[Exclusive Interview] “Kill Boksoon” คุณแม่ยอดนักฆ่า ในหนังเกาหลีฟอร์มเดือด| GOSSIP GUN

HOLLYWOOD GOSSIP

[Exclusive Interview] “Kill Boksoon” คุณแม่ยอดนักฆ่า ในหนังเกาหลีฟอร์มเดือด| GOSSIP GUN

30 มี.ค. 2023

“ฉันจะไม่เล่นหนังแอ็กชันอีกแล้ว ไม่รู้ว่าในอนาคตจะเปลี่ยนใจหรือเปล่านะ แต่สำหรับตอนนี้ฉันพอก่อนสำหรับฉากแอ็กชัน”- มากกว่า 30 ปีในการทำงาน นักแสดงตัวแม่แห่งเกาหลี “จอนโดยอน” แทบไม่เคยแสดงในหนังแอ็กชันมาก่อน นับตั้งแต่เธอประกาศศักดา เป็นชาวเกาหลีคนแรกที่ ชนะรางวัลนักแสดงนำยอดเยี่ยมจาก เทศกาลหนังเมืองคานส์ ด้วยผลงานอย่าง Secret Sunshine (2007) ผู้สร้างหนังมักหยิบยื่นบทในโทนที่ค่อนข้างดาร์กให้กับเธอมาโดยตลอด จอนโดยอน ในวัย 50 ปี กำลังมองหาเส้นทางใหม่ๆให้กับตัวเอง เธออยากจะก้าวออกจากเซฟโซนด้วยผลงานการแสดงใน Genre อื่นๆ ในปี 2023เธอพิสูจน์ความเป็นนักแสดงคุณภาพที่สามารถแสดงได้หลากหลายทาง ในซีรีส์โรแมนติกเบาสมอง “Crash Course in Romance” ที่ทุบสถิติเรตติ้ง ติด Top10 ซีรีส์เกาหลีที่ยอดผู้ชมมากที่สุดตลอดกาลในช่องเคเบิ้ล และยังไม่ทันพ้นไตรมาสแรก เธอขอพิสูจน์ฝีมือในบทบาทสุดท้าทายอีกครั้งในภาพยนตร์เรื่อง “Kill Boksoon” ภาพยนตร์แอ็กชันดุเดือดที่ผสมผสานเข้ากับอารมณ์ตลกร้าย นี่คือหนังที่เธอพร้อมจะประกาศศักดาอีกครั้ง ว่า จอนโดยอน คือตัวจริงที่จัดเต็มได้ในหนังหรือซีรีส์ทุกรูปแบบ

“ฉันไม่คิดว่า Kill Boksoon จะออกฉายเร็วขนาดนี้ เพราะว่าผู้ชมยังติดภาพฉันจาก Crash Course in Romance อยู่เลย ถึงขั้นมีคนแซวว่า นัมแฮงซอน มีชีวิต 2 ด้านหรือเปล่านะ” - จอนโดยอน เผยถึง 2 ผลงานล่าสุดของเธอ ที่ออกฉายต่อเนื่องทางNetflix ซึ่งมีจุดเชื่อมโยงเหมือนเดิม คือ ฐานะของความเป็น “แม่” ใน Crash Course in Romance เธอรับบท นัมแฮงซอน อดีตนักกีฬาทีมชาติ ที่มาเปิดร้านอาหารเครื่องเคียง เธอคือคุณน้าที่ต้องดูแลหลานคนเดียว หลังจากแม่ของเธอทิ้งไป แม้เธอจะไม่ได้เป็นแม่ที่ให้กำเนิด แต่เธอก็ดูแลหลานคนนี้เหมือนลูกแท้ๆ ส่วนใน Kill Boksoon เธอรับบทเป็น กิลบกซุน นักฆ่าตัวแม่ที่ทุกคนในวงการให้การยอมรับ แต่กลับเผชิญการตัดสินใจอันยากลำบาก เมื่อลูกสาวเริ่มเติบโตเป็นวัยรุ่น เธอจึงคิดจะวางมือเพื่อไปทำหน้าที่ คุณแม่แบบ Full Time แต่ทุกอย่างไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะแวดวงนักฆ่า ใช่ว่าใครจะวางมือกันไปง่ายๆ

 

Kill Boksoon คือผลงานหนังแอ็กชันเรื่องแรกของ “จอนโดยอน” งานใหม่ที่เธอตอบรับโปรเจกต์ เพราะต้องการออกจากเซฟโซน เธอถึงขั้นพูดคุยกับผู้กำกับ “บยอนซองฮยอน” ก่อนที่โครงเรื่องจะถูกพัฒนาด้วยซ้ำ ทั้งสองเริ่มพูดคุยกัน ด้วยไอเดียที่ว่า เธออยากแสดงในหนังแอ็กชัน จนในที่สุดโปรเจกต์นี้ ก็กลายเป็นจริง พร้อมทัพนักแสดงระดับคุณภาพชุดใหญ่ เริ่มจาก “ซอลคยองกู” ที่เคยร่วมงานกับผู้กำกับคนนี้มาแล้วจาก The Merciless และ Kingmaker เขารับบทมินคยู ซีอีโอ ของบริษัท เอ็มเค องค์กรนักฆ่ายักษ์ใหญ่ที่บกซุนสังกัด นอกจากจะเป็นเจ้านายแล้ว เขาคือผู้มีพระคุณ เป็นอาจารย์ที่มอบโอกาสให้บกซุน ตั้งแต่เธอยังเด็ก นอกจากนี้หนังยังได้ “อีซม” นางแบบนักแสดงชื่อดัง นางเอกจากซีรีส์ Taxi Driver ซีซั่นแรกในบท มินฮี น้องสาวของมินคยู ผู้บริหารใหญ่ขององค์กรนักฆ่าที่ไม่ถูกชะตากับ บกซุน เพราะพี่ชายให้ความสำคัญกับบกซุนมากกว่า แม้เธอจะเป็นน้องแท้ๆก็ตาม และ “คูคโยฮวาน” นักแสดงที่พิสูจน์ฝีมือมาแล้วจากซีรีส์ D.P. และหนังฟอร์มยักษ์ Escape From Mogadishu มาในบทของ ฮีซอง นักฆ่าที่ถูกขับไล่ออกจากองค์กร ที่มีปมบางอย่างกับบกซุนแอบแฝงอยู่

เมื่อกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา Netflix ได้จัดงานแถลงข่าวเปิดตัวภาพยนตร์ Kill Boksoon ไปแล้วในเกาหลีใต้ ซึ่งนอกจากผู้สื่อข่าวในเกาหลีจะได้เข้าร่วมงานแล้ว เหล่า Influencer สายหนังและซีรีส์จากทั่วทั้งเอเชีย ก็ได้ร่วมงานดังกล่าวผ่านช่องทางออนไลน์อีกด้วย และในโอกาสพิเศษนี้เอง ทาง Hollywood GossipGun ก็ได้เข้าร่วมสัมภาษณ์ ผู้กำกับ บยอนซองฮยอน และทีมนักแสดงนำ ทั้ง จอนโดยอน, ซอลคยองกู และอีซม โดยทั้ง 4 คนได้เผยแง่มุมที่น่าสนใจเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องนี้แบบ Exclusive เริ่มจาก จอนโดยอน ที่ทุ่มเทกับหนังเรื่องนี้อย่างสุดพลัง จนเธอเผยว่า เธอจะไม่เล่นหนังแอ็กชันอีกแล้ว แต่ไม่รู้ว่าในอนาคตจะเปลี่ยนใจหรือเปล่า แต่สำหรับตอนนี้เธอขอพอก่อน (อย่างที่กล่าวไปในตอนต้น)

 

- จุดเริ่มต้นของ ผู้กำกับ บยอนซองฮยอน และจอนโดยอน -

“ผมไม่แน่ใจว่าพวกคุณจะรู้จักมั้ยนะ แต่ซีรีส์ดราม่าเรื่อง “Our Paradise (1992-1993)” คือผลงานที่ทำให้ผมกลายเป็นแฟนของ จอนโดยอน” - ผู้กำกับ บยอนซองฮยอน เล่าถึงความทรงจำ ครั้งแรกที่เขาได้ดูผลงานการแสดงของเธอและกลายเป็นแฟนการแสดงของ จอนโดยอน นับจากนั้น ต่อเนื่องมาถึง The Contact ภาพยนตร์เรื่องแรกที่จอนโดยอน รับบทนำ - “ผมเป็นแฟนคลับของ ฮันซอกคยู (พระเอก Shiri) อยู่แล้ว ณ ตอนนั้น แล้วพอ จอนโดยอน มาแสดงนำประกบกับเขา ผมเลยยิ่งอึ้งกับการแสดงของเธอไปด้วย”

ผู้กำกับ บยอนซองฮยอน เล่าว่า เดิมทีเขาไม่รู้จักกับ จอนโดยอน เป็นการส่วนตัว แต่ซอลคยองกู นักแสดงที่เขาเคยร่วมงานมาแล้วถึง 2 ครั้ง กำลังถ่ายหนังเรื่อง Birthday (2019) กับจอนโดยอนอยู่ คยองกูเลยโทรมาตามให้ไปพบกับเธอ เพราะคยองกูรู้ว่า ผู้กำกับบยอนเป็นแฟนคลับของ จอนโดยอนอยู่แล้ว - “คยองกูแนะนำให้ผมได้รู้จักกับ โดยอนในตอนนั้น มีอยู่วันนึง โดยอนโทรมาหาผม และแสดงความสนใจว่าอยากจะร่วมงานกัน ผมเลยคิดอยู่นานว่าหนังประเภทไหนที่เหมาะกับการร่วมงานกับเธอ เพราะเธอแสดงในหนังชั้นเยี่ยมมามากมาย ซึ่งบทส่วนใหญ่ทั้งดาร์กและมืดมน ผมไม่อยากลงไปต่อสู้กับหนังกลุ่มนั้น ซึ่งล้วนแต่เป็นหนังชั้นดี ผมอยากจะทำหนังที่เข้าถึงผู้ชมง่ายๆ นั่นคือเหตุผลที่ผมตัดสินใจว่า เราจะทำหนังแอ็กชันกัน”

 

บยอนซองฮยอน เล่าต่อว่า หลังจากเขาตัดสินใจจะทำหนังแอ็กชัน เขาเลยนัดคุยกับโดยอน และเล่าถึงไอเดียทั้งหมด เขาเล่าถึงไอเดียว่า - “ผมรู้สึกว่า จอนโดยอนในเวอร์ชั่นคุณแม่ กับ จอนโดยอนในเวอร์ชั่นนักแสดง เป็นสองคนที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง เมื่อลองนึกถึงหน้าที่ของการเลี้ยงดูเด็กขึ้นมาซักคน และหน้าที่ของนักฆ่าที่ต้องสังหารผู้คน เพียงแค่ผมลองแทนที่ชีวิตของเธอ จากการแสดงเป็นการฆ่าคน มันดูขัดแย้งและน่าสนใจมากๆ และนั่นแหละครับ เป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง”

- จากนักแสดงสายรางวัล สู่ผลงานหนังแอ็กชัน -

“ฉันอยากจะลองดู อันที่จริงแล้วฉันอยากลองแสดงหนังในหลายๆแนวดู แต่โอกาสไม่ได้มีง่ายๆ ดังนั้น ฉันเลยมีความสุขมากๆ ตอนที่ บยอนซองฮยอน มาเสนอโปรเจกต์หนังแอ็กชันกับฉัน” - จอนโดยอน เล่าถึงจุดเริ่มต้นของ Kill Boksoon เธอเล่าว่า นี่เป็นครั้งแรกตลอดชีวิตการทำงานเลย ที่เธอตัดสินใจลุยกับโปรเจกต์หนังเรื่องใดเรื่องหนึ่ง โดยที่ไม่ได้อ่านโครงเรื่องด้วยซ้ำ เธอบอกว่า เธอแฮปปี้กับโอกาสในครั้งนี้มาก เลยตอบตกลงแสดงในแบบทันที

“ฉันฝึกซ้อมร่างกายนานถึง 4 เดือนเต็ม” - จอนโดยอน เล่าต่อถึงการเตรียมตัวเพื่อรับบทนำในหนังแอ็กชันเป็นครั้งแรก เธอเผยว่าโดยส่วนตัวแล้วไม่อยากใช้นักแสดงสตันท์เลยด้วยซ้ำ อยากจะเล่นฉากบู๊ทั้งหมดด้วยตัวเอง แต่มันเป็นไปไม่ได้ เพราะบางฉากก็อันตรายเกินไป - “ฉันไม่รู้ว่า มันคือคำที่ใช่หรือเปล่าที่จะอธิบายนะ แต่ตัวละครบกซุนก็มีความอะลุ้มอล่วยในบางครั้ง ดังนั้น ตัวฉันเองก็คงต้องทำเช่นนั้น ฉันคิดว่า มันเป็นทางที่ดีที่สุด ที่จะได้แสดงถึงเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดของตัวละคร บนหน้าจอ” - จอนโดยอน เผยว่า เธอใช้เวลาคุยกับผู้กำกับนานมากเพื่อตัดสินใจ ยอมให้ใช้นักแสดงแทนในบางฉาก เธอถึงขั้นขอเวลาผู้กำกับเพิ่ม เพื่อที่จะได้ฝึกฝนร่างกายและฝึึกซ้อมการต่อสู้ เพื่อที่เธอจะสามารถแสดงได้เองในทุกๆฉาก

- หน้าที่ของการเป็นแม่ และหน้าที่การงาน -

จอนโดยอน เล่าว่า ณ จุดเริ่มต้นที่เธอต้องเตรียมตัวสำหรับบทบกซุน เธอคิดว่าบทนี้มันคงไม่ได้ยากอะไรนักหรอก เพราะเธอมีจุดที่เหมือนกับตัวละครบกซุนหลายจุดเลย - “เราต่างเป็นคุณแม่ และต่างก็มีหน้าที่การงานที่ต้องทำ สิ่งที่ต่างอย่างชัดเจน มีเพียงแค่หน้าที่ของงานที่เราต้องทำ ฉันรู้สึกสบายใจ ถึงขั้นใส่ความเป็นตัวเองเข้าไปในตัวละครบกซุนพอสมควร ฉันว่าส่วนที่ยากที่สุดคงหนีไม่พ้น ฉากแอ็กชัน”

 

แน่นอนว่า Kill Boksoon ไม่ใช่แค่หนังแอ็กชันที่มีแต่ฉากแอ็กชัน แต่ยังมีเรื่องราวของความเป็นแม่ แม้กระทั่ง เรื่องความรักในรูปแบบคนรัก จอนโดยอน บอกว่าเธอจึงต้องพยายามเกลี่ยน้ำหนักให้กับบทให้เหมาะสม เธอเผยว่าเธอคุยเรื่องการเกลี่ยความสำคัญในบทนี้ กับผู้กำกับบยอนบ่อยมาก และเมื่อเทียบกับผลงานเรื่องก่อนๆ เธอมักรับบทแม่ที่ดูใกล้เคียงกับความเป็นแม่ในฝัน แต่คราวนี้ สำหรับบทบกซุน ดูจะเป็นแม่ที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากกว่า จากประสบการณ์ที่เธอเป็นแม่ในชีวิตจริง

 

“ในชีวิตคนเราไม่มีอะไรที่ได้มาอย่างง่ายดายหรอก แต่ฉันคิดว่าหน้าที่การทำงาน น่าจะง่ายกว่าการเลี้ยงลูกนะ เพราะฉันยังพอสามารถควบคุมการงานได้ แต่เมื่อพูดถึงการเลี้ยงเด็กซักคนนั้น หลายอย่างมันเหนือการควบคุมจริงๆ” - จอนโดยอนกล่าวว่า การเลี้ยงลูกนั้น บางอย่างมันก็ไม่มีทางเลือก ต้องยอมรับในสิ่งที่เป็น เธอเลยจริงว่า ระหว่างหน้าที่การงานกับการเลี้ยงลูก อย่างแรกง่ายกว่าเยอะ”

- ดรีมทีมแห่งหนังเข้ม ซอลคยองกู และผู้กำกับบยอนซองฮยอน -

 

“นี่เป็นครั้งที่ 3 แล้วนะ ที่ผมได้เล่นหนังของ บยอนซองฮยอน” - ซอลคยองกู นักแสดงตัวพ่อของวงการ ที่รับบทประธานใหญ่ขององค์กรนักฆ่า กล่าวถึงการกลับมาร่วมงานกับผู้กำกับ บยอนอีกครั้ง หลังจากเคยร่วมงานกันมาแล้วใน The Merciless และ Kingmaker - “มันไม่มีเหตุผลที่ผมต้องปฏิเสธนิ ผมแทบจะกลายเป็นแฟนหนังของเขาไปแล้ว ผมชอบเวลาทำงานกับเขาและทีมงานทุกคน นับตั้งแต่ The Merciless พวกเราเป็นทีมเดียวกันมาโดยตลอด และมาทำงานด้วยกันอีกครั้งใน Kill Boksoonผมเลยรู้สึกสบายใจที่มีทีมเวิร์คที่ดี” - ซอลคยองกู กล่าวถึงสาเหตุที่เขาแทบจะไม่ลังเลเพื่อรับบทนี้เลย เขากล่าวต่อว่า นี่คือการร่วมงานกันครั้งที่ 3 และก็มีงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับพวกเรา เขาแทบไม่ต้องคิดเลยว่า จะรับหรือไม่รับเล่นเรื่องนี้

 

“ตอนแรกผมไม่ถามซอลคยองกูด้วยนะ ว่าเขาอยากเล่นไหม” - ผู้กำกับบยอน เล่าถึงเหตุการณ์ก่อนจะเริ่มต้นโปรเจกต์ เขาเล่าว่า เขาแค่โทรไปหาซอลคยองกู แล้วอีกฝ่ายพูดถึงมาว่า นายมีไอเดียหนังใหม่แล้วใช่มั้ยละ ผู้กำกับเลยตอบไปว่าใช่ ซอลคยองกูเลยบอกว่า งั้นเจอกันในอีก 2 วัน และยังไม่ทันที่ผู้กำกับจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับหนัง เขาก็ตอบรับแสดงในทันที โดยบทนี้ เขาแสดงเป็นมินคยู ประธานใหญ่ของ บริษัท เอ็มเค องค์กรนักฆ่าอันทรงอิทธิพลในหมู่นักฆ่าด้วยกันเอง เขาเป็นคนกำหนดกฏเกณฑ์ และหลักปฏิบัติ ว่าเป็นนักฆ่าต้องทำเช่นไร ซอลคยองกู เล่าถึงตัวละครนี้ว่า - “เขาเปรียบเสมือนพระเจ้า เขาเป็นคนออกกฏ ทุกคนต้องทำตาม แต่กลับมีข้อยกเว้นเดียว และข้อยกเว้นนั้นคือ กิลบกซุน และเขาต้องการให้เธออยู่เคียงข้างเขา เป็นมือขวาตลอดเวลา ดังนั้นเมื่อบกซุนเริ่มลังเลที่จะไม่ต่อสัญญา เขาจึงต้องทำทุกทางเพื่อให้เธอไม่ไปไหน”

 

คยองกูเล่าต่อว่า มินคยูนั้น เจอบกซุนตั้งแต่สมัยที่เธออายุเพียง 17 ปี และกลายเป็นอาจารย์ของเธอเริ่มตั้งแต่ตอนนั้น - “มินคยูเป็นคนที่แข็งแกร่งมาก แต่เมื่อเป็นเรื่องของบกซุน เขาใจอ่อนเสมอ บางจุดก็เหมือนอารมณ์รักเขาข้างเดียว” - คยองกูเผยว่า แม้ว่าหนังเรื่องนี้จะเป็นหนังแอ็กชัน และอัดแน่นด้วยฉากต่อสู้ตลอดเวลา แต่สำหรับเขามันเหมือนหนังโรแมนซ์มากกว่า ยิ่งกับบุกซุนเขามีความรู้สึกหลงใหลเธอ มากกว่าอยากจะต่อสู้ด้วย

- อีซม แค่ได้ประกบตัวแม่ ก็ไม่มีข้อแม้อะไรอีกแล้ว -

 

“ฉันรักธีมที่เกี่ยวกับนักฆ่าหญิงมากเลย” - อีซม นักแสดงตัวแม่รุ่นใหม่ กล่าวถึงสาเหตุที่เธอตัดสินใจรับแสดงในหนังเรื่องนี้ นอกจากธีมที่ทำให้เธอสนใจแล้ว สาเหตุสำคัญคือการได้ร่วมงานกับทั้งผู้กำกับและนักแสดงที่เธอให้การเคารพยกย่อง เธอกล่าวว่า ตัดสินใจรับแสดงใน Kill Boksoon ก่อนที่จะอ่านบทหนังเลยด้วยซ้ำ โดยในเรื่องนี้เธอรับบทเป็น มินฮี น้องสาวของมินคยู ตำแหน่งของเธอคือ Director ของบริษัท คอยดูแลให้ทุกอย่างเป็นไปในทางที่ควรจะเป็น - “ฉันชอบทิศทางของหนังมากๆ มันดูดิบ ดูจริง ในขณะเดียวกันฉันก็สนุกมากๆด้วยตอนถ่ายทำ ฉันคอยทำตามที่ผู้กำกับนำทางให้ แล้วปรากฏว่า ตัวละครนี้ มีอะไรที่คาดเดาไม่ได้เพียบเลย”

 

“มันมีฉากที่มินฮี ต้องเอาเท้าดันหน้าของ พี่ชายอย่างมินคยูด้วย โดยปกติฉันมักจะไม่เกร็งเวลาถ่ายทำ

แต่เพราะฉันชื่นชมและยกย่อง คยองกูมากๆ ฉันเลยกังวลอย่างมากตอนที่ถ่ายทำฉากนี้” - อีซมเล่าถึงฉากของเธอกับพี่ชายที่ทำให้เธอแทบจะเล่นไม่ออก แต่ด้วยความเป็นมืออาชีพ อีซมเล่าต่อว่า คยองกูบอกให้เธอเตะหน้าเขาแรงๆได้เลย ทำมันซะ เธอรวบรวมความกล้าและแสดงฉากนั้น เธอเล่าว่า หลังจากถีบเสร็จ เท้าของเธอก็ทั้งสั่นและชาไปเลย

- จากโซลสู่เบอร์ลิน จาก Netflix สู่หน้าจอผู้ชมทั่วโลก -

 

Kill Boksoon คือหนังเกาหลีที่ดีกรีไม่ธรรมดา เพราะได้รับเลือกให้ฉายเปิดตัวในเทศกาลหนังนานาชาติเบอร์ลินมาแล้ว และกวาดคำชมกลับมามากมาย ผู้กำกับบยอนเผยว่า เขาค่อนข้างแปลกใจ และไม่นึกมาก่อนว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น เพราะเขาเชื่อว่า Kill Boksoon ไม่ใช่หนังประเภทที่จะได้ฉายตามเทศกาล โดยเฉพาะเทศกาลหนังใหญ่ๆอย่างเบอร์ลิน - “ตอนที่ผมได้ข่าวครั้งแรก ผมนึกถึงตอนที่ได้รับเลือกให้ไป เทศกาลหนังเมืองคานส์ สมัยหนังเรื่อง The Merciless มันเป็นความรู้สึกแปลกใจ และไม่คาดคิดมาก่อน นี่ถือเป็นเกียรติมากสำหรับผมและทีมงานทุกคน ที่ได้รับเชิญให้ไปยังเบอร์ลิน”

 

ในขณะที่ จอนโดยอน ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับเทศกาลหนังระดับโลก หลังจากเธอเคยคว้ารางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม จาก เทศกาลหนังเมืองคานส์มาได้แล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้รับเชิญให้ไปเบอร์บิน - “ก่อนจะไป ฉันสงสัยมากเลยว่า Kill Boksoon จะเป็นหนังที่ผู้ชมในเทศกาลจะรักได้จริงหรอ แต่เมื่อฉันได้นั่งดูหนังพร้อมๆกับทุกคนในงาน ทุกอย่างมันเหลือเชื่อจริงๆ เมื่อได้กระแสตอบรับที่ท่วมท้น

 

ชมตัวอย่าง Kill Boksoon สตรีมพร้อมกัน 31 มีนาคมใน Netflix

ภาพ : Netflix Thailand

related HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘The Point Men’ แผนชิงตัวประกันในอัฟกานิสถาน ระทึกหนักตั้งแต่นาทีแรก ! | GOSSIP GUN

22 ก.พ. 2023

[REVIEW] ‘The Point Men’ แผนชิงตัวประกันในอัฟกานิสถาน ระทึกหนักตั้งแต่นาทีแรก ! | GOSSIP GUN

ถือเป็นหนังเกาหลีโปรแกรมใหญ่เรื่องแรกประเดิมปี 2023 เลยสำหรับ The Point Men ที่เรียกได้ว่าใหญ่ในทุกๆองค์ประกอบ เริ่มจากนักแสดงนำที่ใหญ่ระดับบิ๊กเนมแห่งเกาหลี อย่าง ฮวางจองมิน ที่หนังของเขาล้วนติดอันดับ All-Time Box Office มากมาย อาทิ Ode To My Father, Veteran, A Violent Prosecutor และ The Wailing มาประกบกับ ฮยอนบิน จาก Clash Landing on You ที่เพิ่งมี Confidential Assignment 2 กวาดเงินถล่มทลายเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ใหญ่ทั้งพล็อตซึ่งหยิบเอาเหตุการณ์จริงช็อกโลก ของนักท่องเที่ยวเกาหลีในอัฟกานิสถานที่ถูกจับเป็นตัวประกันมาเล่า และใหญ่จนถึงงานโปรดักชั่น ซึ่งเพื่อความสมจริง หนังจึงยกกองกันไปถ่ายทำไกลถึงประเทศจอร์แดน จนได้บรรยากาศรกร้างว่างเปล่าใกล้เคียงกับอัฟกานิสถานจริง (ที่เข้าไปถ่ายทำไม่ได้ ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย)The Point Men สร้างจากเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นในปี 2007 ที่ประเทศอัฟกานิสถาน เมื่อนักท่องเที่ยวชาวเกาหลีใต้ จำนวน 23 คน ถูกกลุ่มติดอาวุธตาลีบัน จับไปเป็นตัวประกัน เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลอัฟกานิสถาน ปล่อยตัวนักโทษตาลีบันที่ถูกจับคุมขังไว้ในคุกเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน เหตุการณ์วิกฤตครั้งนี้ กลายเป็นภารกิจสำคัญของ แจโฮ (รับบทโดย ฮวางจองมิน) นักการทูตที่ถูกส่งตัวไปยังกรุงคาบูลทันที เพื่อรับมือกับเหตุการณ์ครั้งนี้ และต้องร่วมมือกับ เดซิก (รับบทโดย ฮยอนบิน) เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองที่เชี่ยวชาญในพื้นที่แถบนี้ แม้ว่าในตอนแรกพวกเขาจะแทบเข้ากันไม่ได้เลย แต่เพื่อช่วยชีวิตพลเมืองเกาหลีถึง 23 ชีวิต พวกเขาจึงต้องทำทุกทางเพื่อหยุดวิกฤตครั้งนี้ให้ได้โดยรวม The Point Men สามารถรักษาบรรยากาศความตึงเครียดได้ตั้งแต่นาทีแรก หนังแทบจะไม่เสียเวลาในการเล่าเรื่องที่ไม่สำคัญเลย เปิดมาฉากแรกก็เข้าสู่โหมดระทึก และแทบจะไม่กราฟตกเลยนับจากนั้น โดยหนังมีมู้ดและโทนที่เน้นไปในทางการเจรจาต่อรอง หรือ หาวิธีในการช่วยตัวประกัน มากกว่าอัดฉากแอ็กชันที่เน้นลุยเน้นต่อสู้ ทำให้ The Point Men ดูจะเป็นหนังแอ็กชันทริลเลอร์ ที่มีความบุ๋น มากกว่าความบู๊ เน้น ใช้สมอง มากกว่าเน้นลุย อาจจะไม่ได้ถูกใจคอแอ็กชั่นมากนัก แต่ใครที่ชอบหนังที่มีความกดดัน เรื่องนี้สามารถทำให้ผู้ชมลุ้นตามได้แทบทุกฉากเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงท้ายๆ ที่แม้ว่าจะพอรู้บทสรุปอยู่บ้าง(ถ้าติดตามข่าว เพราะมันคือเรื่องจริง) แต่หนังก็ยังสามารถเร้าอารมณ์ได้ถึงขีดสุดอยู่ดีในแง่ของนักแสดงยิ่งทำให้ The Point Men หายห่วงเข้าไปใหญ่ เมื่อตัวละครหลักในการดำเนินเรื่องอยู่ที่ ฮวางจองมิน นักแสดงรุ่นใหญ่ที่ไม่ว่าบทไหนเขาก็เอาอยู่หมด มาประกบกับ ฮยอนบิน ที่เรื่องนี้เปลี่ยนจากลุคมาดคลีนๆมาเป็นหนุ่มใหญ่สายลุย ที่อาจจะดูแปลกตาไปบ้าง แต่ก็เป็นภาพที่เท่อยู่ไม่น้อย และเมื่อมาเจอกับ ฮวางจองมิน กลายเป็นสองคาแรคเตอร์ที่ลักษณะดูแตกต่างกันสุดขั้ว แต่เคมีกลับเข้ากันอย่างมาก ถือเป็นส่วนผสมที่ค่อนข้างเพอร์เฟคเลยทีเดียว แถมในหนังยังได้ คังคิยง (จาก Extraordinary Attorney Woo) มาสร้างสีสันในบทของ กาซิม ชายชาวเกาหลีที่อาศัยอยู่ในอัฟกานิสถาน ตัวละครของเขาคือส่วนของอารมณ์ขัน ที่หยิบเข้ามาแทรกในจังหวะตึงเครียด ให้ผู้ชมได้เบรกอารมณ์ผ่อนคลายบ้าง ในจังหวะที่พอเหมาะสรุปแล้ว The Point Men ถือเป็นหนังแอ็กชันทริลเลอร์ที่เน้นสร้างบรรยากาศระทึก มากกว่าลงลึกด้านการเมือง และบิลด์ฉากแอ็กชัน เน้นฉากการเจรจาต่อรองเพื่อช่วยเหลือตัวประกันเป็นหลัก ซึ่งภาพรวมสร้างออกมาได้อย่างสมจริง และยิ่งใหญ่ในงานสร้าง หนังสามารถถ่ายทอดบรรยากาศของอัฟกานิสถานออกมาได้อย่างหลากหลายแบบตามจุดประสงค์ของแต่ละซีน ฉากในกรุงคาบูลก็เต็มไปด้วยความชุลมุนวุ่นวาย ฉากนอกเมืองก็มีแต่บรรยากาศที่เคว้งคว้าง ใครที่ชื่นชอบหนังแนวนี้ หรือเป็นแฟนหนังเกาหลี น่าจะไม่ควรพลาด The Point Men ที่การันตีความฮิตมาแล้ว ด้วยการครองอันดับ 1 ของตารางหนังทำเงินเกาหลี ได้นานถึง 3 สัปดาห์ซ้อนชมตัวอย่าง The Point Men ล็อคเป้าตาย ค่าไถ่หยุดโลกภาพ : Mongkol Major Mongkol Cinema

[REVIEW] ‘Ant-Man and The Wasp : Quantumania’ เปิดเฟสใหม่อย่างตื่นตา พร้อมกับวายร้ายที่โคตรสะพรึง| GOSSIP GUN

21 ก.พ. 2023

[REVIEW] ‘Ant-Man and The Wasp : Quantumania’ เปิดเฟสใหม่อย่างตื่นตา พร้อมกับวายร้ายที่โคตรสะพรึง| GOSSIP GUN

หลังจากเหล่าอเวนเจอร์สสามารถโค่นทานอสไปได้ในหนัง Avengers ภาคล่าสุด เป็นการปิดหนัง MCU ในพาร์ทของ The Infinity Saga ไปได้อย่างสวยงาม ถึงเวลาแล้วที่แฟนๆและคอหนัง จะได้ทำความรู้จักตัวร้ายหลักประจำเส้นเรื่องใหม่อย่างThe Multiverse Saga นั่นก็คือ แคงผู้พิชิต ที่จะปรากฏตัวเป็นครั้งแรกใน Ant-Man and The Wasp : Quantumania ซึ่งนอกจากหนังจะทำหน้าที่ปิดไตรภาคของ แอนท์-แมน เองแล้ว ยังถือว่าเป็นหนังเรื่องแรกใน MCU เฟส 5 อีกด้วย ที่นอกจากจะสำรวจพหุจักรวาลให้ลึกขึ้น หนังยังทำหน้าที่ปูไปยังปมใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในจักรวาลนี้ ซึ่งจะถูกปิดท้ายด้วยหนัง Avengers : The Kang Dynasty และ Avengers : Secret Wars ที่จะออกฉายใน 2-3 ปีข้างหน้าเรื่องราวใน Ant-Man and The Wasp : Quantumania เริ่มต้นขึ้น เมื่อแคสซี่ ลูกสาวของ สก็อตต์ แลง ที่ประดิษฐ์เครื่องมือในการส่งสัญญาณเพื่อติดต่อกับในมิติควอนตั้มขึ้น โดยที่เธอไม่รู้เลยว่า นั่นคือจุดเริ่มต้นของวิกฤตครั้งใหม่ จากสิ่งประดิษฐ์นี้ ทำให้ สก็อตต์, โฮป, แคสซี่, ดร.แฮงค์ และเจเน็ต ถูกดูดเข้าไปในมิติควอนตั้ม ซึ่งสร้างความหวาดผวาอย่างมากให้กับ เจเน็ต เพราะเธอเคยถูกขังอยู่ในมิตินี้ นานกว่า 30 ปีกว่าจะออกไปได้ และเธอรู้ดีว่า อันตรายอะไรที่กำลังคืบคลานมาหาพวกเขา ทั้ง 5 จึงต้องทำทุกทางเพื่อหาทางออกไปจากที่นั่นให้เร็วที่สุด พร้อมกับหยุดยั้งบุคคลอันตราย ที่พยายามทำทุกทางเพื่อออกไปจากมิตินี้เช่นกัน..หากเทียบกับหนังในตระกูล Ant-Man ทั้งสองภาคก่อนหน้านี้ Ant-Man and The Wasp : Quantumania ถือเป็นภาคที่ดูจะมีMood Tone ที่แตกต่างจากเดิมค่อนข้างมาก แม้ว่ายังคงมีอารมณ์ขัน และโครงเรื่องที่เกี่ยวกับครอบครัวอยู่ แต่เพราะเหตุการณ์ในเกือบทั้งเรื่อง เกิดขึ้นในมิติควอนตัม งานภาพของภาคนี้ จึงดูแตกต่างจากภาคก่อนๆไปอย่างสิ้นเชิง ดูคล้ายหนังอย่าง Doctor Strange ภาคล่าสุด ซึ่งถือว่าเป็นหนังที่มีบทบาทสำคัญใน The Multiverse Saga เช่นเดียวกัน แต่ในขณะเดียวกัน แม้ว่างานโปรดักชั่นของ Ant-Man and The Wasp : Quantumania จะดูยิ่งใหญ่กว่าภาคก่อนๆ แต่ด้วยความยาวเพียง 2 ชั่วโมง ทำให้หนังอาจจะดูไม่ยิ่งใหญ่เท่า Doctor Strange In The Multiverse of Madness หรือBlack Panther : Wakanda Forever แต่กระนั้น มันก็มีข้อดีอย่างชัดเจน คือหนังสั้น ทำให้ค่อนข้างกระชับ และเดินเรื่องฉับไว หนังแทบจะไม่เสียเวลาตรงไหนที่ไม่จำเป็นกับเรื่องเลยจุดที่โดดเด่นมากๆของหนังภาคนี้ กลับไม่ใช่ครอบครัวของ แอนท์-แมน แต่เป็นการปรากฏตัวของ แคงผู้พิชิตเสียมากกว่า ซึ่งการแสดงของ โจนาธาน เมเจอร์ส นั้น ชวนขนลุกและน่าเกรงขามมากๆ ตั้งแต่สีหน้า ท่าทาง หรือแม้แต่น้ำเสียงที่ดูแสนจะเลือดเย็น ตั้งแต่วินาทีที่แคงปรากฏตัวบนจอ ดูเหมือนหนังจะถูกขโมยไปเป็นหนังของเขาเลยทีเดียว และตลอดเวลาที่ดู ผู้ชมสามารถสัมผัสได้ทันทีว่า นี่ไม่ใช่ตัวร้ายธรรมดาทั่วไป นี่เป็นตัวร้ายที่บางทีอาจจะเก่งเกินกว่าที่ แอนท์-แมน จะสามารถโค่นได้ Ant-Man and The Wasp : Quantumania จึงทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยมในฐานะหนังเปิดเฟส 5 ของจักรวาลมาร์เวล ซึ่งดูแล้ว ความสามารถของแคง และเจตนารมณ์อันน่าสะพรึงนั้น สามารถเป็นแกนหลักให้กับ The Multiverse Saga ได้อย่างสบายๆในส่วนของครอบครัวแอนท์-แมน เอง ภาคนี้ก็ยังคงยึดในความรักและความผูกพันอย่างชัดเจน ยังคงตอกย้ำภาพลักษณ์ของหนัง Ant-Man ที่ดูจะเป็นหนังครอบครัวมากกว่าหนังซูเปอร์ฮีโร่ตัวอื่นๆใน MCU แต่ตัวละครที่โดดเด่นในภาคนี้มากที่สุด ต้องยกให้บท เจเน็ท ที่ มิเชลล์ ไฟเฟอร์ แสดงไว้ได้อย่างชวนขนลุก เนื่องจากตัวละครของเธอ เคยถูกขังอยู่ในมิติควอนตัมมาแล้ว ทำให้เจเน็ท ขยับขึ้นมามีบทบาทสำคัญในหนังภาคนี้ และนั่นเปิดโอกาสให้นักแสดงรุ่นใหญ่ได้โชว์ฝีมือการแสดงได้อย่างเต็มที่ กับบทที่มีมิติและความซับซ้อนทางอารมณ์มากขึ้น แต่ไฮไลต์สำคัญสำหรับใครที่เติบโตมาในยุค 90s คือการที่ตัวละครของ มิเชลล์ ไฟเฟอร์, ไมเคิล ดักกลาส และสมาชิกใหม่ของภาคนี้อย่าง บิล เมอร์เร่ย์ ปรากฏตัวพร้อมกัน เป็นฉากที่ชวนย้อนระลึกความหลังได้อย่างดี ถึงความยิ่งใหญ่ในยุคสมัยนั้นโดยรวมแล้ว Ant-Man and The Wasp : Quantumania สามารถจัดเข้ากลุ่มหนังใน MCU ที่สามารถดูได้เพลินๆ ความสนุกอยู่ในระดับปานกลาง อาจจะไม่ได้เข้มข้นหรือบีบอารมณ์ผู้ชมเท่าหลายๆเรื่อง แต่กระนั้น หนังเรื่องนี้ต้องถือว่ามีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการก้าวต่อของ จักรวาลมาร์เวลเฟสใหม่ ทำให้หนังดูเหมือนจะทำหน้าที่เป็นหนังเปิดเฟสใหม่ มากกว่าหนังปิดไตรภาคของเส้นเรื่อง Ant-Man เอง สำหรับแฟนของมาร์เวลเอง น่าจะมีหลายจุดในหนังที่ทำให้ร้องว้าว นับตั้งแต่การปรากฏตัวของแคง ไปจนถึงฉากแถมระหว่างและหลังจบ End-Credit ที่ในเรื่องนี้มีแถมให้ถึง 2 ฉาก และต่างเป็นซีนที่สำคัญ เพื่อก้าวสู่สเต็ปต่อไปของจักรวาลมาร์เวลชมตัวอย่าง Ant-Man and The Wasp : Quantumania วันนี้ในโรงภาพยนตร์

[REVIEW] “Seoul Ghost Stories” ผีดุที่เกาหลี 10 เรื่องผีหลอกเกินเบอร์ ! | GOSSIP GUN

12 พ.ค. 2022

[REVIEW] “Seoul Ghost Stories” ผีดุที่เกาหลี 10 เรื่องผีหลอกเกินเบอร์ ! | GOSSIP GUN

หนังผีที่แบ่งเป็นตอนๆ ไม่ใช่คอนเซปต์ใหม่อะไร เพราะดูกันมาตั้งแต่ตั้งแต่ยุค ผีสามบาท ไล่มาถึง สี่แพร่ง ห้าแพร่ง และล่าสุด เทอมสองสยองขวัญ แต่สำหรับหนังผีเกาหลีเรื่องล่าสุดSeoul Ghost Storiesบอกว่าเท่านี้ไม่พอหรอก จัดหนักแบบ10เรื่องกันไปเลย จากความยาวหนังราวๆ2ชั่วโมง ไปหารกันเองว่าแต่ละตอนจะยาวเหลือเรื่องละเท่าไร คอนเซปท์ของหนังผีทั้ง10เรื่องนี้ คือการหยิบเรื่องสยองในกรุงโซลมาเล่า ด้วยสไตล์ที่แตกต่างกันไป นอกจากนี้จุดเด่นหลักคือการหยิบเอาศิลปินป็อปไอดอลหลายๆ คน จากหลายๆ วงมารวมตัวกันอยู่ในเรื่องนี้ด้วยสำหรับพล็อตทั้ง10เรื่องของSeoul Ghost Storiesขืนเล่าหมดคงจะไม่สนุก ขอหยิบเอาบางส่วนมาเกริ่นๆ ยั่วน้ำลายก่อน ตอนแรกที่โปรโมตออกมาคือ อุโมงค์ต้องตาย เล่าถึงชายคนหนึ่งที่ขับรถคนเดียว ผ่านอุโมงค์สุดวังเวงตอนกลางดึก ระหว่างทางเขาก็พบรอยมือแปะหน้ากระจกรถ จึงพยายามออกจากรถไปเช็ดออก แต่แล้วเขากลับพบว่า รอยมือนี้อยู่ข้างในรถ...ตกลงใครนั่งมาในรถกับเขากันแน่ อีกตอนที่น่าจะทำเอาหลายคนผวาไปตามๆ กัน คือ ปรสิตกินฟัน เรื่องราวของทันตแพทย์ ที่ต้องรักษาคนไข้ปริศนารายหนึ่งที่ปวดฟันขั้นสุด แต่ตรวจยังไงก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ จนไม่นานเขาได้พบสิ่งมีชีวิตลึกลับเลื้อยอยู่ในอ่างคลีนิคของเขา และสิ่งนี้จะทำให้ชีวิตเขาเปลี่ยนไปตลอดกาลข้อดีแบบชัดๆ ของSeoul Ghost Storiesคือพอมันมีถึง10เรื่อง แต่ละเรื่องจึงใช้เวลาเกริ่นไม่นาน พักเดียวก็เข้าสู่พาร์ตผีดุเลย ทำให้รู้สึกว่าตลอด2ชั่วโมง ฉากสยองมาถี่ ติดๆ กันแบบไม่ได้พัก และตลอดทั้ง10เรื่องก็นำเสนอมุมมองของความสยองขวัญที่แตกต่างกันไป ไม่ได้เป็นผีที่ซ้ำแบบกันทุกตอน ทำให้ไม่ได้รู้สึกซ้ำซาก แต่ข้อเสียที่ชัดเจนอีกเช่นกัน ของการมี10เรื่อง ทำให้แต่ละเรื่อง ไม่ได้ปูรายละเอียดที่มากพอ ผู้ชมยังไม่ทันได้อินกับตัวละครก็โดนผีหลอกแล้ว จนอาจจะยังไม่รู้สึกเอาใจช่วยเท่าไหร่นัก เน้นดูผีดุแบบจัดหนักไปพอสิ่งที่โดดเด่นมากของSeoul Ghost Storiesคือการนำเสนอผีที่ค่อนข้างโฉ่งฉ่างมาก อยากจะใช้คำเรียกว่าเป็นหนังสยองขวัญที่อึกทึกครึกโครม เพราะหนังไม่ยั้งมือในการนำเสนอฉากสยอง ไม่ว่าจะเป็นฉากโหดก็โหดแบบหนักมือ ฉากผีหลอกก็ออกมาให้ดุสมชื่อจริงๆ ใครที่ชอบดูหนังผี น่าจะสนุกกับการได้เห็นผีแบบจุกๆ จุใจแบบนี้ ตัวหนังเองอาจจะไม่ได้น่ากลัวเท่าไหร่นัก (สำหรับผู้เขียน)แต่มันสนุกในการเห็นผีแบบจะๆ ถือเป็นหนังผีที่ดูเอามันส์และสะใจอยู่ไม่น้อย!โดยรวมSeoul Ghost Storiesเป็นหนังผีจากเกาหลีที่อยากให้ลองของ ไม่ค่อยได้ดูหนังผีแบบ10เรื่องติดแบบนี้ในโรง ซึ่งมันค่อนข้างวาไรตี้ หลายตอนที่พล็อตอาจจะฟังดูธรรมดา อาทิ เรื่องหลอนที่เกิดกับตู้เก่า เรื่องสยองหลังกำแพงห้องข้างๆ แต่พอเอาเข้าจริง หนังนำเสนออะไรเยอะกว่านั้น แล้วมันสนุกตรงที่ต้องมานั่งดูกันว่า แต่ละตอนมันจะมีบทสรุปอย่างไร เหมือนดูหนังหักมุมแบบเยอะๆ พร้อมกันให้ 7.5 คะแนนเต็ม 10

[REVIEW] “Spencer” 3 วันที่หมดรักของเจ้าหญิงไดอาน่า | GOSSIP GUN

18 ม.ค. 2022

[REVIEW] “Spencer” 3 วันที่หมดรักของเจ้าหญิงไดอาน่า | GOSSIP GUN

สมคำร่ำลือจริงๆ สำหรับSpencerของผู้กำกับ พาโบล ลาร์เรน ที่เคยกำกับหนังหญิงโศกอย่างJackieมาแล้ว จากเรื่องนั้นที่เล่าถึงอดีตสุภาพสตรีหมายเลข1ของอเมริกาที่สูญเสียสามีจากเหตุลอบสังหาร มาสู่เจ้าหญิงขวัญใจประชาชนที่หมดรักกับเจ้าชายที่เธอถูกจับคู่ด้วยSpencerคืออีกครั้งที่โลกของภาพยนตร์และซีรีส์ หยิบเอาเรื่องราวของ เจ้าหญิงไดอาน่ามาถ่ายทอด แต่ความแตกต่างของSpencer (ซึ่งเป็นนามสกุลเดิมของไดอาน่า)คือการเลือกเล่าช่วงเวลาระยะสุดท้ายก่อนที่เธอจะแยกทางกับเจ้าฟ้าชายชาร์ล หลังอภิเษกสมรสมานานนับทศวรรษ ช่วงเวลาที่เธออึดอัด ช่วงเวลาที่เธอโศกเศร้า ชีวิตที่เหมือนถูกขังไว้ในกรงทองแน่นอนว่าไฮไลต์สำคัญของ Spencerคือการเลือกให้ คริสเต็น สจ๊วร์ต นางเอกจากTwilightที่ค่อยๆพัฒนาฝีมือเล่นหนังน้อยใหญ่ จนกระทั่งวันนี้เธอพิสูจน์ตนเองในฐานะนักแสดงคุณภาพอย่างเต็มตัว โดยหนังเลือกเล่าเหตุการณ์ที่กินระยะเวลาเพียงแค่3วันเท่านั้น ในช่วงปลายปี1991นับตั้งแต่วันก่อนคริสต์มาส ไปจนถึงBoxing Dayเมื่อเจ้าหญิงไดอาน่าต้องเดินทางไปยัง แซนด์ริมแฮมเฮ้าส์ คฤหาสน์สุดหรูของราชวงศ์ เพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลคริสต์มาสตามประเพณี แต่ทริปนี้สำหรับเธอ เปรียบเสมือนการตกนรก เพราะเธอต้องปฏิบัติกฏระเบียบและขนบต่างๆอย่างเคร่งครัด ท่ามกลางสมาชิกในราชวงศ์ที่เธอรู้สึกแตกต่าง มีเพียงลูกๆของเธออย่าง เจ้าชายวิลเลี่ยมและเจ้าชายแฮร์รี่ ที่ทำให้เธออบอุ่นหัวใจ และเหล่าข้าราชบริพารบางคน ที่เธอสามารถเปิดใจ แสดงตัวตนที่แท้จริงออกมาได้สิ่งที่ยอดเยี่ยมมากๆสำหรับSpencerคือการถ่ายทอดความรู้สึกของเจ้าหญิงไดอาน่า ออกมาให้ผู้ชมสัมผัสได้อย่างเต็มๆ ทั้งความรู้สึกทุกข์ โศกเศร้า อึดอัดกับสภาพแวดล้อม ความรู้สึกที่อยากจะหนีออกไปจากตรงนี้ หลังจากที่ต้องทนทุกข์มาเป็นเวลายาวนาน ทำให้ผู้ชมเข้าใจความรู้สึกของเธอในช่วงเวลาสุดท้ายก่อนแยกทางกับเจ้าฟ้าชายชาร์ลได้อย่างดีเยี่ยม สิ่งที่ชอบมากๆ คือการที่หนังพยายามกันตัวละครในราชวงศ์เป็นแค่แบ็คกราวน์เท่านั้น นอกจากลูกๆทั้งสอง สมาชิกคนอื่นๆในราชวงศ์แทบจะไม่มีบทบาทหรือบทสนทนาเลย แต่ไปเน้นที่ไดอาน่า กับผู้ดูแลเครื่องแต่งกายของเธอ ไดอาน่ากับหัวหน้าเชฟประจำวัง หรือไดอาน่ากับหัวหน้าผู้รับใช้ ซึ่งทำให้ได้เห็นแง่มุมความเป็นมนุษย์ ความเป็นคนธรรมดาของเธอได้อย่างดีและทั้งหมดทั้งมวล ศูนย์กลางของหนังที่ทำให้Spencerถ่ายทอดอารมณ์ของไดอาน่าอย่างเต็มเปี่ยม คือการแสดงของ คริสเต็น สจ๊วร์ต ที่ผู้ชมซึมซับความทุกข์และอึดอัดของเธอได้อย่างเต็มร้อย ไม่แน่ใจว่า เจ้าหญิงไดอาน่าตัวจริงในช่วงเวลานั้นเป็นเช่นไร แต่ไม่นานหลังจากชม เราเชื่อว่าเธอคือไดอาน่าอย่างไม่มีข้อสงสัย แน่นอนว่ารูปลักษณ์ภายนอกถูกแต่งจนกลืนไปกับตัวจริง แต่จริต ท่าทางการแสดงออก และอารมณ์ ไม่ว่ามันจะเหมือนจริงขนาดไหน แต่คริสเต็นทำให้เรา"เชื่อ"ว่าเธอคือไดอาน่า และทำให้พวกเรารู้สึกหนักหน่วงไปกับไดอาน่า ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จมากที่สุดแล้วอีกหนึ่งจุดสำคัญของSpencerที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้คือ งานภาพของ แคลร์ มาธอน จากPortrait of a Lady on Fireที่ถ่ายทอดทุกฉากในหนังออกมาด้วยภาพสไตล์วินเทจ ดูเก่าๆ ดูฟุ้งๆ เพิ่มความย้อนยุคเข้าไปในหนัง สร้างอารมณ์ร่วม และเพิ่มเสน่ห์ให้Spencerดูเป็นงานศิลปะมากขึ้น ทุกฉากแทบจะสามารถกดหยุดแล้วตัดมาเป็นโปสการ์ดหรือวอลล์เปเปอร์ได้หมดเลย พร้อมด้วยงานดนตรีประกอบจาก จอห์นนี่ กรีนวู้ดจากRadioheadที่ช่วยถ่ายทอดอารมณ์ของเจ้าหญิงไดอาน่าได้อย่างลงตัว(โดยเฉพาะช่วงท้ายๆ ที่เพลงช่วยเล่าเรื่องได้ดี แต่จะเป็นอย่างไรต้องไปดูเอง)(ให้9คะแนนจากคะแนนเต็ม10คะแนน)

album

0
0.8
1