[REVIEW] ‘The Menu’ หนังเขย่าขวัญเสิร์ฟเมนูสยอง ระทึก ร้ายกาจ คาดเดาไม่ได้ | GOSSIP GUN

HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘The Menu’ หนังเขย่าขวัญเสิร์ฟเมนูสยอง ระทึก ร้ายกาจ คาดเดาไม่ได้ | GOSSIP GUN

18 พ.ย. 2022

จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าคุณเดินทางไปยังภัตตาคารสุดหรู เพื่อรับประทานอาหารแบบ Fine Dining แต่แล้ว เมื่อดินเนอร์เริ่มเสิร์ฟ ทุกอย่างรอบตัวคุณค่อยๆผิดปกติ และสถานการณ์เลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ จนนี่อาจจะเป็นดินเนอร์มื้อสุดท้ายของคุณ นี่คือพล็อตคร่าวๆของ The Menu หนังเขย่าขวัญตลกร้าย ซึ่งนอกจากเรื่องราวอันแสนจะยั่วยวนให้แฟนหนังไปชมในโรงภาพยนตร์แล้ว หนังยังมีไฮไลต์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นชื่อชั้นของ 3 นักแสดงนำอย่าง อันยา เทย์เลอร์-จอย, นิโคลัส โฮลต์ และ เรล์ฟ ไฟนส์ และเครดิตของทีมโปรดิวเซอร์ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ อดัม แมคเคย์ และวิลล์ ฟาร์เรล ที่สร้างหนังตลกแสบสันอย่าง Don't Look Up และซีรีส์สุดร้ายกาจอย่าง Succession มาแล้ว ส่วนผู้กำกับ มาร์ก มายลอด ก็เคยกำกับหลายเอพพิโซดของSuccession ดังนั้น ถ้าใครเคยดูซีรีส์มา ก็น่าจะพอเดาอารมณ์ออก ว่าหนังจะแสบได้ถึงขนาดไหน

The Menu เล่าถึงคู่รัก มาร์โก และเทย์เลอร์ (รับบทโดย อันยา เทย์เลอร์-จอย จาก The Queen's Gambit และ นิโคลัส โฮลต์ จาก X-Men) ที่เดินทางไปยังเกาะส่วนตัว เพื่อรับประทานอาหารเย็นที่ ฮอว์ธอร์น ห้องอาหารสุดหรู ที่ราคาต่อคอร์สแพงลิบ พวกเขาเดินทางไปพร้อมกับแขกดินเนอร์มื้อเดียวกันอีกจำนวนหนึ่งที่ดูเหมือนแต่ละคน ล้วนแต่จะเป็นบุคคลระดับวีไอพี เมื่อเดินทางมาถึงทุกคนก็ได้พบกับ จูเลี่ยน สโลวิก (รับบทโดย เรล์ฟ ไฟนส์ จาก Harry Potter) เชฟชื่อดัง หัวหน้าเชฟประจำห้องอาหารแห่งนี้ ซึ่งเขาค่อยๆเสิร์ฟอาหารแต่ละจาน ที่เต็มไปด้วยไอเดียและแนวคิดสุดแปลก ก่อนที่เหล่าแขกจะค่อยๆรู้ตัวว่า ทุกอย่างกำลังผิดปกติ นี่อาจจะไม่ใช่การรับประทานไฟน์ไดนิ่งทั่วไป แต่มีอะไรชวนขนลุกแฝงอยู่ในนั้น

ระหว่างที่ผู้ชมได้ดูหนัง The Menu ก็เหมือนกับผู้ชมได้เข้าไปนั่งอยู่ในห้องอาหารเดียวกับตัวละคร มันเริ่มต้นจากการเป็นหนังที่ดูเหมือนหนังทั่วไป ไม่ได้มีอะไรแปลกประหลาด จนกระทั่งอาหารจานต่างๆค่อยๆเสิร์ฟ ผู้ชมจะได้เริ่มสัมผัสถึงความผิดปกติอะไรบางอย่าง บรรยากาศความไม่น่าไว้วางใจค่อยๆครอบคลุมไปทั่วในหนังเรื่องนี้ ระดับความเป็นหนังเขย่าขวัญค่อยๆเพิ่มขึ้น เจือปมด้วยรสชาติแบบหนังตลกร้าย เสียดสีสังคมในแง่มุมต่างๆ แฝงด้วยความคิด เหมือนกับตัวละครที่กำลังขบคิดไอเดียที่แฝงอยู่ในอาหารแต่ละคอร์ส ผู้ชมก็ขบคิดไปเช่นกันว่า หนังจะสื่อสารถึงอะไร The Menu จึงเป็นหนังที่มีส่วนผสมค่อนข้างเฉพาะตัว รวมความเป็นหนังตลกร้ายกับเขย่าขวัญไว้ด้วยกันอย่างน่าลิ้มลอง ช่วงแรกอาจจะใช้เวลานานในการปูเรื่องราว แต่เมื่อเรื่องดำเนินไป หนังก็ค่อยๆไต่ระดับความระทึกเพิ่มขึ้น

นอกจากพล็อตที่เดาทางได้ยาก บรรยากาศที่อบอวลไปด้วยความไม่น่าไว้วางใจ The Menu ขับเคลื่อนไปได้ดี ด้วยทีมนักแสดงที่ชวนดึงดูด ไฮไลต์หลักของหนีไม่พ้น อันยา เทย์เลอร์-จอย และ เรล์ฟ ไฟนส์ หลายฉากที่เพียงแค่ทั้งสองเผชิญหน้ากัน ก็ชวนขนลุกไม่ไหวแล้ว สำหรับอันยาที่แจ้งเกิดมาจากหนังสยองขวัญชุดใหญ่ทั้ง The Witch, Split หรือแม้แต่หนังล่าสุดอย่าง Last Night In Soho การที่ได้เห็นเธอรับเล่นหนัง Horror/Thriller อย่างต่อเนื่อง เป็นอะไรที่ถูกใจแฟนๆมาก เธอมีเสน่ห์มากเป็นพิเศษเมื่อแสดงนำในหนังแนวนี้ และชวนให้ผู้ชมได้เอาใจช่วยอยู่เสมอ ในขณะที่ เรล์ฟ ไฟนส์ ชวนขนลุกกับบทชวนสยองเสมอมา ไล่มาตั้งแต่ Schindler's List มาจนถึงหนังอย่าง Red Dragon บทโวลเดอมอร์ในจักรวาล Harry Potter มาจนถึงบทในหนังเรื่องนี้แค่เขาแสดงสีหน้าก็น่ากลัวไม่ไหวแล้ว ยิ่งเสริมให้เรื่องชวนระทึกขึ้นไปอีก

โดยรวม The Menu เป็นหนังที่รสชาติแปลกน่าลอง เหมาะสำหรับคนที่ชอบตลกแบบร้ายกาจ หนังมีประเด็นเสียดสีชนชั้นที่น่าสนใจ หลายฉากฮาอย่างเจ็บแสบ ในขณะที่สายเขย่าขวัญ แม้ว่าหนังจะไม่ได้น่ากลัวอะไรมากนัก แต่ก็อบอวลด้วยบรรยากาศชวนขนลุก ให้ตึงเครียดได้จริงๆ ผู้ชมจะได้สนุกกับการคาดเดาว่า เมนูต่อไปเชฟจะเสิร์ฟอะไร คาดเดาว่าแต่ละตัวละครซ่อนปมอะไรไว้ และหนังจะพาเราไปสู่จุดไหน ถือว่าเป็นหนังสยองแสบๆเรื่องหนึ่ง ที่ไม่อยากให้พลาด

ชมตัวอย่าง The Menu เมนูสยอง สัปดาห์นี้ในโรงภาพยนตร์

ภาพ : Major Group

related HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘Plane’ หนังแอ็กชันสายเดือด เครื่องบินดิ่งบนเกาะนรก| GOSSIP GUN

20 ม.ค. 2023

[REVIEW] ‘Plane’ หนังแอ็กชันสายเดือด เครื่องบินดิ่งบนเกาะนรก| GOSSIP GUN

เจอราร์ด บัตเลอร์ ถือเป็นพระเอกสายบู๊ที่ยังคงแอคทีฟต่อเนื่อง ไม่มีช่วงที่ไม่มีหนังเขาเข้าฉายเลย แต่ในแง่กระแสตอบรับ ก็มีทั้งหนังเจ๋งและหนังเจ๊งสลับกันไป แต่กับผลงานล่าสุดที่ชื่อสั้นๆอย่าง Plane (ชื่อไทย ดิ่งน่านฟ้า เดือดเกาะนรก) ต้องจัดเข้าสู่กลุ่มแรก เพราะหนังสามารถกวาดคะแนนผู้ชม Audience Score ไปได้สูงถึง 94% จากเว็บไซด์ Rotten Tomatoes ในขณะที่คะแนนนักวิจารณ์ก็ปาเข้าไป 75% ถือว่าเยอะมากจริงๆ สำหรับพระเอกสายบู๊คนนี้ เพราะโดยปกติหนังของเขาจะถูกจัดเข้าสู่กลุ่มมะเขือเน่ามากกว่า ทำให้ Plane กลายเป็นหนังแอ็กชันสุดเซอร์ไพรส น่าจะตามองเรื่องแรกของปี 2023แน่นอนว่า Plane ต้องเล่าถึงเครื่องบิน โดยเจอราร์ดรับบทเป็นกัปตันโบรดี้ ที่กำลังขับเครื่องบินไฟลต์ข้ามปีใหม่ จากสิงคโปร์มุ่งหน้าสู่โตเกียว ทุกอย่างดูเหมือนจะปกติราบรื่นดี จนกระทั่งวิกฤตแรกเขาพบว่า เที่ยวบินนี้จะมีนักโทษคดีฆาตกรรมพร้อมผู้คุมมาร่วมเดินทางไปด้วย วิกฤตที่สอง ในขณะที่เขากำลังบินผ่านเหนือทะเลจีนใต้ ก็เกิดสภาพอาการแปรปรวนขึ้นทำให้เขาต้องนำเครื่องลงในพื้นที่ที่ใกล้ที่สุด และวิกฤตสุดท้าย คือการที่เขาได้ค้นพบว่า เกาะที่พวกเขาแลนดิ้งนั้น อยู่ในฟิลิปปินส์ แต่ถูกควบคุมโดยกลุ่มแบ่งแยกดินแดนติดอาวุธ ที่แม้แต่รัฐบาลก็ไม่อยากยุ่ง เขาและเหล่าผู้โดยสาร จึงเสี่ยงที่จะถูกจับเป็นตัวประกัน กัปตันเจอราร์ด จึงต้องทำทุกทางเพื่อปกป้องคนของเขา ซึ่งนั่นรวมถึงการที่จะต้องร่วมมือกับนักโทษบนเครื่อง ที่เป็นอดีตทหารฝีมือฉกาจภาพรวมนั้น Plane มีคุณสมบัติครบถ้วนสำหรับหนังแอ็กชันในแบบที่ควรจะเป็น พล็อตที่สามารถไต่ระดับความตื่นเต้น รักษาบรรยากาศสุดระทึกได้ตลอดเวลา ฉากแอ็กชันที่ดุเดือดสมจริง ตัวร้ายที่น่าเกรงขาม เริ่มจากฉากใหญ่ฉากแรกคือฉากเครื่องบินที่ต้องเผชิญมรสุมและต้องหาทาลงจอดฉุกเฉินให้ได้ หนังสามารถถ่ายทอดออกมาได้อย่างสมจริง จนใครที่กลัวการขึ้นเครื่องบิน อาจจะหลอนกับฉากนี้ก็ได้ ต่อด้วยฉากแอ็กชันต่างๆบนเกาะที่เข้มข้นถึงใจ ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้แบบตัวต่อตัว มีฉากที่พระเอก เจอราร์ด บัตเลอร์ สู้กับตัวร้ายแบบ Long Take ซึ่งเจ๋งมากๆ ฉากการใช้อาวุธปะทะกันที่โหดแบบไม่เกรงใจใครนอกจากนี้ Plane ยังมีองค์ประกอบอื่นๆที่น่าสนใจ ทำให้หนังสนุกแบบครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ขันที่ใส่เข้ามา มาได้ถูกจังหวะถูกที่ และสามารถเรียกเสียงหัวเราะได้บ่อยมากๆ การออกแบบตัวละครของ เจอราร์ด ให้ไม่ได้เก่งกาจเหนือมนุษย์มากนัก ทำให้หนังยิ่งสมจริง ดูพระเอกสูสี หรืออาจจะอ่อนด้อยกว่าบรรดาตัวร้ายด้วยซ้ำ ยิ่งทำให้ผู้ชมอินกับหนังและเอาใจช่วยตัวละครหลักมากขึ้น รวมถึงการที่หนังเรื่องนี้ แทบจะไม่มีตัวละครที่ชวนขัดใจ หรือบทที่งี่เง่าเลย ยิ่งทำให้ผู้ชมไม่รู้สึกขัดอะไรกับหนัง สามารถเอ็นจอยไปได้ตลอดจนจบในแบบที่ไม่มีอะไรให้หงุดหงิด (ซึ่งหลายครั้งที่หนังแนวนี้ หรือหนังผี จะมีอะไรให้หงุดหงิดเสมอ)สรุปแล้ว Plane ถือเป็นหนังแอ็กชันฟอร์มกลางๆที่ทำถึง และสนุกแบบครบถ้วนมากๆ ถ้าชอบหนังแอ็กชันในสไตล์แบบยุค80s-90s น่าจะชอบเรื่องนี้ มันมีความโหดเหี้ยมในฉากแอ็กชันแบบเดียวกับ Rambo มันมีอารมณ์บางอย่างที่คล้ายกับหนังอย่าง Con Air และอีกหลายๆเรื่อง ถือเป็น 2 ชั่วโมงที่บันเทิงมากๆ และน่าดูในโรงภาพยนตร์จริงๆPlane เปิดรอบพิเศษหลัง 1 ทุ่มตั้งแต่วันนี้ ฉายจริง 26 มกราคมทุกโรงภาพยนตร์ภาพ : Mongkol Major Mongkol Cinema

[REVIEW EXCLUSIVE] : จอร์จ คลูนีย์ x จูเลีย โรเบิร์ต นำทีม "Ticket To Paradise” เผยเบื้องลึกก่อนตีตั๋วรักสู่หนังรอมคอมแห่งปีที่ไม่ควรพลาด ! | GOSSIP GUN

05 ต.ค. 2022

[REVIEW EXCLUSIVE] : จอร์จ คลูนีย์ x จูเลีย โรเบิร์ต นำทีม "Ticket To Paradise” เผยเบื้องลึกก่อนตีตั๋วรักสู่หนังรอมคอมแห่งปีที่ไม่ควรพลาด ! | GOSSIP GUN

นานแค่ไหนแล้วที่เราไม่ได้ดูหนังโรแมนติกคอเมดี้ที่ยิ้มไม่หุบตลอดทั้งเรื่อง ยังจำเสียงหัวเราะตอนที่ดู Four Weddings and a Funeral ได้หรือไม่ ยังจำความสุขตอนที่ดู Notting Hill ได้หรือเปล่า และยังจำความอิ่มเอมหัวใจพองโตตอนที่ดู Love Actually กันได้ใช่ไหม ? ดูเหมือนว่าหนังรอมคอมจะห่างหายจากโรงภาพยนตร์ไปพักใหญ่หลายต่อหลายปีที่ผ่านมา และนี่คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้ ยูนิเวอร์แซล มอบความสุขที่ห่างหายไปให้กับผู้ชมทั่วโลกอีกครั้งกับ “Ticket To Paradise” (ตั๋วรักสู่พาราไดซ์) นี่ไม่ใช่แค่การกลับมาของหนังรักเบาสมองแบบที่พวกเราคุ้นเคยและโหยหาเท่านั้น แต่ยังเป็นการกลับมาเจอกันอีกครั้งบนหน้าจอ ของพระเอกเสน่ห์เหลือล้นแห่งยุคอย่าง "จอร์จ คลูนีย์" และราชินีแห่งหนังรักอย่าง "จูเลีย โรเบิร์ต" ซึ่งพิสูจน์กันมาแล้วว่า เคมีของทั้งคู่ช่างเข้าขากันดีเหลือเกินก่อนที่จะได้ชม Ticket To Paradise กันในโรงภาพยนตร์ เราขอพาทุกคนไปพูดคุยกับ ซูเปอร์สตาร์แห่งยุค อย่าง จอร์จ คลูนีย์ และจูเลีย โรเบิร์ต ที่นำทีมนักแสดงและผู้กำกับ จากหนังโรแมนติกเบาสมองแห่งปี มารวมตัวกันที่รอบปฐมทัศน์ในกรุงลอนดอน ซึ่งในโอกาสนี้พวกเขาทั้งหมด ได้เข้าร่วมงาน Press Conference พร้อมกับสื่อมวลชนจากทั่วโลกผ่านทางออนไลน์ และในโอกาสนี้ ทาง EFM94 และเพจ Hollywood GossipGun ก็ได้รับโอกาสพิเศษในการเข้าร่วมด้วย ทำไมเราทุกคนถึงไม่ควรพลาด Ticket To Paradise หนังเรื่องนี้จะมอบความสุขให้ผู้ชมได้ขนาดไหน เราขอพาทุกท่านไปหาคำตอบพร้อมๆกัน“หนังเรื่องนี้ถูกเขียนบทขึ้นมาเพื่อจอร์จ และจูเลียโดยเฉพาะ” - โอล ปาร์กเกอร์ ผู้กำกับ Ticket To Paradise เล่าถึงไอเดียแรกเริ่มของหนัง เขาเขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้ โดยมี จอร์จ คลูนีย์ และ จูเลีย โรเบิร์ต อยู่ในหัวตั้งแต่วันแรก และโปรเจกต์นี้คงกลายเป็นอากาศธาตุถ้านักแสดงระดับโลกทั้งสองคนปฏิเสธที่จะรับบทนำ แต่ โอลและแฟนหนังโรแมนติกคอเมดี้ทั่วโลกโชคดี เพราะทั้งสองต่างตอบรับ โอลเล่าต่อว่า - “ผมเขียนบทเพื่อจอร์จ และจูเลียโดยเฉพาะ ถ้าพวกเขาไม่รับเล่น พวกเราคงไม่ได้มานั่งอยู่ตรงนี้ สองบทบาทนี้สำหรับพวกคุณเท่านั้น (โอลหันไปหา จอร์จและจูเลีย) ผมเขียนบทเพื่อพวกคุณ ติดต่อไปยังพวกคุณ และภาวนาให้พวกคุณรับแสดงในหนังเรื่องนี้”ย้อนกลับไป จอร์จ คลูนีย์ และจูเลีย โรเบิร์ต พบกันครั้งแรกในกองถ่าย Ocean's Eleven เมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว หลังจากนั้นทั้งสองก็กลายเป็นเพื่อนสนิทกันในทันที จอร์จเล่าให้ฟังว่า เขานั่งอยู่ที่พื้นโรงแรมและเล่นมุกกันเกือบ 5 ชั่วโมง นั่นคือจุดเริ่มต้นความสนิทสนมของทั้งสอง - “สำหรับพวกเรามันง่ายเสมอ ตอนที่ผมได้บทภาพยนตร์ Ticket To Paradise จำได้ว่าโอลส่งให้ทั้งผมและจูเลียพร้อมๆกัน ผมโทรหาจูเลียถามว่า คุณอ่านบทหนังหรือยัง เธอกำลังอ่านอยู่เลย ผมบอกไปว่าผมจะเล่นถ้าคุณเล่น จูเลียก็พูดแบบเดียวกัน โชคดีที่พวกเราใจตรงกัน” - จอร์จเล่าต่อว่า มันสนุกที่ได้ทำงานกับเพื่อน ที่ได้ทำงานกับจูเลีย หลังจากการแสดงหนังด้วยกันครั้งแรก ทั้งสองได้ร่วมงานกันอีกครั้งในภาคต่อ Ocean's Twelve และในหนังระทึกขวัญMoney Monster แต่ใครจะเชื่อว่าทั้งสองคน ยังไม่เคยเล่นหนังโรแมนติกคอเมดี้ด้วยกันมาก่อนใน Ticket To Paradise จอร์จ คลูนีย์ และจูเลีย โรเบิร์ต รับบทเป็น เดวิด และจอร์เจีย อดีตสามีภรรยาที่กลายความสัมพันธ์จากคู่รัก ไปเป็นคู่แค้น หลังหย่าร้างทั้งคู่แทบไม่เคยพูดจาดีๆ แทบไม่เคยมองหน้ากัน แม้แต่อยู่ในห้องเดียวกันยังเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แต่แล้วภารกิจที่ทำให้ทั้งสองต้องจับมือกันก็เกิดขึ้น เมื่อ ลิลลี่ ลูกสาวที่เพิ่งเรียนจบของพวกเขา ไปพบรักหนุ่มอินโดนีเซีย หลังเดินทางไปพักผ่อนที่บาหลี และทั้งสองตัดสินใจที่จะแต่งงานกัน ทันทีที่ เดวิดและจอร์เจีย ทราบข่าว ทั้งคู่จึงรีบซื้อตั๋วบินสู่เกาะบาหลี แต่ไม่ใช่เพื่อแสดงความยินดีกับลูก เป้าหมายของพวกเขา คือการล่มงานวิวาห์ครั้งนี้ให้ได้ เพื่อให้ ลิลลี่ ไม่ทำผิดพลาดในความรัก แบบที่ทั้งคู่เคยเผชิญ และพาเหรดแห่งความอลหม่านก็ได้เริ่มต้นขึ้น ณ ตรงนี้“แค่ได้มีโอกาสต่อปากต่อคำกับจอร์จ ฉันก็พร้อมโดดเข้าร่วมในหนังแล้ว” - จูเลีย โรเบิร์ต เล่าถึงเหตุผลที่เธอตัดสินใจตอบตกลง กลับมาเล่นหนังรอมคอมทันทีที่อ่านบทจบ หลังจากห่างหายไปนานกว่าทศวรรษ เพื่อไปเล่นหนังแนวอื่นๆ เธอเล่าว่าแค่การที่จะได้เห็น จอร์จ คลูนีย์ ตกหลุมรักเธอแบบหัวปักหัวปำมันก็น่าสนุกเต็มทีแล้ว จูเลียเผยถึงความสัมพันธ์ระหว่างสองตัวละครว่า - “แม้ในหนังจอร์จ จะตกหลุมรักฉันอย่างหนัก แต่ฉันไม่รักเขาแล้ว และเขาพยายามใช้โอกาสนี้ที่ลูกสาวของพวกเราจะแต่งงาน เพื่อหาโอกาสกลับมาคืนดีกับเธอ..” - ไม่ทันที่ จูเลีย จะพูดจบ จอร์จก็พยายามพูดแทรกเข้ามาทันที แทบจะไม่ต่างจากบทอดีตผัวเมียคู่นี้ในจอเลย นี่คือการพิสูจน์ให้เห็นว่า นอกจอพวกเขาทั้งสนิทและสนุกกันเพียงใด ในจอก็เป็นเช่นกัน และก่อนที่จูเลียจะพูดจบ จอร์จก็ป้อนคำหวานว่า - “สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผม คือโอกาสที่จะได้เล่นหนังกับราชินีแห่งซิตคอม ราชินีแห่งหนังโรแมนติกเบาสมอง”- นั่นสิ จะพลาดโอกาสนี้ไปได้อย่างไร ?ขนาด จอร์จ และจูเลีย ยังไม่อยากพลาดโอกาสที่จะได้ร่วมงานกันเอง แล้วทีมนักแสดงคนอื่นๆ จะพลาดได้ไง สาวน้อยที่โชคดีที่สุดคือ เคทลิน เดเวอร์ นักแสดงสาวที่แจ้งเกิดจาก Booksmart และได้ชิงรางวัล Golden Globes จากมินิซีรีส์Unbelievable เล่าถึงโอกาสแห่งชีวิต ที่เธอได้รับเลือกให้แสดงบท ลิลลี่ ลูกสาวของ จอร์จและจูเลียในหนัง เธอเล่าว่าเหตุผลสำคัญ ที่ตัดสินใจเล่นบทนี้ แน่นอนว่ามันคือการได้เล่นเป็นลูกของ จอร์จและจูเลีย นอกจากนี้เธอเล่าต่อว่า - “ฉันไม่เคยเล่นหนังรอมคอมมาก่อน เลยอยากลองบทที่แตกต่าง และแน่นอนว่าฉันจะได้ทำงานกับเพื่อนสนิท ฉันมีความสุขมากๆระหว่างถ่ายทำหนังเรื่องนี้ มันเยี่ยมมากเลย” - เพื่อนสนิทที่ว่านี้ เคทลินหมายถึง บิลลี่ ลอร์ด นักแสดงรุ่นพี่ที่เคยร่วมงานกันมาแล้วในBooksmart ซึ่งทั้งสองกลับมาร่วมงานกันอีกครั้งในTicket To Paradise แถมยังแสดงเป็นเพื่อนสนิทกันอีกด้วย เคทลินบอกว่า การได้ร่วมงานกับเพื่อนสนิท ทำให้ทุกอย่างมันง่ายขึ้นมาก และแค่โอกาสที่ได้รู้จัก จอร์จและจูเลีย มันก็วิเศษมากๆแล้วนอกจาก จอร์จ-จูเลีย และเหล่าบรรดาสาวๆบนเกาะสวรรค์แห่งนี้แล้ว สองนักแสดงหนุ่มที่เข้ามามีบทบาทสำคัญ เพิ่มความสนุกให้กับ Ticket To Paradise คนแรกคือ แม็กซิม บูเทียร์ นักแสดงและนักดนตรีหนุ่มสุดหล่ชาวอินโดนีเซีย ที่เข้ามารับบท เจด หนุ่มท้องถิ่นที่ ลิลลี่ ลูกสาวของ จอร์จและจูเลีย ตกหลุมรัก แม็กซิม เล่าถึงตัวละครของเขาว่า - “เขามาจากบาหลี เขาเพาะสาหร่ายริมทะเลเป็นอาชีพ เขาเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติรอบๆตัวเขา เขาเหมือนจะเป็นเจ้าชายรูปงามเลยละ” (เพื่อนๆนักแสดงต่างแซวว่า เขาเป็นเจ้าชายแบบออร์แกนิคเลยละ เพราะปลูกสาหร่าย) – เมื่อถูกถามว่า รู้สึกอย่างไรบ้าง ที่ได้แสดงเป็นลูกเขยของ จอร์จ คลูนีย์ และจูเลีย โรเบิร์ต แมกซีนเล่าทันทีว่า ตอนที่เขารับโทรศัพท์ แล้วปลายสายบอกว่าคุณได้เล่นบทนี้นะ เขานี่ตัวแทบลอย การที่ได้ร่วมงานกับจอร์จ มีหลายฉากที่ต้องเล่นด้วยกัน แม็กซิมรู้สึกขอบคุณมากๆที่ได้รับโอกาสนั้น มันเป็นประสบการณ์ที่บ้ามากๆเลยปัญหาที่ จอร์จ คลูนีย์ ต้องเผชิญบนเกาะสวรรค์แห่งนี้ ไม่ใช่แค่การหยุดลูกสาวจากงานวิวาห์ที่เขาไม่เห็นด้วยเท่านั้น แต่ยังมีการที่เขาต้องเห็นอดีตคนรักไปมีแฟนใหม่ ที่ทั้งหนุ่ม ทั้งแซ่บยิ่งกว่า เมื่อตัวละครจอร์เจีย กำลังอินเลิฟกับ พอล นักบินหนุ่มซึ่งรับบทโดย ลูคัส บราโว่ หนุ่มหล่อจาก Emily In Paris ซึ่งเมื่อพอลรู้ว่า จอร์เจีย กำลังจะบินไปหาลูกที่บาหลี เขาเลยตัดสินใจแลกเที่ยวบิน เพื่อมาบินในไฟลต์นี้ และเซอร์ไพรสแฟนสาวรุ่นใหญ่ด้วย ลูคัสเล่าถึงตัวละครเขาว่า - “ความน่าสนใจของตัวละครพอล คือเขาแทบจะไม่เคยเจอปัญหาปวดใจมาก่อน เป็นคนใสซื่อบริสุทธิ์มากๆ เขาเหมือนเด็กอายุ 14 ปี ติดอยู่ในร่างชายวัย 30 ซึ่งผู้กำกับ (โอล ปาร์กเกอร์) เปิดโอกาสให้ผมได้อิมโพรไวซ์ ได้ลองแสดงหลายๆแบบ แล้วจอร์จกับจูเลียก็เล่นตาม มันน่าสนใจมาก”แม้จะได้เล่นหนังเป็นคนรักของ จูเลีย โรเบิร์ต แต่ลูคัสเผยว่า ตอนแรกที่เล่นบทนี้ มันไม่ได้สบายเลย และเขาได้เล่าถึงฉากที่ประหม่าอย่างมาก - “อย่างฉากจูบบนเครื่องบิน ผมแทบไม่เชื่อตัวเองว่าจะได้จูบกับจูเลีย พวกเราขำกันไม่หยุด ผู้กำกับก็เลยบอกว่า จูบใหม่สิ..” ทันใดนั้น ระหว่างที่พูดคุยกันอยู่ จอร์จ คลูนีย์ ก็แซวขึ้นมาทันทีว่า จูเลียนั่นแหละที่อยากจูบอีก ด้านจูเลียแซวตัวเองต่อไปอีกว่า มันอยู่ในสัญญาของเธอเลยนะ นี่คือตัวอย่างความสนุกที่ล้นออกมาจากในจอสู่นอกจอ พวกเขาสนิทกันจริงๆในชีวิตจริง ทั้งจอร์จและจูเลียต่างเอ็นดูลูคัสมาก เขาบอกว่าทั้งสองพยายามเปิดทางให้เขาได้ซีนเสมอ - “มันเป็นความรู้สึกที่ประหลาดมาก หลังจากที่ผมได้ดูหนังเต็มๆเมื่อคืน ผมเริ่มตระหนักได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ผมไม่ได้บอกพ่อแม่ด้วย แต่พุ่งไปยังกองถ่ายเลย ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วแค่พริบตา เมื่อวานผมเพิ่งมานั่งคิดจริงจังว่า เกิดอะไรขึ้นกับผมเนี่ย” - ยังไม่ทันจะพูดจบ จอร์จ คลูนีย์ ก็แซวขึ้นมาอีกแล้ว – “ลูคัสเพิ่งอายุ 5 ขวบเอง ตอนที่ Notting Hill ฉาย เขาตั้งตารอจะมาเจอคุณตั้งแต่ตอนนั้นแล้วละ” เชื่อแล้วว่าสนิทกันจริงๆทีมนักแสดงทั้งหมด บินไปยังออสเตรเลีย เพื่อถ่ายทำ Ticket To Paradise แทนที่จะเป็นเกาะบาหลี เพราะตอนที่หนังเปิดกล้อง อินโดนีเซีย ยังคงมีมาตรการด้านโควิด-19 ที่ยังรัดกุมทำให้ถ่ายทำไม่ได้ แต่ท้ายที่สุดทีมงานก็สามารถเก็บภาพบรรยากาศของบาหลีมาใช้จริงๆได้ในเวลาต่อมา นี่คือการถ่ายทำหนังที่เหล่านักแสดงต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่มีวันไหนที่พวกเขาไม่มีความสุขเลย และทั้งหมดต้องขอบคุณทีมงานและผู้กำกับ โอล ปาร์กเกอร์ จูเลีย โรเบิร์ต เผยว่า - “โอล เขาทั้งตลก ทั้งมีความมั่นใจ กล้าหาญ เขารู้จักตัวตนนักแสดงแต่ละคน แล้วค่อยๆปรับให้เข้ากับหนัง” -ในขณะที่ จอร์จ กล่าวเสริมว่า พวกเขาต่างโชคดี โอลเขียนบทภาพยนตร์ที่งดงามออกมา แล้วก็ได้พวกเรามาแสดง เขาต้องหาวิธีในการคุมพวกเราให้อยู่ ตลอดเวลาการถ่ายทำมันสนุกมาก เขาทั้งสุภาพ และนิสัยดี พวกเราแทบจะไม่มีวันแย่ๆในกองถ่ายเลย ซึ่งมันหายากมาก“ทั้งฉันและจอร์จต่างรู้สึกภาคภูมิใจเมื่อทำให้ผู้ชมหัวเราะได้ ฉันดีใจมากทุกครั้งที่ได้ทำอะไรบางอย่างแล้วได้ยินเสียงหัวเราะในกองถ่าย ทีมงานขำอยู่หลังมอนิเตอร์” - จูเลีย โรเบิร์ต กล่าวถึงการที่เธอและเพื่อนสนิทอย่าง จอร์จ ได้มอบความสุขให้กับทุกคนในกองถ่าย และความสุขเหล่านั้น กำลังจะส่งต่อไปยังผู้ชมทั่วโลก หลังจากที่พวกเราผ่านช่วงเวลาอันยากลำบาก ของการระบาดโควิด-19 นี่คือช่วงเวลาแห่งความสุขที่กำลังกลับคืนมา พวกเราห่างหายจากการหัวเราะดังๆพร้อมกันในโรงภาพยนตร์มานานแค่ไหนแล้ว พวกเราห่างหายจากการเสียน้ำตาในโรงภาพยนตร์มานานแค่ไหนกัน Ticket To Paradise คือตั๋วสู่ความอิ่มเอมที่พวกเราคุ้นเคย นี่คือโอกาสสำคัญที่จะได้ดูหนังโรแมนติกเบาสมอง แบบที่ทุกคนชื่นชอบอีกครั้ง ตั๋วรักสู่พาราไดซ์ 6 ตุลาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์เท่านั้นภาพ : Universal Pictures

[REVIEW] ‘Babylon’ มหากาพย์สุดบ้าคลั่ง ฉากหลังยุคทองฮอลลีวูด| GOSSIP GUN

18 ม.ค. 2023

[REVIEW] ‘Babylon’ มหากาพย์สุดบ้าคลั่ง ฉากหลังยุคทองฮอลลีวูด| GOSSIP GUN

La La Land คือปรากฏการณ์ของฮอลลีวูด หลังจากเข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง13 สาขาเทียบเท่า Titanic แม้ว่าท้ายที่สุดจะพลาดรางวัลสำคัญอย่าง Best Picture แต่หนังก็ส่งให้ เดเมียน ชาเซลล์ กลายเป็นผู้กำกับที่อายุน้อยที่สุดที่ชนะสาขา Best Director นั่นทำให้ทุกโปรเจกต์หลังจาก La La Land จากฝีมือเขาล้วนถูกจับตา หลังจากเบนเข็มไปเล่าเรื่องนอกฮอลลีวูดมาแล้วกับ First Men เดเมียนขอกลับสู่เรื่องราวที่เขารักมากที่สุดอีกครั้ง เรื่องราวของแวดวงภาพยนตร์ใน 'Babylon' โปรเจกต์ยักษ์ทุนสร้าง80 ล้านเหรียญฯ ที่เปิดโอกาสให้เดเมียนที่โชว์ฝีมือแบบเต็มที่ จะได้โชว์เรื่องราวเกี่ยวกับฮอลลีวูดอย่างเต็มสตรีมBabylon พาผู้ชมย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นยุคทองของฮอลลีวู้ดในช่วงปลายยุค 1920s มหากาพย์ของหลากหลายตัวละคร ที่แจ้งเกิดและแตกดับ ท่ามกลางการเปลี่ยนถ่ายของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ จากยุคหนังเงียบ สู่หนังที่มีเสียง หลายความฝันเป็นจริง หลายคนมุ่งมั่นประสบความสำเร็จ แต่เมื่อทุกอย่างไม่ยั่งยืน จึงไม่มีคำว่า ตลอดไป โดยเฉพาะในวงการนี้ โดยตัวละครหลักๆที่หนังโฟกัส เริ่มจาก แมนนี่ (รับบทโดย ดิเอโก้ ซัลวา) หนุ่มจากเม็กซิโกที่ข้ามชายแดนมายังฮอลลีวู้ดเพราะหลงไหลในมนต์เสน่ห์ของภาพยนตร์ จนทำให้เขาอยากสร้างหนัง ได้มาเจอกับ เนลลี่ (รับบทโดย มาร์โก ร็อบบี้) หญิงสาวสุดทะเยอทะยานที่เธอเชื่อสุดใจว่าเธอเกิดมาเพื่อเป็นซูเปอร์สตาร์ ระหว่างที่ทั้งคู่ค่อยๆไล่ตามความฝันไปทีละขั้น พวกเขาก็ได้เจอกับ แจ็ค คอนราด (รับบทโดย แบรด พิตต์) นักแสดงเบอร์ท็อปของวงการในขณะนั้น ที่ไม่ว่าเล่นหนังเรื่องไหนก็ฮิตติดลมบนทุกเรื่อง แต่เมื่อฮอลลีวูดกำลังจะเปลี่ยนไป ยุคของหนังเสียงกำลังก้าวเข้ามาแทนที่หนังเงียบ พวกเขาทุกคนและทุกชีวิตในฮอลลีวูดก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปถ้าเปรียบ La La Land เป็นเหมือนน้ำนิ่งที่ไหลลึก หนังอย่าง Babylon ก็คือคลื่นที่ซัดกระหน่ำไม่หยุดตลอดเวลา แม้ว่ามันจะเล่าถึงคนตามฝันในวงการบันเทิงเหมือนกัน แต่สำหรับเรื่องนี้ เดเมียน ขอปรับเข้าสู่โหมดที่บ้าคลั่งอย่างเต็มที่ เรียกว่าปล่อยของแบบไม่มีลิมิตเลยจริงๆ หนังเริ่มจากฉากปาร์ตี้สุดคลั่ง ที่เต็มไปด้วยเหล้ายาเซ็กซ์ หลายอย่างที่ไม่มีใครคาดคิด (แม้แต่ช้างก็ยังมี) กับทุกเหตุการณ์ที่เหนือความควบคุม สะท้อนถึงภาพความสุดเหวี่ยงของไลฟ์สไตล์คนบันเทิงในยุคนั้น ก่อนที่จะต่อด้วยเช้าวันใหม่กับการถ่ายทำหนังที่เต็มไปด้วยความโกลาหลอลหม่านขั้นสุด กองถ่ายที่หนังฟอร์มใหญ่ที่ดูเหมือนกำลังจะพังพินาศ จะพังแหล่ไม่พังแหล่ แค่ฉากใหญ่สองซีนแรก ก็ทำให้ผู้ชมอารมณ์สูบฉีดขั้นสุด มันทั้งสนุก ทั้งบ้าคลั่ง ทั้งตลกอย่างร้ายกาจ และเป็น Mood Tone แรก ที่บอกถึงสไตล์อันชัดเจนของ Babylon ในช่วงเวลาที่เล่าถึงการผงาดของหลายความฝันและเมื่อความเปลี่ยนแปลงมาถึง อีกหนึ่ง Mood Tone ที่ค่อยๆเผยออกมาใน Babylon คือความดาร์กของชีวิต ที่หลายฉากพาให้อารมณ์ผู้ชมดำดิ่งอยู่ไม่น้อย เมื่อทุกอย่างไม่จีรั่งยั่งยืน ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้าไปได้ตลอด หนังค่อยๆพาผู้ชมไปดู ชีวิตที่ต้องจะเกียกตะกายไล่ตามฝันอีกครั้ง หลังจาก La La Land เดเมียนเคยสื่อสารกับผู้ชมว่า ทุกความฝันย่อมต้องมีการเสียสละ คุณไม่สามารถเอาชนะหรือทำตามใจตัวเองได้ทุกอย่าง นำไปสู่บทสรุปที่หลายคนใจสลาย สำหรับ Babylon เดเมียนกำลังจะบอกผู้ชมว่า แม้ความฝันจะเป็นจริงแล้ว แต่ไม่มีอะไรอยู่กับเราได้ตลอดไป ทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องชั่วคราวทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียงเงินทอง เมื่อหลายๆตัวละครขึ้นสู่จุดสูงสุด แล้วตกลงมาท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง มันจึงไม่ง่ายเลยที่จะกลับไปอยู่จุดเดิมอีกครั้ง (ซึ่งส่วนใหญ่ไม่มีโอกาสนั้นอีกแล้ว)ไม่แปลกใจที่กระแสคำวิจารณ์ของ Babylon จากเมืองนอก จะออกมาในลักษณะที่ไม่ รัก ก็ เกลียด มันเป็นหนังที่ส่วนตัวมากๆสำหรับเดเมียน เหมือนสร้างมาประหนึ่งว่าตัวเองจะไม่มีโอกาสได้สร้างหนังอีกแล้ว เขาอยากเล่าอะไรจึงเล่า อยากทำอะไรจึงทำ หนังมันจึงมีอารมณ์ที่ขึ้นสุดลงสุด ตลอด 3 ชั่วโมง 8 นาที บ้างก็ว่าหนังขาดความสมูธ บ้างก็ว่าทิศทางของหนังดูเหมือนจะไม่ชัดเจนเท่าไหร่นัก แต่โดยรวมต้องชื่นชมความจัดเต็มของเขา การออกแบบงานสร้างที่ไม่ธรรมดา ดนตรีประกอบสุดเร้าใจ และการแสดงโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดิเอโก้ ซัลวา และมาร์โก้ ร็อบบี้ ที่แสดงได้อย่างยอดเยี่ยมในหลายๆฉากที่ท้าทายฝีมือมากๆท้ายที่สุดแม้ว่า Babylon จะแตกต่างจาก La La Land อย่างมาก แต่ก็มีหลายครั้งที่กลิ่นอายของLa La Land (หรือแม้แต่งานก่อนหน้าอย่าง Whiplash) ชัดเจนมากเช่นกัน โดยเฉพาะดนตรีประกอบที่ท่วงทำนองในหลายฉากภาพของ La La Land ผุดเข้ามาในหัวเลย ใครที่เคยชอบ La La Land ก็อยากให้ลองมาพิสูจน์หนังเรื่องนี้ แม้ว่าหนังจะดูเป็นคนหลายบุคลิกไปหน่อย บ้าคลั่งไปหน่อย แต่แก่นก็มัน ก็ทั้งโรแมนติกและบีบหัวใจไม่แพ้กัน และที่แน่ๆ หลังจากดูจบเราเชื่อมั่นเหลือเกินว่า เดเมียน ชาเซลล์ รักในการทำหนัง รักในศาสตร์ของภาพยนตร์จริงๆ แม้ว่าช่วงท้ายเขาจะใส่หนักมากไปหน่อยก็ตาม แต่มันก็เป็นจดหมายแบบทั้งรักทั้งเกลียดของเขา ต่อสิ่งที่โลกเรียกว่า "ฮอลลีวูด"Babylon (บาบิลอน) เข้าฉาย 19 มกราคมนี้ ทุกโรงภาพยนตร์ภาพ : UIP Thailand

[REVIEW] ‘บ้านเช่า บูชายัญ (Home For Rent)’ ผู้เช่าบ้านกับลัทธิสยอง หนังหลอนตั้งแต่ต้นจนจบ ! | GOSSIP GUN

05 เม.ย. 2023

[REVIEW] ‘บ้านเช่า บูชายัญ (Home For Rent)’ ผู้เช่าบ้านกับลัทธิสยอง หนังหลอนตั้งแต่ต้นจนจบ ! | GOSSIP GUN

เตรียมหลอนรับสงกรานต์กันได้เลย กับการกลับมาทำหนังสยองขวัญอีกครั้งของค่ายจีดีเอช กับ 'บ้านเช่า บูชายัญ' เพราะตั้งแต่ปล่อยชิ้นงานโปรโมตทั้งตัวอย่างและโปสเตอร์ออกมา ก็ได้รับเสียงตอบรับที่ค่อนข้างหลากหลาย (ตั้งแต่บวกสุดไปจนถึงลบสุดๆ) ทำให้หลายคนยังกังขาว่า หนังฉบับเต็มจะออกมาเป็นเช่นไร ซึ่งคอหนังสยองน่าจะพอโล่งใจได้ เพราะกระแสส่วนใหญ่ของรอบพรีเมียร์นั้น ค่อนข้างออกไปทางบวกเกือบหมด ใครที่เคยดูตัวอย่างแล้วยังลังเล ขอให้ลองไปพิสูจน์ในโรงกันดู เพราะสิ่งที่อยู่ในตัวอย่างนั้น เป็นเพียงเสี้ยวเดียวของหนังเท่านั้น เพราะหนังจริงๆ แทบจะไม่สามารถเล่าอะไรได้มากเลย เนื่องจากจะเป็นการสปอยล์ แต่สิ่งที่ผู้ชมจากรอบแรกเห็นตรงกันคือ นี่คือการกลับมาคืนฟอร์มของ จิม-โสภณ จาก ลัดดาแลนด์ ผู้กำกับที่มุ่งมั่นกับการสร้างหนังแนวนี้มาโดยตลอด แต่ก็มีเป๋ไปบ้างกับผลงาน 2 เรื่องล่าสุด หลายเสียงจึงเห็นตรงกันว่า นี่คือหนังสยองขวัญที่เวิร์คที่สุดของเขา นับจาก ลัดดาแลนด์บ้านเช่า บูชายัญ ได้นักแสดงระดับซูเปอร์สตาร์อย่าง เวียร์-ศุกลวัฒน์ และ มิว-นิษฐา มารับบทสามีภรรยา กวินและหนิง ที่อาศัยอยู่ในบ้านอันสงบสุขกับลูกสาววัย 7 ขวบ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ทำให้ทั้งคู่ต้องปล่อยบ้านหลังนี้ให้เช่า และผู้ที่สนใจเข้ามาเช่านั้น คือครอบครัวของ ราตรี (รับบทโดย ต่าย-เพ็ญพักตร์) แพทย์ที่เกษียณแล้ว ที่กำลังมองหาที่พักในกรุงเทพฯ เพื่ออยู่ใกล้ลูกสาว แต่ไม่นานหลังจากราตรีย้ายเข้ามาอยู่ เพื่อนบ้านเริ่มสังเกตเห็นถึงความผิดปกติมากมาย จากบ้านหลังนี้ ไม่ว่าจะเป็นตัวของราตรีที่แทบจะไม่ออกมาจากบ้านเลย สภาพของบ้านที่เริ่มเก่าและทรุดโทรม รวมถึงเสียงสวดประหลาดที่มักจะดังขึ้นทุกเช้ามืดเวลาตี 4 เกิดอะไรขึ้นกันแน่ในบ้านหลังนี้? และชีวิตของทุกคนกำลังจะตกอยู่ในอันตรายหรือไม่ (อย่างที่เกริ่นไป นี่เป็นเพียง 10% ของเส้นเรื่องเท่านั้น ที่เหลือต้องไปดูกันเอง)นี่คือหนังที่อาจจะกล่าวได้ว่า รีวิวยากมากเรื่องหนึ่ง เพราะหลายๆอย่างในหนังไม่สามารถบอกได้ มิฉะนั้นจะเป็นการสปอยล์ ไม่ใช่แค่เนื้อเรื่องด้วย แต่เป็นวิธีในการเล่าที่ทำให้หนังยิ่งน่าติดตามมากขึ้น แต่สิ่งที่พอบอกได้ และเป็นจุดที่ทำให้ชอบมากๆ คือ การดำเนินเรื่องที่ค่อนข้างไว (และเมื่อดูไปเรื่อยๆ จะเข้าใจเหตุผลว่า ทำไมถึงต้องเล่าไวในช่วงครึ่งแรก) หนังแทบจะไม่เสียเวลาอ้อยอิ่งอะไรเลย ตั้งแต่วินาทีที่หนังเริ่ม หนังพาผู้ชมเข้าเรื่องทันที และพอหนังเดินเรื่องไว ฉากสยองจึงมาไวเช่นกัน โดยเฉพาะในองก์แรกที่จัดเต็มฉากหลอนมาแบบต่อๆกัน จนแทบไม่ให้พักเลย หนังสามารถรักษาบรรยากาศความหวาดผวาไว้ได้ดี บวกกับปมหลัก โดยเฉพาะตัวละคร หนิง ของ มิว-นิษฐา ที่ต้องเผชิญกับความกดดันขีดสุด ทำให้ความรู้สึกของคนดู ผนวกกันทั้งความน่ากลัวและความกดดันไฮไลต์สำคัญที่ทำให้ บ้านเช่า บูชายัญ น่าติดตามเป็นอย่างมาก คือวิธีการเล่าเรื่อง ที่เล่นกับมุมมอง ทำให้ภาพรวมของหนังเป็นเหมือนจิ๊กซอว์ที่ค่อยๆปะติดปะต่อเรื่อง จนกว่าจะเป็นภาพรวมออกมา สำหรับในองก์แรก หนังเล่นกับอารมณ์ความไม่รู้เป็นหลัก หนังเลือกที่จะแหย่คนดูให้รู้เห็นเหตุการณ์ทีละนิด ทีละหน่อย ไม่ต่างกับตัวละครนำ ที่ยังคงสับสนว่าสิ่งที่พวกเขากำลังจะต้องเผชิญคืออะไรกันแน่ ซึ่งเป็นพาร์ทที่น่าลุ้นน่าติดตามมาก ก่อนที่จะเข้าสู่องก์ที่ 2-3 ซึ่งเมื่อเรื่องดำเนินไปเรื่อยๆ ผู้ชมเริ่มเห็นสิ่งต่างๆมากขึ้นเรื่อยๆ จากอารมณ์ความหลอนเพราะไม่รู้ ก็เริ่มปรับเปลี่ยนเป็นหลอน เพราะสิ่งที่รู้มันน่ากลัว น่าหวาดผวาแทนแน่นอนว่า อีกไฮไลต์สำคัญ คือการแสดงของ 3 นักแสดงหลักของเรื่อง ซึ่งหนังเปิดโอกาสให้แต่ละคนได้โชว์การแสดงในมุมของตัวเองพอสมควร เริ่มจาก มิว ที่รับบทหญิงที่ต้องเผชิญกับความกลัวขีดสุด ความไม่มั่นคงใดๆในชีวิต และพร้อมทำทุกทางให้กับลูกสาว หลายฉากผู้ชมสัมผัสได้จริงๆว่าตัวละครนี้ กลัวมากๆ เพราะเธอแทบจะไม่มีอะไรยึดมั่นได้เลย ในขณะที่ เวียร์ ถ่ายทอดบทสามีที่ค่อนข้างซับซ้อนได้ดีทีเดียว และเมื่อเส้นเรื่องดำเนินไป หลายฉากต้องแสดงอารมณ์ที่ทั้งซับซ้อนและสับสนค่อนข้างเยอะมาก ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะถ่ายทอด ปิดท้ายด้วย พี่ต่าย กับบทคุณราตรี ตัวละครที่เต็มไปด้วยปริศนา และดูน่าหวาดผวาจากภายนอก ซึ่งเพียงแค่สีหน้าของพี่ต่ายนั้น แค่ยืนเฉยๆก็สร้างความหวาดกลัวให้กับคนดูได้มากแล้วโดยรวม 'บ้านเช่า บูชายัญ' ถือเป็นหนังสยองขวัญของคนไทย ที่ไม่ธรรมดาเลย มีอะไรที่หนังซ่่อนเอาไว้ ยังไม่บอกผู้ชมอีกเพียบ เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งตัดสินจากสิ่งที่เห็นบางส่วนเท่านั้น เชื่อว่าหลายคนหลังดูจบ จะเกิดความหวาดระแวงเมื่อออกจากโรงหนังอย่างแน่นอน เพราะหลังจากดูจบ แค่ลองมองบ้านธรรมดาๆ ก็รู้สึกถึงความน่ากลัวได้แล้ว แค่เห็นหน้าต่างที่ม่านปิดอยู่ เสียงนกร้องในตอนกลางคืน เสียงน้ำหยดในบ้าน หรือแม้แต่ เมื่อถึงเวลาตี 4 ถ้าใครนอนไม่หลับ แล้วเพิ่งดูหนังเรื่องนี้มา ต้องมีหลอนกันบ้างอย่างแน่นอน นี่คือหนังสยองขวัญอีกเรื่อง ที่ิบิลด์ความน่ากลัวได้เก่ง และมีวิธีการเล่าที่น่าติดตามมากจริงๆ.\ชมตัวอย่าง 'บ้านเช่า บูชายัญ' เข้าฉาย 6 เมษายนในโรงภาพยนตร์ภาพ : GDH

album

0
0.8
1