[REVIEW] ‘Extraction 2’ ภาคใหม่เดือดจัด ซัดหนักฉากแอ็กชัน 21 นาทีนันสต็อป | GOSSIP GUN

HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘Extraction 2’ ภาคใหม่เดือดจัด ซัดหนักฉากแอ็กชัน 21 นาทีนันสต็อป | GOSSIP GUN

16 มิ.ย. 2023

ย้อนกลับไปเมื่อเดือนเมษายนปี 2020 Extraction คือหนังแอ็กชันฟอร์มยักษ์ของ Netflix ที่ได้รับอานิสงส์จากโควิด-19 ไปแบบเต็มๆ ในช่วงเวลาเพียงแค่เดือนกว่าๆหลังล็อกดาวน์ โรงภาพยนตร์ถูกปิด หนังโปรแกรมยักษ์ทั้งหมดถูกเลื่อนฉายแบบไม่มีกำหนด แต่ Extraction กลายเป็นหนังฟอร์มโตเรื่องเดียวที่ไม่ได้รับผลกระทบ เพราะโปรแกรมฉายนั้นอยู่ใน Netflix ในช่วงเวลาที่คนส่วนใหญ่ต้องอยู่บ้านและต่างกระหายหนังบล็อกบัสเตอร์ Extraction สามารถตอบโจทย์ได้อย่างเต็มๆ จนหนังสามารถทุบสถิติ กลายเป็นหนังที่มียอดวิวสูงสุดตลอดกาลของ Netflix ในขณะนั้น ด้วยยอดคนดูที่เฉียดระดับร้อยล้านคนภายใน 4 สัปดาห์แรกของการปล่อยฉาย จากความสำเร็จในระดับนี้ ทำให้ Netflix ไม่รอช้าประกาศสร้างภาคต่อ ท่ามกลางความงงของแฟนๆ เพราะว่าตัวละครพระเอกในหนังนั้น เสียชีวิตในตอนจบของภาคแรกไปแล้ว

Extraction คือผลงานการรีทีมกันอีกครั้งของพระเอก คริส เฮมเวิร์ธ และสองพี่น้องผู้กำกับจาก Avengers : Endgame อย่าง โจและแอนโทนี รุสโซ ที่ทำหน้าที่อำนวยการสร้างหนังเรื่องนี้ โดยโจนั้นยังเขียนบทภาพยนตร์เองด้วย เพราะดันให้ แซม ฮาร์เกรฟ สตันต์แมนตัวพ่อที่เคยร่วมงานกันมาในหนังจักรวาลมาร์เวลหลายต่อหลายเรื่อง ขึ้นแท่นมาเป็นผู้กำกับ โดยในภาค 2 นี้ สมาชิกทั้งหมดก็ยังคงยกทีมกันกลับมาทำหน้าที่เดิม โดย คริส กลับมารับบทเป็น ไทเลอร์ เรค นักฆ่ารับจ้างยอดฝีมือ ซึ่งหลังจากรอดตายจากภาคแรก (แบบดื้อๆ) เขาก็กลับมาพร้อมกับภารกิจใหม่ โดยเปลี่ยนโลเคชั่นจากประเทศร้อนๆอย่าง บังคลาเทศในภาคแรก (ซึ่งถ่ายทำในไทย) ไปเป็นประเทศที่มีอากาศหนาวเย็นอย่าง จอร์เจีย โดยในภาคนี้ เขาต้องบุกเข้าไปในคุกที่ความปลอดภัยแน่นหนา เพื่อช่วยสมาชิกของครอบครัวมาเฟียชาวจอร์เจียออกมาให้ได้ ซึ่งแน่นอนว่าทุกอย่างไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด ไทเลอร์ต้องเผชิญกับอุปสรรคสารพัด ท่ีรอขวางทางเขาอยู่

แน่นอนว่าไฮไลต์ของ Extraction 2 ก็ยังคงเป็นฉากแอ็กชันที่เดือดจัดในระดับที่ไม่แพ้ภาคแรก หลังจากในภาคก่อนผู้ชมได้เจอกับฉากแอ็กชันแบบนันสต็อปยาวกว่า 10 นาที ในภาคนี้ผู้สร้างขอดับเบิ้ลไปเลยด้วยฉากแหกคุกที่มีความยาวแบบ 21 นาที ที่ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ลองเทคจริงๆ แต่ก็ใช้เทคนิคในการตัดต่อให้ผู้ชมรู้สึกแบบนั้น นี่คือไฮไลต์อย่างแท้จริงของหนังที่ระหว่างดูเล่นเอาอ้าปากค้างไปหลายรอบ อุทานด้วยความอึ้งไปหลายครั้งเช่นกัน ด้วยการดีไซน์ฉากบู๊ที่ทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่เสียชื่อของ แซม ฮาร์เกรฟที่เป็นอดีตสตันต์แมนมาก่อน บวกกับวิธีการเคลื่อนกล้องที่ลื่นไหล ในอนาคตหนังอย่าง Extraction น่าจะค่อยๆไต่ระดับขึ้นเป็นหนังแอ็กชันที่สะใจแฟนๆ ได้ใกล้เคียงกับหนังอย่าง John Wick อย่างแน่นอน (ซึ่งเรื่องหลังเขานำโด่ง สร้างมาตรฐานไว้สูงลิบแล้ว)

นอกจากฉากบู๊ซีนใหญ่ที่ว่านี้ ระหว่างทาง Extraction 2 ก็ยังคงเสิร์ฟฉากแอ็กชันมันส์ๆไว้ตลอดทั้งเรื่อง หลายฉากก็เพิ่มดีกรีความมันส์ได้เยอะกว่าภาคแรก เหมือนผู้สร้างเริ่มจับทางได้แล้วว่า ตัวเองถนัดอะไร ผู้ชมต้องการอะไรจากหนังเรื่องนี้ ก็พยายามจัดสิ่งที่ใช้มาให้ผู้ชมตลอด และในขณะเดียวกันก็ไม่ได้พยายามสร้างเรื่องให้ซับซ้อนเกินความจำเป็น พล็อตยังคงง่ายๆ แค่ภารกิจของพระเอกกับการช่วยเหลือคนออกมาเท่านั้น ด้วยความที่หนังที่ต้องเสียเวลากับการปูเรื่องอะไรมากมายนัก ทำให้หนังมีเวลาค่อนข้างมากในการใส่ฉากแอ็กชัน และกระชับความยาวหนังให้ไม่ยาวไม่มากกว่า 2 ชั่วโมง

โดยรวม Extraction 2 ยังคงจัดเต็มความมันส์แบบไม่ให้ได้พัก ข้อดีมากๆของหนังคือฉากแอ็กชันที่มันส์แบบถึงอารมณ์ หลายฉากเรียกเสียงปรบมือจากผู้ชมได้ลั่นโรง (จากรอบพรีวิวที่ผู้เขียนได้ไปดูมาในโรง) และที่สำคัญ เริ่มจะเห็นความพยายามในการสร้างจักรวาลของตัวเอง ผู้สร้างน่าจะเห็นถึงศักยภาพในการเป็นแฟรนไชส์ใหญ่ในอนาคตได้ หลายๆฉากในภาคนี้ก็เลยใส่เข้ามาเพื่อปูทางไว้สำหรับในอนาคต ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีสำหรับพระเอก คริส เฮมเวิร์ธ หลังจากบทบาทเทพเจ้า Thor ในจักรวาลมาร์เวล เดินทางมาถึงจุดอิ่มตัวแล้ว การที่เขามีแฟรนไชส์นี้ น่าจะไปได้อีกไกล ซึ่งดูจะเป็นบทที่เหมาะกับเขาแบบมากๆด้วย

 

ชมตัวอย่าง Extraction 2 สตรีม 16 มิถุนายนนี้ใน Netflix

 

ภาพ : Netflix Thailand

related HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘SMILE’ เมื่อรอยยิ้มฆ่าคนตาย หนังสยองสุดตึงเครียด | GOSSIP GUN

27 ก.ย. 2022

[REVIEW] ‘SMILE’ เมื่อรอยยิ้มฆ่าคนตาย หนังสยองสุดตึงเครียด | GOSSIP GUN

จุดเริ่มต้นของหนังสยองขวัญแห่งปีอย่าง Smile เกิดขึ้นจากหนังสั้น Laura Hasn't Slept ของ ปาร์กเกอร์ ฟินน์ ที่คอนเซปต์เจ๋งและสยดสยอง จนถูกใจผู้บริหารของค่ายพาราเมาต์ พิคเจอร์ หนังจึงถูกหยิบมาพัฒนาเป็นหนังใหญ่ โดย ปาร์กเกอร์ ฟินน์ กลับมาสานต่อความหลอนจากหนังสั้นของเขาเอง รับหน้าที่เป็นผู้กำกับหนังใหญ่ครั้งแรก สำหรับ Smile ฉบับยาว เล่าถึง ดร.โรส (รับบทโดย โซซี เบคอน จากซีรีส์ 13 Reasons Why) จิตแพทย์หญิงที่เพิ่งเผชิญเหตุการณ์สุดสยอง เมื่อคนไข้ของเธอฆ่าตัวตายต่อหน้าต่อตา ก่อนตายคนไข้คนนี้คลั่งและบอกว่า มีสิ่งลึกลับที่มีรอยยิ้มไล่ตาม ดร.โรส ยิ่งสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ จึงเริ่มสืบและพบว่า มีคนตายจากรอยยิ้มในลักษณะเดียวกันกว่า 20 คนแล้ว และที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือ ดูเหมือนว่าคำสาปสุดอาถรรพ์นี้กำลังไล่ตามเธอเช่นกัน !สิ่งที่ทำให้ Smile มีเอกลักษณ์และแตกต่างจากหนังสยองขวัญเรื่องอื่นๆ คือ คอนเซปต์ ที่หยิบรอยยิ้มมาทำให้กลายเป็นความหลอน แม้เราอาจจะเห็นรอยยิ้มแบบหลอนๆในหนังมากมาย (อาทิ Joker และ Stephen King's It) แต่มันไม่เคยถูกหยิบมาเป็นแกนหลักของเรื่องอย่างจริงจัง บวกกับเส้นเรื่องในสไตล์การแก้คำสาป แบบเดียวกับ The Ring ที่ดูเหมือนจะไม่ได้เห็นกันมาสักพักใหญ่แล้ว ทำให้ Smile มีความน่าสนใจอยู่ไม่น้อย และหนังยังมีกลิ่นอายแบบ It Follows หนังเขย่าขวัญที่ทำให้คนยืนนิ่งๆดูน่ากลัวได้ เรื่องนี้มีสไตล์คล้ายๆกัน แต่เพิ่มรอยยิ้มเข้าไป ทำให้ระหว่างดูหนัง แม้แต่คนที่ยืนยิ้มนิ่งๆ ยังชวนขนลุกได้ หนังทำให้เราผวาในแบบที่ไม่คาดคิดได้จริงๆนอกจากจะเป็นหนังสยองขวัญ อันที่จริงแล้ว Smile มีความเป็นหนังจิตวิทยาที่ชัดเจนมาก เพราะหนังเล่นกับตัวละครหลักคือ ดร.โรส ซึ่งเป็นจิตแพทย์ แต่อันที่จริงแล้วเธอเองก็เคยเผชิญปัญหาทางจิตมาก่อน และยิ่งมาเจอกับเหตุการณ์หลอนที่หาทางออกไม่ได้แบบนี้ ยิ่งทำให้เธอสติแตกไปกันใหญ่ ความเก่งกาจของหนัง คือการทำให้ผู้ชมตึงเครียด และเหมือนจะประสาทแดกแบบนางเอกได้เหมือนกัน เมื่อหนังยิ่งดำเนินไป ข้อแม้ต่างๆของหนัง ปมคำสาปจากรอยยิ้ม มันชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ การผูกปมของหนังมันเลยยิ่งแน่นขึ้นไปอีก นั่นทำให้ Smile กลายเป็นหนังสยองขวัญที่บีบหัวใจของคุณช้าๆ แต่เมื่อถึงจุดพีกแล้ว มันยิ่งบีบหัวใจขั้นสุดในส่วนของงานโปรดักชันส่งเสริมความสยองของหนังได้อย่างดีเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นเสียงประกอบ ที่หลอนจับใจ การเคลื่อนกล้องที่หลายครั้งเลือกใช้ภาพกลับหัว สไตล์การตัดต่อ การเชื่อมโยงแต่ละฉาก หลายครั้งที่โฉ่งฉ่าง ทำให้ผู้ชมกระตุกได้เหมือนกัน และการบิลด์ผู้ชมด้วยความสยองในแบบ Jump Scare หนังใช้วิธีนี้ค่อนข้างเยอะพอสมควร แต่กระนั้นต้องชื่นชมผู้กำกับ ปาร์กเกอร์ ฟินน์ ที่ให้ฉากหลอกเหล่านี้ ดูมีรสนิยม เป็นการหลอกให้เราตกใจ แบบที่น่าสนใจ ไม่ได้ให้สิ่งลึกลับโผล่มาทื่อๆ อย่างไร้ที่มาที่ไปแต่อย่างใด โดยรวม Smile จึงกลายเป็นหนังสยองขวัญอีกเรื่องของปี 2022 ที่ทำได้ดีเกินคาดจริงๆ ใครที่อยากสัมผัสความหลอน ความตึงเครียด ลองชมหนังเรื่องนี้กันดู 29 กันยายนนี้ในโรงภาพยนตร์ชมตัวอย่าง Smile ยิ้มสยอง สัปดาห์นี้ทุกโรงภาพยนตร์ภาพ : UIP Thailand

[REVIEW] ‘Babylon’ มหากาพย์สุดบ้าคลั่ง ฉากหลังยุคทองฮอลลีวูด| GOSSIP GUN

18 ม.ค. 2023

[REVIEW] ‘Babylon’ มหากาพย์สุดบ้าคลั่ง ฉากหลังยุคทองฮอลลีวูด| GOSSIP GUN

La La Land คือปรากฏการณ์ของฮอลลีวูด หลังจากเข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง13 สาขาเทียบเท่า Titanic แม้ว่าท้ายที่สุดจะพลาดรางวัลสำคัญอย่าง Best Picture แต่หนังก็ส่งให้ เดเมียน ชาเซลล์ กลายเป็นผู้กำกับที่อายุน้อยที่สุดที่ชนะสาขา Best Director นั่นทำให้ทุกโปรเจกต์หลังจาก La La Land จากฝีมือเขาล้วนถูกจับตา หลังจากเบนเข็มไปเล่าเรื่องนอกฮอลลีวูดมาแล้วกับ First Men เดเมียนขอกลับสู่เรื่องราวที่เขารักมากที่สุดอีกครั้ง เรื่องราวของแวดวงภาพยนตร์ใน 'Babylon' โปรเจกต์ยักษ์ทุนสร้าง80 ล้านเหรียญฯ ที่เปิดโอกาสให้เดเมียนที่โชว์ฝีมือแบบเต็มที่ จะได้โชว์เรื่องราวเกี่ยวกับฮอลลีวูดอย่างเต็มสตรีมBabylon พาผู้ชมย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นยุคทองของฮอลลีวู้ดในช่วงปลายยุค 1920s มหากาพย์ของหลากหลายตัวละคร ที่แจ้งเกิดและแตกดับ ท่ามกลางการเปลี่ยนถ่ายของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ จากยุคหนังเงียบ สู่หนังที่มีเสียง หลายความฝันเป็นจริง หลายคนมุ่งมั่นประสบความสำเร็จ แต่เมื่อทุกอย่างไม่ยั่งยืน จึงไม่มีคำว่า ตลอดไป โดยเฉพาะในวงการนี้ โดยตัวละครหลักๆที่หนังโฟกัส เริ่มจาก แมนนี่ (รับบทโดย ดิเอโก้ ซัลวา) หนุ่มจากเม็กซิโกที่ข้ามชายแดนมายังฮอลลีวู้ดเพราะหลงไหลในมนต์เสน่ห์ของภาพยนตร์ จนทำให้เขาอยากสร้างหนัง ได้มาเจอกับ เนลลี่ (รับบทโดย มาร์โก ร็อบบี้) หญิงสาวสุดทะเยอทะยานที่เธอเชื่อสุดใจว่าเธอเกิดมาเพื่อเป็นซูเปอร์สตาร์ ระหว่างที่ทั้งคู่ค่อยๆไล่ตามความฝันไปทีละขั้น พวกเขาก็ได้เจอกับ แจ็ค คอนราด (รับบทโดย แบรด พิตต์) นักแสดงเบอร์ท็อปของวงการในขณะนั้น ที่ไม่ว่าเล่นหนังเรื่องไหนก็ฮิตติดลมบนทุกเรื่อง แต่เมื่อฮอลลีวูดกำลังจะเปลี่ยนไป ยุคของหนังเสียงกำลังก้าวเข้ามาแทนที่หนังเงียบ พวกเขาทุกคนและทุกชีวิตในฮอลลีวูดก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปถ้าเปรียบ La La Land เป็นเหมือนน้ำนิ่งที่ไหลลึก หนังอย่าง Babylon ก็คือคลื่นที่ซัดกระหน่ำไม่หยุดตลอดเวลา แม้ว่ามันจะเล่าถึงคนตามฝันในวงการบันเทิงเหมือนกัน แต่สำหรับเรื่องนี้ เดเมียน ขอปรับเข้าสู่โหมดที่บ้าคลั่งอย่างเต็มที่ เรียกว่าปล่อยของแบบไม่มีลิมิตเลยจริงๆ หนังเริ่มจากฉากปาร์ตี้สุดคลั่ง ที่เต็มไปด้วยเหล้ายาเซ็กซ์ หลายอย่างที่ไม่มีใครคาดคิด (แม้แต่ช้างก็ยังมี) กับทุกเหตุการณ์ที่เหนือความควบคุม สะท้อนถึงภาพความสุดเหวี่ยงของไลฟ์สไตล์คนบันเทิงในยุคนั้น ก่อนที่จะต่อด้วยเช้าวันใหม่กับการถ่ายทำหนังที่เต็มไปด้วยความโกลาหลอลหม่านขั้นสุด กองถ่ายที่หนังฟอร์มใหญ่ที่ดูเหมือนกำลังจะพังพินาศ จะพังแหล่ไม่พังแหล่ แค่ฉากใหญ่สองซีนแรก ก็ทำให้ผู้ชมอารมณ์สูบฉีดขั้นสุด มันทั้งสนุก ทั้งบ้าคลั่ง ทั้งตลกอย่างร้ายกาจ และเป็น Mood Tone แรก ที่บอกถึงสไตล์อันชัดเจนของ Babylon ในช่วงเวลาที่เล่าถึงการผงาดของหลายความฝันและเมื่อความเปลี่ยนแปลงมาถึง อีกหนึ่ง Mood Tone ที่ค่อยๆเผยออกมาใน Babylon คือความดาร์กของชีวิต ที่หลายฉากพาให้อารมณ์ผู้ชมดำดิ่งอยู่ไม่น้อย เมื่อทุกอย่างไม่จีรั่งยั่งยืน ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้าไปได้ตลอด หนังค่อยๆพาผู้ชมไปดู ชีวิตที่ต้องจะเกียกตะกายไล่ตามฝันอีกครั้ง หลังจาก La La Land เดเมียนเคยสื่อสารกับผู้ชมว่า ทุกความฝันย่อมต้องมีการเสียสละ คุณไม่สามารถเอาชนะหรือทำตามใจตัวเองได้ทุกอย่าง นำไปสู่บทสรุปที่หลายคนใจสลาย สำหรับ Babylon เดเมียนกำลังจะบอกผู้ชมว่า แม้ความฝันจะเป็นจริงแล้ว แต่ไม่มีอะไรอยู่กับเราได้ตลอดไป ทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องชั่วคราวทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียงเงินทอง เมื่อหลายๆตัวละครขึ้นสู่จุดสูงสุด แล้วตกลงมาท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง มันจึงไม่ง่ายเลยที่จะกลับไปอยู่จุดเดิมอีกครั้ง (ซึ่งส่วนใหญ่ไม่มีโอกาสนั้นอีกแล้ว)ไม่แปลกใจที่กระแสคำวิจารณ์ของ Babylon จากเมืองนอก จะออกมาในลักษณะที่ไม่ รัก ก็ เกลียด มันเป็นหนังที่ส่วนตัวมากๆสำหรับเดเมียน เหมือนสร้างมาประหนึ่งว่าตัวเองจะไม่มีโอกาสได้สร้างหนังอีกแล้ว เขาอยากเล่าอะไรจึงเล่า อยากทำอะไรจึงทำ หนังมันจึงมีอารมณ์ที่ขึ้นสุดลงสุด ตลอด 3 ชั่วโมง 8 นาที บ้างก็ว่าหนังขาดความสมูธ บ้างก็ว่าทิศทางของหนังดูเหมือนจะไม่ชัดเจนเท่าไหร่นัก แต่โดยรวมต้องชื่นชมความจัดเต็มของเขา การออกแบบงานสร้างที่ไม่ธรรมดา ดนตรีประกอบสุดเร้าใจ และการแสดงโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดิเอโก้ ซัลวา และมาร์โก้ ร็อบบี้ ที่แสดงได้อย่างยอดเยี่ยมในหลายๆฉากที่ท้าทายฝีมือมากๆท้ายที่สุดแม้ว่า Babylon จะแตกต่างจาก La La Land อย่างมาก แต่ก็มีหลายครั้งที่กลิ่นอายของLa La Land (หรือแม้แต่งานก่อนหน้าอย่าง Whiplash) ชัดเจนมากเช่นกัน โดยเฉพาะดนตรีประกอบที่ท่วงทำนองในหลายฉากภาพของ La La Land ผุดเข้ามาในหัวเลย ใครที่เคยชอบ La La Land ก็อยากให้ลองมาพิสูจน์หนังเรื่องนี้ แม้ว่าหนังจะดูเป็นคนหลายบุคลิกไปหน่อย บ้าคลั่งไปหน่อย แต่แก่นก็มัน ก็ทั้งโรแมนติกและบีบหัวใจไม่แพ้กัน และที่แน่ๆ หลังจากดูจบเราเชื่อมั่นเหลือเกินว่า เดเมียน ชาเซลล์ รักในการทำหนัง รักในศาสตร์ของภาพยนตร์จริงๆ แม้ว่าช่วงท้ายเขาจะใส่หนักมากไปหน่อยก็ตาม แต่มันก็เป็นจดหมายแบบทั้งรักทั้งเกลียดของเขา ต่อสิ่งที่โลกเรียกว่า "ฮอลลีวูด"Babylon (บาบิลอน) เข้าฉาย 19 มกราคมนี้ ทุกโรงภาพยนตร์ภาพ : UIP Thailand

[REVIEW] ‘Meg 2 : The Trench’ ภาคต่อที่บันเทิงแบบปล่อยจอย อัดแน่นด้วยฉลามยักษ์ | GOSSIP GUN

03 ส.ค. 2023

[REVIEW] ‘Meg 2 : The Trench’ ภาคต่อที่บันเทิงแบบปล่อยจอย อัดแน่นด้วยฉลามยักษ์ | GOSSIP GUN

ย้อนกลับไปเมื่อ 5 ปีก่อน The Meg กลายเป็นหนังฉลามที่กวาดรายได้ไปแบบเหนือความคาดหมาย ด้วยรายได้ระดับ 500 ล้านเหรียญฯจากทั่วโลก อยู่ๆก็กลายเป็นหนังฉลามที่ทำเงินทั่วโลกสูงสุดตลอดกาลแซง Jaws ไปเป็นที่เรียบร้อย แม้ว่าถ้าจะเทียบกันจริงๆ โดยเอาค่าตั๋วมาดู ก็ยังคงแพ้ Jaws แต่ถ้านับแค่รายได้ ก็เลยชนะไปซะงั้น ทำให้โปรเจกต์ภาคต่อถูกอนุมัติในเวลาไม่นาน และที่น่าสนใจคือ กลายเป็นประเทศจีนที่เป็นประเทศที่ The Meg ภาคแรกทำเงินมากที่สุด ราวๆ 150 ล้านเหรียญฯ แซงอเมริกาที่ทำเงินไปแถวๆ 143 ล้าน จึงไม่แปลกใจเลยที่ภาคต่อนี้ ทางวอร์เนอร์เลยได้ไประดมทุน จับมือกับสตูดิโอในเมืองจีน แถมดึงพระเอกระดับบล็อกบัสเตอร์อย่าง อู๋จิง ที่ปรากฏตัวในหนังทำเงินถล่มทลายอย่าง Wolf Warrior 2, The Wandering Earth และ The Battle of Lake Changjin (ซึ่งล้วนอยู่ใน Top 10 หนังทำเงินสูงสุดตลอดกาลของจีน) มาร่วมแสดงประกบ เจสัน สเตแธม พระเอกจากภาคแรกที่กลับมารับบทนำในภาคต่ออีกครั้งMeg 2 : The Trench เล่าเรื่องราวหลายปีจากภาคแรก กับการผจญภัยครั้งใหม่ของ โจนัส (รับบทโดย เจสัน สเตแธม) ที่นำทีมนักวิจัยลงไปสำรวจร่องสมุทรที่ลึกลงไปในมหาสมุทร สถานที่ซึ่งพวกเขาเจอกับเมกาโลดอน หรือฉลามยักษ์ดึกดำบรรพ์ในภาคแรก ไม่นานอันตรายก็เริ่มเข้าใกล้ เมื่อเมกาโลดอนที่พวกเขาขังเอาไว้เพื่อวิจัยกลับหลุดออกมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ แถมยังมีเมกาโลดอนตัวอื่นโผล่ออกมา รวมถึงพวกเขากำลังจะได้พบกับ โครโนซอรัส สัตว์ลึกลับดึกดำบรรพ์ชนิดใหม่ที่ปรากฏอยู่ใต้ทะเล กลายเป็นจากภารกิจสำรวจใต้ทะเลลึก พวกเขาต้องเอาตัวรอดจากสิ่งมีชีวิตสุดอันตราย ที่ไม่ใช่แค่ทวีจำนวนมากขึ้น แต่เพิ่มความหลากหลายและอันตรายมากขึ้นด้วย หนังภาคนี้ได้ อู๋จิง มารับบทนำประกบกับ เจสัน ในบทจิวหมิง น้องชายของนางเอกจากภาคแรกโดยรวมภาคนี้ มันไปไกลกว่าแค่หนังฉลามแล้ว ดูจะเป็นหนังมอนสเตอร์ที่เน้นสัตว์ประหลาดจากใต้ทะเลลึกเสียมากกว่า จากภาคแรกที่เป็นหนังฉลามแบบติดเว่อร์นิดๆ เพราะเน้นไซส์ที่มโหฬารและที่มาจากดึกดำบรรพ์ แต่ภาคนี้เหมือนกำลังจะตั้งท่าขยายจักรวาลให้ใหญ่โตขึ้น นอกจากเมกาโลดอน ผู้ชมเลยจะได้เจอกับสัตว์ประหลาดจากใต้ทะเลอีกหลายตัว เหมือนกับผู้สร้างเตรียมจะขยายจักรวาลเป็น Sea-Monsterverse อะไรทำนองนั้น ซึ่งมันก็ช่วยทวีความน่าสนใจให้กับหนังมากขึ้นในอีก ในฐานะภาคต่อที่ทั้งขยายเส้นเรื่องและเพิ่มปริมาณเหล่ามอนสเตอร์ให้มากยิ่งขึ้น ใครที่ชอบหนังสัตว์ประหลาดน่าจะสนุกและคุ้มค่ากับการมาดูอยู่ไม่น้อยในขณะเดียวกันสิ่งที่แอบเปลี่ยนไปเล็กน้อยคือ Mood Tone ของหนัง ซึ่งแน่นอนว่ามันยังเป็นหนังแอ็กชันตื่นเต้น แต่ภาคนี้แอบปรับอารมณ์ให้ไม่โหดหรือซีเรียสเท่าเดิม เน้นให้หนังดูเป็นมิตรกับผู้ชมกลุ่มครอบครัวมากขึ้น ยกระดับความแฟนตาซีเพิ่มเข้าไปอีก แทนที่หนังจะขยับเข้าหาหนังสไตล์ Jaws แต่กลับขยับมาใกล้หนังแบบ Jurassic World เสียมากกว่า ซึ่งตรงนี้เองน่าจะเปิดโอกาสให้หนังทำเงินได้มากขึ้น รวมไปถึงเหมาะกับการเจาะตลาดจีนที่ภาคแรกกวาดเงินถล่มทลายไปแล้ว แต่แม้จะไม่ได้โหดเลือดสาดเท่าไหร่นัก แต่ฉากแอ็กชันต่างๆก็ยังทำออกมาได้ตื่นเต้น เร้าใจ และเว่อร์ขึ้นไปอีกสเต็ป เหมือนผู้สร้างจับทางได้แล้วว่าผู้ชมชอบสไตล์ไหน ก็จัดให้แบบนั้นอย่างไม่ยั้งสรุป Meg 2 : The Trench ถือเป็นหนังภาคต่อที่เข้าที่เข้าทางกว่าภาคแรก ยังคงความสนุกแบบดูเพลินได้ตลอดทั้งเรื่อง และทวีคูณหลายๆอย่างเข้าไป ทั้งในแง่ของสัตว์ประหลาด รวมถึงตัวละครฮีโร่ จากเดิมที่ภาคแรกเน้นความเท่ของ เจสัน สเตแธม ภาคนี้พอใส่ อู๋จิง เข้ามา เหมือนเจสันได้คู่หูมาร่วมแท็กทีม ยิ่งทำให้ฝั่งมนุษย์ดูน่าสนใจมากขึ้นไปอีก และไม่แน่อีกหน่อย อาจจะมีการต่อยอดสร้างเป็นภาคแยกฉบับจีนเลยก็เป็นอันได้ เพราะปกติหนังของ อู๋จิง ก็ทำเงินแบบถล่มทลายที่นั่นอยู่แล้ว อีกหน่อยเราคงได้เห็นหนังตระกูล Meg ที่มากขึี้นและหลากหลายขึ้นเป็นแน่แท้ชมตัวอย่าง Meg 2 : The Trench วันนี้ในโรงภาพยนตร์ภาพ : Warner Bros. Thailand

[REVIEW] ‘NOPE’ เหตุสยองจากบนฟ้า หนังผวาล่าสุดจาก จอร์แดน พีล | GOSSIP GUN

17 ส.ค. 2022

[REVIEW] ‘NOPE’ เหตุสยองจากบนฟ้า หนังผวาล่าสุดจาก จอร์แดน พีล | GOSSIP GUN

หลายคนสะดุุดหนังเรื่อง NOPE ตั้งแต่ชื่อไทย ที่ทางค่ายยูไอพี ตั้งแบบตรงไปตรงมาตามชื่ออังกฤษว่า "ไม่" นำไปสู่ปริศนาที่ต้องตามต่อในหนังว่า คำว่าไม่ ในที่นี้หมายถึงอะไร และมันใช้ในบริบทไหนของหนังกันแน่ นี่คือโปรเจกต์หนังเขย่าขวัญเรื่องที่ 3 ของ จอร์แดน พีล อดีตนักแสดงตลกที่ผันตัวมาเป็นนักสร้างหนังในแนว Horror ที่ปังตั้งแต่โปรเจกต์แรกอย่าง Get Out ที่นอกจากจะกวาดเงินถล่มทลาย ยังทำให้เขาได้รางวัลออสการ์มาครองอีกด้วย ต่อด้วย Us ที่ทั้งชวนผวาและสร้างความเหวอได้ไม่แพ้กัน มาถึงโปรเจกต์ล่าสุดอย่าง NOPE ที่ในหนังเรื่องนี้ เขาผสมความเป็น Sci-Fi เข้าไปในหนัง และเป็นการกลับมาร่วมงานกันครั้งอีกครั้ง พีล และแดเนียล คาลูย่า พระเอกจาก Get Out ที่ตอนนี้กลายเป็นนักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์ไปแล้ว คาลูย่า รับบท โอเจ ชายหนุ่มที่รับหน้าที่ดูแลคอกม้าต่อจากพ่อ หลังจากที่เขาเสียชีวิตด้วยเหตุการณ์สุดประหลาด เขากับน้องสาวที่บุคลิกต่างกันสุดขั้วอย่าง เอ็ม (รับบทโดย กีกี้ พาล์มเมอร์ จาก Hustlers) ต้องทำหน้าที่คอยฝึกม้า เพื่อไปใช้ในการถ่ายทำหนังหรือโฆษณา แต่แล้วเหตุการณ์สุดแปลกก็เกิดขึ้นต่อเนื่อง หลังจากพ่อของพวกเขาเสียชีวิต หลายครั้งที่ไฟฟ้าดับบริเวณบ้านกลางหุบเขาของพวกเขา ทุกอย่างที่เป็นของที่ใช้กระแสไฟฟ้า แม้แต่ รถยนต์ หรือมือถือก็ล้วนดับหมด แถมยังทำให้ม้าของพวกเขาผวากับบางอย่าง โอเจและเอ็ม เริ่มมองขึ้นไปบนฟ้า และสังเกตุเห็นว่า มีอะไรผิดปกติ โดยเฉพาะก้อนเมฆบางก้อน ที่ไม่เป็นอย่างที่ควรจะเป็น นำไปสู่เหตุการณ์สุดผวา ที่ไม่มีมนุษย์คนไหนเคยเผชิญมาก่อนสิ่งที่ทำให้อยากดูและตั้งตารอคอยผลงานของ จอร์แดน พีล มากๆ ทุกครั้งที่เขาทำโปรเจกต์ใหม่ คือเอกลักษณ์ที่โดดเด่นและแตกต่างในหนังเขย่าขวัญแบบของเขา ไม่ว่าจะเป็นพล็อตที่ถูกเก็บซ่อนเอาไว้ นำไปสู่ความเหวอขั้นสุดในช่วงหลัง การแฝงด้วยประเด็นสังคมที่มากกว่าเส้นเรื่อง อาทิ เรื่องสีผิวใน Get Out เรื่องประเทศใน Us มาจนถึงเรื่องล่าสุด ที่หยิบเอาเรื่องระดับโลกมาแฝงไว้ บวกกับอารมณ์ขัน ที่ถูกสอดแทรกไว้ในหนังด้วยจังหวะที่แม่นยำ ต้องขอบคุณที่เขาเคยเป็นนักแสดงตลกมาก่อน ทำให้เขาทำหนังเขย่าขวัญออกมาได้ดี เพราะสิ่งที่คล้ายกันของหนังเบาสมองและหนังเขย่าขวัญ คือ จังหวะที่แม่นยำในการปล่อยของ และจำเป็นต้องหามุกใหม่มาเล่นเสมอๆ (อย่างในหนังผี ถ้าเรื่องไหน มีฉากหลอกผู้ชมใหม่ๆ และจังหวะผีหลอกเป๊ะ มักจะออกมาดีงาม) นั่นทำให้หนังของ พีล ดูเฟรชตลอด เหมือนกับดูหนังของ เอ็ม.ไนต์ ชยามาลาน ที่ทั้งตลกด้วยและสอดแทรกประเด็นเสียดสีหรือวิพากท์สังคมไว้ด้วย การดู NOPE ถือเป็นประสบการณ์การดูหนังในโรงที่แปลกใหม่อีกครั้ง ด้วยสองปัจจัยสำคัญ คือทั้งในแง่ของการเล่าเรื่อง และภาพที่ปรากฏขึ้นบนจอ สิ่งที่หนังซ่อนเอาไว้ เต็มไปด้วยความแปลก ความประหลาด และชวนหวาดผวา พีลสามารถหยิบเอาสิ่งที่เราเห็นประจำ มาทวิสต์ให้เรารู้สึกหลอนกับสิ่งนั้นได้ ด้วยจังหวะการเล่าเรื่องที่เขาค่อยๆแย้มปริศนาที่ซ่อนอยู่ทีละนิดๆ จนกระทั่งสาดใส่ผู้ชมและตัวละครในเรื่องอย่างแรงในช่วงหลัง การดู NOPE ในโรง ทำให้ผู้ชมถูกตรึงไว้กับหนังได้อย่างดี บวกกับสิ่งที่ปรากฏบนจออย่างที่เอ่ยไป บางสิ่งที่หนังซ่อนเอาไว้ มันเหมาะที่จะถูกชมบนจอขนาดใหญ่มากๆ (ยิ่งโรง IMAXยิ่งเพิ่มอรรถรส) แม้มันจะไม่ใช่หนังแอ็กชันโปรดักชั่นใหญ่โต แบบที่ชอบฉายในระบบ IMAX แต่ "บางอย่าง" ในหนัง ยิ่งดูบนจอใหญ่ ยิ่งได้อารมณ์ขึ้นจริงๆ จนทำให้ NOPE น่าจะเป็นอีกหนึ่ง Cinema Experience สำหรับผู้ชมไม่มากก็น้อยเมื่อเทียบกับผลงานสองเรื่องก่อนของ จอร์แดน พีล ต้องถือว่า NOPE เล่าในสเกลหนังที่ใหญ่โตกว่าเดิมมาก และค่อนข้างดูง่ายกว่าทั้ง Get Out และ Us แต่มันก็ยังไม่ทิ้งเอกลักษณ์ที่ชัดเจนของผู้กำกับ หนังยังทำให้ผู้ชมเหวอ และหวาดผวากับพล็อตได้เช่นเดิม บวกกับจังหวะหลอนและจังหวะอารมณ์ขันที่ค่อนข้างถูกเป๊ะ พร้อมกับหลากหลายประเด็นที่ซุกซ่อนไว้ในหนัง ซึ่งไม่จำเป็นต้องคิดต่อก็ได้ แต่ถ้าพอจะสังเกตุก็นึกถึงสิ่งที่ผู้กำกับอยากสื่อได้อย่างสนุกสนาน ไม่ได้ชวนปวดหัวแบบหนังเชิงสัญลักษณ์บางเรื่อง เพราะท้ายที่สุด มันก็ยังเป็นหนังเขย่าขวัญซัมเมอร์ ที่พร้อมให้ผู้ชมทุกกลุ่มดูได้ และเปิดประสบการณ์แปลกใหม่ในการดูหนังได้ เช่นเดิม นี่คืออีกงานที่พิสูจน์ว่า ความสำเร็จของ Get Out ไม่ใช่เพราะความบังเอิญ พีล ตอกย้ำว่า เขาคือผู้กำกับที่น่าจับตามอง ในฐานะผู้กำกับที่มีเอกลักษณ์ชัดเจน หลังจากนี้ไม่ว่าจะทำอะไร ก็มีแฟนหนังชุดใหญ่พร้อมที่จะรอดูอยู่แล้วNOPE เข้าฉาย 18 กรกฎาคมในโรงภาพยนตร์ ชมตัวอย่าง :ภาพ : UIP Thailand

album

0
0.8
1