[REVIEW] ‘Beast’ (สัตว์-ร้าย) 90 นาทีสุดระทึก หนีตายสิงโตกลางป่าลึก | GOSSIP GUN

HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘Beast’ (สัตว์-ร้าย) 90 นาทีสุดระทึก หนีตายสิงโตกลางป่าลึก | GOSSIP GUN

25 ส.ค. 2022

ถ้าหนังอย่าง Crawl และ The Shallow ทำให้คุณลุ้นจนเหนื่อย ต้องไม่มองข้ามหนังเรื่อง Beast (ชื่อไทย สัตว์-ร้าย) ที่เปลี่ยนจาก จระเข้และฉลาม เป็น สิงโตคลั่ง และเปลี่ยนโลเคชั่น จากในน้ำ มาสู่บนบก กลางทุ่งหญ้าอันกว้างขวางในทวีปแอฟริกา หนังเล่าถึง ดร.เนต (รับบทโดย ไอดริส เอลบ้า จาก The Suicide Squad และ Thor) พ่อหม้ายมาดๆ เขาคือคุณหมอที่เพิ่งสูญเสียอดีตภรรยาไป และเพื่อสานสัมพันธ์กับลูกๆอีกครั้ง เขาจึงตัดสินใจพา แมร์และนอร่าห์ ลูกสาวสองคนของเขา ไปเที่ยวในแอฟริกาใต้ ไปเยี่ยมบ้านเกิดคุณแม่ของพวกเธอ แต่ในขณะที่พวกเขากำลังแล่นรถเยี่ยมชมในเขตอุทยานที่ปราศจากผู้คน ฝันร้ายก็ค่อยๆคลานเข้ามาเพื่อตะครุบพวกเขา เมื่อพวกเขาเจอศพของชาวเผ่าตายเป็นเบือ และต่างมีรอยกัดของสัตว์ใหญ่ที่แสนดุร้าย ไม่นานก็พวกเขาก็ได้เผชิญหน้ากับ สิงโตที่คลั่งผิดปกติ ท่ามกลางสถานที่อันเวิ้งว้าง พวกเขามีเพียงแค่รถคันเล็กๆ ที่ทำให้ปลอดภัยจากสัตว์ร้าย พวกเขาจะเอาชีวิตรอดไปได้อย่างไร เมื่อไม่มีแม้แต่สัญญาณมือถือในการขอความช่วยเหลือ ไร้ซึ่งอาหารและน้ำดื่มที่ใกล้จะหมด ความตายค่อยๆคืบคลานเข้ามาทุกวินาที

Beast ถือว่าเป็นหนังโปรแกรมส่งท้ายซัมเมอร์ของค่ายยูนิเวอร์แซล ที่ฟอร์มหนังอาจจะไม่ได้ใหญ่นัก หรือชวนหวือหวาเท่ากับหนังระทึกขวัญเรื่องอื่นๆ แต่อยากจะบอกทุกท่านว่าอย่าได้มองข้ามหนังเรื่องนี้เชียว ถ้าคุณชื่นชอบหนังระทึกที่จะทำให้ตลอดทั้ง 90 นาทีของหนัง ลุ้นแบบไม่ได้พัก Beast สามารถทำให้ผู้ชมตื่นเต้นได้ในระดับเดียวกับหนังที่เอ่ยชื่อไปอย่างCrawl และ The Shallow จากสถานการณ์ที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไร หนังค่อยๆสร้างข้อจำกัดให้กับตัวละครเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ความหวังดูจะริบหรี่ลงเรื่อยๆ ในขณะเดียวกัน Beast ก็ไม่ยั้งมือที่จะทำให้สิงโตคลั่งในเรื่อง ดุร้ายอย่างสมชื่อจริงๆ หลายจังหวะที่สิงโตโผล่ออกมา ทำให้เราตกใจหรือหลอนไม่แพ้กับหนังผีเลยทีเดียว และความดุร้ายของมัน ทำให้ฉากสิงโตโจมตีมนุษย์ ดูอำมหิตสมจริง รุนแรงในระดับบางทีต้องเบือนหน้าหนีเลยทีเดียว

องค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ Beast กลายเป็นหนังที่ดูสนุกเกินคาด คือความสมจริงในแง่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโลเคชั่นในการถ่ายทำที่ทีมงานบินกันไปถ่ายถึงแอฟริกาใต้จริงๆ ตัวของสิงโตเอง แม้ว่าจะมั่นใจว่าเป็นการใช้ คอมพิวเตอร์กราฟฟิกในการสร้างขึ้นมา แต่ก็ดูสมจริง ไม่ได้รู้สึกขัดหรือสะดุดตาเลยแม้แต่น้อย ไฮไลต์สำคัญคือการเคลื่อนกล้อง ที่ถ้าลองสังเกตุดูหลายๆฉากใช้การถ่ายทำแบบ Long Take และเคลื่อนกล้องอย่างพริ้วไหวตามตัวละครไปจากด้านหลัง เพิ่มระดับความตื่นเต้นให้กับผู้ชมเข้าไปอีก หลายฉากไม่ได้ตัดสลับไปมาจนงง แต่แช่ภาพให้เห็นแบบเต็มๆ แต่จุดปัญหาที่อาจจะทำให้ผู้ชมไม่สบอารมณ์อย่างชัดเจน คือความดื้อของสองตัวละคร แมร์และนอร่าห์ ที่แอบดื้อขัดคำสั่งคุณพ่อ จนทำให้ผู้ชมก่นด่าอยู่ในใจ อย่างไรก็ตาม คาดว่าผู้กำกับคงจะรู้ว่า คนดูรำคาญแน่ๆ เลยให้ตัวละครในหนังด่านำไปก่อนแล้ว เลยพอจะให้อภัยความชวนหงุดหงิดของสองตัวละครนี้ไปได้

โดยรวม Beast ถือเป็นหนังแอ็กชันเขย่าขวัญฟอร์มปานกลางส่งท้ายซัมเมอร์ที่ไม่อยากให้คอหนังระทึกมองข้ามเลยจริงๆ จากตอนแรกที่ผู้เขียน ดูโปสเตอร์ ดูตัวอย่างแล้ว ไม่ได้สะกิดต่อมความอยากดูเท่าไรนัก ปรากฏว่าพอเข้าไปชมในโรงภาพยนตร์จริงๆ สนุกเกินคาดไปมาก คำว่าลุ้นจนเหนื่อยมีอยู่จริงในหนังเรีื่องนี้ อีกส่วนที่ทำให้หนังดูสมจริงยิ่งขึ้นคือ การแสดงของ ไอดริส เอลบ้า และการสร้างตัวละครพระเอก ที่หนังไม่พยายามจะให้เขาเก่งเกินจริงไปมาก เขาเป็นเพียงแค่คุณหมอที่ไร้ทักษะในการต่อสู้ ทำให้หลายฉากออกมาดูทุลักทุเล เพิ่มระดับความลุ้นขึ้นไปอีก เพราะผู้ชมทราบดีว่า ตัวละครมนุษย์ในหนังเป็นรองสิงโตคลั่ง ถ้ามีโอกาส แนะนำให้ชม Beast ในโรงภาพยนตร์ ได้อรรถรส มากกว่ารอดูในระบบสตรีมมิ่งอย่างแน่นอน

ชมตัวอย่าง Beast สัตว์-ร้าย วันนี้ในโรงภาพยนตร์

ภาพ : UIP Thailand

related HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] 'Thirteen Lives' หนังภารกิจถ้ำหลวงฉบับฮอลลีวูด ระทึกและสมจริงสุด | GOSSIP GUN

05 ส.ค. 2022

[REVIEW] 'Thirteen Lives' หนังภารกิจถ้ำหลวงฉบับฮอลลีวูด ระทึกและสมจริงสุด | GOSSIP GUN

ในฐานะคนไทย ภาพยนตร์ Thirteen Lives ถือเป็นหนังที่หลายคนรอคอยมากๆ เพราะนอกจากจะสร้างจากเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นในประเทศไทยและกลายเป็นข่าวดังระดับโลก กับภารกิจช่วยชีวิต 13 หมูป่าจากถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน หนังยังมีนัักแสดงชื่อดังและทีมงานชาวไทย ไปมีส่วนร่วมในโปรเจกต์นี้อีกเพียบ ไฮไลต์หลักๆของ Thirteen Lives คงหนีไม่พ้นชื่อชั้นของผู้กำกับอย่าง รอน ฮาเวิร์ด จากหนังบล็อกบัสเตอร์อย่าง Apollo 13 และ The Da Vinci Code อีกทั้งยังเคยชนะรางวัลออสการ์จาก A Beautiful Mind มาแล้ว โดยหนังได้ดาราฮอลลีวูดอย่าง วิกโก้ มอร์เทนเซ่น (พระเอก The Lord of the Rings), โคลิน ฟาร์เรล และโจเอล เอ็ดเกอร์ตัน มารับบทนำ ในบทของเหล่านักดำน้ำระดับโลก ที่เดินทางมายังไทยเพื่อช่วยเหลือในภารกิจครั้งนี้ในฝากของนักแสดงชาวไทย นำทีมโดย เวียร์ ศุกลวัฒน์ ในบทจ่าแซม อดีตทหารเรือที่สละชีวิตในถ้ำหลวง, เจมส์ ธีรดนย์ รับบท โค้ชเอก ผู้ใหญ่คนเดียวที่ติดอยู่ในถ้ำหลวงกับเด็กๆและคอยดูแลพวกเขาเป็นอย่างดี ร่วมด้วย ตุ้ย ธีรภัทร, ตู่ ภพธร รวมถึงสองนักแสดงไทย ที่เรามักเห็นปรากฏตัวในหนังต่างประเทศที่ถ่ายทำในไทยบ่อยๆอย่าง ปู สหจักร ซึ่งรับบทเป็นผู้ว่าฯ ณรงค์ศักดิ์ และ ปู วิทยา รับบทเป็น รัฐมนตรี (ซึ่งแม้ในหนังจะไม่ได้เอ่ยชื่อ แต่ก็มีการเปิดเผยว่าตัวละครนี้คือ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา) และนักแสดงไทยอีกเพียบ ในส่วนของทีมงานนั้น ไฮไลต์สำคัญคือ คุณสยุมภู มุกดีพร้อม ผู้กำกับภาพชาวไทย ที่โด่งดังระดับโลก จากผลงานในหนัง เจ้ย อภิชาติพงศ์ มากมาย จนกระทั่งได้กำกับภาพหนังฮอลลีวูดอย่าง Call Me By Your Name และ Suspiria โดยทั้งหมดได้เดินทางไปยังออสเตรเลีย โลเคชั่นหลักที่ใช้ในการถ่ายทำ รวมถึงบางส่วนของหนังก็ถ่ายทำในประเทศไทยด้วยพอเป็นคนไทย ระหว่างดู Thirteen Lives ก็จะตื่นเต้นเป็นพิเศษ กับการที่ได้เห็นนักแสดงที่คุ้นหน้าคุ้นตาในหนังระดับฮอลลีวูด ได้ฟังภาษาไทยแบบชัดๆในหนังที่กำกับโดยผู้กำกับระดับโลก ได้เฝ้าดูภารกิจอย่างใกล้ชิด กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย โดยรวม Thirteen Lives สร้างออกมาได้ค่อนข้างสมจริงมาก จนบางจังหวะในการดู แทบจะไม่รู้สึกเลยว่ามันคือหนัง ความรู้สึกในบางจุด เหมือนกำลังดูฟุตเทจจากเหตุการณ์จริงเสียมากกว่า หรือแม้แต่นักแสดงอย่าง วิกโก้ มอร์เทนเซ่น และ โคลิน ฟาร์เรล ที่ดูแทบจะไร้ความเป็นดาราเลย ทั้งสองคนสามารถเนียนไปกับหนังได้ เหมือนเป็นนักประดาน้ำจริงๆ นอกจากนี้ ในแง่การออกแบบงานสร้าง หนังสามารถทำให้คนไทยเชื่อได้ว่านี่คือประเทศไทย ด้วยรายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่สมจริงไปหมด ต่างจากหนังฮอลลีวูดหลายๆเรื่อง ที่สร้างเมืองไทย ไม่เหมือนเมืองไทย (อย่างล่าสุดคือ The Gray Man ที่ขัดใจแฟนหนังชาวไทยเหลือเกิน)แม้จะมีความยาวถึง 2 ชั่วโมง 30นาที แต่ Thirteen Lives ถือว่าเดินเรื่องไปข้างหน้าด้วย Pacing ที่ค่อนข้างเร็ว เผลอแป้ปเดียวก็เข้าสู่ช่วงเวลาที่เด็กๆติดอยู่ในถ้ำหลายวันแล้ว อาจจะเพราะด้วยต้องขยี้ในช่วงหลังค่อนข้างมาก รวมถึงหนังตัดรายละเอียดที่ไม่จำเป็นออกเกือบหมด และโฟกัสที่ภารกิจการช่วยเหลือ ทำให้ไม่มีจุดที่รู้สึกว่าหนังน่าเบื่อเลยในช่วงของการปูพล็อต นำไปสู่ภารกิจหลัก ในขณะที่ครึ่งหลัง หนังก็เลือกที่จะมาขยี้ในช่วงสุดท้ายที่ช่วยเด็กๆทั้งหมดแบบเต็มๆ ซึ่งพาร์ทนี้เอง Thirteen Lives ทำออกมาได้อย่างสมจริง ทั้งระทึก ทั้งชวนอึดอัดเป็นอย่างมาก ความเก่งกาจของผู้สร้างคือ แม้ว่าเราจะรู้บทสรุปของเรื่องราวทั้งหมดอยู่แล้ว แต่หนังก็ยังบิลด์ให้เราตื่นเต้นไปกับภารกิจได้ สามารถตรึงเราไว้ได้ตลอด ซึ่งถือว่าเป็นข้อดีมากๆของหนังเรื่องนี้ ถ้าจะมีจุดบกพร่องที่เห็นได้ชัด อาจจะเป็นเรื่องของการปูคาแร็คเตอร์ ซึ่งหนังไม่มีเวลามากพอ ทำให้ผู้ชมจะไม่ค่อยได้เห็นที่มาของตัวละคร ได้แค่รู้จักพวกเขาผิวเผิน ระหว่างที่ภารกิจดำเนินไปแล้วเท่านั้นสิ่งที่น่าเสียดายมากๆ สำหรับ Thirteen Lives คือการที่ผู้ชมส่วนใหญ่จะไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้ในโรง ซึ่งการดูในโรงเพิ่มทั้งอรรถรสและเพิ่มสมาธิระหว่างชมได้อย่างมาก เดิมทีหนังเรื่องนี้สร้างโดยสตูดิโอใหญ่อย่าง MGM (ค่ายที่สร้าง เจมส์ บอนด์) และเคยวางโปรแกรมฉายในโรง แต่เพราะค่าย Amazon ได้ซึ่งกิจการของ MGM ไป และเพื่อดันสตรีมมิ่งของค่ายอย่างAmazon Prime โปรเจกต์หนัง Thirteen Lives จึงถูกโยกมาฉายในแพลตฟอร์มนี้แทน โดยคอหนังชาวไทยสามารถรับชมThirteen Lives ได้แล้วตั้งแต่ตอนนี้ ซึ่งตัวของ Amazon Prime ในประเทศไทยนั้น เพิ่งเปิดตัวทำการตลาดไปเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา และสามารถสมัครสมาชิกได้ โดยเสียค่ารับชมเดือนละ 149 บาทเท่านั้น (แต่มีให้ทดลองใช้ฟรี 7 วัน) สำหรับใครที่แพลนจะดู Thirteen Lives อยากแนะนำให้สร้างบรรยากาศในการดู ด้วยการปิดไฟหรีือชมในที่มืด น่าจะช่วยให้อินกับหนังได้มากขึ้น เพราะหลายฉาก อาทิ ฉากในถ้ำ อาจจะค่อนข้างมืด ถ้าดูในที่สว่างมากๆ มีโอกาสที่ผู้ชมจะถูกผลักออกมาจากหนังก็เป็นอันได้ชมตัวอย่าง Thirteen Lives สตรีมได้แล้วใน Amazon Prime Video

[REVIEW] 'Emergency Declaration' หายนะเหนือน่านฟ้า สุดบีบอารมณ์และสมจริง ! | GOSSIP GUN

03 ส.ค. 2022

[REVIEW] 'Emergency Declaration' หายนะเหนือน่านฟ้า สุดบีบอารมณ์และสมจริง ! | GOSSIP GUN

สิ้นสุดการรอคอยเสียที สำหรับภาพยนตร์หายนะบนเครื่องบินเรื่องแรกของเกาหลี ที่ทุ่มทุนสร้างมหาศาล ขนทัพนักแสดงแถวหน้าของวงการไว้มากมาย หลังจากไปเปิดตัวในเทศกาลหนังเมืองคานส์เมื่อปีก่อน และได้รับคำชมมากมาย หนังก็ขยับโปรแกรมฉายมาเรื่อยๆ (เนื่องจากช่วงก่อนหน้านี้ โควิดที่เกาหลียังแรงอยู่) จนกระทั่งล่าสุดได้โปรแกรมฉายเสียที นี่คืองานล่าสุดของผู้กำกับ ฮันแจริม (จาก The Face Reader) ที่เขาเผยว่า เขียนบทไว้ตั้งแต่ก่อนโควิดจะเริ่ม แต่ไปๆมาๆพอหนังเริ่มถ่ายทำไปแล้ว โควิดก็มาพอดี ซึ่งมีอะไรหลายอย่างที่ตรงกับในหนังอย่างไม่ได้ตั้งใจ !Emergency Declaration เล่าถึงหายนะที่เกิดขึ้นบนเที่ยวบิน จากกรุงโซล มุ่งหน้าสู่ฮาวาย เมื่อมีผู้โดยสารคนหนึ่งเสียชีวิตอย่างเป็นปริศนา สร้างความตื่นตระหนกให้กับผู้โดยสารทุกคน และเมื่อเหตุการณ์เหนือการควบคุม กัปตันจึงต้องประกาศเหตุฉุกเฉินเพื่อขอลงจอดในสนามบินที่ใกล้ที่สุด แต่ปัญหาใหญ่คือ อันตรายที่อยู่บนเครื่องบิน อาจสร้างหายนะให้กับผู้คนข้างล่างได้เมื่อมันแลนดิ้ง เลยสร้างความกังวลให้กับทุกฝ่าย เพราะหายนะบนเครื่องบิน อาจกลายเป็นหายนะของคนทั้งโลก !นี่คือหนังแอ็กชันระทึกขวัญที่จะทำให้ผู้ชมนั่งไม่ติดเก้าอี้ของจริง หนังใช้เวลาช่วงแรกในการค่อยๆแนะนำแต่ละตัวละครที่สำคัญ ทั้งบนเครื่องบิน เริ่มจากตัวละครของ อีบยองฮอน (จาก Mr.Sunshine) ที่รับบทคุณพ่อที่ต้องพาลูกสาวบินไปฮาวายเพื่อรักษาโรค แต่กลับเจอเหตุการณ์ไม่คาดคิดเสียก่อน โดย คิมนัมกิล (จาก Pandora) รับบทกัปตันที่ต้องทำการตัดสินใจประกาศ Emergency Declaration เพื่อให้เครื่องบินลงจอดฉุกเฉิน ในขณะเดียวกันฝั่งภาคพื้นดิน ก็มีตัวละครของ ซงคังโฮ (จาก Parasite) เป็นตำรวจฝีมือเยี่ยมที่ต้องทำทุกทางเพื่อช่วยภรรยา ซึ่งอยู่บนเครื่องบินไฟลต์นรกเช่นเดียวกัน โดยการตัดสินใจทั้งหมด เกิดขึ้นกับตัวละครของ จอนโดยอน (จาก Untold Scandal) ในบทรัฐมนตรีคมนาคม ที่ต้องรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินนี้หนังใช้เวลาบิลด์เรื่องพอสมควร ทั้งในส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนฟ้า และเหตุการณ์บางอย่างที่เกี่ยวข้องด้านล่าง ทำให้ผู้ชมค่อยๆซึมซับอารมณ์ ค่อยๆบิลด์ความตื่นเต้น จนกระทั่งพีกขั้นสุดในช่วงแรกเมื่อหายนะได้เกิดขึ้น ชั่วโมงแรกของ Emergency Declaration หนังทำได้อย่างเยี่ยมยอดที่ทำให้เราลุ้นในแทบทุกนาที และรู้สึกไม่น่าไว้วางใจตลอดเวลาเมื่อหายนะเกิดขึ้น ลากยาวไปจนถึงช่วงครึ่งหลัง ที่ตรึงอารมณ์ผู้ชมไว้ได้ตลอด ความตื่นเต้นไม่ได้ลดระดับลงเลย แม้บางช่วงจะอารมณ์ดร็อปลงบ้าง เพราะสถานการณ์เหมือนจะเบาบางลง แต่หนังก็กระหน่ำวิกฤตใส่เข้ามาเรื่อยๆ ให้ผู้ชมแทบจะไม่ได้พักกันเลยทีเดียว นอกจากลุ้นในฝากของฉากตื่นเต้นแล้ว ในพาร์ทดราม่าที่เกี่ยวกับตัวละคร และการตัดสินใจ ถือว่าทำได้ดี เมื่อผู้ชมดูหนังไปซักพัก และเริ่มอินกับเรื่อง พอพาร์ทดราม่ามาถึง มันก็ทำงานได้ในจังหวะที่พอเหมาะถ้าจะมีอะไรให้รู้สึกว่าหนังบกพร่องสำหรับ Emergency Declaration ก็น่าจะเป็นเรื่องความยาว ที่ยาวถึง 2.30 ชั่วโมง อาจจะมีบางช่วงที่สามารถตัดออกเพื่อให้หนังกระชับและเข้มข้นกว่านี้ได้ โดยเฉพาะช่วงกลางเรื่อง ที่มีกลิ่นอายของหนังแนวสืบสวนสอบสวนเข้ามา ทำให้ความรู้สึกลุ้นไปกับตัวละครลดลงไปเล็กน้อย ก่อนที่จะกลับมาบิลด์หนักอีกครั้งในช่วงองก์สุดท้าย และในช่วงท้ายที่หนังค่อนข้างใช้เวลากับบทสรุปที่ค่อนข้างนาน ในแง่ดีมันก็ทอดอารมณ์ให้ผู้ชมยังคงอินกับหนังได้อย่างเต็มอิ่ม แต่ในขณะเดียวกัน ก็รู้สึกว่ามันสามารถย่อให้สั้นลงได้อีกในฐานะหนังหายนะบนเครื่องบินเรื่องแรกของเกาหลี ต้องบอกว่า Emergency Declaration ตั้งมาตรฐานไว้ค่อนข้างสูง หลายฉากทำให้ผู้ชมตรึงอยู่กับที่นั่งด้วยความระทึก ยิ่งฉากที่โปรโมตกัน เรื่องของเครื่องบินที่หมุน 360องศา ซึ่งหนังใช้เครื่องบินจริง มาตัดเป็นท่่อน แล้วหมุนจริง นักแสดงอย่าง อีบยองฮอน ก็นั่งอยู่บนเครื่องที่หมุนจริงด้วย พอมาดูเต็มๆในหนัง ทำให้ภาพที่ออกมาสมจริงมากๆ นอกจากนี้ต้องชื่นชมทีมนักแสดงทั้งรุ่นใหญ่ รุ่นกลาง รุ่นเล็ก นำทีมโดย ซงคังโฮ, อีบยองฮอน และจอนโดฮยอน ทำได้ดีมากๆเลย โดยเฉพาะ 3 ตัวหลักที่เอ่ยไป มีแง่มุมของตัวละครที่นักแสดงถ่ายทอดออกมาอย่างพอเหมาะ นี่เป็นอีกครั้งที่หนังเกาหลีก้าวไปข้างหน้าอีกสเต็ป และดูเหมือนว่าจะไม่แผ่วลงมาง่ายๆ ใครที่ชอบหนังตื่นเต้น บีบหัวใจ น่าตีตั๋วขึ้นไปคลั่งกันบนเที่ยวบินไฟลต์นี้มากๆปล. หนังเข้าฉายในระบบ 4DX ด้วย และดูเหมือนว่าจะมีหลายฉากที่ออกแบบมาเพื่อระบบนี้ โดยเฉพาะ ยิ่งฉากที่ระทึกที่เกิดขึ้นบนเครื่องบินทั้งหมด ระบบ 4DX ช่วยเพิ่มอรรถรสได้อย่างมาก จนบางจุดให้อารมณ์คล้ายกับนั่งเครื่องบินจริงๆ ที่กำลังประสบปัญหาเลยทีเดียว เมื่อเทียบกับหนังหลายๆเรื่องก่อนหน้านี้ที่ฉายในระบบนี้ Emergency Declaration ถือว่ามีเอฟเฟคที่แรงทีเดียว อาจจะไม่ได้ถี่ตลอดเวลา แต่เมื่อไหร่ที่เอฟเฟคมาก ถึงขั้นตอนจับตรงที่กั้นระหว่างเก้าอี้เลยทีเดียวชมตัวอย่าง Emergency Declaration ไฟลต์คลั่ง ฝ่านรกชีวะภาพ : Mongkol Major Mongkol Cinema

[REVIEW] “Top Gun Maverick” บทพิสูจน์ความเก๋าของแอ็กชันแบบตำนาน | GOSSIP GUN

24 พ.ค. 2022

[REVIEW] “Top Gun Maverick” บทพิสูจน์ความเก๋าของแอ็กชันแบบตำนาน | GOSSIP GUN

Top Gunคือหนังระดับตำนาน มันคือหนึ่งในภาพยนตร์ที่นิยามความเป็นยุค80sอย่างเด็ดชัด เป็นตัวแทนPop Cultureในยุคนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย นอกจากหนังจะยกระดับให้"ทอม ครูซ"ขึ้นแท่นเป็นพระเอกหนังบล็อกบัสเตอร์แล้ว มันยังส่งอิทธิพลไปถึงทุกวงการแวดล้อม นอกจากจะเป็นแนวทางให้กับหนังแอ็กชันยุคใหม่ หลายฉากในหนังกลายเป็นภาพจำแบบIconicแฟชั่นการแต่งตัวของนักแสดงนำ รวมไปถึงแว่นตาRay Banกลายเป็นภาพแฟชั่นที่นำสมัย แม้แต่เพลงประกอบอย่างTake My Breath Awayก็ยังกลายเป็นงานเพลงที่โดดเด่นสุดเพลงหนึ่งในยุค80sดังนั้นเมื่อเวลากว่า30ปีผ่านไป"ทอม ครูซ"บอกว่า ถึงเวลาแล้วที่จะกลับไปจับโปรเจกต์Top Gunอีกครั้ง มันต้องมีไอเดียอะไรบางอย่างแน่นอนที่เขามั่นใจ เพราะการกลับไปแตะของระดับตำนานไม่ใช่ไอเดียที่ดีนักสำหรับฮอลลีวูด ในTop Gun : Maverickทอม ครูซ กลับไปสวมบทมาเวอริคอีกครั้ง เขาคือนักบินรบระดับตำนาน สร้างสถิติมากมาย คว้าเหรียญฯเกียรติยศมาเต็มบ่า แต่ไม่ยอมขยับตำแหน่งขึ้นไปไหน เพราะสิ่งที่เขารักคือการบินเท่านั้น จนกระทั่งได้รับการมอบหมายหน้าที่ใหม่ ให้กลับไปยัง ท็อปกันอีกครั้ง สถาบันสอนนักบินรบ ที่มีเพียงระดับแถวหน้าของกองทัพที่จะได้มาเรียนที่นี่ ด้วยภารกิจลับที่ต้องใช้ยอดฝีมือเท่านั้น มาเวอริคต้องสอบเทคนิคการบินสุดผาดโผนของเขาให้12รุ่นน้องระดับท็อปของประเทศ โดยจะมีเพียงครึ่งเดียวได้ออกปฏิบัติการจริง และภารกิจนี้เองทำให้เขาได้เจอกับ รูสเตอร์(รับบทโดย ไมล์ เทลเลอร์ จากWhiplash)ลูกชายของกูส เพื่อนสนิทเขาที่เสียชีวิตในภารกิจ ซึ่งเขาเคยสัญญาว่า จะดูแลชีวิตเด็กคนนี้ ไม่ยอมให้ตกอยู่ในอันตราย แต่เมื่อรูสเตอร์ กลายมาเป็นส่วนหนึ่งในภารกิจเสี่ยงตายนี้ มาเวอริคจึงต้องทำทุกทางเพื่อไม่ให้ ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีกครั้ง! ตลอดระยะ1เดือนที่ผ่านมา สำนักข่าวต่างประเทศค่อยๆเริ่มถาโถมคำวิจารณ์ในแง่บวกของTop Gun : Maverickออกมา จนกระแสความไฮป์ของหนังเริ่มต้นขึ้น และมาร้อนแรงสุดเมื่อหนังฉายรอบพิเศษในเทศกาลหนังเมืองคานส์ จนกระทั่ง ทอม ครูซ และทีมงานได้รับการยืนปรบมือชื่นชมนานถึง5นาที ซึ่งไม่ใช่บ่อยครั้งนัก ที่หนังแอ็กชันฟอร์มยักษ์ จะถูกใจผู้ชมในเทศกาลหนังแบบนี้ ซึ่งTop Gun : Maverickก็ทำออกมาได้ยอดเยี่ยม ตามกระแสที่กล่าวมาจริงๆ ไม่แปลกใจที่สื่อหลายสำนักจะยกให้มันคือ"หนังบล็อกบัสเตอร์แห่งปี"ตัวหนังเองเหมือนเป็นข้อพิสูจน์ว่า โรงภาพยนตร์ยังคงสำคัญ การดูหนังในโรงคืออรรถรสที่ยอดเยี่ยมที่สุด ด้วยองค์ประกอบต่างๆที่จะกล่าวถึงต่อไป.. หากจะกล่าวกันตรงๆTop Gun : Maverickก็ยังคงเป็นหนังแอ็กชันแบบOld-Schoolคือมันไม่ใช่หนังยุคใหม่ แบบหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่เต็มไปด้วย สเปเชียลเอฟเฟกต์มากมาย แต่มันคือหนังแอ็กชันแบบที่เน้นสตันท์ การที่นักแสดงหรือนักแสดงแทนเล่นฉากแอ็กชันเสี่ยงตายด้วยตัวเองจริงๆ ซึ่งนั่นคือสิ่งที่ ทอม ครูซ เชื่อมั่นมาโดยตลอด และพิสูจน์มาแล้วในMission: Impossibleหลายต่อหลายภาค ในTop Gun : Maverickทอมและนักแสดงสมทบต่างต้องขับเครื่องบินรบด้วยตัวเอง(และถ่ายทำด้วยตัวเอง โดยใช้กล้องติดไว้ในห้องนักบิน)ดังนั้น ฉากต่างๆในห้องนักบินจึงออกมาสมจริง มากถึงมากที่สุด สิ่งต่างๆที่ปรากฏในหนังล้วนเป็นแอ็กชันที่อาจจะไม่หวือหวาเท่าหนังที่เน้นVFXแต่มันดูเรียล และดึงอารมณ์ได้ดีมากๆ ข้อดีมากๆของTop Gun : Maverickที่ทำให้องค์ประกอบต่างๆลงตัว และดึงผู้ชมเข้าไปสู่หนังได้ตลอดคือPacingหรือจังหวะความเร็วในการเล่าเรื่องของหนัง หนังไม่ได้เร่งรีบอะไรมากมายนัก ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้ยืดยาดจนน่าเบื่อ ทุกฉากใช้จังหวะตัดต่อดึงอารมณ์ได้อย่างพอดี และเมื่อฉากต่างๆในการปูเรื่อง ถูกปูมาอย่างพอเหมาะ จนผู้ชมค่อยๆซึมซับอารมณ์ของตัวละคร เริ่มอินกับปมระหว่างตัวละคร พอเมื่อไปถึงฉากไคลแม็กซ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง30นาทีสุดท้าย เมื่อทุกอย่างมันขมวดเข้าด้วยกัน กลายเป็นความรู้สึกที่ลุ้น บีบหัวใจ มากกว่าหนังแอ็กชันทั่วไป ฉากบู๊ที่ตื่นเต้นมากๆอยู่แล้ว ยิ่งเร้าอารมณ์เข้าไปใหญ่ด้วยปมแวดล้อมที่ถูกค่อยๆผูกมากอย่างดี อาจกล่าวได้ว่าTop Gun : Maverickเป็นหนังแอ็กชันที่ประณีตในการเล่า และค่อยๆรีดอารมณ์จากผู้ชมได้อย่างดีมาก จนบางครั้งเราอดน้ำตาซึม หรือปรบมิือให้กับตัวละครอย่างไม่รู้ตัว! แม้ว่าTop Gunภาคแรกจะเป็นไอคอนสำคัญแห่งยุค80sแต่Top Gun : Maverickก็สามารถถีบตัวเองให้เป็นภาคต่อที่ยอดเยี่ยมได้ไม่แพ้กัน จนหลายเสียงเทียบเคียงกับThe Godfather IIในแง่ของการที่เป็นภาคต่อที่มีคุณภาพไม่แพ้ต้นฉบับ ในแง่มุมหนึ่ง ตัวภาคต่อนี้ก็ได้Tributeหนังภาคแรกในหลายๆแง่มุม ฉากแอ็กชันบางฉากที่ทำออกมาเพื่อหวนให้ระลึกถึงความเก๋าของความเก่า สดุดีตัวละครกูสที่จากไปในท้ายภาคแรก หรือแม้แต่การนำ"วัล คิลเมอร์"กลับมาในแบบที่เคารพความเป็นเขาในปัจจุบัน ทั้งหมดนี้ล้วนทำไปเพื่อสดุดีความเป็นIconของภาคแรกทั้งสิ้น และในขณะเดียวกันTop Gun : Maverickก็สร้างตำนานบทใหม่ขึ้นมา ด้วยการสร้างตัวละครกลุ่มใหม่ที่น่าจดจำ ด้วยการเป็นหนังแอ็กชันระดับมาตรฐานคุณภาพสูงในยุค2020sใครจะไปคิดว่าภาคต่อที่ทิ้งห่างจากภาคแรกนานถึง36ปี จะกลายมาเป็นหนังซัมเมอร์ระดับคุณภาพในยุคนี้ได้(และจัดเข้ากลุ่มเดียวกับMad Max : Fury Road, Blade Runner 2049รวมถึงTron : Legacyซึ่งกำกับโดย โจเซฟ โคซินสกี้ เช่นเดียวกัน เข้ากรุ๊ปหนังภาคต่อจากยุค80sที่คุณภาพคับจอ) ท้ายที่สุดต้องขอบคุณพระเอก"ทอม ครูซ"ที่ดื้อแพ่งไม่ยอมให้ พาราเมาต์ปล่อยหนังเรื่องนี้ลงสตรีมมิ่ง อันที่จริงแล้วTop Gun : Maverickต้องฉายตั้งแต่ก่อนยุคโควิดด้วยซ้ำ แต่เพราะงานPost-Productionไม่เรียบร้อย จึงต้องดีเลย์นานนับปี พอเลื่อนมารอบแรกก็เจอโควิดเข้าไป ทำให้เลื่อนอีกหลายครั้ง รวมจากโปรแกรมแรกที่วางไว้ก็เกือบ3ปี จนในที่สุดTop Gun : Maverickก็ได้พบกับผู้ชมบนจอภาพยนตร์ ที่ๆเหมาะสมที่สุดในการดูหนังเรื่องนี้ และไม่เพียงแต่มันจะเหมาะกับการดูในโรงแล้วTop Gunยังเผยให้เห็นข้อดีของระบบพิเศษทั้งหลาย ทั้งIMAXจอยักษ์ที่เพิ่มดีกรีความตื่นตา,ระบบ4DXที่น่าจะทำให้ผู้ชมเหมือนอยู่บนเครื่องบินจริงๆ และล่าสุดกับScreen Xที่ว่ากันว่าเหมือนเราได้นั่งอยู่ในห้องนักบินกับตัวละครเลยทีเดียว!ใครสะดวกระบบไหนก็ลองพิสูจน์กันดู และไม่ต้องกลัวว่า ไม่เคยดูภาคแรกจะดูไม่รู้เรื่อง เพราะมันถูกออกแบบมาให้ดูแยกได้..และจะทำให้คุณอยากกลับไปหยิบTop Gunในปี1986กลับมาดูอย่างแน่นอน(ให้9คะแนนจากคะแนนเต็ม10คะแนน)

[REVIEW] ‘Pinocchio’ ความมหัศจรรย์ครั้งใหม่ที่ไม่ซ้ำของเดิม| GOSSIP GUN

09 ก.ย. 2022

[REVIEW] ‘Pinocchio’ ความมหัศจรรย์ครั้งใหม่ที่ไม่ซ้ำของเดิม| GOSSIP GUN

เมื่อนักแสดงเจ้าของสองรางวัลออสการ์ ทอม แฮงค์ และผู้กำกับวิสัยทัศน์กว้างไกล โรเบิร์ต เซเมกคิส มาเจอกันทีไร มักเกิดความอัศจรรย์บนแผ่นฟิล์มมาโดยตลอด นับตั้งแต่ Forrest Gump (1994) ที่ชีวิตอันแสนมหัศจรรย์ได้อย่างน่าประทับใจ ต่อด้วย Cast Away (2000) หนังที่เล่าถึงชีวิตชายติดเกาะที่ไม่เหมือนใคร และ The Polar Express (2004) หนังแห่งการเฉลิมฉลองที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น ซึ่งตอนนั้น แฮงค์ เหมาเล่นคนเดียวไป 6 บน จนกระทั่งล่าสุดพวกเขากลับมาเจอกันอีกครั้งในโปรเจกต์รีเมกแอนิเมชั่นคลาสสิก Pinocchioเวอร์ชั่น Live-Action หนังจากดิสนีย์สร้างฉบับการ์ตูน ผ่านมา 80 กว่าปี มีหนังพินอคคิโอมากมายหลายฉบับ แต่ หนังที่ดิสนีย์รีเมกเองนั้นยังไม่เคยมีมาก่อน จนกระทั่งตอนนี้ทอม แฮงค์ รับบท เจปเปทโต ช่างไม้ที่สร้างหุ่นเด็กผู้ชาย พินอคคิโอ ขึ้นมาจากไม้ เพื่อระลึกถึงลูกชายของเขาที่จากไปแล้ว ด้วยคำขอพรของเขา ทำให้ในค่ำคืนหนึ่ง นางฟ้าได้ปรากฏตัวขึ้น (รับบทโดย ซินเทีย อาริโว่ นักแสดง/ศิลปิน เจ้าของรางวัลแกรมมี่) และเสกให้พินอคคิโอ มีชีวิตเหมือนเด็กธรรมดาทั่วไป และเสกให้จิ้งหรีด คอยดูแลเขาอย่างใกล้ชิด แต่ทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผน เมื่อวันแรกที่ เจปเปทโต ส่ง พินอคคิโอ ไปเรียนหนังสือ เขากลับถูกปฏิเสธเพียงเพราะแค่แตกต่างจากเด็กทั่วไป นำไปสู่การผจญภัย และเรียนรู้โลกกว้าง จนพินอคคิโอเข้าใจว่า อะไรกันแน่คือสิ่งที่ดีงาม อะไรคือความถูกต้องแม้ผู้ชมจะพอรู้เส้นเรื่อง หรือเคยดูหนัง Pinocchio หลากหลายฉบับมาก่อนแล้ว แต่หนังในฉบับนี้ ก็ยังสร้างความสดใหม่ให้เรื่องราวได้ ด้วยองค์ประกอบต่างๆ แม้หนังจะเริ่มต้นด้วยเส้นเรื่องที่ผู้ชมคุ้นเคย แต่เมื่อ พินอคคิโอ ออกจากบ้าน ดิสนีย์ก็ได้ค่อยๆแต่งเติม สร้างสีสันที่แปลกใหม่ จนกระทั่งนำไปสู่องก์สุดท้ายของหนัง ที่มาพร้อมกับไคลแมกซ์ และบทสรุปที่แตกต่างไปจากเดิม นอกจากเส้นเรื่องที่ไม่ซ้ำเดิมแล้ว ดิสนีย์ยังเลือกใส่ Easter Egg เกี่ยวกับดิสนีย์เองเข้ามาเบาๆ ถ้าใครสังเกตทันก็จะเห็นถึงความขี้เล่นของค่าย แต่แม้ว่าตัวบทอาจจะมีอะไรแปลกไปจากเดิม แต่หัวใจของเรื่อง Pinocchio ก็ยังอยู่อย่างครบถ้วน ยังคงให้อารมณ์สุดประทับใจกับผู้ชมได้แทบตลอดทั้งเรื่องในแง่ของงานสร้าง Pinocchio ทำออกมาได้ค่อนข้างสมูธ หลายฉากช่วงแรกๆแม้จะเล่าเรื่องแค่ในบ้านของ เจปเปทโต แต่เราก็สัมผัสได้ถึงความอัศจรรย์เล็กๆ จนกระทั่งฉากที่พินอคคิโอออกไปผจญภัยในโลกกว้าง สร้างความตื่นตาได้ดีทีเดียว อาทิ Pleasure Island ก็ออกแบบมาอย่างน่าดึงดูด หรือฉากไคลแมกซ์กลางมหาสมุทรก็ดูยิ่งใหญ่ จนแอบเสียดายนิดๆ ที่ผู้ชมทั่วโลกจะได้ดู Pinocchio ในบ้านเป็นหลัก เพราะอันที่จริงหนังมีโอกาสที่จะทำเงินได้ไม่ยากเลย ถ้าเข้าฉายในโรง และวางโปรแกรมในช่วงเทศกาลแห่งความสุข อย่าง Thanksgiving หรีือ Christmasอย่างไรก็ตาม Pinocchio ฉบับ Live-Action ก็ยังไม่ใช่หนังระดับเพอร์เฟค มีหลายๆส่วนที่ดูไม่เข้ากับหนัง อาทิ มีมุกนึงที่ตลก แต่มันดูไม่เข้ากับยุคสมัย ทำให้ผู้ชมหลุดออกมาจากหนังอยู่เหมือนกัน หรืออย่างจังหวะในการเล่า ที่ช่วงแรกก่อนที่ พินอคคิโอ จะมีชีวิตนั้น Pacing ค่อนข้างช้ามากๆ ดีไม่ดี เด็กๆหลับไปก่อนแล้ว คุณพ่อคุณแม่อาจจะต้อง Skip ไปตอนที่สนุกเลย และอีกพาร์ทที่หนังยังแอบไม่ชัดเจนนิดๆ คือการที่ให้บางฉากตัวละครพูดบทเป็นบทกลอน บางฉากก็ร้องเพลงออกมาเลย บางฉากเหมือน ทอม แฮงค์ จะร้องเพลงแต่ก็ไม่ร้อง มันเลยดูเหมือนจะกั๊กๆ จะเป็นหนังมิวสิคัลเลยก็ไม่ถึงขนาดนั้น จะเป็นหนังกวีก็ยังไม่ใช่ เป็นส่วนผสมที่ยังแปร่งๆ ไม่ลงตัวเท่าไหร่ท้ายที่สุด Pinocchio ฉบับใหม่ ก็อาจจะยังไม่ใช่การคอลแล็ปที่ดีที่สุดของ ทอม แฮงค์ และโรเบิร์ต เซเมกคิส ในขณะเดียวกัน ถ้าจัดอันดับหนังดิสนีย์ Live-Action ในระยะหลัง ก็สามารถวาง Pinocchio ไว้ได้ในลำดับกลางๆ แต่หนังก็ยังสนุก และมีของดีมากพอ ที่จะให้ทุกคนเปิดชมหนังได้ โดยเฉพาะครอบครัว และเด็กๆ ที่น่าจะเอ็นจอยกับหนังอย่างแน่นอน เพราะมีความชวนตื่นตาในแง่ของ CG ตัวละครสัตว์ต่างๆอยู่พอสมควร เด็กๆจะได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่างจากหนังเรื่องนี้ อย่างไรก็ดี นี่ไม่ใช่หนัง Pinocchio เพียงเรื่องเดียวของปี เพราะธันวาคมนี้จะมีอีกเวอร์ชั่น โดยผู้กำกับ กิลเลอโม่ เดล โตโร่ ที่จะฉายใน Netflix ต้องมารอติตตามศึกพินอคคิโอนัดนี้ เรื่องนี้จะเจ๋งกว่ากันภาพ : DisneyPlus Hotstar Thailandชมตัวอย่าง Pinocchio สตรีมได้แล้ววันนี้ใน Disney+ Hotstar

album

0
0.8
1