[REVIEW] ‘Guardians of the Galaxy Vol.3’ ส่งท้ายอย่างยิ่งใหญ่ ปิดไตรภาคการ์เดี้ยนอย่างทรงพลัง | GOSSIP GUN

HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘Guardians of the Galaxy Vol.3’ ส่งท้ายอย่างยิ่งใหญ่ ปิดไตรภาคการ์เดี้ยนอย่างทรงพลัง | GOSSIP GUN

08 พ.ค. 2023

การเข้าฉายของ Guardians of the Galaxy Vol.3 เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่แสดงให้เห็นชัดเจน ถึงการเดินหมากที่ผิดพลาดของMarvel Studios ยิ่งเมื่อผลตอบรับของหนังออกมาในแง่บวกมากๆ ในวันที่ค่ายปล่อย เจมส์ กันน์ ให้หลุดมือไปคุมค่ายคู่แข่งอย่าง DC ไปแล้ว ยิ่งน่าเสียดายแทนยิ่งนัก อันที่จริงแล้วหนังเรื่องนี้ควรฉายได้ตั้งแต่ 2-3 ปีที่แล้วด้วยซ้ำ ตั้งแต่ Avengers : Endgame เพิ่งจบใหม่ๆ พอมาฉายตอนนี้ ซึ่งทิ้งห่างจาก Guardians of the Galaxy Vol.2 นานถึง 6 ปี ดูเหมือนจะกลายเป็นการทิ้งช่วงที่นานเกินไป ทั้งหมดเป็นเพราะความตื่นตูมของดิสนีย์ที่ไล่ผู้กำกับ เจมส์ กันน์ ออกเพราะเหตุดราม่าในทวิตเตอร์อันน้อยนิด จนในที่สุดก็ต้องมาย้อนคำตัดสินของตัวเอง เมื่อเห็น กันน์ ไปกำกับ The Suicide Squad ให้ค่ายคู่แข่ง ทำให้การเกิดขึ้นของหนังเรื่องนี้ช้าเกินไปอย่างน่าเสียดาย ดันมาในช่วงเวลาที่กระแสความไฮป์ของจักรวาลมาร์เวลเริ่มจางหายไปเสียแล้ว..

Guardians of the Galaxy Vol.3 ถูกวางตัวไว้ในฐานะหนังปิดไตรภาคของแก๊งการ์เดี้ยน และเล่าเหตุการณ์ไม่นานนักหลังจากAvengers : Endgame เมื่อปีเตอร์ สูญเสียคนรักของเขาอย่างกามอร่าไป สมาชิกของแก๊งอาศัยอยู่ในโนแวร์ และทำภารกิจปกป้องจักรวาลไปเรื่อยๆ ในภาคนี้ หนังจะเล่าเหตุการณ์ใน 2 ไทม์ไลน์ไปพร้อมๆกัน โดยศูนย์กลางของเรื่องอยู่ที่ร็อคเก็ต เมื่อมันถูกโจมตีโดย อดัม วอร์ล็อก ทำให้ชีวิตตกอยู่ในอันตราย ทันใดนั้นทุกคนต่างรู้ว่า ตัวเองแทบจะไม่รู้ที่มาของร็อคเก็ตเลย หนังจึงค่อยๆพาผู้ชมและสมาชิกชาวการ์เดี้ยน ย้อนกลับไปยังที่มาของตัวละครนี้ ซึ่งจะเกี่ยวพันกับเหตุการณ์สำคัญยิ่งในอนาคตที่กำลังจะมาถึง นี่คือหนังที่นอกจากจะพาผู้ชมไปสู่บทสรุปของเหล่าการ์เดี้ยน แต่ก็ยังพาผู้ชมย้อนกลับไปสู่จุดเริ่มต้นเช่นกัน

นี่คือหนังปิดไตรภาคที่นอกจากจะคงเอกลักษณ์ของความเป็น Guardians of the Galaxy ไว้ได้อย่างครบถ้วน มันยังกลายเป็นหนังภาคที่ทรงพลังมากที่สุดในบรรดาไตรภาค รวมถึงหนังตระกูลมาร์เวลในยุคหลังๆ แม้ครึ่งแรกหนังจะใช้เวลาพอสมควร ในการเคาะสนิม ค่อยๆพาผู้ชมย้อนกลับไปดูความเป็นไปของตัวละคร แต่เมื่อชั่วโมงหลังมาถึง ทุกองค์ประกอบของ Guardians of the Galaxy Vol.3 ถือว่าก้าวเข้าสู่จุดพีกแทบทั้งหมด ด้วยประเด็นของหนังที่ค่อนข้างจริงจังและจับประเด็นที่ค่อนข้างใหญ่ยิ่งกว่าทุกภาค นำไปสู่ฉากไคลแม็กซ์ที่จัดเต็มทั้งในแง่ของเส้นเรื่องและงานสร้าง กลายเป็นการปิดท้ายการผจญภัยของเหล่าการ์เดี้ยนที่น่าพอใจและคู่ควรสำหรับกลุ่มของคาแรคเตอร์ที่แฟนๆรักเช่นนี้

ยิ่งที่แข็งแรงมากๆของหนังตระกูล Guardians of the Galaxy ไม่ใช่ของการแสดงพลังพิเศษของตัวละครแบบในหนังซูเปอร์ฮีโร่ทั่วไป แต่มันคือการแสดงพลังแห่งมิตรภาพและความเป็นอันหนึ่งอันเดียว การจับมือกัน ซึ่งในภาคนี้ไม่ใช่แค่แก๊งการ์เดี้ยนแล้ว แต่มันคือการร่วมมือกันของทุกชีวิต เอกลักษณ์สำคัญที่ทุกตัวละครการ์เดี้ยนมีจุดร่วมกัน คือความ "ไม่สมบูรณ์แบบ"ทุกตัวละครล้วนมีจุดแปลก จุดบกพร่องของตัวเอง แต่เมื่อทุกคนร่วมมือกัน มันกลายเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ ซึ่งหนังภาคนี้โดยเฉพาะในครึ่งหลัง ไม่ได้แค่เชิดชูแค่ความเป็นตัวตนที่ไม่เหมือนใครเท่านั้น แต่เชิดชูการมีชีวิตของทุกชีวิต นี่คือหนังที่่ไม่เพียงแต่จะทำให้เราหันไปมองคนรอบข้าง แต่กลับมองทุกชีวิตอย่างมีคุณค่า แม้ว่าจะไม่ใช่สปีชีย์เดียวกับเราก็ตาม ซึ่งในหนังหลายๆเรื่องมองข้ามจุดๆนี้ไป

แม้ Guardians of the Galaxy Vol.3 จะพาผู้ชมไปสู่จุดที่จริงจัง ทรงพลัง และยิ่งใหญ่กว่าทุกภาค ด้วยความซีเรียสของเส้นเรื่องที่ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความเป็นความตายของตัวละคร ตัวร้ายที่พร้อมฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุเพราะทำตัวเยี่ยงพระเจ้า แต่หนังยังคงเอกลักษณ์ของ Guardians of the Galaxy ไว้อย่างครบถ้วน ในแบบที่ถ้าไม่ใช่ เจมส์ กันน์ ก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าใครจะสามารถทำได้ดีเท่า เอกลักษณ์ความเป็นการ์เดี้ยนในที่นี้ ประกอบไปด้วยความเกรียนอย่างร้ายกาจ มิตรภาพอันแน่นแฟ้นของตัวละคร จัดเข้ากลุ่มจำพวกปากร้ายแต่ใจดี จังหวะมุกต่างๆทำออกมาได้ค่อนข้างเวิร์กมากๆ และจังหวะประทับใจก็ถูกจัดวางไว้อย่างเป็นที่น่าพอใจเช่นเดียวกัน

โดยรวมแม้ Guardians of the Galaxy Vol.3 จะเป็นภาคปิดท้าย แต่มันก็ได้พาผู้ชมกลับสู่รากเหง้าของตัวละครหลายๆตัว แม้จะชูร็อคเก็ตเป็นแกนหลัก แต่ก็ยังไม่ทิ้ง สตาร์ลอร์ดและตัวละครอื่นๆ เป็นการเหลียวหลังเพื่อไปต่ออย่างแข็งแร็ง นี่คือหนังที่น่าจะเป็นที่พึงพอใจสำหรับแฟนหนังมาร์เวลอย่างแน่นอน และสำหรับผู้ชมทั่วไปก็น่าจะทำให้ตกหลุมรักตัวละครเหล่านี้เพิ่มมากขึ้น และยิ่งคิดถึงมากขึ้นไปอีกเมื่อเส้นทางในหนังชุดนี้กำลังจะจบลง สิ่งที่อยากทิ้งท้ายแถมไว้สำหรับคนดูทั่วไป ถ้าใครเป็น คนรักสัตว์ และคนรักเสียงเพลงละก็ นี่คือหนังที่จะทำให้คุณฟินมากขึ้นอีกสเต็ปอย่างแน่นอน

ชมตัวอย่าง Guardians of the Galaxy Vol.3 วันนี้ในโรงภาพยนตร์

 

ภาพ : Marvel Thailand

related HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘เธอกับฉันกับฉัน (You and Me and Me)’ หนังแฟนฉันของคนยุคนี้ รักแรกของฝาแฝดสุดประทับใจ| GOSSIP GUN

10 ก.พ. 2023

[REVIEW] ‘เธอกับฉันกับฉัน (You and Me and Me)’ หนังแฟนฉันของคนยุคนี้ รักแรกของฝาแฝดสุดประทับใจ| GOSSIP GUN

ใครที่เคยคิดถึงหนัง Feel Good ดีต่อใจสไตล์ค่ายจีดีเอช (หรือค่ายก่อนหน้านี้) การรอคอยกำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว กับผลงานใหม่อย่าง 'เธอกับฉันกับฉัน' ที่จะชวนให้ผู้ชมหวนระทึกถึงความทรงจำในวัยเด็ก และรักแรกในวัยรุ่นของเราอีกครั้ง แต่ความแตกต่างของโปรเจกต์นี้ คือการ ใช้ตัวละครนำเป็นฝาแฝด และพาผู้ชมเข้าสู่โลกของแฝด กับรายละเอียดหลายแง่มุมที่อาจไม่เคยรู้มาก่อน ผ่านสองผู้กำกับแฝดหญิงอย่าง วรรณแวว และแวววรรณ หงษ์วิวัฒน์ ที่เคยจับงานเบื้องหลังในหลังคาค่ายนี้อยู่นาน ก่อนที่จะได้รับโอกาสในการกำกับหนังใหญ่เรื่องแรก ผ่านการดูแลของ โต้ง บรรจง ผู้กำกับระดับพันล้าน ที่มีผลงานการันตีแน่นเครดิต'เธอกับฉันกับฉัน' พาผู้ชมย้อนกลับไปในยุคสมัย Y2K (ซึ่งอยู่ดีๆก็กลับมาเป็นเทรนด์ ณ เวลานี้) ในปี 1999 ช่วงเวลาที่คนทั้งโลกกำลังหวาดวิตกว่า การก้าวเข้าสู่ยุค 2000 จะเกิดปัญหาด้านคอมพิวเตอร์ ทำให้เกิดภัยพิบัติมากมาย ซึ่งตรงกับคำทำนายของนอสตราดามุส ว่าโลกอาจถึงจุดสิ้นสุด โดยสองตัวละครหลักของเรื่อง คือ พี่น้องฝาแฝด ยู และ มี (รับบทโดย ใบปอ ธิติยา จิระพรศิลป์ ซึ่งแสดงคนเดียวเป็นสองบทบาทเลย) ทั้งคู่เติบโตมาด้วยกัน แชร์หลายๆอย่างด้วยกัน และเป็นส่วนหนึ่งของกันและกันมาตลอดชีวิต จนกระทั่งพวกเธอได้พบกับ หมาก (รับบทโดย อันโทนี่ บุยเซอเรท์) หนุ่มหล่อลูกครึ่งเพื่อนร่วมโรงเรียน ที่เจอกันตั้งแต่ตอนสอบซ่อม ไปจนถึงช่วงปิดเทอมซัมเมอร์ที่นครพนม ไม่นานเรื่องราวความรักก็เริ่มเข้ามาในหัวใจของคนทั้งสาม นี่คือรักแรกของสองแฝด กับ หนึ่งหนุ่ม ที่ความสัมพันธ์ค่อยๆ ยุ่งเหยิงและนำไปสู่ การตัดสินใจที่พวกเธอไม่เคยเผชิญมาก่อน'เธอกับฉันกับฉัน' คือหนังที่ค่อยๆพาผู้ชมเข้าสู่โลกของฝาแฝด ที่ทั้งมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไป หลายอย่างอาจจะเป็นมุมอินไซด์ที่คนทั่วไปอาจไม่ได้รู้มาก่อน ทำให้เกิิดพล็อตที่ทั้งสนุกสนานและยุ่งเหยิงได้มากมาย จากการที่เธอทั้งสองหน้าเหมือนกัน แทบจะเป็นคนๆเดียวกัน และในขณะเดียวกัน มันก็ถูกเล่าผ่านโครงเรื่องในลักษณะ รักแรก ผสมกับ รักสามเส้า ทำให้นอกจากมุมดีต่อใจแล้ว ผู้ชมสามารถคาดเดาได้เลยว่า จะได้เจอมุมบีบหัวใจอย่างแน่นอน ทำให้หนังนอกจากจะน่าติดตามในปมเรื่องแฝดแล้ว ยังน่าจะทำให้ผู้ชมอินในประเด็นรักแรก หรือรักในวัยเรียนได้อีกด้วยสิ่งที่เพิ่มความน่าสนใจให้กับ 'เธอกับฉันกับฉัน' ยิ่งขึ้นไปอีก คือการที่หนังเลือกเล่าในบรรยากาศปลายยุค 90s ซึ่งเป็นอีกหนึ่งยุคที่มีเสน่ห์เฉพาะตัวเพราะอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน กำลังเข้าสู่ยุคออนไลน์ หนังสนุกกับการหยิบ Pop Culture ในยุคนั้นมาเล่นหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ที่ฉายในปีนั้น เพลงดังที่ถูกปล่อยในช่วงนั้น ร้านอาหารที่เป็นที่นิยมของคนยุคนั้น ไปจนถึงไอเท็มบางอย่างที่บอกยุคสมัยได้อย่างดี สำหรับผู้ชมที่สมัยหนัง แฟนฉัน เข้าฉายแล้วอาจจะเกิดไม่ทัน ไม่ได้อินกับเรื่องแวดล้อมในหนัง อาจจะมาอินกับหนังเรื่องนี้ได้ไม่ยาก สำหรับใครที่อายุราว 30-40 ปี น่าจะเป็นช่วงที่กำลังเติบโต กำลังเสพสื่อ กำลังใช้ชีวิตผ่านช่วงเวลานั้น หนังทำให้ผู้ชมระลึกถึงความทรงจำในอดีตอันหอมหวานได้อย่างดีอีกด้วยแต่สิ่งที่น่าชื่นชมมากที่สุด ต้องยกให้กับงานสร้าง ที่อาจกล่าวได้ว่า นี่คืองานที่ไม่ง่ายเลยทั้งสำหรับทีมงานและนักแสดง เพราะเมื่อ 'เธอกับฉันกับฉัน' ใช้นักแสดงเพียงคนเดียว เล่นเป็นฝาแฝด ดังนั้นเทคนิคการถ่ายทำหลายๆอย่างจึงถูกหยิบนำมาใช้ ส่วนที่ง่ายหน่อยน่าจะเป็นซีนที่ถ่ายผ่านหลัก ทำให้เห็นตัวละครเพียงคนเดียว แต่สำหรับฉากที่ต้องเห็นทั้งสอง ทั้งถ่ายทำและตัดต่อออกมาได้เนี้ยบมากๆ จนแทบจะไม่มีจุดไหนรู้สึกสะดุดเลย และที่สำคัญต้องชื่นชมน้องใบปออย่างยิ่ง ที่สร้างคาแรคเตอร์ ยูกับมี ออกมาแตกต่างได้อย่างชัดเจน ในช่วงแรกอาจจะต้องตั้งใจดูเพื่อจับความแตกต่างพอสมควร แต่เมื่อหนังดำเนินไป ไม่ใช่แค่ไฝที่ต่าง แต่วิธีการพูด ลักษณะของตัวละครก็สามารถแยกได้ชัด ซึ่งเป็นงานที่ไม่ง่ายเลยสำหรับนักแสดงหน้าใหม่ ซึ่งต้องปรบมือชื่นชมในจุดนี้โดยรวม 'เธอกับฉันกับฉัน' ถือเป็นหนังไทยที่น่าสนใจและไม่ควรพลาดอีกเรื่อง ด้วยคุณภาพที่กล่าวได้ว่าตามมาตรฐานค่ายจีดีเอช ทั้งในแง่บท งานสร้าง และองค์ประกอบต่างๆ ใครที่เคยคิดถึงหนังอารมณ์ดี หนังแนว Coming-of-Age ที่ทางค่ายเองก็ไม่ได้สร้างหนังแนวนี้มาพักใหญ่ นี่คือการกลับมาที่น่าพอใจ และเชื่อว่า หนังจะสามารถเข้าไปอยู่ในใจของผู้ชมหลายต่อหลายคนได้อย่างแน่นอนชมตัวอย่าง 'เธอกับฉันกับฉัน' วันนี้ในโรงภาพยนตร์ภาพ : GDH

[REVIEW] ‘Babylon’ มหากาพย์สุดบ้าคลั่ง ฉากหลังยุคทองฮอลลีวูด| GOSSIP GUN

18 ม.ค. 2023

[REVIEW] ‘Babylon’ มหากาพย์สุดบ้าคลั่ง ฉากหลังยุคทองฮอลลีวูด| GOSSIP GUN

La La Land คือปรากฏการณ์ของฮอลลีวูด หลังจากเข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง13 สาขาเทียบเท่า Titanic แม้ว่าท้ายที่สุดจะพลาดรางวัลสำคัญอย่าง Best Picture แต่หนังก็ส่งให้ เดเมียน ชาเซลล์ กลายเป็นผู้กำกับที่อายุน้อยที่สุดที่ชนะสาขา Best Director นั่นทำให้ทุกโปรเจกต์หลังจาก La La Land จากฝีมือเขาล้วนถูกจับตา หลังจากเบนเข็มไปเล่าเรื่องนอกฮอลลีวูดมาแล้วกับ First Men เดเมียนขอกลับสู่เรื่องราวที่เขารักมากที่สุดอีกครั้ง เรื่องราวของแวดวงภาพยนตร์ใน 'Babylon' โปรเจกต์ยักษ์ทุนสร้าง80 ล้านเหรียญฯ ที่เปิดโอกาสให้เดเมียนที่โชว์ฝีมือแบบเต็มที่ จะได้โชว์เรื่องราวเกี่ยวกับฮอลลีวูดอย่างเต็มสตรีมBabylon พาผู้ชมย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นยุคทองของฮอลลีวู้ดในช่วงปลายยุค 1920s มหากาพย์ของหลากหลายตัวละคร ที่แจ้งเกิดและแตกดับ ท่ามกลางการเปลี่ยนถ่ายของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ จากยุคหนังเงียบ สู่หนังที่มีเสียง หลายความฝันเป็นจริง หลายคนมุ่งมั่นประสบความสำเร็จ แต่เมื่อทุกอย่างไม่ยั่งยืน จึงไม่มีคำว่า ตลอดไป โดยเฉพาะในวงการนี้ โดยตัวละครหลักๆที่หนังโฟกัส เริ่มจาก แมนนี่ (รับบทโดย ดิเอโก้ ซัลวา) หนุ่มจากเม็กซิโกที่ข้ามชายแดนมายังฮอลลีวู้ดเพราะหลงไหลในมนต์เสน่ห์ของภาพยนตร์ จนทำให้เขาอยากสร้างหนัง ได้มาเจอกับ เนลลี่ (รับบทโดย มาร์โก ร็อบบี้) หญิงสาวสุดทะเยอทะยานที่เธอเชื่อสุดใจว่าเธอเกิดมาเพื่อเป็นซูเปอร์สตาร์ ระหว่างที่ทั้งคู่ค่อยๆไล่ตามความฝันไปทีละขั้น พวกเขาก็ได้เจอกับ แจ็ค คอนราด (รับบทโดย แบรด พิตต์) นักแสดงเบอร์ท็อปของวงการในขณะนั้น ที่ไม่ว่าเล่นหนังเรื่องไหนก็ฮิตติดลมบนทุกเรื่อง แต่เมื่อฮอลลีวูดกำลังจะเปลี่ยนไป ยุคของหนังเสียงกำลังก้าวเข้ามาแทนที่หนังเงียบ พวกเขาทุกคนและทุกชีวิตในฮอลลีวูดก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปถ้าเปรียบ La La Land เป็นเหมือนน้ำนิ่งที่ไหลลึก หนังอย่าง Babylon ก็คือคลื่นที่ซัดกระหน่ำไม่หยุดตลอดเวลา แม้ว่ามันจะเล่าถึงคนตามฝันในวงการบันเทิงเหมือนกัน แต่สำหรับเรื่องนี้ เดเมียน ขอปรับเข้าสู่โหมดที่บ้าคลั่งอย่างเต็มที่ เรียกว่าปล่อยของแบบไม่มีลิมิตเลยจริงๆ หนังเริ่มจากฉากปาร์ตี้สุดคลั่ง ที่เต็มไปด้วยเหล้ายาเซ็กซ์ หลายอย่างที่ไม่มีใครคาดคิด (แม้แต่ช้างก็ยังมี) กับทุกเหตุการณ์ที่เหนือความควบคุม สะท้อนถึงภาพความสุดเหวี่ยงของไลฟ์สไตล์คนบันเทิงในยุคนั้น ก่อนที่จะต่อด้วยเช้าวันใหม่กับการถ่ายทำหนังที่เต็มไปด้วยความโกลาหลอลหม่านขั้นสุด กองถ่ายที่หนังฟอร์มใหญ่ที่ดูเหมือนกำลังจะพังพินาศ จะพังแหล่ไม่พังแหล่ แค่ฉากใหญ่สองซีนแรก ก็ทำให้ผู้ชมอารมณ์สูบฉีดขั้นสุด มันทั้งสนุก ทั้งบ้าคลั่ง ทั้งตลกอย่างร้ายกาจ และเป็น Mood Tone แรก ที่บอกถึงสไตล์อันชัดเจนของ Babylon ในช่วงเวลาที่เล่าถึงการผงาดของหลายความฝันและเมื่อความเปลี่ยนแปลงมาถึง อีกหนึ่ง Mood Tone ที่ค่อยๆเผยออกมาใน Babylon คือความดาร์กของชีวิต ที่หลายฉากพาให้อารมณ์ผู้ชมดำดิ่งอยู่ไม่น้อย เมื่อทุกอย่างไม่จีรั่งยั่งยืน ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้าไปได้ตลอด หนังค่อยๆพาผู้ชมไปดู ชีวิตที่ต้องจะเกียกตะกายไล่ตามฝันอีกครั้ง หลังจาก La La Land เดเมียนเคยสื่อสารกับผู้ชมว่า ทุกความฝันย่อมต้องมีการเสียสละ คุณไม่สามารถเอาชนะหรือทำตามใจตัวเองได้ทุกอย่าง นำไปสู่บทสรุปที่หลายคนใจสลาย สำหรับ Babylon เดเมียนกำลังจะบอกผู้ชมว่า แม้ความฝันจะเป็นจริงแล้ว แต่ไม่มีอะไรอยู่กับเราได้ตลอดไป ทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องชั่วคราวทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียงเงินทอง เมื่อหลายๆตัวละครขึ้นสู่จุดสูงสุด แล้วตกลงมาท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง มันจึงไม่ง่ายเลยที่จะกลับไปอยู่จุดเดิมอีกครั้ง (ซึ่งส่วนใหญ่ไม่มีโอกาสนั้นอีกแล้ว)ไม่แปลกใจที่กระแสคำวิจารณ์ของ Babylon จากเมืองนอก จะออกมาในลักษณะที่ไม่ รัก ก็ เกลียด มันเป็นหนังที่ส่วนตัวมากๆสำหรับเดเมียน เหมือนสร้างมาประหนึ่งว่าตัวเองจะไม่มีโอกาสได้สร้างหนังอีกแล้ว เขาอยากเล่าอะไรจึงเล่า อยากทำอะไรจึงทำ หนังมันจึงมีอารมณ์ที่ขึ้นสุดลงสุด ตลอด 3 ชั่วโมง 8 นาที บ้างก็ว่าหนังขาดความสมูธ บ้างก็ว่าทิศทางของหนังดูเหมือนจะไม่ชัดเจนเท่าไหร่นัก แต่โดยรวมต้องชื่นชมความจัดเต็มของเขา การออกแบบงานสร้างที่ไม่ธรรมดา ดนตรีประกอบสุดเร้าใจ และการแสดงโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดิเอโก้ ซัลวา และมาร์โก้ ร็อบบี้ ที่แสดงได้อย่างยอดเยี่ยมในหลายๆฉากที่ท้าทายฝีมือมากๆท้ายที่สุดแม้ว่า Babylon จะแตกต่างจาก La La Land อย่างมาก แต่ก็มีหลายครั้งที่กลิ่นอายของLa La Land (หรือแม้แต่งานก่อนหน้าอย่าง Whiplash) ชัดเจนมากเช่นกัน โดยเฉพาะดนตรีประกอบที่ท่วงทำนองในหลายฉากภาพของ La La Land ผุดเข้ามาในหัวเลย ใครที่เคยชอบ La La Land ก็อยากให้ลองมาพิสูจน์หนังเรื่องนี้ แม้ว่าหนังจะดูเป็นคนหลายบุคลิกไปหน่อย บ้าคลั่งไปหน่อย แต่แก่นก็มัน ก็ทั้งโรแมนติกและบีบหัวใจไม่แพ้กัน และที่แน่ๆ หลังจากดูจบเราเชื่อมั่นเหลือเกินว่า เดเมียน ชาเซลล์ รักในการทำหนัง รักในศาสตร์ของภาพยนตร์จริงๆ แม้ว่าช่วงท้ายเขาจะใส่หนักมากไปหน่อยก็ตาม แต่มันก็เป็นจดหมายแบบทั้งรักทั้งเกลียดของเขา ต่อสิ่งที่โลกเรียกว่า "ฮอลลีวูด"Babylon (บาบิลอน) เข้าฉาย 19 มกราคมนี้ ทุกโรงภาพยนตร์ภาพ : UIP Thailand

[REVIEW] “A Man and A Woman จูบนั้นฉันจำไม่ลืม” บีบหัวใจขั้นสุดกับรักที่เป็นไปไม่ได้ | GOSSIP GUN

08 ก.พ. 2022

[REVIEW] “A Man and A Woman จูบนั้นฉันจำไม่ลืม” บีบหัวใจขั้นสุดกับรักที่เป็นไปไม่ได้ | GOSSIP GUN

วาเลนไทน์นี้ อยู่ๆก็มีหนังรักของ กงยู เข้ามาให้ได้ดูกันในโรง อันที่จริงแล้วA Man and A Womanหนังที่ออกฉายในเกาหลีเมื่อหลายปีก่อน แต่คนไทยอาจจะยังไม่ค่อยได้ดูกันในวงกว้าง เนื่องจากตอนนั้นยังไม่มีค่ายหนังใดซื้อสิทธิ์เข้ามาอย่างเป็นทางการ จนกระทั่งล่าสุด มงคลซีนีม่า หยิบหนังมาให้ได้ดูกัน ซึ่งA Man and A Woman (หรือชื่อไทยว่า จูบนั้นฉันจำไม่ลืม)เป็นผลงานของ ลียุนกิ ผู้กำกับจากCome Rain, Come Shineซึ่งในเรื่องนี้เขาได้กลับมาร่วมงานกับนางเอกฝีมือเยี่ยม จอนโดฮยอน ที่เคยร่วมงานกันมาแล้วในMy Dear Enemyซึ่งผลงานชิ้นใหม่ของทั้งคู่ไม่ธรรมดา เพราะบินไปถ่ายทำกันไกลถึงฟินแลนด์เลยทีเดียวจอนโดฮยอน รับบท ซังมิน คุณแม่ที่ต้องแบกภาระเลี้ยงดูลูกชายที่ป่วยเป็นเด็กพิเศษ ทำให้เขาต้องเข้าโรงเรียนพิเศษที่ฟินแลนด์ ในขณะที่เธอไปส่งลูกเพื่อไปเข้าค่าย ทำให้เจอกับ กีฮง(รับบทโดย กงยู)คุณพ่อที่มีลูกสาวเป็นเด็กพิเศษเช่นกัน ด้วยความเป็นห่วงลูกทำให้ ซังมินกล้าชวนคนแปลกหน้า ขับรถข้ามเมืองไปหาลูกที่แคมป์ แต่พวกเขากลับเจอพายุหิมะ ทำให้ต้องเข้าพักในโรงแรมแห่งหนึ่ง และด้วยบรรยากาศความเหงา ปัญหาชีวิตที่ต่างรุมเร้า ทำให้คนทั้งสองได้สัมผัสไออุ่นรักซึ่งกันและกัน นำไปสู่ความสัมพันธ์ที่เกินเลย และแม้ทั้งสองจะจากกันไป แต่ความทรงจำครั้งนี้ยากที่จะลืมเลือน จนกระทั่งทั้งคู่ได้กลับมายังเกาหลี และได้พบหน้ากันอีกครั้งก่อนดูA Man and A WomanแอบนึกถึงThe Bridge of Madison Countyมาก่อนเลยหลังจากอ่านพล็อตจบ ด้วยความที่หนังฮอลลีวูดเมื่อปี1995ของ คลินต์ อีสต์วูด และเมอรีล สตรีป ขึ้นแท่นหนังรักต้องห้ามที่ตราตรึงใจผู้ชมมานานแสนนาน และด้วยบทสรุปที่เจ็บปวดหัวใจขั้นสุด แต่ถ้าจะถึงขั้นเอามาเทียบกันอาจจะไม่ได้ เพราะหนังสองเรื่องตามมีจังหวะในการเล่าที่ต่างกัน ด้วยความเป็นเกาหลีและฮอลลีวูด แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่แทบจะไม่แตกต่างกันเลย คือความบีบหัวใจของหนังทั้งสอง ผู้ชมรู้ตั้งแต่นาทีแรกอยู่แล้ว ว่าความรักของพวกเขาคือความรักต้องห้าม แม้มันจะเกิดในช่วงเวลาที่ทั้งสองอ่อนแอ ต้องการใครสักคน แต่ด้วยภาระและความผูกพันที่มีต่อครอบครัว ทำให้มันเป็นไปไม่ได้A Man and A Womanค่อยๆเล่าเรื่องด้วยการพาเราค่อยๆรู้จักชีวิตของ ซังมิน และกีฮง มากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่เราได้เห็นจังหวะความรักของทั้งสอง ที่ค่อยๆเพิ่มขึ้น จนกระทั่งไปถึงระดับคลั่งรัก ผู้ชมก็จะได้เห็นข้อแม้ในชีวิตทั้งสองมากขึ้นเช่นกัน ทั้งภาระเรื่องงาน และที่สำคัญคือครอบครัว คู่ชีวิตของทั้งสองเป็นอย่างไร ทายาทของทั้งคู่เป็นอย่างไร ยิ่งเวลาในหนังดำเนินไป ผู้ชมจะยิ่งปวดใจมากขึ้นเรื่อยๆ แม้กระทั่งในฉากที่ทั้งสองตัวละครอินเลิฟขั้นสุด ในเวลาเดียวกันเชื่อว่าผู้ชมก็บีบหัวใจไปพร้อมๆกัน เพราะเราต่างรู้ดี เช่นเดียวกันตัวละครในหนังว่า ท้ายที่สุดมันคือความรักที่ไม่ถูกต้องแน่นอนว่าการแสดงของสองนักแสดงนำคือไฮไลต์สำคัญของหนัง กงยูเรื่องนี้คลั่งรักขั้นสุด(เหมือนเราไม่ค่อยได้เห็นกงยูในโหมดนี้เท่าไหร่นักในยุคหลังๆ)หลายฉากพระเอกอินเลิฟจนผู้ชมแทบจะเขินตามเลยทีเดียว ส่วน จอนโดฮยอน ถ่ายทอดบทบาทผู้หญิงที่แบกภาระอันหนักอึ้งไว้ได้อย่างดี ถ่ายทอดอารมณ์อันซับซ้อน จนผู้ชมสัมผัสได้ถึงทั้งความสุขและความทุกข์ที่เธอต้องเผชิญไปพร้อมๆกัน นอกจากนี้ ฉากไฮไลต์ที่หลายคนกล่าวถึงคือฉากเลิฟซีน ซึ่งกล่าวกันตรงๆว่า ก็ไม่ได้หวือหวาระดับ18+อย่างที่โปรโมต แต่ความร้อนแรงนั้นมาสุด ผู้ชมสัมผัสได้ถึงPassionของสองตัวละคร ฉากของทั้งคู่ร้อนฉ่าจนสามารถแซวได้ว่าหิมะรอบๆตัวแทบจะละลายเลยทีเดียว(ให้8คะแนนจากคะแนนเต็ม10คะแนน)

[REVIEW] 'Thor : Love and Thunder' โรแมนติกสมชื่อ สู่บทใหม่ของเทพเจ้าสายฟ้า | GOSSIP GUN

06 ก.ค. 2022

[REVIEW] 'Thor : Love and Thunder' โรแมนติกสมชื่อ สู่บทใหม่ของเทพเจ้าสายฟ้า | GOSSIP GUN

ในขณะที่เพื่อนร่วมรุ่นอย่างIron ManและCaptain Americaประกาศจบการศึกษากันไปแล้ว ด้วยการมีหนังเดี่ยวคนละ3ภาค แต่Thorกลายเป็นซูเปอร์ฮีโร่คนแรกในจักรวาลมาร์เวล ที่มีหนังของตัวเองเป็นภาคที่4ได้ ด้วยหลายๆปัจจัย ทั้งในแง่ของตัวละครที่ยังสามารถเล่าในแง่มุมต่างๆได้อีกเพียบ ความเป็นเทพ การเดินทางข้ามจักรวาล ทำให้เรื่องราวของThorถูกเปิดกว้างยิ่งกว่า รวมถึงปมที่เกี่ยวกับตัวละครแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เจน ฟอสเตอร์ อดีตแฟนสาวของเขา ที่ถูกทิ้งไปดื้อๆหลังจบภาค2ทำให้นี่อาจจะเป็นโอกาสที่จะมาสานต่อเรื่องราวให้สมบูรณ์ รวมถึงความสำเร็จของหนังภาคก่อนอย่างThor : Ragnarokที่ผู้กำกับ ไทก้า ไวติติ เข้ามาปรับMood Toneทำให้หนังสนุกขึ้นและฉูดฉาดขึ้น จึงน่าเสียดายที่หนังของThorจะจบแค่ไตรภาคแรกเท่านั้น ทั้งๆที่มันยังมีโอกาสไปต่อได้นำมาสู่Thor : Love and Thunderที่หยิบเรื่องราวของธอร์(รับบทโดย คริส เฮมเวิร์ธ)มาเล่าต่อหลังจากเหตุการณ์ในAvengers : Endgameเมื่อเขาได้ออกเดินทางไปทั่วจักรวาลพร้อมกับเหล่าGuardians of the Galaxyเพื่อช่วยเหลือใครก็ตามที่เดือดร้อน จนกระทั่งพวกเขาได้พบกับGorr The God Butcher (รับบทโดย คริสเตียน เบล)ชายที่คลั่งแค้น จนสาบานว่าเขาจะสังหารเหล่าทวยเทพให้หมดสิ้น เป้าหมายต่อไปของกอร์ คือนิวแอสการ์ด บ้านหลังใหม่ของชาวแอสการ์ดที่ตั้งอยู่บนโลกมนุษย์ ธอร์จึงต้องเดินทางกลับมาที่โลกอีกครั้งเพื่อปกป้องอดีตชาวเมืองของเขา และการกลับมาในครั้งนี้ทำให้เขาได้พบกับ เจน(รับบทโดย นาตาลี พอร์ตแมน อีกครั้ง)อดีตคนรักที่ตอนนี้เธอได้กลายเป็น ไมตี้ธอร์ ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว กลายเป็นหญิงพลังเทพแบบเดียวกับที่ธอร์เป็น และเมื่อแฟนเก่ามาอยู่ใกล้ๆกันแบบนี้ ความรู้สึกในอดีตของธอร์ จึงถูกขุดขึ้นมาอีกครั้ง!แน่นอนว่า เมื่อ ไทก้า ไวติติ กลับมานั่งแท่นผู้กำกับในภาคนี้ ภาพรวมของThor : Love and Thunderจึงมีบรรยากาศและสีสันใกล้เคียงกับThor : Ragnarokโดยเฉพาะอารมณ์ขันที่ถูกใส่เข้ามาเยอะยิ่งกว่าเดิม และการออกแบบงานสร้างที่ฉูดฉาดมากยิ่งขึ้นไปอีก แต่ในขณะเดียวกัน ก็ไม่ละทิ้งความดราม่าที่หนักหน่วง การลงลึกไปสำรวจความรู้สึกของ ธอร์ หลังจากจบEndgameที่ดูเหมือนเขาจะใช้ชีวิตอย่างไร้ทิศทางและเป้าหมายพอสมควร ในหนังภาคนี้ ธอร์จะได้สำรวจความรู้สึกตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของความรัก ที่เขาเก็บมันไว้ในส่วนลึกนานถึง8ปี และในภาคนี้เขาก็ได้จะค้นหาเป้าหมายใหม่ในการใช้ชีวิต ซึ่งนั่นทำให้หนังในภาคนี้ อาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นใหม่ สำหรับไตรภาคต่อไปของThorก็เป็นอันได้ไฮไลต์ที่สำคัญมากๆสำหรับThor : Love and Thunderคือการกลับมาอีกครั้งของ นาตาลี พอร์ตแมน หลังจากไม่ปรากฏตัวในหนังภาคก่อนLove and Thunderทำให้เส้นเรื่อง ความสัมพันธ์ของ ธอร์และเจน สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น หลายประเด็นที่ถูกทิ้งไว้และยังไม่เคยเล่า ถูกหยิบมาเล่าให้คอมพลีต ยิ่งฉากโรแมนติกของ ธอร์และเจน ในภาคนี้ ยิ่งทำให้รู้สึกว่ามันมีอารมณ์บางอย่างที่ขาดหายไปในThorภาคก่อน และกลับมาอยู่ในภาคนี้อีกครั้ง นอกจากนี้การปรากฏตัวของ ไมตี้ธอร์ ทำให้เส้นเรื่องของThor : Love and Thunderมีสีสันมากยิ่งขึ้น และทำให้เราได้เห็นอีกมุมของธอร์ หลังจากที่ภาคก่อน เน้นไปที่ประเด็นด้านครอบครัว ในภาคนี้ก็จะโฟกัสที่ความรักเป็นหลักอีกหนึ่งไฮไลต์ที่ถือว่าเป็นหมัดเด็ดสำหรับThor : Love and Thunderคือการเข้าร่วมจักรวาลมาร์เวล ของ คริสเตียน เบล อดีตพระเอกแบทแมน ที่พลิกมารับบทร้ายแบบสุดขั้ว การแสดงของเบลทำให้ตัวละคร กอร์ เต็มไปด้วยความสยดสยอง ทุกครั้งที่เขาปรากฏตัวชวนขนลุก และบางซีนน่ากลัวยิ่งกว่าผีปรากฏตัวในหนังสยองขวัญเสียอีก แต่ในขณะเดียวกัน เบลก็ใส่มิติ ความลึกของตัวละครเข้าไป กอร์ มีที่มาที่ไป ก็น่าเห็นใจอย่างมาก อะไรที่เปลี่ยนให้เขากลายเป็นปีศาจที่เต็มไปด้วยความแค้น นี่ไม่ใช่ตัวร้าย ที่คลั่งอำนาจ แต่กลับคลั่งแค้นด้วยความไร้เมตตาที่เขาได้รับ เบลเล่นดีจนกระทั่งอยากให้ กอร์ เป็นตัวร้ายใหญ่ในจักรวาลมาร์เวลเลยด้วยซ้ำปัญหาสำคัญของThor : Love and Thunderคือความกลมกล่อมของหนัง แน่นอนว่าไทก้าใส่สีสันมากมายเข้ามา ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ในแบบที่แฟนๆมาร์เวลจำนวนไม่น้อยชอบมาก แต่ในภาคนี้เขาไม่สามารถบาลานซ์มันได้ดีเท่าRagnarokอาทิ จังหวะการปล่อยมุก ซึ่งในภาคก่อนค่อนข้างแม่นยำและได้ผลมาก แต่ในภาคนี้ กลับขำบ้างแป้กบ้าง บางจังหวะก็ได้แต่หัวเราะแห้งๆ ดูเหมือนจะเน้นตลกไปเรื่อย จนความจริงจังในหนังแอบหายไปพอสมควร เมื่อหนังเดินทางมาถึงจุดที่ต้องซีเรียส อารมณ์ร่วมเลยไปไม่ถึงเท่าไหร่นัก เพราะเขาทำให้ตัวละครดูไม่จริงจังกับเหตุการณ์ที่ต้องเผชิญ ทำให้แม้หนังจะออกมาสนุกสนาน บันเทิงระหว่างดู แต่น้ำหนักของเส้นเรื่องกลับเบาอย่างน่าเสียดายท้ายที่สุดThor : Love and Thunderก็ยังคงเป็นหนังป็อปคอร์นฟอร์มยักษ์กลางซัมเมอร์ ที่ยังคงดูสนุกและสร้างความบันเทิงได้เช่นเดิม แม้มันจะไม่ได้ลงตัวเท่างานชิ้นก่อนของ ไทก้า แต่เอกลักษณ์ในแบบของเขาก็ถูกใส่มาอย่างไม่ยั้งมือ รวมถึงหนังตอบโจทย์เรื่อง แฟนเซอร์วิส ได้แบบเต็มๆ โดยThor : Love and Thunderเหมือนเป็นจุดเชื่อมสำคัญของThorยุคก่อนEndgameและยุคหลังจากนี้ บางปมที่ยังไม่ถูกเล่า ก็มาคลี่คลายในภาคนี้(โดยเฉพาะเรื่องเจน)ในขณะเดียวกันหนังก็ผูกปมใหม่ ให้สำหรับThorในอนาคต ทำให้แฟนๆของมาร์เวลได้เห็นภาพกว้างๆว่า เส้นทางของเทพเจ้าสายฟ้าคนนี้ ในจักรวาลมาร์เวลนั้น ยังอีกยาวไกล...(ให้7.5คะแนนจากคะแนนเต็ม10คะแนน)ชมตัวอย่างThor : Love and Thunderวันนี้ในโรงภาพยนตร์

album

0
0.8
1