[REVIEW] ‘Faces of Annes แอน’ ใครคือแอนตัวจริง หนังชวนฉงน ชวนสะพรึงแห่งปี | GOSSIP GUN

HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘Faces of Annes แอน’ ใครคือแอนตัวจริง หนังชวนฉงน ชวนสะพรึงแห่งปี | GOSSIP GUN

12 ต.ค. 2022

 

ฮือฮาตั้งแต่เปิดตัวไปแล้วสำหรับภาพยนตร์ไทยน่าจับตามองแห่งปีอย่าง Faces of Anne หรือชื่อไทยสั้นๆ ว่า "แอน" ด้วยทีมนักแสดงสุดหวือหวา เพราะน่าจะเป็นหนังไทยเรื่องแรกที่รวมนักแสดงหญิงวัยรุ่นน่าจับตามองไว้เยอะที่สุดขนาดนี้ ทั้งที่เปิดเผยออกมาแล้วถึง 10 คน ตามรายชื่อบนใบปิด ประกอบด้วย ออกแบบ ชุติมณฑน์, อิ้งค์ วรันธร, วี วิโอเลต, มินนี่ ภัณฑิรา, ก้อย อรัชพร, ปันปัน สุทัตตา, เจนนิษฐ์ โอ่ประเสริฐ, มิวสิค แพรวา, อุ้ม อิษยา และ นานา ศวรรยา ยังไม่รวมที่ยังไม่ได้โปรโมตอีก ซึ่งความพีกยิ่งกว่าคือคอนเซปต์ของหนัง เพราะนักแสดงทั้งหมดที่เอ่ยนามมานี้ ต่างเล่นเป็นตัวละครที่ ชื่อว่า แอน พวกเขารับบทเป็นหญิงสาวที่ตื่นขึ้นมาในห้องหนึ่ง ในชุดสีเหลืองเหมือนกัน ทุกคนต่างถูกคุมขังไว้ในสถานที่แห่งนี้ด้วยเหตุผลบางอย่าง แต่อันตรายกำลังจะมาถึง หลังจากการปรากฏตัวขึ้น ของ ปีศาจกวาง ที่ออกไล่ฆ่าพวกเธออย่างอำมหิต ท้ายที่สุดแล้ว พวกเธอจะมีชีวิตรอดหรือไม่ แล้วทำไมทุกคนถึงชื่อแอน เกิดอะไรขึ้นกันแน่ในที่แห่งนี้ ต้องไปหาคำตอบกันในหนัง

สิ่งที่ดึงดูดกลุ่มคนดูหนังมากที่สุด นอกจากลิสต์รายชื่อนางเอกรุ่นใหม่ และพล็อตสุดแปลกแล้ว คือ ชื่อของผู้กำกับ อย่าง คงเดช จาตุรันต์รัศมี เจ้าของผลงานเกรดเออย่าง เฉิ่ม, ตั้งวง, Snap แค่ได้คิดถึง และล่าสุดอย่าง Where We Belong ที่ตรงนั้นมีฉันหรือเปล่า (นอกจากนี้ คงเดช ยังเขียนบทให้กับหนังรักคุณภาพล้นอย่าง The Letter จดหมายรัก และ Me..Myself ขอให้รักจงเจริญ อีกด้วย) ด้วยงานกำกับที่คุมคนดูอยู่หมัดมาโดยตลอด และไม่ว่าเขาจะเล่าเรื่องอะไร มักแฝงประเด็นสถานการณ์บ้านเมืองไว้เสมอ โดยเฉพาะ 3 เรื่องล่าสุดที่ เอ่ยถึงทั้งอย่างตรงไปตรงมา และในนัยยะแฝง เฉกเช่น ผลงานล่าสุดอย่าง Faces of Annes แม้ตัวหนังเองจะทำท่าเป็น Psychological Thriller หรือหนังทริลเลอร์จิตวิทยา ที่มีกลิ่นของหนังสยอง และหนังไล่เชือด แต่ในเส้นเรื่องที่ลึกกว่านั้น เชื่อว่าผู้กำกับได้แฝงอะไรบางอย่างไว้อย่างแน่นอน เพราะระหว่างทางมีอะไรให้คิดไปทางนั้นอยู่ไม่น้อย

โดยรวมบรรยากาศของ Faces of Annes ทั้งชวนสะพรึง ชวนสยอง และชวนฉงนไปพร้อมๆกัน ในพาร์ทที่ทำให้รู้สึกสะพรึงนั้น หนังสามารถทำได้ตั้งแต่วินาทีแรกๆ ที่คุมคนดูอยู่ แม้จะเคลื่อนตัวไปช้าในระดับหนึ่ง แต่ด้วยอารมณ์ของหนังทำให้ผู้ชมติดอยู่กับสถานการณ์นั้นได้ตลอด นำมาสู่จังหวะที่หนังชวนสยอง เมื่อ Faces of Annes เพิ่มดีกรีความระทึกขึ้น นับตั้งแต่ตัวละคร "ปีศาจกวาง" โผล่ออกมา ไล่ฆ่าพวกเธอ แม้เหล่าแอนจะพยายามหนีแต่ก็ไม่มีทางออก นำไปสู่พาร์ทชวนฉงน การดูหนังเรื่องนี้เหมือนการต่อจิกซอว์อยู่ไม่น้อย เมื่อคนดูค่อยๆปะติดปะต่อเรื่องราว คนสร้างก็ค่อยๆเผยโครงสร้างพล็อตออกมา เผยความจริงบางอย่าง ทำให้หนังน่าติดตาม และชวนให้อยากรู้ว่าท้ายที่สุดแล้ว มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ในหนังเรื่องนี้ ?

แน่นอนว่า Faces of Annes ไม่ใช่หนังสยองขวัญที่เล่าเรื่องชั้นเดียว นอกจากการไขปริศนาที่เกิดขึ้นในเส้นเรื่องหลักแล้ว การมองหนังด้วยแว่นตาที่ต่างออกไป ทำให้เห็นอะไรบางอย่างมากขึ้น โดยเฉพาะแว่นตาของการเมือง ซึ่งปรากฏในหนังคงเดชอยู่บ่อยครั้ง ในเรื่องนี้ก็แฝงไว้ซึ่งสัญญะเช่นกัน (ต่อจากนี้ไม่ได้สปอยล์เรื่องนะครับ) เริ่มจากตัวละครแอน และปีศาจกวาง ที่เปรียบเปรยถึง คน หรือ กลุ่มคนบางกลุ่ม สามารถสังเกตได้ด้วย สิ่งที่พวกเธอเผชิญ เสื้อผ้าที่เธอสวมใส่ ในขณะที่ปีศาจกวางนั้น สามารถสังเกตได้จาก การเลือกให้ตัวละครนี้ สวมหัวกวาง สัตว์ที่ดูสง่างามแต่กลับมาไล่ฆ่าคน อาวุธที่กวางใช้ เพลงที่ถูกเปิดทุกครั้งที่ปีศาจตนนี้ปรากฏตัว พร้อมด้วยรายละเอียดยิบย่อยอีกมากมาย หลายจังหวะถ้าดูหนังด้วยแว่นตาแบบดูเอาบันเทิงอาจจะไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร แต่ถ้ามองอีกแบบ อาจจะเจอคำตอบ สิ่งที่แฝงไว้ในหนังเรื่องนี้ โดย นอกจากในแง่การปกครองที่ถูกเล่าผ่าน Faces of Annes แล้ว หนังยังเล่าถึงสังคมคนรุ่นใหม่ในยุคสมัยปัจจุบันอย่างตรงไปตรงมา การใช้ชีวิตในสังคมที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน การถูกครอบงำโดย Social Media ลามไปถึงปัญหาด้านจิตเวช ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งที่วัยรุ่นยุคนี้ต้องเผชิญ ในสภาวะสังคมที่ไม่ปกตินี้

ไฮไลต์ที่ไม่เอ่ยถึงไม่ได้ คือเหล่าทีมนักแสดงหญิงรุ่นใหม่มากฝีมือที่ตบเท้าเข้ามาแสดงใน Faces of Anne อย่างน่าตื่นตา โดยรวมหนังค่อนข้างบาลานซ์ Screen Time ของนักแสดงแต่ละคนได้ค่อนข้างดี แน่นอนว่า เวลาปรากฏบนจอไม่เท่ากัน แต่ทุกคนต่างมีโมเมนต์เป็นของตัวเอง มีจังหวะที่ปล่อยของกันพอสมควร ถ้าจะให้เลือกไปเลยว่าใครคือ MVP แทบจะเลือกได้ยากมาก เพราะทุกตัวละครต่างมีความสำคัญ ต่างมีอะไรบางอย่างที่ไม่ง่ายนักในการแสดง ความสนุกของผู้ชมคือการลุ้นว่า ใครจะโผล่มาเมื่อไหร่ นักแสดงที่เราชอบจะปรากฏตัวช่วงนี้ ประโยชน์ของการที่หนังมีดาราเยอะ มันก็สนุกในแบบนี้แฝงไปด้วย

โดยรวม Faces of Annes คือหนังชวนขยี้สมองแห่งปี หากจะเข้าไปดูเพื่อความบันเทิง อาจจะได้ความเครียดกลับมาแทน เพราะหนังท้าทายผู้ชม กระตุ้นให้ชวนคิดต่อตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นในแง่เส้นเรื่องปกติ รวมถึงเส้นประเด็นที่แฝงเอาไว้ ทั้งหมดนี้ถูกคุมด้วยบรรยากาศชวนสะพรึงตลอดทั้งเรื่อง แม้จะมีบางจุดที่จังหวะการเล่าค่อนข้างช้า แต่หนังก็สามารถตรึงเราไว้ได้เสมอ และด้วยแคสระดับดรีมทีมแบบนี้ ไม่บ่อยครั้งนักที่เราจะได้ดูหนังไทยที่แปลกใหม่ น่าสนใจ น่าลิ้มลองในแบบที่Faces of Annes นำเสนอ ถ้ามีโอกาส นี่คือหนังไทยอีกเรื่อง ที่อยากให้ลองชม

ภาพ : M Pictures

ชมตัวอย่าง แอน Faces of Anne เข้าฉาย 13 ตุลาคมในโรงภาพยนตร์

related HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘NOPE’ เหตุสยองจากบนฟ้า หนังผวาล่าสุดจาก จอร์แดน พีล | GOSSIP GUN

17 ส.ค. 2022

[REVIEW] ‘NOPE’ เหตุสยองจากบนฟ้า หนังผวาล่าสุดจาก จอร์แดน พีล | GOSSIP GUN

หลายคนสะดุุดหนังเรื่อง NOPE ตั้งแต่ชื่อไทย ที่ทางค่ายยูไอพี ตั้งแบบตรงไปตรงมาตามชื่ออังกฤษว่า "ไม่" นำไปสู่ปริศนาที่ต้องตามต่อในหนังว่า คำว่าไม่ ในที่นี้หมายถึงอะไร และมันใช้ในบริบทไหนของหนังกันแน่ นี่คือโปรเจกต์หนังเขย่าขวัญเรื่องที่ 3 ของ จอร์แดน พีล อดีตนักแสดงตลกที่ผันตัวมาเป็นนักสร้างหนังในแนว Horror ที่ปังตั้งแต่โปรเจกต์แรกอย่าง Get Out ที่นอกจากจะกวาดเงินถล่มทลาย ยังทำให้เขาได้รางวัลออสการ์มาครองอีกด้วย ต่อด้วย Us ที่ทั้งชวนผวาและสร้างความเหวอได้ไม่แพ้กัน มาถึงโปรเจกต์ล่าสุดอย่าง NOPE ที่ในหนังเรื่องนี้ เขาผสมความเป็น Sci-Fi เข้าไปในหนัง และเป็นการกลับมาร่วมงานกันครั้งอีกครั้ง พีล และแดเนียล คาลูย่า พระเอกจาก Get Out ที่ตอนนี้กลายเป็นนักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์ไปแล้ว คาลูย่า รับบท โอเจ ชายหนุ่มที่รับหน้าที่ดูแลคอกม้าต่อจากพ่อ หลังจากที่เขาเสียชีวิตด้วยเหตุการณ์สุดประหลาด เขากับน้องสาวที่บุคลิกต่างกันสุดขั้วอย่าง เอ็ม (รับบทโดย กีกี้ พาล์มเมอร์ จาก Hustlers) ต้องทำหน้าที่คอยฝึกม้า เพื่อไปใช้ในการถ่ายทำหนังหรือโฆษณา แต่แล้วเหตุการณ์สุดแปลกก็เกิดขึ้นต่อเนื่อง หลังจากพ่อของพวกเขาเสียชีวิต หลายครั้งที่ไฟฟ้าดับบริเวณบ้านกลางหุบเขาของพวกเขา ทุกอย่างที่เป็นของที่ใช้กระแสไฟฟ้า แม้แต่ รถยนต์ หรือมือถือก็ล้วนดับหมด แถมยังทำให้ม้าของพวกเขาผวากับบางอย่าง โอเจและเอ็ม เริ่มมองขึ้นไปบนฟ้า และสังเกตุเห็นว่า มีอะไรผิดปกติ โดยเฉพาะก้อนเมฆบางก้อน ที่ไม่เป็นอย่างที่ควรจะเป็น นำไปสู่เหตุการณ์สุดผวา ที่ไม่มีมนุษย์คนไหนเคยเผชิญมาก่อนสิ่งที่ทำให้อยากดูและตั้งตารอคอยผลงานของ จอร์แดน พีล มากๆ ทุกครั้งที่เขาทำโปรเจกต์ใหม่ คือเอกลักษณ์ที่โดดเด่นและแตกต่างในหนังเขย่าขวัญแบบของเขา ไม่ว่าจะเป็นพล็อตที่ถูกเก็บซ่อนเอาไว้ นำไปสู่ความเหวอขั้นสุดในช่วงหลัง การแฝงด้วยประเด็นสังคมที่มากกว่าเส้นเรื่อง อาทิ เรื่องสีผิวใน Get Out เรื่องประเทศใน Us มาจนถึงเรื่องล่าสุด ที่หยิบเอาเรื่องระดับโลกมาแฝงไว้ บวกกับอารมณ์ขัน ที่ถูกสอดแทรกไว้ในหนังด้วยจังหวะที่แม่นยำ ต้องขอบคุณที่เขาเคยเป็นนักแสดงตลกมาก่อน ทำให้เขาทำหนังเขย่าขวัญออกมาได้ดี เพราะสิ่งที่คล้ายกันของหนังเบาสมองและหนังเขย่าขวัญ คือ จังหวะที่แม่นยำในการปล่อยของ และจำเป็นต้องหามุกใหม่มาเล่นเสมอๆ (อย่างในหนังผี ถ้าเรื่องไหน มีฉากหลอกผู้ชมใหม่ๆ และจังหวะผีหลอกเป๊ะ มักจะออกมาดีงาม) นั่นทำให้หนังของ พีล ดูเฟรชตลอด เหมือนกับดูหนังของ เอ็ม.ไนต์ ชยามาลาน ที่ทั้งตลกด้วยและสอดแทรกประเด็นเสียดสีหรือวิพากท์สังคมไว้ด้วย การดู NOPE ถือเป็นประสบการณ์การดูหนังในโรงที่แปลกใหม่อีกครั้ง ด้วยสองปัจจัยสำคัญ คือทั้งในแง่ของการเล่าเรื่อง และภาพที่ปรากฏขึ้นบนจอ สิ่งที่หนังซ่อนเอาไว้ เต็มไปด้วยความแปลก ความประหลาด และชวนหวาดผวา พีลสามารถหยิบเอาสิ่งที่เราเห็นประจำ มาทวิสต์ให้เรารู้สึกหลอนกับสิ่งนั้นได้ ด้วยจังหวะการเล่าเรื่องที่เขาค่อยๆแย้มปริศนาที่ซ่อนอยู่ทีละนิดๆ จนกระทั่งสาดใส่ผู้ชมและตัวละครในเรื่องอย่างแรงในช่วงหลัง การดู NOPE ในโรง ทำให้ผู้ชมถูกตรึงไว้กับหนังได้อย่างดี บวกกับสิ่งที่ปรากฏบนจออย่างที่เอ่ยไป บางสิ่งที่หนังซ่อนเอาไว้ มันเหมาะที่จะถูกชมบนจอขนาดใหญ่มากๆ (ยิ่งโรง IMAXยิ่งเพิ่มอรรถรส) แม้มันจะไม่ใช่หนังแอ็กชันโปรดักชั่นใหญ่โต แบบที่ชอบฉายในระบบ IMAX แต่ "บางอย่าง" ในหนัง ยิ่งดูบนจอใหญ่ ยิ่งได้อารมณ์ขึ้นจริงๆ จนทำให้ NOPE น่าจะเป็นอีกหนึ่ง Cinema Experience สำหรับผู้ชมไม่มากก็น้อยเมื่อเทียบกับผลงานสองเรื่องก่อนของ จอร์แดน พีล ต้องถือว่า NOPE เล่าในสเกลหนังที่ใหญ่โตกว่าเดิมมาก และค่อนข้างดูง่ายกว่าทั้ง Get Out และ Us แต่มันก็ยังไม่ทิ้งเอกลักษณ์ที่ชัดเจนของผู้กำกับ หนังยังทำให้ผู้ชมเหวอ และหวาดผวากับพล็อตได้เช่นเดิม บวกกับจังหวะหลอนและจังหวะอารมณ์ขันที่ค่อนข้างถูกเป๊ะ พร้อมกับหลากหลายประเด็นที่ซุกซ่อนไว้ในหนัง ซึ่งไม่จำเป็นต้องคิดต่อก็ได้ แต่ถ้าพอจะสังเกตุก็นึกถึงสิ่งที่ผู้กำกับอยากสื่อได้อย่างสนุกสนาน ไม่ได้ชวนปวดหัวแบบหนังเชิงสัญลักษณ์บางเรื่อง เพราะท้ายที่สุด มันก็ยังเป็นหนังเขย่าขวัญซัมเมอร์ ที่พร้อมให้ผู้ชมทุกกลุ่มดูได้ และเปิดประสบการณ์แปลกใหม่ในการดูหนังได้ เช่นเดิม นี่คืออีกงานที่พิสูจน์ว่า ความสำเร็จของ Get Out ไม่ใช่เพราะความบังเอิญ พีล ตอกย้ำว่า เขาคือผู้กำกับที่น่าจับตามอง ในฐานะผู้กำกับที่มีเอกลักษณ์ชัดเจน หลังจากนี้ไม่ว่าจะทำอะไร ก็มีแฟนหนังชุดใหญ่พร้อมที่จะรอดูอยู่แล้วNOPE เข้าฉาย 18 กรกฎาคมในโรงภาพยนตร์ ชมตัวอย่าง :ภาพ : UIP Thailand

[REVIEW] ‘Extraction 2’ ภาคใหม่เดือดจัด ซัดหนักฉากแอ็กชัน 21 นาทีนันสต็อป | GOSSIP GUN

16 มิ.ย. 2023

[REVIEW] ‘Extraction 2’ ภาคใหม่เดือดจัด ซัดหนักฉากแอ็กชัน 21 นาทีนันสต็อป | GOSSIP GUN

ย้อนกลับไปเมื่อเดือนเมษายนปี 2020 Extraction คือหนังแอ็กชันฟอร์มยักษ์ของ Netflix ที่ได้รับอานิสงส์จากโควิด-19 ไปแบบเต็มๆ ในช่วงเวลาเพียงแค่เดือนกว่าๆหลังล็อกดาวน์ โรงภาพยนตร์ถูกปิด หนังโปรแกรมยักษ์ทั้งหมดถูกเลื่อนฉายแบบไม่มีกำหนด แต่ Extraction กลายเป็นหนังฟอร์มโตเรื่องเดียวที่ไม่ได้รับผลกระทบ เพราะโปรแกรมฉายนั้นอยู่ใน Netflix ในช่วงเวลาที่คนส่วนใหญ่ต้องอยู่บ้านและต่างกระหายหนังบล็อกบัสเตอร์ Extraction สามารถตอบโจทย์ได้อย่างเต็มๆ จนหนังสามารถทุบสถิติ กลายเป็นหนังที่มียอดวิวสูงสุดตลอดกาลของ Netflix ในขณะนั้น ด้วยยอดคนดูที่เฉียดระดับร้อยล้านคนภายใน 4 สัปดาห์แรกของการปล่อยฉาย จากความสำเร็จในระดับนี้ ทำให้ Netflix ไม่รอช้าประกาศสร้างภาคต่อ ท่ามกลางความงงของแฟนๆ เพราะว่าตัวละครพระเอกในหนังนั้น เสียชีวิตในตอนจบของภาคแรกไปแล้วExtraction คือผลงานการรีทีมกันอีกครั้งของพระเอก คริส เฮมเวิร์ธ และสองพี่น้องผู้กำกับจาก Avengers : Endgame อย่าง โจและแอนโทนี รุสโซ ที่ทำหน้าที่อำนวยการสร้างหนังเรื่องนี้ โดยโจนั้นยังเขียนบทภาพยนตร์เองด้วย เพราะดันให้ แซม ฮาร์เกรฟ สตันต์แมนตัวพ่อที่เคยร่วมงานกันมาในหนังจักรวาลมาร์เวลหลายต่อหลายเรื่อง ขึ้นแท่นมาเป็นผู้กำกับ โดยในภาค 2 นี้ สมาชิกทั้งหมดก็ยังคงยกทีมกันกลับมาทำหน้าที่เดิม โดย คริส กลับมารับบทเป็น ไทเลอร์ เรค นักฆ่ารับจ้างยอดฝีมือ ซึ่งหลังจากรอดตายจากภาคแรก (แบบดื้อๆ) เขาก็กลับมาพร้อมกับภารกิจใหม่ โดยเปลี่ยนโลเคชั่นจากประเทศร้อนๆอย่าง บังคลาเทศในภาคแรก (ซึ่งถ่ายทำในไทย) ไปเป็นประเทศที่มีอากาศหนาวเย็นอย่าง จอร์เจีย โดยในภาคนี้ เขาต้องบุกเข้าไปในคุกที่ความปลอดภัยแน่นหนา เพื่อช่วยสมาชิกของครอบครัวมาเฟียชาวจอร์เจียออกมาให้ได้ ซึ่งแน่นอนว่าทุกอย่างไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด ไทเลอร์ต้องเผชิญกับอุปสรรคสารพัด ท่ีรอขวางทางเขาอยู่แน่นอนว่าไฮไลต์ของ Extraction 2 ก็ยังคงเป็นฉากแอ็กชันที่เดือดจัดในระดับที่ไม่แพ้ภาคแรก หลังจากในภาคก่อนผู้ชมได้เจอกับฉากแอ็กชันแบบนันสต็อปยาวกว่า 10 นาที ในภาคนี้ผู้สร้างขอดับเบิ้ลไปเลยด้วยฉากแหกคุกที่มีความยาวแบบ 21 นาที ที่ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ลองเทคจริงๆ แต่ก็ใช้เทคนิคในการตัดต่อให้ผู้ชมรู้สึกแบบนั้น นี่คือไฮไลต์อย่างแท้จริงของหนังที่ระหว่างดูเล่นเอาอ้าปากค้างไปหลายรอบ อุทานด้วยความอึ้งไปหลายครั้งเช่นกัน ด้วยการดีไซน์ฉากบู๊ที่ทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่เสียชื่อของ แซม ฮาร์เกรฟที่เป็นอดีตสตันต์แมนมาก่อน บวกกับวิธีการเคลื่อนกล้องที่ลื่นไหล ในอนาคตหนังอย่าง Extraction น่าจะค่อยๆไต่ระดับขึ้นเป็นหนังแอ็กชันที่สะใจแฟนๆ ได้ใกล้เคียงกับหนังอย่าง John Wick อย่างแน่นอน (ซึ่งเรื่องหลังเขานำโด่ง สร้างมาตรฐานไว้สูงลิบแล้ว)นอกจากฉากบู๊ซีนใหญ่ที่ว่านี้ ระหว่างทาง Extraction 2 ก็ยังคงเสิร์ฟฉากแอ็กชันมันส์ๆไว้ตลอดทั้งเรื่อง หลายฉากก็เพิ่มดีกรีความมันส์ได้เยอะกว่าภาคแรก เหมือนผู้สร้างเริ่มจับทางได้แล้วว่า ตัวเองถนัดอะไร ผู้ชมต้องการอะไรจากหนังเรื่องนี้ ก็พยายามจัดสิ่งที่ใช้มาให้ผู้ชมตลอด และในขณะเดียวกันก็ไม่ได้พยายามสร้างเรื่องให้ซับซ้อนเกินความจำเป็น พล็อตยังคงง่ายๆ แค่ภารกิจของพระเอกกับการช่วยเหลือคนออกมาเท่านั้น ด้วยความที่หนังที่ต้องเสียเวลากับการปูเรื่องอะไรมากมายนัก ทำให้หนังมีเวลาค่อนข้างมากในการใส่ฉากแอ็กชัน และกระชับความยาวหนังให้ไม่ยาวไม่มากกว่า 2 ชั่วโมงโดยรวม Extraction 2 ยังคงจัดเต็มความมันส์แบบไม่ให้ได้พัก ข้อดีมากๆของหนังคือฉากแอ็กชันที่มันส์แบบถึงอารมณ์ หลายฉากเรียกเสียงปรบมือจากผู้ชมได้ลั่นโรง (จากรอบพรีวิวที่ผู้เขียนได้ไปดูมาในโรง) และที่สำคัญ เริ่มจะเห็นความพยายามในการสร้างจักรวาลของตัวเอง ผู้สร้างน่าจะเห็นถึงศักยภาพในการเป็นแฟรนไชส์ใหญ่ในอนาคตได้ หลายๆฉากในภาคนี้ก็เลยใส่เข้ามาเพื่อปูทางไว้สำหรับในอนาคต ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีสำหรับพระเอก คริส เฮมเวิร์ธ หลังจากบทบาทเทพเจ้า Thor ในจักรวาลมาร์เวล เดินทางมาถึงจุดอิ่มตัวแล้ว การที่เขามีแฟรนไชส์นี้ น่าจะไปได้อีกไกล ซึ่งดูจะเป็นบทที่เหมาะกับเขาแบบมากๆด้วยชมตัวอย่าง Extraction 2 สตรีม 16 มิถุนายนนี้ใน Netflixภาพ : Netflix Thailand

[REVIEW] ‘Babylon’ มหากาพย์สุดบ้าคลั่ง ฉากหลังยุคทองฮอลลีวูด| GOSSIP GUN

18 ม.ค. 2023

[REVIEW] ‘Babylon’ มหากาพย์สุดบ้าคลั่ง ฉากหลังยุคทองฮอลลีวูด| GOSSIP GUN

La La Land คือปรากฏการณ์ของฮอลลีวูด หลังจากเข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง13 สาขาเทียบเท่า Titanic แม้ว่าท้ายที่สุดจะพลาดรางวัลสำคัญอย่าง Best Picture แต่หนังก็ส่งให้ เดเมียน ชาเซลล์ กลายเป็นผู้กำกับที่อายุน้อยที่สุดที่ชนะสาขา Best Director นั่นทำให้ทุกโปรเจกต์หลังจาก La La Land จากฝีมือเขาล้วนถูกจับตา หลังจากเบนเข็มไปเล่าเรื่องนอกฮอลลีวูดมาแล้วกับ First Men เดเมียนขอกลับสู่เรื่องราวที่เขารักมากที่สุดอีกครั้ง เรื่องราวของแวดวงภาพยนตร์ใน 'Babylon' โปรเจกต์ยักษ์ทุนสร้าง80 ล้านเหรียญฯ ที่เปิดโอกาสให้เดเมียนที่โชว์ฝีมือแบบเต็มที่ จะได้โชว์เรื่องราวเกี่ยวกับฮอลลีวูดอย่างเต็มสตรีมBabylon พาผู้ชมย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นยุคทองของฮอลลีวู้ดในช่วงปลายยุค 1920s มหากาพย์ของหลากหลายตัวละคร ที่แจ้งเกิดและแตกดับ ท่ามกลางการเปลี่ยนถ่ายของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ จากยุคหนังเงียบ สู่หนังที่มีเสียง หลายความฝันเป็นจริง หลายคนมุ่งมั่นประสบความสำเร็จ แต่เมื่อทุกอย่างไม่ยั่งยืน จึงไม่มีคำว่า ตลอดไป โดยเฉพาะในวงการนี้ โดยตัวละครหลักๆที่หนังโฟกัส เริ่มจาก แมนนี่ (รับบทโดย ดิเอโก้ ซัลวา) หนุ่มจากเม็กซิโกที่ข้ามชายแดนมายังฮอลลีวู้ดเพราะหลงไหลในมนต์เสน่ห์ของภาพยนตร์ จนทำให้เขาอยากสร้างหนัง ได้มาเจอกับ เนลลี่ (รับบทโดย มาร์โก ร็อบบี้) หญิงสาวสุดทะเยอทะยานที่เธอเชื่อสุดใจว่าเธอเกิดมาเพื่อเป็นซูเปอร์สตาร์ ระหว่างที่ทั้งคู่ค่อยๆไล่ตามความฝันไปทีละขั้น พวกเขาก็ได้เจอกับ แจ็ค คอนราด (รับบทโดย แบรด พิตต์) นักแสดงเบอร์ท็อปของวงการในขณะนั้น ที่ไม่ว่าเล่นหนังเรื่องไหนก็ฮิตติดลมบนทุกเรื่อง แต่เมื่อฮอลลีวูดกำลังจะเปลี่ยนไป ยุคของหนังเสียงกำลังก้าวเข้ามาแทนที่หนังเงียบ พวกเขาทุกคนและทุกชีวิตในฮอลลีวูดก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปถ้าเปรียบ La La Land เป็นเหมือนน้ำนิ่งที่ไหลลึก หนังอย่าง Babylon ก็คือคลื่นที่ซัดกระหน่ำไม่หยุดตลอดเวลา แม้ว่ามันจะเล่าถึงคนตามฝันในวงการบันเทิงเหมือนกัน แต่สำหรับเรื่องนี้ เดเมียน ขอปรับเข้าสู่โหมดที่บ้าคลั่งอย่างเต็มที่ เรียกว่าปล่อยของแบบไม่มีลิมิตเลยจริงๆ หนังเริ่มจากฉากปาร์ตี้สุดคลั่ง ที่เต็มไปด้วยเหล้ายาเซ็กซ์ หลายอย่างที่ไม่มีใครคาดคิด (แม้แต่ช้างก็ยังมี) กับทุกเหตุการณ์ที่เหนือความควบคุม สะท้อนถึงภาพความสุดเหวี่ยงของไลฟ์สไตล์คนบันเทิงในยุคนั้น ก่อนที่จะต่อด้วยเช้าวันใหม่กับการถ่ายทำหนังที่เต็มไปด้วยความโกลาหลอลหม่านขั้นสุด กองถ่ายที่หนังฟอร์มใหญ่ที่ดูเหมือนกำลังจะพังพินาศ จะพังแหล่ไม่พังแหล่ แค่ฉากใหญ่สองซีนแรก ก็ทำให้ผู้ชมอารมณ์สูบฉีดขั้นสุด มันทั้งสนุก ทั้งบ้าคลั่ง ทั้งตลกอย่างร้ายกาจ และเป็น Mood Tone แรก ที่บอกถึงสไตล์อันชัดเจนของ Babylon ในช่วงเวลาที่เล่าถึงการผงาดของหลายความฝันและเมื่อความเปลี่ยนแปลงมาถึง อีกหนึ่ง Mood Tone ที่ค่อยๆเผยออกมาใน Babylon คือความดาร์กของชีวิต ที่หลายฉากพาให้อารมณ์ผู้ชมดำดิ่งอยู่ไม่น้อย เมื่อทุกอย่างไม่จีรั่งยั่งยืน ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้าไปได้ตลอด หนังค่อยๆพาผู้ชมไปดู ชีวิตที่ต้องจะเกียกตะกายไล่ตามฝันอีกครั้ง หลังจาก La La Land เดเมียนเคยสื่อสารกับผู้ชมว่า ทุกความฝันย่อมต้องมีการเสียสละ คุณไม่สามารถเอาชนะหรือทำตามใจตัวเองได้ทุกอย่าง นำไปสู่บทสรุปที่หลายคนใจสลาย สำหรับ Babylon เดเมียนกำลังจะบอกผู้ชมว่า แม้ความฝันจะเป็นจริงแล้ว แต่ไม่มีอะไรอยู่กับเราได้ตลอดไป ทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องชั่วคราวทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียงเงินทอง เมื่อหลายๆตัวละครขึ้นสู่จุดสูงสุด แล้วตกลงมาท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง มันจึงไม่ง่ายเลยที่จะกลับไปอยู่จุดเดิมอีกครั้ง (ซึ่งส่วนใหญ่ไม่มีโอกาสนั้นอีกแล้ว)ไม่แปลกใจที่กระแสคำวิจารณ์ของ Babylon จากเมืองนอก จะออกมาในลักษณะที่ไม่ รัก ก็ เกลียด มันเป็นหนังที่ส่วนตัวมากๆสำหรับเดเมียน เหมือนสร้างมาประหนึ่งว่าตัวเองจะไม่มีโอกาสได้สร้างหนังอีกแล้ว เขาอยากเล่าอะไรจึงเล่า อยากทำอะไรจึงทำ หนังมันจึงมีอารมณ์ที่ขึ้นสุดลงสุด ตลอด 3 ชั่วโมง 8 นาที บ้างก็ว่าหนังขาดความสมูธ บ้างก็ว่าทิศทางของหนังดูเหมือนจะไม่ชัดเจนเท่าไหร่นัก แต่โดยรวมต้องชื่นชมความจัดเต็มของเขา การออกแบบงานสร้างที่ไม่ธรรมดา ดนตรีประกอบสุดเร้าใจ และการแสดงโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดิเอโก้ ซัลวา และมาร์โก้ ร็อบบี้ ที่แสดงได้อย่างยอดเยี่ยมในหลายๆฉากที่ท้าทายฝีมือมากๆท้ายที่สุดแม้ว่า Babylon จะแตกต่างจาก La La Land อย่างมาก แต่ก็มีหลายครั้งที่กลิ่นอายของLa La Land (หรือแม้แต่งานก่อนหน้าอย่าง Whiplash) ชัดเจนมากเช่นกัน โดยเฉพาะดนตรีประกอบที่ท่วงทำนองในหลายฉากภาพของ La La Land ผุดเข้ามาในหัวเลย ใครที่เคยชอบ La La Land ก็อยากให้ลองมาพิสูจน์หนังเรื่องนี้ แม้ว่าหนังจะดูเป็นคนหลายบุคลิกไปหน่อย บ้าคลั่งไปหน่อย แต่แก่นก็มัน ก็ทั้งโรแมนติกและบีบหัวใจไม่แพ้กัน และที่แน่ๆ หลังจากดูจบเราเชื่อมั่นเหลือเกินว่า เดเมียน ชาเซลล์ รักในการทำหนัง รักในศาสตร์ของภาพยนตร์จริงๆ แม้ว่าช่วงท้ายเขาจะใส่หนักมากไปหน่อยก็ตาม แต่มันก็เป็นจดหมายแบบทั้งรักทั้งเกลียดของเขา ต่อสิ่งที่โลกเรียกว่า "ฮอลลีวูด"Babylon (บาบิลอน) เข้าฉาย 19 มกราคมนี้ ทุกโรงภาพยนตร์ภาพ : UIP Thailand

[REVIEW] 'Minions : The Rise of Gru' ความป่วนครั้งใหม่ ที่ทำให้ตกหลุมรักมินเนียนมากขึ้น | GOSSIP GUN

30 มิ.ย. 2022

[REVIEW] 'Minions : The Rise of Gru' ความป่วนครั้งใหม่ ที่ทำให้ตกหลุมรักมินเนียนมากขึ้น | GOSSIP GUN

สิ่งที่ผู้ชมต้องการจากหนังMinionsคงไม่มีอะไรมากนอกจากเสียงหัวเราะ ดังนั้นถ้าหนังสามารถตอบโจทย์ข้อนี้ได้ ก็ถือว่าบรรลุเป้าหมายแล้ว ส่วนข้อดีอื่นๆที่เพิ่มขึ้นมา คงเป็นของแถม ซึ่งMinions : The Rise of Gruทำหน้าที่เป็นหนังแอนิเมชั่นคลายเครียดได้อย่างอยู่หมัด เป็นเวลา90นาทีที่เราสามารถลืมทุกอย่างภายนอก แล้วไปสนุกกับโลกป่วนๆของพวกมินเนียนได้ หลังจากที่พวกเราห่างหายจากการดูหนังเดี่ยวของMinionsมานานถึง7ปี และห่างหายจากDespicable Meมานานถึง5ปีแล้วถ้าจะอธิบายถึงสถานะของหนังMinions : The Rise of Gruอาจจะวุ่นวายเล็กน้อย เพราะมันคือหนังภาคต่อของMinionsในปี2015ซึ่งตัวหนังMinionsเองถือเป็นหนังภาคแยกออกมาจากDespicable Meซึ่งเน้นไปที่ตัวละครกรู บอสใหญ่ของเหล่ามินเนียน ซึ่งเหตุการณ์ในหนังMinions : The Rise of Gruจะเกิดขึ้นหลังจากMinionsแต่เป็นก่อนDespicable Meในภาคแรก โดยจะเล่าถึงกรูในวัย12ปีที่กำลังหาทางขึ้นไปเป็นวายร้ายระดับท็อปของโลกให้ได้ และโอกาสก็มาถึงเมื่อเหล่า วิกเชียส6แก๊งหกวายร้ายตัวเป้งของโลก เปิดรับสมัครสมาชิกใหม่ กรูจึงตั้งใจจะเป็นสมาชิกให้ได้ แต่กลับถูกเหล่าวายร้ายรุ่นเดอะเหยียดหยามว่าเขาเป็นแค่เด็ก กรูจึงขโมยสมบัติล้ำค่าออกมา เพื่อพิสูจน์ว่า เขาไม่ใช่เด็กทั่วไป นำไปสู่การผจญภัยสุดป่วน ของทั้งกรู และแก๊งมินเนียนสมุนของเขาทั้งหมดแม้หนังภาคนี้ จะมีเรื่องราวของ กรู ในวัยเด็กเข้ามาเป็นแกนหลักในการดำเนินเรื่อง แต่ไฮไลต์จริงๆ คงหนีไม่พ้นเหล่าตัวละคร มินเนียน ที่ถาโถมความป่วนเข้ามาตลอดทั้งเรื่อง เหมือนผู้สร้างรู้ดีว่า อะไรคือสิ่งที่แฟนๆชอบ อะไรคือสิ่งที่ผู้ชมที่ตั๋วเข้ามาดูต้องการ จึงสร้างสรรค์ฉากฮาๆ สำหรับตัวละครมินเนียนออกมาได้เพียบ ฉากการเดินทางข้ามอเมริกาและฉากฝึกศิลปะการต่อสู้ ก็เปิดโอกาสให้ผู้สร้างได้ใส่มุกมากมายในหนัง ซึ่งส่วนใหญ่ก็ได้ขำตลอด แต่ที่เซอร์ไพรสคือ ผู้สร้างเลือกที่จะชูตัวละครนึงขึ้นมาคือ อ็อตโต้ ซึ่งทำสิ่งผิดพลาดบางอย่างในตอนต้นเรื่อง ทำให้เขาค่อยๆเรียนรู้การใช้ชีวิต และเติบโตขึ้น ในขณะเดียวกัน เราจะได้เห็นการเรียนรู้บางอย่างและเติบโตขึ้นของกรูเช่นกัน ทำให้Minions : The Rise of Gruเป็นหนังตลกโบ๊ะบ๊ะเท่านั้น แต่ก็ยังมีความเป็นComing-of-Ageผสมผสานเข้ามาด้วยสีสันที่ทำให้Minionsน่าสนใจเพิ่่มขึ้นมา คือการสร้างบรรยากาศในยุค70s (ต่างจากDespicable Meที่เล่าให้ยุคปัจจุบัน)หนังมีการหยิบเอาPop Cultureบางอย่างมาใช้ประกอบ หยิบเอาอุปกรณ์ต่างๆในยุคนั้นมาเล่น มาแซว ทำให้ผู้ชมที่เป็นกลุ่มพ่อแม่ ที่พาลูกเข้าไปดูหนังเรื่องนี้ อาจจะนั่งขำหรือนึกย้อนถึงสมัยก่อน เพิ่มขึ้นจากการขำตัวมินเนียนแค่นั้น อีกหนึ่งสีสันสำคัญ คือการกลับมาพากย์เสียงประกอบ ของ สตีฟ คาร์เรล ในบทของกรู บวกกับการปรากฏตัวของบางตัวละคร ที่จะเชื่อมไปยังDespicable Meภาคแรก ทำให้ผู้ชมที่อาจจะพอจำภาคแรกได้ ได้ถึงย้อนไปถึงจุดเริ่มต้นของหนังแฟรนไชส์นี้ได้ โดยหนังยังมีนักแสดงสายแอ็กชันมาพากย์เสียงเพียบ ทั้ง มิเชลล์ โหย่ว,ฌอง คลอด แวน แดมม์ และดอล์ฟ ลุนเกรน เรียกว่าจัดเต็มในกลุ่มทีมพากย์พอสมควรสิ่งที่น่าเสียดายเล็กน้อยสำหรับMinions : The Rise of Gruคือพล็อตเรื่องที่อาจจะเบาบางไปนิด แต่ก็เอื้อให้เกิดฉากผจญภัยที่สนุกสนานและฉากตลกมากมาย และการสร้างตัวร้ายประจำภาคนี้ นั่นคือ กลุ่มวิกเชียส6ซึ่งมีสมาชิกมากถึงหกคน แต่กลับไม่ค่อยเป็นที่จดจำเท่าไหร่นัก แต่ละตัวละครต่างมีจุดเด่นที่ปรากฏเยอะไปหมด ความเยอะในทุกตัวละครนี้ กลับทำให้ไม่มีตัวละครไหนเด่นเลย แทนที่การรวมพลัง6คน มันควรจะยิ่งใหญ่ดูน่าเกรงขาม แต่พวกเขากลับร้ายแค่ระดับผิวเผินเท่านั้นเอง เมื่อเทียบกับ ตัวละคร สการ์เล็ต โอเวอร์คิล(ที่พากย์เสียงโดย แชนดร้า บูลล็อค)ในภาคก่อน ยังน่าจดจำยิ่งกว่าสรุปแล้วMinions : The Rise of Gruคือยาแก้เครียดขนานแท้ ภาคนี้จัดเต็มความฮาจากเหล่ามินเนียนแน่นอน รับประกันความป่วน แต่ก็จะมีมุมอื่นๆให้ได้เห็นอยู่เรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นมุมน่ารักแบ๊วๆ หรือมุมดราม่า ที่จะทำให้ผู้ชมยิ่งตกหลุมรักเหล่ามินเนียนมากขึ้นไปอีก นี่เป็นหนังอีกเรื่องที่ทำให้แบรนด์ดิ้ง ของ มินเนียน แข็งแรงขึ้น สิ่งที่น่าสนใจคือ หลังจากจบภาคนี้ ดูเหมือนเส้นเรื่องจะวนกลับมาครบลูป จากDespicable Meภาคแรกแล้ว ผู้สร้างจะเลือกทิศทางไปเล่าอย่างไรต่อ จนต้องติดตามกันต่อไป(ให้7.5คะแนนจากคะแนนเต็ม10คะแนน)ภาพ : UIP Thailandชมตัวอย่างMinions : The Rise of Gruวันนี้ในโรงภาพยนตร์

album

0
0.8
1