ต้นกำเนิดความอำมหิต หนังภาคก่อนหน้าที่ทั้งขนลุกและทรงพลัง

14 พ.ย. 2023

จากความสำเร็จของหนังตระกูล The Hunger Games ทำให้ซูซาน คอลลินส์ ผู้เขียนหนังสือต้นฉบับ จรดปากกาเขียนนิยายเล่มใหม่อีกครั้ง แต่แทนที่จะเล่าเหตุการณ์ต่อจากเล่ม Mockingjay เธอตัดสินใจพาผู้อ่านย้อนกลับไป 64 ปีก่อนเล่มแรก และเล่าถึงต้นกำเนิดของชายที่ชื่อว่า “คอริโอเลนัส สโนว์” จากเด็กบ้านนอก เขากลายมาเป็นประธานาธิบดีผู้โหดเหี้ยมได้อย่างไร ในหนังสือเล่มที่ชื่อว่า “The Hunger Games – The Ballad of Songbirds and Snakes” และแน่นอนว่าทางไลอ้อนเกตส์ ก็ไม่พลาดที่จะหยิบหนังมาดัดแปลงสู่จอใหญ่อีกครั้ง และคงไม่มีใครคุมโปรเจกต์นี้ได้ดีเท่า ฟรานซิส ลอว์เรนซ์ ผู้กำกับที่ทำThe Hunger Games ภาค Catching Fire และ Mockingjay Part 1-2 มาแล้ว (สรุปคือ กำกับทุกภาคยกเว้นภาคแรก)

The Ballad of Songbirds and Snakes นำแสดงโดย ทอม ไบลท์ นักแสดงหน้าใหม่ในบทสโนว์ เล่าเหตุการณ์ในการแข่งขันเกมล่าชีวิตครั้งที่ 10 สมัยที่ สโนว์ยังเป็นวัยหนุ่ม และเขาถูกมอบหมายให้ทำหน้าที่เป็น เมนเทอร์ ให้กับผู้บรรณาการหญิงจากเขต 12 ซึ่งคือ ลูซี่ เกรย์ (รับบทโดย ราเชล เซกเกลอร์ จาก West Side Story) สาวน้อยหัวขบถที่หลงรักในเสียงเพลง สโนว์ต้องทำทุกทางเพื่อให้เด็กสาวของเขาชนะการแข่งขันรวมถึงชนะใจผู้ชมจากการถ่ายทอดสด เพื่อที่เขาจะได้เป็นผู้ชนะในการแข่งขันไปด้วย แต่เกมครั้งนี้กติกาแตกต่างจากเดิม เมื่อ ดร.กอล (รับบทโดย ไวโอล่า เดวิส) ศาสตราจารย์ผู้เป็น เกมเมกเกอร์ พยายามสร้างกติกาใหม่ขึ้นมา เพื่อให้เกมทั้งเข้มข้นและอำมหิตมากขึ้น และเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นระหว่างการแข่งขันครั้งนี้ ได้หล่อหลอมให้ สโนว์ จากชายที่เป็นเด็กจิตใจดี คะแนนในห้องเรียนนำทุกคน กลายเป็นปีศาจ กลายเป็นผู้นำเผด็จการ อย่างที่ผู้ชมได้เคยสัมผัสตัวตนเขาไปแล้วในหนัง The Hunger Games ภาคก่อน ๆ

โดยรวม The Ballad of Songbirds and Snakes ยอดเยี่ยมในแง่ของการเล่าเรื่อง ตลอดทั้ง 2 ชั่วโมง เกือบ 40 นาทีของหนัง หนังสามารถตรึงอารมณ์ของคนดูได้อย่างอยู่หมัด แล้วสัมผัสได้ถึงความรู้สึกขนลุกตลอดเวลา หนังแบ่งการเล่าเรื่องออกเป็น 3 พาร์ทอย่างชัดเจน และค่อย ๆ ไต่ระดับอารมณ์ขึ้นไปเรื่อย ๆ สิ่งที่ดีมาก ๆ ซึ่งผู้กำกับ ฟรานซิส ลอว์เรนซ์ ทำได้ คือการยังคงไว้ซึ่งกลิ่นอายของ The Hunger Games ภาคก่อน ๆ แม้บรรยากาศจะเปลี่ยนไป ตัวละครจะไม่เหมือนเดิม แต่มันยังได้ฟีลความเป็น The Hunger Games อยู่ แม้ว่าจุดโฟกัสของหนังจะไม่เหมือนเดิม ภาคนี้แอร์ไทม์ในสนามแข่งขันอาจจะน้อยกว่าภาคก่อน ๆ เพราะไม่ได้โฟกัสที่ตัวละครซึ่งเป็นบรรณาการ แต่โฟกัสที่ สโนว์ ซึ่งเป็น เมนเทอร์ หนังจึงใช้เวลากับตรงนี้ค่อนข้างมาก ทำให้ผู้ชมได้เห็นพัฒนาการของตัวละครนี้อย่างชัดเจน กับสิ่งที่เขาต้องเผชิญ การที่ชายคนนึงเปลี่ยนแปลงไปได้มากขนาดนี้ มันเป็นเพราะอะไร

นอกจากการเล่าเรื่องที่สามารถตรึงคนดูได้อยู่หมัด สิ่งที่ทำให้ The Hunger Games ภาคใหม่นี้ สร้างอารมณ์ร่วมได้ตลอด คือการแสดงที่ไม่ธรรมดาแบบยกแผง ไล่ตั้งแต่ ทอม ไบลท์ ที่สอบผ่านเต็ม ๆ กับบทสโนว์ โดยเฉพาะในช่วงท้ายที่สีหน้าและแววตา ทำให้ผู้ชมเชื่อแบบหมดใจว่านี่คือ ว่าที่ ปธน.สโนว์ ที่เราเคยรู้จัก ในขณะที่ ราเชล เซกเกลอร์ ในบทลูซี่ เธอสามารถถ่ายทอดตัวละครที่มีมิติออกมาได้อย่างน่าค้นหา และเป็นอีกขั้วของสโนว์ได้อย่างพอเหมาะ ไฮไลต์มากๆคือการแสดงฉากร้องเพลงต่าง ๆ ซึ่งถ้าใครเคยดู West Side Story มาคงไม่สงสัยในความสามารถ ซึ่งเรื่องนี้ราเชลแสดงพลังนั้นออกมาอีกครั้ง และตรึงคนดูได้ทุกรอบ ส่วนที่เดือดสุด ๆ คือสองนักแสดงฝีมืออย่าง ไวโอล่า เดวิส ในบทเกมเมกเกอร์ และปีเตอร์ ดิงลาจ (จากGame of Thrones) ในบทผู้คิดค้นเกมล่าชีวิต สองคนนี้ตรึงผู้ชมได้อยู่หมัดในทุกวินาทีที่ปรากฏตัวบนจอ โดยเฉพาะไวโอล่าที่แสดงแบบ เหมือนเธอเอ็นจอยกับบทนี้มากๆ แต่ที่ผู้เขียนเซอร์ไพรสและชื่นชอบสุดคือ เจสัน ชวาร์ตแมน (นักแสดงขาประจำในหนัง เวส แอนเดอร์สัน) ในบทพิธีกร เดอะ ฮังเกอร์ เกมส์ ครั้งที่ 10 ที่ขโมยซีนได้ทุกรอบที่แกปรากฏตัว เรียกเสียงหัวเราะได้ตลอด ไม่มีจังหวะที่แกปล่อยมุกแล้วผู้เขียนไม่ฮาเลย

สรุปแล้ว The Hunger Games - The Ballad of Songbirds and Snakes ถือเป็นหนังในตระกูลนี้อีกภาคที่ทรงพลังมาก ๆ แม้จะมีความแตกต่างจาก 4 ภาคก่อน แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งกลิ่นอายแบบที่คุ้นเคย แต่ก็สร้างบรรยากาศใหม่ ๆ ขึ้นมาได้ โดยเฉพาะในแง่ออกแบบงานสร้าง ซึ่งพอหนังเล่า 64 ปีก่อนภาคแรก เลยออกแบบฉาก เสื้อผ้า อุปกรณ์ต่าง ๆ ให้ดูย้อนยุค มีความเรโทร ในขณะเดียวกันก็ต้องผสมผสานความเป็นโลกดิสโทเปียเข้าไป ทำให้ดูแปลกตาแต่น่าดึงดูดยิ่งนัก แล้วหนังเอาดีเทลเหล่านี้ เสริมเข้าไปในฉากต่าง ๆ ยิ่งเพิ่มเสน่ห์ให้กับหนังมากขึ้นไปอีก นี่คือหนัง The Hunger Games อีกภาคที่ไม่ควรพลาด หรือแม้คุณจะไม่เคยดูภาคก่อน ๆมาก่อน ก็สามารถมาเอ็นจอย หรือเริ่มต้นที่ภาคนี้ได้ และถ้ามีโอกาสดูระบบ IMAX ขนาดยักษ์ของจอ ยิ่งเสริมอารมณ์ทั้งฉากแอ็กชั่นและฉากดราม่าได้อย่างดีเยี่ยม

album

0
0.8
1