[REVIEW] ‘Babylon’ มหากาพย์สุดบ้าคลั่ง ฉากหลังยุคทองฮอลลีวูด| GOSSIP GUN

HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘Babylon’ มหากาพย์สุดบ้าคลั่ง ฉากหลังยุคทองฮอลลีวูด| GOSSIP GUN

18 ม.ค. 2023

La La Land คือปรากฏการณ์ของฮอลลีวูด หลังจากเข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง 13 สาขาเทียบเท่า Titanic แม้ว่าท้ายที่สุดจะพลาดรางวัลสำคัญอย่าง Best Picture แต่หนังก็ส่งให้ เดเมียน ชาเซลล์ กลายเป็นผู้กำกับที่อายุน้อยที่สุดที่ชนะสาขา Best Director นั่นทำให้ทุกโปรเจกต์หลังจาก La La Land จากฝีมือเขาล้วนถูกจับตา หลังจากเบนเข็มไปเล่าเรื่องนอกฮอลลีวูดมาแล้วกับ First Men เดเมียนขอกลับสู่เรื่องราวที่เขารักมากที่สุดอีกครั้ง เรื่องราวของแวดวงภาพยนตร์ใน 'Babylon' โปรเจกต์ยักษ์ทุนสร้าง 80 ล้านเหรียญฯ ที่เปิดโอกาสให้เดเมียนที่โชว์ฝีมือแบบเต็มที่ จะได้โชว์เรื่องราวเกี่ยวกับฮอลลีวูดอย่างเต็มสตรีม

Babylon พาผู้ชมย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นยุคทองของฮอลลีวู้ดในช่วงปลายยุค 1920s มหากาพย์ของหลากหลายตัวละคร ที่แจ้งเกิดและแตกดับ ท่ามกลางการเปลี่ยนถ่ายของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ จากยุคหนังเงียบ สู่หนังที่มีเสียง หลายความฝันเป็นจริง หลายคนมุ่งมั่นประสบความสำเร็จ แต่เมื่อทุกอย่างไม่ยั่งยืน จึงไม่มีคำว่า ตลอดไป โดยเฉพาะในวงการนี้ โดยตัวละครหลักๆที่หนังโฟกัส เริ่มจาก แมนนี่ (รับบทโดย ดิเอโก้ ซัลวา) หนุ่มจากเม็กซิโกที่ข้ามชายแดนมายังฮอลลีวู้ดเพราะหลงไหลในมนต์เสน่ห์ของภาพยนตร์ จนทำให้เขาอยากสร้างหนัง ได้มาเจอกับ เนลลี่ (รับบทโดย มาร์โก ร็อบบี้) หญิงสาวสุดทะเยอทะยานที่เธอเชื่อสุดใจว่าเธอเกิดมาเพื่อเป็นซูเปอร์สตาร์ ระหว่างที่ทั้งคู่ค่อยๆไล่ตามความฝันไปทีละขั้น พวกเขาก็ได้เจอกับ แจ็ค คอนราด (รับบทโดย แบรด พิตต์) นักแสดงเบอร์ท็อปของวงการในขณะนั้น ที่ไม่ว่าเล่นหนังเรื่องไหนก็ฮิตติดลมบนทุกเรื่อง แต่เมื่อฮอลลีวูดกำลังจะเปลี่ยนไป ยุคของหนังเสียงกำลังก้าวเข้ามาแทนที่หนังเงียบ พวกเขาทุกคนและทุกชีวิตในฮอลลีวูดก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

ถ้าเปรียบ La La Land เป็นเหมือนน้ำนิ่งที่ไหลลึก หนังอย่าง Babylon ก็คือคลื่นที่ซัดกระหน่ำไม่หยุดตลอดเวลา แม้ว่ามันจะเล่าถึงคนตามฝันในวงการบันเทิงเหมือนกัน แต่สำหรับเรื่องนี้ เดเมียน ขอปรับเข้าสู่โหมดที่บ้าคลั่งอย่างเต็มที่ เรียกว่าปล่อยของแบบไม่มีลิมิตเลยจริงๆ หนังเริ่มจากฉากปาร์ตี้สุดคลั่ง ที่เต็มไปด้วยเหล้ายาเซ็กซ์ หลายอย่างที่ไม่มีใครคาดคิด (แม้แต่ช้างก็ยังมี) กับทุกเหตุการณ์ที่เหนือความควบคุม สะท้อนถึงภาพความสุดเหวี่ยงของไลฟ์สไตล์คนบันเทิงในยุคนั้น ก่อนที่จะต่อด้วยเช้าวันใหม่กับการถ่ายทำหนังที่เต็มไปด้วยความโกลาหลอลหม่านขั้นสุด กองถ่ายที่หนังฟอร์มใหญ่ที่ดูเหมือนกำลังจะพังพินาศ จะพังแหล่ไม่พังแหล่ แค่ฉากใหญ่สองซีนแรก ก็ทำให้ผู้ชมอารมณ์สูบฉีดขั้นสุด มันทั้งสนุก ทั้งบ้าคลั่ง ทั้งตลกอย่างร้ายกาจ และเป็น Mood & Tone แรก ที่บอกถึงสไตล์อันชัดเจนของ Babylon ในช่วงเวลาที่เล่าถึงการผงาดของหลายความฝัน

และเมื่อความเปลี่ยนแปลงมาถึง อีกหนึ่ง Mood & Tone ที่ค่อยๆเผยออกมาใน Babylon คือความดาร์กของชีวิต ที่หลายฉากพาให้อารมณ์ผู้ชมดำดิ่งอยู่ไม่น้อย เมื่อทุกอย่างไม่จีรั่งยั่งยืน ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้าไปได้ตลอด หนังค่อยๆพาผู้ชมไปดู ชีวิตที่ต้องจะเกียกตะกายไล่ตามฝันอีกครั้ง หลังจาก La La Land เดเมียนเคยสื่อสารกับผู้ชมว่า ทุกความฝันย่อมต้องมีการเสียสละ คุณไม่สามารถเอาชนะหรือทำตามใจตัวเองได้ทุกอย่าง นำไปสู่บทสรุปที่หลายคนใจสลาย สำหรับ Babylon เดเมียนกำลังจะบอกผู้ชมว่า แม้ความฝันจะเป็นจริงแล้ว แต่ไม่มีอะไรอยู่กับเราได้ตลอดไป ทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องชั่วคราวทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียงเงินทอง เมื่อหลายๆตัวละครขึ้นสู่จุดสูงสุด แล้วตกลงมาท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง มันจึงไม่ง่ายเลยที่จะกลับไปอยู่จุดเดิมอีกครั้ง (ซึ่งส่วนใหญ่ไม่มีโอกาสนั้นอีกแล้ว)

ไม่แปลกใจที่กระแสคำวิจารณ์ของ Babylon จากเมืองนอก จะออกมาในลักษณะที่ไม่ รัก ก็ เกลียด มันเป็นหนังที่ส่วนตัวมากๆสำหรับเดเมียน เหมือนสร้างมาประหนึ่งว่าตัวเองจะไม่มีโอกาสได้สร้างหนังอีกแล้ว เขาอยากเล่าอะไรจึงเล่า อยากทำอะไรจึงทำ หนังมันจึงมีอารมณ์ที่ขึ้นสุดลงสุด ตลอด 3 ชั่วโมง 8 นาที บ้างก็ว่าหนังขาดความสมูธ บ้างก็ว่าทิศทางของหนังดูเหมือนจะไม่ชัดเจนเท่าไหร่นัก แต่โดยรวมต้องชื่นชมความจัดเต็มของเขา การออกแบบงานสร้างที่ไม่ธรรมดา ดนตรีประกอบสุดเร้าใจ และการแสดงโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดิเอโก้ ซัลวา และมาร์โก้ ร็อบบี้ ที่แสดงได้อย่างยอดเยี่ยมในหลายๆฉากที่ท้าทายฝีมือมากๆ

ท้ายที่สุดแม้ว่า Babylon จะแตกต่างจาก La La Land อย่างมาก แต่ก็มีหลายครั้งที่กลิ่นอายของ La La Land (หรือแม้แต่งานก่อนหน้าอย่าง Whiplash) ชัดเจนมากเช่นกัน โดยเฉพาะดนตรีประกอบที่ท่วงทำนองในหลายฉากภาพของ La La Land ผุดเข้ามาในหัวเลย ใครที่เคยชอบ La La Land ก็อยากให้ลองมาพิสูจน์หนังเรื่องนี้ แม้ว่าหนังจะดูเป็นคนหลายบุคลิกไปหน่อย บ้าคลั่งไปหน่อย แต่แก่นก็มัน ก็ทั้งโรแมนติกและบีบหัวใจไม่แพ้กัน และที่แน่ๆ หลังจากดูจบเราเชื่อมั่นเหลือเกินว่า เดเมียน ชาเซลล์ รักในการทำหนัง รักในศาสตร์ของภาพยนตร์จริงๆ แม้ว่าช่วงท้ายเขาจะใส่หนักมากไปหน่อยก็ตาม แต่มันก็เป็นจดหมายแบบทั้งรักทั้งเกลียดของเขา ต่อสิ่งที่โลกเรียกว่า "ฮอลลีวูด"

 

Babylon (บาบิลอน) เข้าฉาย 19 มกราคมนี้ ทุกโรงภาพยนตร์


ภาพ : UIP Thailand

related HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘Pinocchio’ ความมหัศจรรย์ครั้งใหม่ที่ไม่ซ้ำของเดิม| GOSSIP GUN

09 ก.ย. 2022

[REVIEW] ‘Pinocchio’ ความมหัศจรรย์ครั้งใหม่ที่ไม่ซ้ำของเดิม| GOSSIP GUN

เมื่อนักแสดงเจ้าของสองรางวัลออสการ์ ทอม แฮงค์ และผู้กำกับวิสัยทัศน์กว้างไกล โรเบิร์ต เซเมกคิส มาเจอกันทีไร มักเกิดความอัศจรรย์บนแผ่นฟิล์มมาโดยตลอด นับตั้งแต่ Forrest Gump (1994) ที่ชีวิตอันแสนมหัศจรรย์ได้อย่างน่าประทับใจ ต่อด้วย Cast Away (2000) หนังที่เล่าถึงชีวิตชายติดเกาะที่ไม่เหมือนใคร และ The Polar Express (2004) หนังแห่งการเฉลิมฉลองที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น ซึ่งตอนนั้น แฮงค์ เหมาเล่นคนเดียวไป 6 บน จนกระทั่งล่าสุดพวกเขากลับมาเจอกันอีกครั้งในโปรเจกต์รีเมกแอนิเมชั่นคลาสสิก Pinocchioเวอร์ชั่น Live-Action หนังจากดิสนีย์สร้างฉบับการ์ตูน ผ่านมา 80 กว่าปี มีหนังพินอคคิโอมากมายหลายฉบับ แต่ หนังที่ดิสนีย์รีเมกเองนั้นยังไม่เคยมีมาก่อน จนกระทั่งตอนนี้ทอม แฮงค์ รับบท เจปเปทโต ช่างไม้ที่สร้างหุ่นเด็กผู้ชาย พินอคคิโอ ขึ้นมาจากไม้ เพื่อระลึกถึงลูกชายของเขาที่จากไปแล้ว ด้วยคำขอพรของเขา ทำให้ในค่ำคืนหนึ่ง นางฟ้าได้ปรากฏตัวขึ้น (รับบทโดย ซินเทีย อาริโว่ นักแสดง/ศิลปิน เจ้าของรางวัลแกรมมี่) และเสกให้พินอคคิโอ มีชีวิตเหมือนเด็กธรรมดาทั่วไป และเสกให้จิ้งหรีด คอยดูแลเขาอย่างใกล้ชิด แต่ทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผน เมื่อวันแรกที่ เจปเปทโต ส่ง พินอคคิโอ ไปเรียนหนังสือ เขากลับถูกปฏิเสธเพียงเพราะแค่แตกต่างจากเด็กทั่วไป นำไปสู่การผจญภัย และเรียนรู้โลกกว้าง จนพินอคคิโอเข้าใจว่า อะไรกันแน่คือสิ่งที่ดีงาม อะไรคือความถูกต้องแม้ผู้ชมจะพอรู้เส้นเรื่อง หรือเคยดูหนัง Pinocchio หลากหลายฉบับมาก่อนแล้ว แต่หนังในฉบับนี้ ก็ยังสร้างความสดใหม่ให้เรื่องราวได้ ด้วยองค์ประกอบต่างๆ แม้หนังจะเริ่มต้นด้วยเส้นเรื่องที่ผู้ชมคุ้นเคย แต่เมื่อ พินอคคิโอ ออกจากบ้าน ดิสนีย์ก็ได้ค่อยๆแต่งเติม สร้างสีสันที่แปลกใหม่ จนกระทั่งนำไปสู่องก์สุดท้ายของหนัง ที่มาพร้อมกับไคลแมกซ์ และบทสรุปที่แตกต่างไปจากเดิม นอกจากเส้นเรื่องที่ไม่ซ้ำเดิมแล้ว ดิสนีย์ยังเลือกใส่ Easter Egg เกี่ยวกับดิสนีย์เองเข้ามาเบาๆ ถ้าใครสังเกตทันก็จะเห็นถึงความขี้เล่นของค่าย แต่แม้ว่าตัวบทอาจจะมีอะไรแปลกไปจากเดิม แต่หัวใจของเรื่อง Pinocchio ก็ยังอยู่อย่างครบถ้วน ยังคงให้อารมณ์สุดประทับใจกับผู้ชมได้แทบตลอดทั้งเรื่องในแง่ของงานสร้าง Pinocchio ทำออกมาได้ค่อนข้างสมูธ หลายฉากช่วงแรกๆแม้จะเล่าเรื่องแค่ในบ้านของ เจปเปทโต แต่เราก็สัมผัสได้ถึงความอัศจรรย์เล็กๆ จนกระทั่งฉากที่พินอคคิโอออกไปผจญภัยในโลกกว้าง สร้างความตื่นตาได้ดีทีเดียว อาทิ Pleasure Island ก็ออกแบบมาอย่างน่าดึงดูด หรือฉากไคลแมกซ์กลางมหาสมุทรก็ดูยิ่งใหญ่ จนแอบเสียดายนิดๆ ที่ผู้ชมทั่วโลกจะได้ดู Pinocchio ในบ้านเป็นหลัก เพราะอันที่จริงหนังมีโอกาสที่จะทำเงินได้ไม่ยากเลย ถ้าเข้าฉายในโรง และวางโปรแกรมในช่วงเทศกาลแห่งความสุข อย่าง Thanksgiving หรีือ Christmasอย่างไรก็ตาม Pinocchio ฉบับ Live-Action ก็ยังไม่ใช่หนังระดับเพอร์เฟค มีหลายๆส่วนที่ดูไม่เข้ากับหนัง อาทิ มีมุกนึงที่ตลก แต่มันดูไม่เข้ากับยุคสมัย ทำให้ผู้ชมหลุดออกมาจากหนังอยู่เหมือนกัน หรืออย่างจังหวะในการเล่า ที่ช่วงแรกก่อนที่ พินอคคิโอ จะมีชีวิตนั้น Pacing ค่อนข้างช้ามากๆ ดีไม่ดี เด็กๆหลับไปก่อนแล้ว คุณพ่อคุณแม่อาจจะต้อง Skip ไปตอนที่สนุกเลย และอีกพาร์ทที่หนังยังแอบไม่ชัดเจนนิดๆ คือการที่ให้บางฉากตัวละครพูดบทเป็นบทกลอน บางฉากก็ร้องเพลงออกมาเลย บางฉากเหมือน ทอม แฮงค์ จะร้องเพลงแต่ก็ไม่ร้อง มันเลยดูเหมือนจะกั๊กๆ จะเป็นหนังมิวสิคัลเลยก็ไม่ถึงขนาดนั้น จะเป็นหนังกวีก็ยังไม่ใช่ เป็นส่วนผสมที่ยังแปร่งๆ ไม่ลงตัวเท่าไหร่ท้ายที่สุด Pinocchio ฉบับใหม่ ก็อาจจะยังไม่ใช่การคอลแล็ปที่ดีที่สุดของ ทอม แฮงค์ และโรเบิร์ต เซเมกคิส ในขณะเดียวกัน ถ้าจัดอันดับหนังดิสนีย์ Live-Action ในระยะหลัง ก็สามารถวาง Pinocchio ไว้ได้ในลำดับกลางๆ แต่หนังก็ยังสนุก และมีของดีมากพอ ที่จะให้ทุกคนเปิดชมหนังได้ โดยเฉพาะครอบครัว และเด็กๆ ที่น่าจะเอ็นจอยกับหนังอย่างแน่นอน เพราะมีความชวนตื่นตาในแง่ของ CG ตัวละครสัตว์ต่างๆอยู่พอสมควร เด็กๆจะได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่างจากหนังเรื่องนี้ อย่างไรก็ดี นี่ไม่ใช่หนัง Pinocchio เพียงเรื่องเดียวของปี เพราะธันวาคมนี้จะมีอีกเวอร์ชั่น โดยผู้กำกับ กิลเลอโม่ เดล โตโร่ ที่จะฉายใน Netflix ต้องมารอติตตามศึกพินอคคิโอนัดนี้ เรื่องนี้จะเจ๋งกว่ากันภาพ : DisneyPlus Hotstar Thailandชมตัวอย่าง Pinocchio สตรีมได้แล้ววันนี้ใน Disney+ Hotstar

[Review] Thanksgiving สาแก่ใจคอหนังไล่เชือด ฆาตกรโรคจิตกับคืนวันขอบคุณพระเจ้า

30 พ.ย. 2023

[Review] Thanksgiving สาแก่ใจคอหนังไล่เชือด ฆาตกรโรคจิตกับคืนวันขอบคุณพระเจ้า

จะเกิดอะไรขึ้น? ถ้าการลดราคาครั้งใหญ่ Black Friday ในช่วงเทศกาลขอบคุณพระเจ้า กลายเป็นคืนแห่งเลือดในห้างสรรพสินค้าห้างหนึ่ง นี่คือไอเดียตั้งต้นของ Thanksgiving หนังสยองขวัญแนวเชือด ที่เป็นการกลับมาสู่หนังแนวนี้อีกครั้งของผู้กำกับ อีไล รอธ หลังแจ้งเกิดจากหนังสยองขวัญสายโหดอย่าง Cabin Fever และ Hostel แล้วก็วนไปกำกับหนังแนวอื่น ซึ่งเดิมทีไอเดียของ Thanksgiving เริ่มจากการทำตัวอย่างหนังปลอม ๆ ไปใส่ไว้ในหนังชื่อ Grindhouse (2007) จนต่อมา อีไล ได้พัฒนาบทหนัง จนกลายมาเป็นหนังใหญ่ในที่สุด ซึ่งหนังจากเขาเบนเข็มไปกำกับทั้งหนังแอ็กชัน หนังแฟนตาซี และหนังไซไฟ ก็ได้ฤกษ์ที่เขาจะกลับมาทำหนังที่แจ้งเกิดเขาอีกครั้งเสียทีThanksgiving เล่าเรื่องราวความสยองในคืนวันเทศกาลขอบคุณพระเจ้า เมื่อเกิดความโกลาหลขึ้นในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ที่ผู้คนพากันเหยียบกันตาย เพราะแย่งกันซื้อของลดราคา กลายเป็นฝันร้ายของเมืองพลีมัธนับจากนั้น แม้ผู้คนจะกลับไปใช้ชีวิตตามปกติ แต่เมื่อ 1 ปีผ่านไป ฝันร้ายก็ย้อนกลับมาอีกครั้ง เมื่อมีฆาตกรโรคจิตใส่หน้ากาก แต่งตัวเป็นผู้ก่อตั้งเมือง ออกมาไล่เชือดประชาชน ซึ่งทุกคนล้วนแต่เกี่ยวข้องกับเหตุโศกนาฏกรรมเมื่อปีก่อน โดยเป้าหลักคือ เจสสิก้า หญิงสาวที่พ่อของเธอเป็นเจ้าของห้างที่เกิดเหตุร้าย แถมเธอยังอยู่ในเหตุการณ์คืนวันนั้น จึงกลายเป็นหน้าที่ของ เอริค (รับบทโดย แพทริค เดมพ์ซีย์ จาก Grey's Anatomy) นายอำเภอของเมืองที่จะต้องจัดการคนร้าย ก่อนที่เทศกาลแห่งการเฉลิมฉลอง จะกลายเป็นคืนสยองอีกครั้ง!ใครที่เป็นแฟนหนังแนวนี้ Thanksgiving คือหนังที่น่าจะสาแก่ใจคอหนังไล่เชือดอยู่ไม่น้อย โดยรวมนี่คือหนังที่ค่อนข้างเดินตามรอยหนังแนวเดียวกันที่ฮิตในช่วงปลายยุค 90s ไล่ตั้งแต่ Scream, I Know What You Did Last Summer ไปจนถึงUrban Legend เรื่องราวของวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งที่ต้องเผชิญกับฆาตกรโรคจิตในหน้ากากปริศนาที่คอยตามไล่ฆ่า กับเหตุฝันร้ายในอดีตที่ตามหลอกหลอนพวกเขา โดยเหตุการณ์มักจะเกิดขึ้นในเมืองเล็กๆเมืองนึง และฆาตกรก็มักจะเป็นตัวละครสักตัว โดยจะเฉลยปมเหตุการฆ่าในตอนท้าย สำหรับ Thanksgiving แล้ว มาในสูตรแบบเดียวกันนี้เลย แต่ทำออกมาได้อย่างสนุก มีองค์ประกอบต่าง ๆ ที่ใส่มาอย่างน่าพอใจ ซึ่งปัจจุบันผู้ชมอาจจะไม่ค่อยได้เห็นหนังแนวนี้มากนัก เหมือน Thanksgivingสร้างมาให้หายคิดถึงกึ่ง ๆ Tribute ให้ด้วยซ้ำThanksgiving คือหนังที่สามารถนิยามได้ว่า “ฆ่ากันแบบเถิดเทิง” เพราะหนังมีองค์ประกอบที่ทำถึงมาก ๆ ในสองส่วน พาร์ทแรกคือความโหด ที่ Thanksgiving จัดเต็มความโหดแบบไม่ยั้ง ไม่ให้เสียชื่อ อีไล รอธ หลังจากหนังสยองหลายเรื่องกลัวไม่ได้ผู้ชมกลุ่มอายุน้อย เลยโหดแบบเบาๆเพื่อให้ได้เรต PG-13 แต่หนังเรื่องนี้ มุ่งหน้าสู่เรต R แบบไม่กลัว ทำให้ฉากฆ่า ฉากเชือด จัดเต็มทั้งเลือดและฉากอวัยวะขาดแบบสะใจคอหนังเชือด และอีกพาร์ทที่หนังทำได้ดีคือ อารมณ์ขัน หนังเต็มไปด้วยอารมณ์ตลกร้าย จนหลายครั้งตัวหนังเองก็เกือบจะเป็นหนังล้อเลียน Parody หนังแนวไล่เชือดอยู่ไม่กัน โดยเฉพาะพวกฉากฆ่าต่าง ๆ มีดีไซน์ที่เต็มไปด้วยอารมณ์ขัน ทำให้หนังยิ่งสนุกมากขึ้นสรุปแล้ว Thanksgiving คือหนังประเภท Teen-Slasher ที่แม้จะเดินตามสูตร แต่ก็ทำออกมาได้อย่างสนุกสนาน มีองค์ประกอบทั้งความโหดและอารมณ์ขันแบบจัดเต็ม เป็นความโหดที่บันเทิงใช้ได้เลย และสำหรับแฟนของ แพทริค เด็มพ์ซีย์ ก็ถือว่าค่อนข้างแปลกตา ที่เขามารับบทนำในหนังแนวนี้ หลังติดภาพเขาเป็นผู้ชายในฝันเจ้าสำอาง บทบาทนี้ก็ดูสดใหม่ดีสำหรับเขาอยู่เหมือนกัน ใครที่คิดถึงหนังไล่เชือดที่เต็มไปด้วยความเถิดเทิง ไม่ต้องเนี้ยบมาก ไม่ต้องฉลาดมาก เรื่องนี้คือตัวเลือกที่น่าสนใจThanksgiving คืนเดือดเชือดขาช็อป / เข้าฉาย 5 ธันวาคมนี้

[REVIEW] ‘Ride On ควบสู้ฟัด’ หนังเฉินหลงแบบดีต่อใจ เชิดชูยกย่องอาชีพสตันต์แมน| GOSSIP GUN

27 เม.ย. 2023

[REVIEW] ‘Ride On ควบสู้ฟัด’ หนังเฉินหลงแบบดีต่อใจ เชิดชูยกย่องอาชีพสตันต์แมน| GOSSIP GUN

ถ้าจะมีหนังเฉินหลงสักเรื่อง ที่บทที่เขาได้รับ ดูใกล้เคียงและมีความทับซ้อนกับอาชีพจริงๆของเขามากที่สุด ก็น่าจะเป็นผลงานล่าสุดอย่าง 'Ride On' (ชื่อไทย ควบสู้ฟัด) ซึ่งนักแสดงสายบู๊ในวัยใกล้เลข 7 รับบทเป็น สตันต์แมนในวัยเกินเกษียณ ที่แม้สังขารจะไม่ให้ แต่ใจยังคงรักในอาชีพนักแสดงเสี่ยงตาย ตัวละครของเฉินหลงในเรื่อง คือชายที่ใช้ชีวิตเพียงลำพังในกองถ่าย ความผูกพันเดียวที่เขามีคือเจ้า กระต่ายแดง ม้าคู่ใจที่เขาดูแลมาตั้งแต่มันยังเล็กและฝึกให้้เป็นม้าที่แสดงฉากเสี่ยงตายเช่นเดียวกับเขา แต่เมื่อเวลาเปลี่ยนไป วงการภาพยนตร์ก็เช่นกัน สตันต์แมนอย่างเขาและม้าสตันต์ กลับกลายเป็นสิ่งไม่จำเป็น เมื่อสเปเชียลเอฟเฟกต์ เข้ามาแทนที่ การที่เอาคนมาแสดงผาดโผนและเอาสัตว์มาเข้าฉาก กลายเป็นเรื่องไม่จำเป็นอีกต่อไป และพวกเขาจะทำเช่นไรต่อดี ?แม้ว่า Ride On จะถูกโปรโมตในสไตล์หนังแอ็กชันดราม่ามิตรภาพของคนกับม้า ในแบบที่คนรักสัตว์จะต้องเทใจให้กับหนังเรื่องนี้ แต่ในขณะเดียวกัน มันก็ถูกวางให้เป็นหนังที่มาเพื่อเชิดชูและสดุดีอาชีพสตันต์แมนเช่นเดียวกัน หนังค่อยๆพาผู้ชมเข้าสู่โลกของคนที่ทำอาชีพนี้ แม้ว่าอาชีพของพวกเขาจะดูง่าย เพียงแค่ เดินกล้อง กระโดดข้ามตึก นอนโรงพยาบาล (แบบที่เฉินหลงเคยให้สัมภาษณ์แบบติดตลกในรายการทอล์กโชว์) แต่อันที่จริงแล้ว พวกเขาต้องแลกมาด้วยหลายๆอย่าง ทั้งร่างกายที่ไม่เหมือนเดิม เสี่ยงบาดเจ็บหนัก ซึ่งสร้างความเป็นห่วงให้กับคนใกล้ตัว หนังค่อยๆพาผู้ชมไปดูแง่มุมต่างๆของอาชีพนี้ ทั้งในแง่ผลกระทบส่วนตัว และภาพรวมของวงการภาพยนตร์ ซึ่งส่วนนี้เองมีความทับซ้อนกับชีวิตจริงของเฉินหลงอยู่ไม่น้อย เพราะในชีวิตจริง เขาก็คือนักแสดงที่เล่นฉากผาดโผนด้วยตัวเอง ถึงขั้นหลายฉากหยิบเอาฟุตเทจจากหนังเก่าๆของเขามี Insert เป็นงานเก่าๆของตัวละครในเรื่องด้วยซ้ำแต่สิ่งที่เซอร์ไพรสที่สุดสำหรับ Ride On คืออีกหนึ่งปมที่หนังเลือกหยิบขึ้นมาชู และโดดเด่นไม่แพ้ประเด็นมิตรภาพคนกับม้าและประเด็นชีวิตของสตันต์แมน นั่นคือปมดราม่าระหว่างพ่อกับลูก เนื่องจากตัวละครพระเอกในเรื่องทุ่มเทกับงานจนห่างเหินกับลูกสาว ที่ไปอาศัยอยู่กับแม่หลังพ่อแม่หย่าร้าง และเมื่อแม่ของเธอเสียไป เธอจึงใช้ชีวิตตามลำพังโดยที่เกลียดพ่อมาโดยตลอด แต่เพราะเหตุจำเป็น เมื่อม้าของพ่อกำลังจะถูกยึดไป พระเอกจึงติดต่อไปยังลูกสาวที่เรียนนิติศาสตร์เพื่อขอความช่วยเหลือ นำไปสู่การกลับมาสานสัมพันธ์อีกครั้ง ของคู่พ่อลูกสายเลือดเดียวกันที่ห่างกันไปนาน เส้นเรื่องตรงนี้ถือว่าค่อนข้างแปลกใจพอสมควร เพราะเดิมทีไม่คิดว่าหนังจะเน้นแง่มุมนี้ แต่กลับเป็นปมหลักที่หนังให้ความสำคัญ และขยี้หัวใจของคนดูได้พอสมควรเลยทีเดียวโดยรวม Ride On อาจจะสามารถนิยามได้ว่า เป็นหนังแอ็กชันเฉินหลงที่ดีต่อใจ เพราะนอกจากฉากบู๊ปนฮาที่เป็นเอกลักษณ์ในหนังของแกแล้ว (ซึ่งในเรื่องนี้มีให้ดูกันอยู่ตลอดทั้งเรื่อง) หนังยังเต็มไปด้วยปมดราม่าที่เล่นกับความรู้สึกของคนดูอยู่ไม่น้อย ทั้งปมพ่อลูกที่หนังทำถึงอยู่พอสมควร ปมมิตรภาพคนกับสัตว์ที่ขยี้แล้วขยี้อีก และปมเรื่องอาชีพที่เมื่อเวลาเปลี่ยนไป ก็ย่อมต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลง แต่ก็อย่าเพิ่งตกใจว่า หนังจะเทอารมณ์ไปทางดราม่าเสียส่วนใหญ่ เพราะมันก็ยังมีฉากตลกอมยิ้มในสไตล์แกอยู่ ทั้งพาร์ทแอ็กชัน พาร์ทขำขัน และพาร์ทดราม่า ถูกผสมผสานมาได้ค่อนข้างพอเหมาะ ทำให้ Ride On อาจจะเรียกได้ว่าเป็นหนังเฉินหลงที่ดูสนุก และดูเพลินอยู่ไม่น้อยสรุปแล้ว Ride On ถือเป็นหนังครบรส ที่มาพร้อมกับพล็อตแบบ 3 In 1 ที่แม้หน้าหนังจะเน้นไปทางหนังมิตรภาพคนกับสัตว์ หัวใจมันก็ยังเป็นหนังครอบครัวที่ชวนประทับใจ และเป็นหนังที่ยกย่องคนที่ทำอาชีพในวงการบันเทิง อาชีพที่เฉินหลงทำและคลุกคลีมาตลอดหลายทศวรรษอีกด้วย ใครที่เป็นแฟนหนังของเฉินหลงหรือติดตามหนังฮ่องกงมาหลายทศวรรษ ก็น่าจะอินกับหนังเรื่องนี้ได้มากเป็นพิเศษ เพราะมีองค์ประกอบบางอย่างที่น่าจะถูกใจอย่างแน่นอน ส่วนตัวสำหรับผู้เขียนมีโอกาสได้ดูหนังในแบบเสียงจีน บรรยายไทย พบว่าหลายฉากดูจะเอื้อกับการพากย์เสียงของทีมพากย์พันธมิตรมากๆ ถ้ามีโอกาส เลือกชม Ride On แบบเสียงไทยก็น่าจะเพิ่มอรรถรสให้หนังอยู่ไม่น้อยภาพ : Major Groupชมตัวอย่าง Ride On ควบสู้ฟัด วันนี้ในโรงภาพยนตร์

[REVIEW] ‘Plane’ หนังแอ็กชันสายเดือด เครื่องบินดิ่งบนเกาะนรก| GOSSIP GUN

20 ม.ค. 2023

[REVIEW] ‘Plane’ หนังแอ็กชันสายเดือด เครื่องบินดิ่งบนเกาะนรก| GOSSIP GUN

เจอราร์ด บัตเลอร์ ถือเป็นพระเอกสายบู๊ที่ยังคงแอคทีฟต่อเนื่อง ไม่มีช่วงที่ไม่มีหนังเขาเข้าฉายเลย แต่ในแง่กระแสตอบรับ ก็มีทั้งหนังเจ๋งและหนังเจ๊งสลับกันไป แต่กับผลงานล่าสุดที่ชื่อสั้นๆอย่าง Plane (ชื่อไทย ดิ่งน่านฟ้า เดือดเกาะนรก) ต้องจัดเข้าสู่กลุ่มแรก เพราะหนังสามารถกวาดคะแนนผู้ชม Audience Score ไปได้สูงถึง 94% จากเว็บไซด์ Rotten Tomatoes ในขณะที่คะแนนนักวิจารณ์ก็ปาเข้าไป 75% ถือว่าเยอะมากจริงๆ สำหรับพระเอกสายบู๊คนนี้ เพราะโดยปกติหนังของเขาจะถูกจัดเข้าสู่กลุ่มมะเขือเน่ามากกว่า ทำให้ Plane กลายเป็นหนังแอ็กชันสุดเซอร์ไพรส น่าจะตามองเรื่องแรกของปี 2023แน่นอนว่า Plane ต้องเล่าถึงเครื่องบิน โดยเจอราร์ดรับบทเป็นกัปตันโบรดี้ ที่กำลังขับเครื่องบินไฟลต์ข้ามปีใหม่ จากสิงคโปร์มุ่งหน้าสู่โตเกียว ทุกอย่างดูเหมือนจะปกติราบรื่นดี จนกระทั่งวิกฤตแรกเขาพบว่า เที่ยวบินนี้จะมีนักโทษคดีฆาตกรรมพร้อมผู้คุมมาร่วมเดินทางไปด้วย วิกฤตที่สอง ในขณะที่เขากำลังบินผ่านเหนือทะเลจีนใต้ ก็เกิดสภาพอาการแปรปรวนขึ้นทำให้เขาต้องนำเครื่องลงในพื้นที่ที่ใกล้ที่สุด และวิกฤตสุดท้าย คือการที่เขาได้ค้นพบว่า เกาะที่พวกเขาแลนดิ้งนั้น อยู่ในฟิลิปปินส์ แต่ถูกควบคุมโดยกลุ่มแบ่งแยกดินแดนติดอาวุธ ที่แม้แต่รัฐบาลก็ไม่อยากยุ่ง เขาและเหล่าผู้โดยสาร จึงเสี่ยงที่จะถูกจับเป็นตัวประกัน กัปตันเจอราร์ด จึงต้องทำทุกทางเพื่อปกป้องคนของเขา ซึ่งนั่นรวมถึงการที่จะต้องร่วมมือกับนักโทษบนเครื่อง ที่เป็นอดีตทหารฝีมือฉกาจภาพรวมนั้น Plane มีคุณสมบัติครบถ้วนสำหรับหนังแอ็กชันในแบบที่ควรจะเป็น พล็อตที่สามารถไต่ระดับความตื่นเต้น รักษาบรรยากาศสุดระทึกได้ตลอดเวลา ฉากแอ็กชันที่ดุเดือดสมจริง ตัวร้ายที่น่าเกรงขาม เริ่มจากฉากใหญ่ฉากแรกคือฉากเครื่องบินที่ต้องเผชิญมรสุมและต้องหาทาลงจอดฉุกเฉินให้ได้ หนังสามารถถ่ายทอดออกมาได้อย่างสมจริง จนใครที่กลัวการขึ้นเครื่องบิน อาจจะหลอนกับฉากนี้ก็ได้ ต่อด้วยฉากแอ็กชันต่างๆบนเกาะที่เข้มข้นถึงใจ ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้แบบตัวต่อตัว มีฉากที่พระเอก เจอราร์ด บัตเลอร์ สู้กับตัวร้ายแบบ Long Take ซึ่งเจ๋งมากๆ ฉากการใช้อาวุธปะทะกันที่โหดแบบไม่เกรงใจใครนอกจากนี้ Plane ยังมีองค์ประกอบอื่นๆที่น่าสนใจ ทำให้หนังสนุกแบบครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ขันที่ใส่เข้ามา มาได้ถูกจังหวะถูกที่ และสามารถเรียกเสียงหัวเราะได้บ่อยมากๆ การออกแบบตัวละครของ เจอราร์ด ให้ไม่ได้เก่งกาจเหนือมนุษย์มากนัก ทำให้หนังยิ่งสมจริง ดูพระเอกสูสี หรืออาจจะอ่อนด้อยกว่าบรรดาตัวร้ายด้วยซ้ำ ยิ่งทำให้ผู้ชมอินกับหนังและเอาใจช่วยตัวละครหลักมากขึ้น รวมถึงการที่หนังเรื่องนี้ แทบจะไม่มีตัวละครที่ชวนขัดใจ หรือบทที่งี่เง่าเลย ยิ่งทำให้ผู้ชมไม่รู้สึกขัดอะไรกับหนัง สามารถเอ็นจอยไปได้ตลอดจนจบในแบบที่ไม่มีอะไรให้หงุดหงิด (ซึ่งหลายครั้งที่หนังแนวนี้ หรือหนังผี จะมีอะไรให้หงุดหงิดเสมอ)สรุปแล้ว Plane ถือเป็นหนังแอ็กชันฟอร์มกลางๆที่ทำถึง และสนุกแบบครบถ้วนมากๆ ถ้าชอบหนังแอ็กชันในสไตล์แบบยุค80s-90s น่าจะชอบเรื่องนี้ มันมีความโหดเหี้ยมในฉากแอ็กชันแบบเดียวกับ Rambo มันมีอารมณ์บางอย่างที่คล้ายกับหนังอย่าง Con Air และอีกหลายๆเรื่อง ถือเป็น 2 ชั่วโมงที่บันเทิงมากๆ และน่าดูในโรงภาพยนตร์จริงๆPlane เปิดรอบพิเศษหลัง 1 ทุ่มตั้งแต่วันนี้ ฉายจริง 26 มกราคมทุกโรงภาพยนตร์ภาพ : Mongkol Major Mongkol Cinema

album

0
0.8
1