[REVIEW] ‘Elemental’ ผจญภัยเมืองธาตุสุดตื่นตา หนังมาพร้อมไอเดียสุดล้ำ | GOSSIP GUN

HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘Elemental’ ผจญภัยเมืองธาตุสุดตื่นตา หนังมาพร้อมไอเดียสุดล้ำ | GOSSIP GUN

19 มิ.ย. 2023

พิกซาร์แอนิเมชั่นกลับมาพร้อมกับหนังไฮคอนเซปต์อีกครั้งใน Elemental หลังจากเคยหยิบเอา "อารมณ์" ของมนุษย์มาพัฒนาเป็นตัวละครมาแล้วใน Inside Out ล่าสุดทางสตูดิโอขอหยิบเอา "ธาตุ" มาสร้างเป็นคาแรคเตอร์กันบ้างในหนังใหม่ที่จะพาผู้ชมเข้าสู่โลกของธาตุ เมื่อตัวละครถูกแบ่งออกเป็นพวก ดิน น้ำ ลม ไฟ ต้องมาอาศัยร่วมกันในเมือง Element City กลายเป็นเรื่องราวอันวุ่นวาย โดยไอเดียสุดล้ำนี้มาจาก ปีเตอร์ ซอห์น ที่เคยพาหนังพิกซาร์คว่ำมาแล้วใน The Good Dinosaur เขาขอโอกาสแก้ตัวกับโปรเจกต์นี้ ที่ดูเหมือนจะทะเยอทะยานยิ่งกว่าเก่า โดยมี พีท ดอกเตอร์ จากหนังพิกซาร์ระดับหัวๆอย่างUp, Inside Out และ Soul มาทำหน้าที่อำนวยการสร้าง เพื่อให้มั่นใจว่า Elemental จะกลับมาเป็นหนังคืนฟอร์มให้กับพิกซาร์ได้สำเร็จ

Elemental เล่าเรื่องราวของเอมเบอร์ หญิงสาวที่โตมาในครอบครัวของไฟ ธาตุสายพันธุ์เดียวที่ถูกมองว่าเป็นอันตราย เนื่องจากพวกเขาไม่สามารถอยู่ใกล้กับทั้ง น้ำ ดิน หรือลมได้ เอมเบอร์ถูกวางตัวให้เป็นทายาทสืบทอดกิจการของพ่อ ที่เปิดร้านไฟร์เพลส เพื่อสานฝันให้กับตัวเอง ทุกวันเธอต้องทำทุกทางเพื่อพิสูจน์ว่า สามารถดูแลร้านต่อจากพ่อได้ แต่ด้วยความอารมณ์ร้อน หลายครั้งเมื่อเธอระเบิดอารมณ์จึงทำให้ร้านเกือบพัง และครั้งล่าสุดทำให้เธอได้บังเอิญเจอกับ เวด หนุ่มธาตุน้ำที่ขาดความมั่นใจ ซึ่งทำงานให้กับศาลาว่าการของเมือง ที่ดันพลาดส่งคำร้องเพื่อปิดกิจการร้านไฟร์เพลสไป เพราะสร้างไม่ได้มาตรฐาน เอมเบอร์และเวดจึงต้องร่วมมือกันแก้ไขความผิดพลาดนี้ เพื่อรักษาร้านของพ่อเธอไว้ ในขณะที่ใครๆก็รู้ว่า น้ำกับไฟ อยู่ด้วยกันไม่ได้ แต่เอมเบอร์และเวดกลับเริ่มสานสัมพันธ์ และพบว่า บางอย่างที่เป็นไปไม่ได้ ถ้าเราเชื่อมั่นมากพอ มันอาจจะเป็นจริงก็เป็นอันได้ ! 

โดยรวม Elemental ถือเป็นแอนิเมชั่นที่เพลิดเพลิน ตื่นตาและแปลกตามากๆ ผู้สร้างสามารถหยิบเอาไอเดียสุดล้ำเรื่องธาตุมาต่อยอดได้อย่างหลากหลาย ไฮไลต์สำคัญ คือการออกแบบสร้างสรรค์เมืองธาตุและตัวละคร ให้ดูแปลกใหม่ นับตั้งแต่นาทีแรกที่ผู้ชมได้สัมผัส Element City มันดูหวือหวาเหมือนกำลังเดินเข้าสู่สวนสนุก (ซึ่งดิสนีย์สามารถนำไปต่อยอดกับดิสนีย์แลนด์ได้) รายละเอียดของเมืองได้หยิบเอาข้อจำกัดเกี่ยวกับธาตุต่างๆมาเล่นได้อย่างสนุกสนาน นำไปสู่การสร้างคาแรคเตอร์ที่ดูไม่ซ้ำทางกับหนังเรื่องไหนที่มีมาก่อน ทำให้ Elemental มีเอกลักษณ์ที่ชัดเจน น่าสนใจไม่เหมือนใคร และที่สร้างสีสันได้อย่างดี คือหนังนำเมนไอเดียเกี่ยวกับธาตุต่างๆมาสร้างเป็นมุกตลกได้ค่อนข้างเวิร์กตลอดทั้งเรื่อง (ซึ่งมุกต่างๆแอบอ้างอิงถึงหลักวิทยาศาสตร์ได้อย่างสนุกสนาน)

แม้หนังจะมาพร้อมงานวิชวลสุดตื่นตา และไอเดียหลักที่ค่อนข้างแปลกใหม่ แต่แอบน่าเสียดายที่ตัวแก่นหลักหรือโครงเรื่องของหนังนั้น กลับเป็นสิ่งที่แฟนแอนิเมชั่นโดยเฉพาะของดิสนีย์ มักจะได้ดูกันบ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นโครงเรื่องสุดคลาสสิกเรื่องความรักต้องห้าม จากความแตกต่างของตัวละครทั้งต่างสายพันธ์หรือต่างชนชั้น ที่เราเคยดูกันจากทั้ง Beauty and the Beast, Aladdin, The Little Mermaid ที่สองตัวละครหลักต้องฝ่าฟันอุปสรรคเมื่อคนรอบข้างบอกว่ามันเป็นไปไม่ได้ หรีือแม้แต่ปมเรื่องตัวละครหลักที่ต้องการทำตามความปรารถนาของตัวเอง หาใช่สิ่งที่พ่อแม่วางไว้ให้ ซึ่งเห็นได้บ่อยๆในหนังของพิกซาร์ พอ Elemental เลือกที่จะเล่าประเด็นนี้ เลยทำให้หนังไม่สามารถไปไกลได้ในระดับ Up, Soul หรือแม้แต่ Inside Out ที่ต่างเล่าประเด็นที่ลึกซึ้งยิ่งกว่า จุดนี้เองเลยกลับดึงให้ Elemental ที่ได้ขึ้นไปอยู่ในกลุ่มหนังพิกซาร์ระดับบนๆอย่างที่หน้าหนังส่งให้มันควรจะเป็น

อย่างไรก็ตาม Elemental ถือเป็นหนังแอนิเมชั่นของพิกซาร์ที่อยู่ในกลุ่มประคองตัว หลังจากทางค่ายมาพร้อมกับผลลัพธ์ที่น่าผิดหวังหลายเรื่องในระยะหลัง (โดยเฉพาะ Lightyear เมื่อปีก่อนที่ไม่ประสบความสำเร็จอย่างน่าเสียดาย) สำหรับเรื่องนี้ถือเป็นหนังที่ดูสนุก เพลิดเพลินตา มาพร้อมกับตัวเรื่องที่ใครๆก็สามารถเข้าถึงได้อย่างไม่ยาก และตัวหนังเองแอบโรแมนติกมากกว่าที่คิด อาจจะเป็นหนังพิกซาร์ที่โรแมนติกที่สุดเรื่องนึงเลยก็ว่าได้ แต่แค่น่าเสียดายที่มันไม่สามารถพลิกเกมให้กับค่ายอย่างที่คาดหวังไว้เท่านั้นเอง

ชมตัวอย่าง Elemental เข้าฉาย 22 มิถุนายนนี้ในโรงภาพยนตร์

 

ภาพ : Walt Disney Studios Thailand

related HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘Laal Singh Chaddha’ ฟอร์เรสต์ กัมป์ ในบริบทอินเดียที่ดีต่อใจไม่แพ้ต้นฉบับ | GOSSIP GUN

31 ส.ค. 2022

[REVIEW] ‘Laal Singh Chaddha’ ฟอร์เรสต์ กัมป์ ในบริบทอินเดียที่ดีต่อใจไม่แพ้ต้นฉบับ | GOSSIP GUN

ไอเดียการรีเมกหนังระดับ Forrest Gump ไม่ใช่เรื่องง่าย จะกล่าวว่ามันน่าสนใจ ดูท้าทายก็เป็นอันได้ แต่ในอีกมุมหนึ่ง จะบอกว่าเสี่ยงตายโดยใช่เหตุ มันก็ใช่ แต่การรีเมกครั้งนี้ มันน่าสนใจตรงที่ฮอลลีวูดไม่ได้รีเมกหนังของพวกเขา แต่เป็นบอลลีวูดที่หยิบเอา Forrest Gump ไปสร้างใหม่ ซึ่งแน่นอนว่าการ Copy และ Paste ลงไปคงทำไม่ได้ เพราะใน Forrest Gump มันมีการอ้างอิงถึงเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์เป็นจำนวนมาก มีการเมนชั่นถึงบุคคลที่มีอยู่ในสังคมอเมริกา หรือมีแม้แต่การเอา ทอม แฮงค์ เข้าไปใส่ในฟุตเทจจริงในประวัติศาสตร์ ให้ดูเหมือนว่า ฟอร์เรสต์ กัมป์ เป็นส่วนนึงของเหตุการณ์นั้นจริงๆ พอถูกหยิบมาสร้างใหม่เป็นฉบับอินเดีย ความน่าสนใจคือ มันจะถูกดัดแปลง และเปลี่ยนให้เข้ากับเหตุการณ์ในอดีตจนถึงปัจจุบันของอินเดียอย่างไร ให้รู้สึกสมูทแบบเดียวกับต้นฉบับLaal Singh Chaddha เป็นโปรเจกต์ล่าสุดของหนึ่งในนักแสดงที่ยิ่งใหญ่สุดของบอลลีวูด อย่าง อาเมียร์ ข่าน เจ้าของผลงานระดับบล็อกบัสเตอร์อย่าง 3 Idiots, PK และ Dangal โดยเฉพาะเรื่องกลางที่ตกผู้ชมในเมืองไทยไปไม่น้อย เขาซื้อสิทธิ์ของ Forrest Gump มาในปี 2018 และดึงผู้กำกับที่เขาเคยผลักดัน จาก Secret Superstar มาทำหน้าที่กำกับเรื่องนี้ อาร์เมียร์ รับบท ลาล ซิงห์ จัดด้า เด็กชายที่เกิดมาพร้อมกับความไม่เหมือนใคร แม้สติปัญญาอาจจะสู้เพื่อนร่วมรุ่นไม่ได้ แต่ลาลไม่เคยย่อท้อต่อสิ่งใด แม้ทุกคนจะไม่เปิดรับ แต่เขาก็ได้รู้จักกับ รูปา (รับบทโดย กรีนา กปูร นางเอกแถวต้นๆของบอลลีวูด ที่โคจรมาเจอกับ อาเมียร์ อีกครั้งหลังจาก 3 Idiots) เด็กสาวที่กลายเป็นคนสนิทที่สุดของลาล เขาเติมโตมาพร้อมกับชีวิตที่ไม่ธรรมดา จากนักกีฬาวิ่งในมหาวิทยาลัย สู่การเป็นทหารในสนามรบจริงๆ สู่แวดวงธุรกิจที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อน เขาเติบโตผ่านช่วงเวลาประวัติศาสตร์มากมายของอินเดีย เรื่องราวชีวิตของลาล เต็มไปด้วยความอัศจรรย์ใจที่ใครๆได้ฟังก็ร้องว้าวหลังจากใช้เวลาถ่ายทำอยู่เกือบ 3 ปีเพราะติดช่วงโควิด-19 ใช้โลเคชั่นในการถ่ายทำทั่วทั้งอินเดียกว่า 100 แห่ง ในที่สุด Laal Singh Chaddha ก็พร้อมออกสู่สายตาผู้ชม สิ่งที่ Laal Singh Chaddha ทำได้ดีที่สุด คือการรักษาจิตวิญญาณของ Forrest Gump ไว้ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แน่นอนว่าหนังมันมีส่วนแตกต่างกันพอสมควร แต่ความรู้สึกที่ผู้ชมสัมผัสได้ระหว่างที่ชม แทบจะเป็นอารมณ์เดียวกับตอนที่ชม Forrest Gump แต่มันเป็นอีกรสชาติที่เหมือนไม่เดิม มีการปรุงแต่งให้กลิ่นอายเป็นแบบบอลลีวูด และที่สำคัญคือการปรับบริบทให้เข้ากับอินเดีย ซึ่งทำให้ความสนุกของการดูอยู่ตรงที่เราจะคอยลุ้นว่า ลาลจะไปเจอเหตุการณ์อะไรบ้าง จะเหมือนที่เราคาดเดาก่อนไปดูหรือไม่ ซึ่งหลายครั้งก็เป็นไปอย่างที่คิด แต่ก็มีเซอร์ไพรสพอสมควร ถ้าใครติดตามหนังบอลลีวูดมาโดยตลอด รับประกันความว้าวเลย สำหรับใครที่เคยตกหลุมรัก ฟอร์เรสต์ กัมป์ มาแล้ว เชื่อว่าหนังจะทำให้คุณตกหลุมรัก ลาล ซิงห์ จัดด้า ไม่แพ้กันการดำเนินเรื่องของ Laal Singh Chaddha ใช้ลักษณะที่เหมือนกับ Forrest Gump ที่ตัดสลับระหว่างการเล่าชีวิตของ ลาลกับเหตุการณ์ในอดีต ซึ่งในหนังต้นฉบับถ้ายังจำกันได้ ฟอร์เรสต์ จะนั่งอยู่เก้าอี้ริมถนน ระหว่างรอรถเมล์ และชักชวนให้ผู้คนรอบข้างกินช็อคโกแลต ฉบับบอลลีวูดนี้ เปลี่ยนสถานที่ให้เป็นบนรถไฟ (ซึ่งเข้ากับอินเดียมากๆ) และเปลี่ยนช็อคโกแลตให้เป็นขนมของอินเดียที่ชวนให้ผู้ชมแปลกตาและอยากลิ้มลองอยู่เหมือนกัน นอกจากนี้เอกลักษณ์ของหนังอินเดีย ไม่ว่าจะภาษาใด ที่ขาดไม่ได้จริงๆคือบทเพลง หนังมีตัดสลับกับซีนเพลงอยู่เรื่อยๆ เป็นความโดดเด่นและอรรถรสที่มีเฉพาะอินเดียจริงๆ(แม้แต่หนังแอ็กชันบล็อกบัสเตอร์อย่าง RRRก็ต้องตัดไปฉากเต้นรำ ยังจำกันได้ไหม ?)สิ่งที่อาจจะเป็นปัญหาเล็กน้อย สำหรับผู้ที่เคยชม Forrest Gump มาแล้ว คือการที่เราพอจะรู้เส้นเรื่องคร่าวๆ รู้ว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวละครนำ และบุคคลรอบข้าง นั่นทำให้เราอาจจะไม่ได้ลุ้นกับลาลไปตลอด แต่ก็ยังสนุกกับการรอดูชีวิตของเขา และในช่วงประมาณ 30 นาทีสุดท้าย ที่หนังใช้เวลาตรงนี้ค่อนข้างมาก จนแอบรู้สึกว่าลากนิดๆ เหมือนจบไม่ลงหน่อยๆ ทั้งๆที่ปกติแล้ว เวลาเราดูหนังอินเดีย มันจะยาวแถวๆ 2 ชั่วโมงครึ่ง ถึง 3 ชั่วโมงเป็นประจำ ซึ่งไม่ได้รู้สึกมีปัญหาอะไร แต่กับ Laal Singh Chaddha รู้เลยว่าผู้สร้างพยายามจะขยี้อารมณ์อย่างมากๆในช่วงท้าย ซึ่งหลายจังหวะแอบยาวไปจริงๆ สามารถกระชับได้เล็กน้อยโดยรวม Laal Singh Chaddha คือหนังที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น ทำให้หัวใจผู้ชมพองโตได้แทบจะตลอดทั้งเรื่อง พร้อมกับมุมมองที่ทำให้เราหันกลับมามองชีวิตของเรา หนังสามารถสร้างเสียงหัวเราะได้เรื่อยๆ จากความตลกที่ไม่ได้ตั้งใจของลาล ความใสซื่อของเขาที่ทำออกมาได้น่ารัก น่าถนุถนอม บทของลาล เป็นคาแรคเตอร์ที่เหมาะกับ อาเมียร์ ข่าน มากๆ ซึ่งรู้สึกว่า เขาเลือกบทได้เหมาะกับตัวตั้งแต่แรกที่ประกาศสร้าง และผลที่ออกมาก็ใช่จริงๆ ยิ่งดูเราจะยิ่งตกหลุมรักลาลมากขึ้น ถ้าคุณเป็นแฟนหนัง Forrest Gump ถ้าคุณเป็นแฟนหนังบอลลีวูด ถ้าคุณต้องการหนังที่ดีต่อใจสักเรื่อง Laal Singh Chaddha เป็นช้อยส์ที่น่าสนใจสำหรับช่วงนี้ !ภาพ : UIP Thailandชมตัวอย่าง Laal Singh Chaddha เข้าฉาย 1 กันยายนนี้ ทุกโรงภาพยนตร์

[REVIEW] ‘Scream VI’ เมื่อหนังไล่เชือดมุ่งหน้าสู่นิวยอร์ก สดขึ้น โหดขึ้น สะใจแน่นอน | GOSSIP GUN

09 มี.ค. 2023

[REVIEW] ‘Scream VI’ เมื่อหนังไล่เชือดมุ่งหน้าสู่นิวยอร์ก สดขึ้น โหดขึ้น สะใจแน่นอน | GOSSIP GUN

ใครจะไปคิดว่าตำนานแห่งหนังไล่เชือดที่อายุมากกว่า 27 ปีแล้ว กำลังกลับมาสู่ขาขึ้นสุดๆ Scream หรือ หวีดสุดขีด ภาคแรก ออกฉายในปี 1996 จากหนังนอกกระแส กลายเป็นผลงานที่ปลุกหนังแนว Slasher ให้กลับมามีลมหายใจอีกครั้ง กลายเป็นว่าในช่วงปลายยุค 90s ถึงต้นยุค 2000s ก็มีหนังไล่เชือดวัยรุ่นออกฉายกันตามมาอีกเป็นพรวน เช่นเดียวกับ Scream เองที่ก็มีภาคต่อตามออกมาไล่เลี่ยกันอีก 2ภาค ก่อนที่จะเว้นระยะห่างแล้วกลับมาใน Scream 4 แต่ดูเหมือนกระแสความนิยมของแฟรนไชส์นี้ ลดลงอย่างชัดเจน เช่นเดียวกับคุณภาพของมัน แม้ว่าต้นตำรับอย่าง เวส คราเวน ผู้กำกับจากภาคแรกจะดูแลเองทั้งหมด แต่ดูเหมือนลมหายใจของหนังจะหมดแค่นั้น จนกระทั่งปีก่อน จิตวิญญาณของ Scream ถูกปลุกอีกครั้งโดย แมตต์ เบติเนลลี่-โอลพิน และไทเลอร์ จิลเล็ต คู่หูจากหนังเด็ด Ready or Not ด้วยความที่พวกเขาเข้าใจในความเป็น Slasher Film อย่างดีเยี่ยม กลายเป็นว่า Scream 5 ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม และได้ใจแฟนหนังไล่เชือดไปเต็มๆ จึงไม่แปลกใจที่พาราเมาต์จะอนุมัติสร้างภาคใหม่อย่างรวดเร็ว จนมาถึง Scream VI ที่เตรียมเข้าฉายในสุดสัปดาห์นี้.ความแปลกใหม่ของ Scream VI คือการพาตัวละครย้ายโลเคชั่นจากเมืองเล็กๆ มาสู่มหานครยักษ์ใหญ่ในอเมริกาอย่าง นิวยอร์ก โดยโฟกัสที่สองพี่น้อง แซม และทาร่า (รับบทโดย เมลิซซ่า เบอเรร่า และ เจนน่า ออร์เทก้า ที่ดังสุดๆจากบทWednesday) ผู้รอดตายจากภาคก่อน และเพื่อลืมฝันร้ายนี้ พวกเธอจึงตัดสินใจย้ายไปยังนิวยอร์ก เพื่อเรียนต่อและเริ่มต้นชีวิตใหม่ พร้อมกับเพื่อนที่รอดตายอีก 2 คน แต่ดูเหมือนฝันร้ายจากโกสต์เฟซ จะไม่หมดไปง่ายๆ เมื่อเหตุไล่แทงคนตาย เกิดขึ้นอีกครั้งในมหาวิทยาลัยที่พวกเธอเรียน โดยคนร้ายได้ทิ้งหน้ากากโกสต์เฟซ ของฆาตกรคนก่อนๆ ไว้ในที่เกิดเหตุด้วย จากการสืบสวนของตำรวจ ทุกอย่างดูจะมุ่งกลับมาที่แซมอีกครั้ง ในฐานะที่เธอมีสายเลือดของฆาตกร สองพี่น้องแซมและทาร่า จึงต้องทำทุกทางเพื่อเอาชีวิตรอด และค้นหาว่าใครกันแน่คือคนร้าย ท่ามกลางบรรยากาศเมืองใหญ่อันแสนอึกทึกและอันตรายเมืองนี้หลังจากแฟรนไชส์ Scream ถูกชุบชีวิตในภาคก่อน การเข้ามาของสองผู้กำกับ แมตต์ และไทเลอร์ ซึ่งตกหลุมรักหนังแนวนี้ เพิ่มความเฟรชให้กับหนังเป็นอย่างมาก พวกเขาสามารถรักษาจิตวิญญาณของ Scream ไว้ได้ แต่ในขณะเดียวกันก็เพิ่มสิ่งใหม่ๆเข้ามา ทำให้หนังเป็นมากกว่าหนังไล่เชือดทั่วไป มันคือหนัง Slasher Film ที่มีชั้นเชิงและไม่โง่เง่า บวกด้วยอารมณ์ขันแบบร้ายกาจ และเพิ่มกลิ่นอายความเป็นหนัง Who Dun It หรือตามหาว่าใครคือฆาตกรเข้าไป นั่นทำให้ภาคก่อนสดใหม่ขึ้นมา ปรากฏว่ามาถึงในภาคที่ 6 อะไรที่ว่าเฟรชแล้วในภาคนี้ มันถูกยกระดับขึ้นไปอีก ทำให้ Scream VI แม้จะเดินทางมาถึงภาคที่ 6 แล้ว มันกลับไม่ดูซ้ำซากหรือน่าเบื่อเลย ด้วยกลุ่มตัวละครที่แทบทิ้งออริจินัลเกือบหมด (เหลือแค่ ค็อกท์นี่ย์ ค็อกซ์ ที่กลับมารับบทเกล) และการย้ายโลเคชั่นหนังมายังนิวยอร์ก ถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องมาก ทำให้บรรยากาศกลับมาสดใหม่ และใช้ประโยชน์จากความจอแจแออัดของเมืองใหญ่ได้ดีแน่นอนว่าไฮไลต์สำคัญของ Scream VI คือฉากไล่เชือด ซึ่งดูเผินๆ อาจเหมือนทุกภาค เมื่อฆาตกรในหน้ากากโกสต์เฟซ ออกมาไล่เชือดตัวละครทีละตัว แต่ภาคนี้มันเจ๋งกว่านั้น ด้วยชั้นเชิงในการเล่า กลายเป็นว่า ฉากเหล่านี้ไม่ได้มีมิติเดียวอีกต่อไป หลายซีนที่หนังเพิ่มอุปสรรคเข้าไปให้ตัวละครอีก พวกเขาไม่เพียงต้องหนีจากฆาตกรเท่านั้น แต่ยังต้องเอาตัวรอดจากอุปสรรคอื่นๆ หลายฉากใช้ความเป็นเมืองใหญ่ให้เป็นประโยชน์ อาทิ ฉากในรถไฟใต้ดิน ที่อยู่ในตัวอย่าง นอกจากเหล่าตัวละครต้องหนีฆาตกรแล้ว พวกเขาต้องเผชิญกับความแออัดของคนจำนวนมาก หนีก็ยาก แถมหนังยังใส่เทศกาลฮาโลวีนเข้าไปอีก ให้ผู้คนต่างใส่หน้ากากโกสต์เฟซ กลายเป็นว่าทีนี้ก็ไม่รู้แล้วว่า ใต้หน้ากากไหนคือคนร้ายกันแน่ ชั้นเชิงเหล่านี้ถูกเพิ่มเข้ามาเพื่อยกระดับฉากเชือด ซึ่งในภาคนี้ทั้งหนักแน่น แม่นยำ และโหดเหี้ยมยิ่งกว่าทุกภาค สายคอหนังโหดเลือดสาด จะต้องสะใจกันภาคนี้อย่างมากโดยรวมนี่คือหนัง Scream ภาคที่มาเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับแฟรนไชส์ขึ้นไปอีก หลังภาคก่อนกลับมาเพื่อเรียกศรัทธา และภาคนี้มาเพื่อตอกย้ำว่า เราคือหนังไล่เชือดแห่งยุคที่ไม่มีวันจบลงง่ายๆ นี่คือหนังภาคที่เดือดจัดตั้งแต่ฉากแรก เหมือนพอเริ่มสตาร์ทปุ๊ป หนังก็ดูจะไม่มีวันหยุดง่ายๆ จัดเต็มด้วยฉากไล่เชือดที่ทั้งสนุก ตื่นเต้น และลุ้นจนแทบหยุดลมหายใจ เป็นการบอกว่าครั้งนี้ไม่ได้มาเล่นๆ แต่อยากหักคะแนนนิดเดียว ตรงอารมณ์ขันแบบตลกร้าย ที่เพิ่มเสน่ห์ให้ภาคก่อน ดูเหมือนภาคนี้จะจริงจังขึ้น และพยายามตลกลดลง แต่ใดๆก็ยังมีความแสบในแบบของผู้กำกับคู่นี้อยู่ ใครที่เป็นแฟนหนังไล่เชือด รับประกันว่าภาคนี้ไม่เสียดายเวลาดูแน่นอน ส่วนใครเป็นมือใหม่สำหรับแฟรนไชส์ Scream แนะนำให้ย้อนกลับไปดูภาค 5 ก่อน เพราะภาคนี้ถือว่าเป็นภาคต่อแบบตรงๆที่เนื้อเรื่องค่อนข้างเชื่อมโยงกัน จะได้ไม่งงและสนุกกันแบบเต็มสูบปล. Scream VI มีฉากแถมท้าย End-Credit ด้วย หนังจบอย่าเพิ่งลุกกันนะภาพ : UIP Thailandชมตัวอย่าง Scream VI หวีดสุดขีด 6 วันนี้ในโรงภาพยนตร์

[REVIEW] ‘Project Wolf Hunting’ ภารกิจเรือคลั่งขนนักโทษ โหดอำมหิตระดับ 20+ | GOSSIP GUN

03 พ.ย. 2022

[REVIEW] ‘Project Wolf Hunting’ ภารกิจเรือคลั่งขนนักโทษ โหดอำมหิตระดับ 20+ | GOSSIP GUN

แรกเริ่มเดิมที เมื่อได้ยินข่าวของ Project Wolf Hunting หลังจากดูพล็อต ดูนักแสดง ก็นึกไปว่ามันคงเป็นหนังแหกคุกอีกหนึ่งเรื่อง เพียงแค่เปลี่ยนสถานที่เกิดเหตุไปเป็นบนเรือ แต่เมื่อล่าสุดที่ สหมงคลฟิล์ม ประกาศว่า หนังคว้าเรต ฉ20 ในประเทศไทย (ห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 20 ปีเข้าชมเด็ดขาด) ดีกรีความน่าดูจึงพุ่งพรวด มันเป็นการการันตีทางอ้อมว่า หนังจะต้องเต็มไปด้วยฉากเอ็กซ์ตรีม โหดระดับสิบกระโหลก จนกระทั่งกองเซ็นเซอร์ในบ้านเราไม่ยอมให้เยาวชนเข้าไปดูอย่างแน่นอน แม้หนังดูจะโหดเลือดสาด แต่ภาพรวมของหนังก็น่าจะออกมาเป็นที่พอใจของแฟนๆและนักวิจารณ์ การันตีจากคะแนนรีวิว Rotten Tomatoes ที่มีนักวิจารณ์ชอบมากถึง 85% ในขณะที่คะแนน Audience Score จากฝั่งคนดู ก็สูงถึง 88% เช่นกัน เรียกว่าน่าจะสะใจทั้งสายหนังและสายบันเทิงอย่างแน่นอนProject Wolf Hunting เล่าถึงภารกิจโหดในการขนนักโทษจากกรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ มายังเมืองปูซาน ประเทศเกาหลีใต้ โดยใช้วิธีล่องมาบนเรือขนส่งสินค้าขนาดยักษ์ที่ใช้เวลาแล่นมาราว 2-3 วัน โดยการขนนักโทษคราวนี้ถือเป็นภารกิจหิน เพราะเต็มไปด้วยนักโทษระดับอันตรายขั้นสุด ไม่ว่าจะเป็นฆาตกรโรคจิต หรือนักโทษคดีข่มขืน จึงต้องใช้ตำรวจคุมภารกิจมากถึง20 คน หลังจากที่ปฏิบัติการขนนักโทษรอบก่อนหน้านี้เคยผิดพลาดมาแล้ว เมื่อเรือลำนี้แล่นออกจากท่า ดูเหมือนทุกอย่างจะสงบนิ่ง แต่แล้วเหตุการณ์บางอย่างได้เกิดขึ้น นำไปสู่ความโกลาหล และความวิบัติขั้นสุด เกินกว่าที่ใครจะคาดคิด เมื่อทั้งตำรวจและนักโทษ ต้องสวมวิญญาณนักฆ่า เอาตัวรอดจากเดนมนุษย์บนเรือคลั่งลำนี้หลังดูจบก็ไม่แปลกใจเลยว่าทำไม Project Wolf Hunting ได้รับเรต ฉ20 ในไทย (ไม่ได้สิแปลก) เพราะมันไม่ใช่หนังเรือคลั่งเฉยๆ อาจเรียกได้ว่า โคตรพ่อโคตรแม่คลั่งเลยก็ว่าได้ หนังอัดแน่นด้วยฉากโหดในระดับ 10/10 สำหรับใครที่เป็นคอหนังโหดอยู่แล้ว น่าจะสะใจและถูกใจกับหนังเรื่องนี้ ในขณะที่ใครดูฉากโหดได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น อยากให้หลีกเลี่ยง เพราะหนังถือว่าโหดในระดับที่ไม่ปราณีผู้ชมทั่วไป เต็มไปด้วยเลือดนองดั่งคลื่นมหาสมุทร ฉากทุบอวัยวะต่างๆจนเละ หรือหั่นอวัยวะในแบบอำมหิตขั้นสุด อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้ Project Wolf Hunting โหดแต่ไม่ได้ถึงขั้นดูไม่ได้ แค่หนังโหดแบบโอเว่อร์ ในความเป็นจริง ฉากฆ่าแกงกัน มันไม่ได้โหดหนักขนาดนี้ หรือเลือดออกเยอะขนาดนี้ หนังมีความเกินเบอร์อยู่หน่อย ทำให้ดูเว่อร์เกินจริง และเมื่อหนังไม่ได้สมจริง ความน่ากลัวจึงลดลงไป กลายเป็นโหดแบบหนังการ์ตูนผู้ใหญ่ ความโหดนี้จึงไม่ใช่โหดแบบโหดร้าย แต่เป็นโหดแบบสนุก โหดแบบสะใจมากกว่า หลายซีนเลยเป็นการสนุกกับการทายว่า ฉากต่อไปจะฆ่าแกงกันแบบไหน จะโหดได้ระดับได้มากกว่านี้อีกหรือไม่นอกจากความโหดแบบไม่ยั้งแล้ว สิ่งที่ทำให้ Project Wolf Hunting น่าสนใจ คือพล็อตที่ชวนติดตาม และบรรยากาศดิบเถื่อนที่หนังรักษาไว้ได้ดีตลอดทั้งเรื่อง ในแง่ของพล็อตแม้หนังจะเปิดมา ว่านี่คือภารกิจขนนักโทษกลับเกาหลีผ่านเรือขนส่งขนาดใหญ่ แต่ไส้ในของหนังมันกลับมาอะไรซ่อนกว่านั้น หนังยังมีพล็อตบางอย่างที่เก็บเอาไว้ ตัวละครบางตัวที่ยังไม่เปิดเผย ตรงนี้เองทำให้หนังสนุกมากขึ้น แม้ว่าบางจุดอาจจะดูออกทะเลไปบ้าง (ไม่ใช่ออกทะเลแค่พล็อตหลัก)แต่นี่คือส่วนที่ทำให้หนังคาดเดาไม่ได้ และเพิ่มความโกลาหลเข้าไป ทำให้บางจุดผู้ชมเองก็ไม่รู้จะเชียร์ใครดี บางฉากก็อยากจะเชียร์ตำรวจ แต่ดูไปดูมาก็อยากจะให้นักโทษรอดก็มี ซึ่งทั้งหมดนี่ ดูถ่ายทอดผ่านงานภาพและอารมณ์ของหนังที่ ตรึงบรรยากาศแบบดิบๆไว้ได้ตลอด เป็นหนังเกาหลีอีกเรื่องที่ถึงแม้งานภาพจะโหด แต่ต้องชื่นชมว่า คุมธีมไว้ได้แบบไม่หลุดโทนเลย (แค่ดูจากภาพนิ่งที่ปล่อยออกมา จะเห็นได้ว่าหนังสวยงามในแบบดิบๆได้มากเลยทีเดียว)โดยรวม Project Wolf Hunting ถือเป็นหนังแอ็กชันเอ็กซ์สตรีมที่น่าจะสะใจสายโหดอยู่ไม่น้อย แม้พล็อตตั้งต้นจะดูเหมือนCon Air ในฉบับเปลี่ยนจากเครื่องบินเป็นเรือ แต่ตัวหนังเองพาผู้ชมไปไกลกว่านั้น (ที่แน่ๆมันโหดกว่า Con Air ในแบบคูณสิบไปเลย) นอกจากจะสนุกกับดีกรีความโหดที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อีกหนึ่งความสนุกที่สายเกาหลีน่าจะบันเทิงคือ การลุ้นว่านักแสดงที่เราชื่นชอบ ตัวละครของพวกเขาจะรอดไปจากเรือคลั่งลำนี้หรือไม่ ใครจะตายก่อนตายหลัง และตายด้วยวิธีสุดอำมหิตแบบไหน บางอย่างมันก็บียอนด์ไปไกลกว่าที่คาดคิดอยู่ไม่น้อย เตรียมใจให้พร้อมแล้วออกแล่นไปกับเรือคลั่งลำนี้กันไป โดยก่อนไปชมอย่าลืมเตรียมบัตรประชาชนไปแสดงกันด้วย (ในรอบเปิดตัวหนัง ตรวจบัตรก่อนเข้าชมทุกที่นั่งจริงๆ)Project Wolf Hunting เรือคลั่ง เกมล่าเดนมนุษย์ สัปดาห์นี้ในโรงภาพยนตร์ภาพ : Major Group

[REVIEW] ‘SMILE’ เมื่อรอยยิ้มฆ่าคนตาย หนังสยองสุดตึงเครียด | GOSSIP GUN

27 ก.ย. 2022

[REVIEW] ‘SMILE’ เมื่อรอยยิ้มฆ่าคนตาย หนังสยองสุดตึงเครียด | GOSSIP GUN

จุดเริ่มต้นของหนังสยองขวัญแห่งปีอย่าง Smile เกิดขึ้นจากหนังสั้น Laura Hasn't Slept ของ ปาร์กเกอร์ ฟินน์ ที่คอนเซปต์เจ๋งและสยดสยอง จนถูกใจผู้บริหารของค่ายพาราเมาต์ พิคเจอร์ หนังจึงถูกหยิบมาพัฒนาเป็นหนังใหญ่ โดย ปาร์กเกอร์ ฟินน์ กลับมาสานต่อความหลอนจากหนังสั้นของเขาเอง รับหน้าที่เป็นผู้กำกับหนังใหญ่ครั้งแรก สำหรับ Smile ฉบับยาว เล่าถึง ดร.โรส (รับบทโดย โซซี เบคอน จากซีรีส์ 13 Reasons Why) จิตแพทย์หญิงที่เพิ่งเผชิญเหตุการณ์สุดสยอง เมื่อคนไข้ของเธอฆ่าตัวตายต่อหน้าต่อตา ก่อนตายคนไข้คนนี้คลั่งและบอกว่า มีสิ่งลึกลับที่มีรอยยิ้มไล่ตาม ดร.โรส ยิ่งสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ จึงเริ่มสืบและพบว่า มีคนตายจากรอยยิ้มในลักษณะเดียวกันกว่า 20 คนแล้ว และที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือ ดูเหมือนว่าคำสาปสุดอาถรรพ์นี้กำลังไล่ตามเธอเช่นกัน !สิ่งที่ทำให้ Smile มีเอกลักษณ์และแตกต่างจากหนังสยองขวัญเรื่องอื่นๆ คือ คอนเซปต์ ที่หยิบรอยยิ้มมาทำให้กลายเป็นความหลอน แม้เราอาจจะเห็นรอยยิ้มแบบหลอนๆในหนังมากมาย (อาทิ Joker และ Stephen King's It) แต่มันไม่เคยถูกหยิบมาเป็นแกนหลักของเรื่องอย่างจริงจัง บวกกับเส้นเรื่องในสไตล์การแก้คำสาป แบบเดียวกับ The Ring ที่ดูเหมือนจะไม่ได้เห็นกันมาสักพักใหญ่แล้ว ทำให้ Smile มีความน่าสนใจอยู่ไม่น้อย และหนังยังมีกลิ่นอายแบบ It Follows หนังเขย่าขวัญที่ทำให้คนยืนนิ่งๆดูน่ากลัวได้ เรื่องนี้มีสไตล์คล้ายๆกัน แต่เพิ่มรอยยิ้มเข้าไป ทำให้ระหว่างดูหนัง แม้แต่คนที่ยืนยิ้มนิ่งๆ ยังชวนขนลุกได้ หนังทำให้เราผวาในแบบที่ไม่คาดคิดได้จริงๆนอกจากจะเป็นหนังสยองขวัญ อันที่จริงแล้ว Smile มีความเป็นหนังจิตวิทยาที่ชัดเจนมาก เพราะหนังเล่นกับตัวละครหลักคือ ดร.โรส ซึ่งเป็นจิตแพทย์ แต่อันที่จริงแล้วเธอเองก็เคยเผชิญปัญหาทางจิตมาก่อน และยิ่งมาเจอกับเหตุการณ์หลอนที่หาทางออกไม่ได้แบบนี้ ยิ่งทำให้เธอสติแตกไปกันใหญ่ ความเก่งกาจของหนัง คือการทำให้ผู้ชมตึงเครียด และเหมือนจะประสาทแดกแบบนางเอกได้เหมือนกัน เมื่อหนังยิ่งดำเนินไป ข้อแม้ต่างๆของหนัง ปมคำสาปจากรอยยิ้ม มันชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ การผูกปมของหนังมันเลยยิ่งแน่นขึ้นไปอีก นั่นทำให้ Smile กลายเป็นหนังสยองขวัญที่บีบหัวใจของคุณช้าๆ แต่เมื่อถึงจุดพีกแล้ว มันยิ่งบีบหัวใจขั้นสุดในส่วนของงานโปรดักชันส่งเสริมความสยองของหนังได้อย่างดีเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นเสียงประกอบ ที่หลอนจับใจ การเคลื่อนกล้องที่หลายครั้งเลือกใช้ภาพกลับหัว สไตล์การตัดต่อ การเชื่อมโยงแต่ละฉาก หลายครั้งที่โฉ่งฉ่าง ทำให้ผู้ชมกระตุกได้เหมือนกัน และการบิลด์ผู้ชมด้วยความสยองในแบบ Jump Scare หนังใช้วิธีนี้ค่อนข้างเยอะพอสมควร แต่กระนั้นต้องชื่นชมผู้กำกับ ปาร์กเกอร์ ฟินน์ ที่ให้ฉากหลอกเหล่านี้ ดูมีรสนิยม เป็นการหลอกให้เราตกใจ แบบที่น่าสนใจ ไม่ได้ให้สิ่งลึกลับโผล่มาทื่อๆ อย่างไร้ที่มาที่ไปแต่อย่างใด โดยรวม Smile จึงกลายเป็นหนังสยองขวัญอีกเรื่องของปี 2022 ที่ทำได้ดีเกินคาดจริงๆ ใครที่อยากสัมผัสความหลอน ความตึงเครียด ลองชมหนังเรื่องนี้กันดู 29 กันยายนนี้ในโรงภาพยนตร์ชมตัวอย่าง Smile ยิ้มสยอง สัปดาห์นี้ทุกโรงภาพยนตร์ภาพ : UIP Thailand

album

0
0.8
1