[REVIEW] Lightyear ต้นกำเนิดของเล่นใน Toy Story ผจญภัยอวกาศจัดเต็ม | GOSSIP GUN

HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] Lightyear ต้นกำเนิดของเล่นใน Toy Story ผจญภัยอวกาศจัดเต็ม | GOSSIP GUN

15 มิ.ย. 2022

เชื่อว่าใครหลายๆคน คิดถึงการดูหนังพิกซาร์ในโรงภาพยนตร์ เป็นเวลานานเกือบปีครึ่งแล้ว ที่คอหนังไม่ได้ดูแอนิเมชั่นจากค่ายนี้บนจอใหญ่ๆ หลังจาก Soul (ที่เข้าโรงในไทยแต่อเมริกาไปสตรีมมิ่ง) หนังพิกซาร์สุดประทับใจซัมเมอร์ก่อนอย่าง Luca และหนังแพนด้าแดง Turning Red ต่างถูกดิสนีย์ข้ามการฉายโรงไปลงใน Disney+ เลย จนในที่สุดดิสนีย์พร้อมส่งหนังพิกซาร์ครองโรงอีกครั้ง และคงไม่มีอะไรเหมาะสมไปกว่า Lightyear หนังที่แยกออกจากมา Toy Story แอนิเมชั่นเปิดตำนานค่ายพิกซาร์ ที่สร้างมายาวนานถึง 4 ภาค ล่าสุดมาพร้อมกับไอเดียที่น่าสนใจ กับการเล่าต้นกำเนิดของตัวละครที่แฟนๆรัก อย่าง บัซ ไลท์เยียร์ แน่นอนว่ามันเป็นเพียงของเล่น ที่ของเล่นชิ้นนี้สร้างมาจากหนังดัง และนี่คือหนังเรื่องดังกล่าว...

หนังเล่าถึง บัซ ไลท์เยียร์ นักบินอวกาศฝีมือเก่งกาจที่ตกอยู่ในอันตราย หลังยานของเขาตกบนดาวเคราะห์ที่ห่างไกลจากโลก บัซจึงพยายามทำทุกทางเพื่อกลับโลก แต่การซ่อมยานและทดลองของเขา กลับพาเขาเดินทางสู่อนาคต ที่ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงไปหมด ผู้คนที่เขารู้จักค่อยๆจากไป นอกจากอันตรายที่เขาและทีมต้องเผชิญจากสิ่งมีชีวิตสุดประหลาดบนดาวแล้ว ยังต้องเจอกับฝูงหุ่นยนต์ลึกลับ ที่บุกมาโจมตี โดยมีเป้าหมายเดียวคือ การจับตัว บัซ ไลท์เยียร์ไป โดยหนังฉบับนี้ได้ คริส อีแวนส์ พระเอก Captain America มาให้เสียงแทน ทิม อัลเลน ที่พากย์เป็นบัซ ของเล่นในหนัง Toy Story

แม้จะเป็นหนังภาคแยกจาก Toy Story แต่ Mood & Tone ค่อนข้างต่างจากหนังชุดดังกล่าวพอสมควร เพราะหนังเลือกจะเล่าเป็นแนวแอ็กชันไซไฟแบบเต็มตัว เหมือนเราดูหนังอวกาศผจญภัยแบบ Star Wars, The Martian (แต่แน่นอนว่ายังมีความคอเมดี้แทรกอยู่ตลอดเวลา เพราะก็ยังคงเป็นการ์ตูนดิสนีย์) หรือหลายคนอาจนึกไปถึง Top Gun : Maverick ในแบบดิสนีย์ ดังนั้น อารมณ์ของ Lightyear เลยจะไปใกล้เคียงกับหนังอย่าง The Incredibles และ Cars เสียมากกว่า ที่มีฉากแอ็กชันค่อนข้างเยอะ แทรกด้วยอารมณ์ขัน และมีซีนประทับใจอยู่พอสมควร สิ่งที่ค่อนข้างเซอร์ไพรสคือ Lightyear มีฉากให้ผู้ชมชวนน้ำตารื้นอยู่เหมือนกัน แถมมาตั้งแต่ฉากแรกๆด้วย แม้ว่าหนังจะไม่ได้ไปสุดในแบบ Up ซีนแรกๆ หรือ Toy Story 3 ฉากท้ายๆ แต่ก็บีบหัวใจเราได้เหมือนกัน

นอกจากตัวละครบัซที่หนัง Lightyear พาผู้ชมไปทำความรู้จักเขาเพิ่มเติมและสำรวจมุมต่างๆของเขาแล้ว ไฮไลต์ที่แทบจะขโมยทุกซีนเลยก็ว่าได้ คือ ซ็อกซ์ เจ้าแมวหุ่นยนต์ ที่สร้างอารมณ์ขัน และมีอะไรเซอร์ไพรสผู้ชมได้ตลอดเวลา ใครจะไปคิดว่า บัซ ไลท์เยียร์ สุดเท่ก็กลายเป็นทาสแมวได้เหมือนกัน ท้ายที่สุดแล้ว Lightyear ก็ถือเป็นหนังซัมเมอร์ดูสนุกหนึ่งเรื่อง จัดอยู่ในกลุ่มหนังพิกซาร์ที่สร้างความบันเทิงเป็นหลัก แม้มันจะไม่ได้ลึกซึ้งในประเด็นแบบ Inside Out หรือ Soul แต่มันก็สนุกครบรส และมีคุณสมบัติมากพอ ที่จะเอนเตอร์เทนผู้ชมทุกวัยได้

ปล.หนังเรื่องนี้ มีฉากแถมในช่วง End-Credit และหลังเครดิต รวมทั้งสิ้นถึง 3 ฉากด้วยกัน เรียกว่าแถมแบบจุกๆเอาชนะหนังมาร์เวลกันไปเลย นั่งรอดูกันได้ ขำๆเพลินๆ

(ให้ 7.5 คะแนนจากคะแนนเต็ม 10 คะแนน) 

ภาพ : Walt Disney Studios Thailand

ชมตัวอย่าง Lightyear เข้าฉาย 16 มิถุนายนนี้ในโรงภาพยนตร์


related HOLLYWOOD GOSSIP

[Exclusive Interview] “Kill Boksoon” คุณแม่ยอดนักฆ่า ในหนังเกาหลีฟอร์มเดือด| GOSSIP GUN

30 มี.ค. 2023

[Exclusive Interview] “Kill Boksoon” คุณแม่ยอดนักฆ่า ในหนังเกาหลีฟอร์มเดือด| GOSSIP GUN

“ฉันจะไม่เล่นหนังแอ็กชันอีกแล้ว ไม่รู้ว่าในอนาคตจะเปลี่ยนใจหรือเปล่านะ แต่สำหรับตอนนี้ฉันพอก่อนสำหรับฉากแอ็กชัน”- มากกว่า 30 ปีในการทำงาน นักแสดงตัวแม่แห่งเกาหลี “จอนโดยอน” แทบไม่เคยแสดงในหนังแอ็กชันมาก่อน นับตั้งแต่เธอประกาศศักดา เป็นชาวเกาหลีคนแรกที่ ชนะรางวัลนักแสดงนำยอดเยี่ยมจาก เทศกาลหนังเมืองคานส์ ด้วยผลงานอย่าง Secret Sunshine (2007) ผู้สร้างหนังมักหยิบยื่นบทในโทนที่ค่อนข้างดาร์กให้กับเธอมาโดยตลอด จอนโดยอน ในวัย 50 ปี กำลังมองหาเส้นทางใหม่ๆให้กับตัวเอง เธออยากจะก้าวออกจากเซฟโซนด้วยผลงานการแสดงใน Genre อื่นๆ ในปี 2023เธอพิสูจน์ความเป็นนักแสดงคุณภาพที่สามารถแสดงได้หลากหลายทาง ในซีรีส์โรแมนติกเบาสมอง “Crash Course in Romance” ที่ทุบสถิติเรตติ้ง ติด Top10 ซีรีส์เกาหลีที่ยอดผู้ชมมากที่สุดตลอดกาลในช่องเคเบิ้ล และยังไม่ทันพ้นไตรมาสแรก เธอขอพิสูจน์ฝีมือในบทบาทสุดท้าทายอีกครั้งในภาพยนตร์เรื่อง “Kill Boksoon” ภาพยนตร์แอ็กชันดุเดือดที่ผสมผสานเข้ากับอารมณ์ตลกร้าย นี่คือหนังที่เธอพร้อมจะประกาศศักดาอีกครั้ง ว่า จอนโดยอน คือตัวจริงที่จัดเต็มได้ในหนังหรือซีรีส์ทุกรูปแบบ“ฉันไม่คิดว่า Kill Boksoon จะออกฉายเร็วขนาดนี้ เพราะว่าผู้ชมยังติดภาพฉันจาก Crash Course in Romance อยู่เลย ถึงขั้นมีคนแซวว่า นัมแฮงซอน มีชีวิต 2 ด้านหรือเปล่านะ” - จอนโดยอน เผยถึง 2 ผลงานล่าสุดของเธอ ที่ออกฉายต่อเนื่องทางNetflix ซึ่งมีจุดเชื่อมโยงเหมือนเดิม คือ ฐานะของความเป็น “แม่” ใน Crash Course in Romance เธอรับบท นัมแฮงซอน อดีตนักกีฬาทีมชาติ ที่มาเปิดร้านอาหารเครื่องเคียง เธอคือคุณน้าที่ต้องดูแลหลานคนเดียว หลังจากแม่ของเธอทิ้งไป แม้เธอจะไม่ได้เป็นแม่ที่ให้กำเนิด แต่เธอก็ดูแลหลานคนนี้เหมือนลูกแท้ๆ ส่วนใน Kill Boksoon เธอรับบทเป็น กิลบกซุน นักฆ่าตัวแม่ที่ทุกคนในวงการให้การยอมรับ แต่กลับเผชิญการตัดสินใจอันยากลำบาก เมื่อลูกสาวเริ่มเติบโตเป็นวัยรุ่น เธอจึงคิดจะวางมือเพื่อไปทำหน้าที่ คุณแม่แบบ Full Time แต่ทุกอย่างไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะแวดวงนักฆ่า ใช่ว่าใครจะวางมือกันไปง่ายๆKill Boksoon คือผลงานหนังแอ็กชันเรื่องแรกของ “จอนโดยอน” งานใหม่ที่เธอตอบรับโปรเจกต์ เพราะต้องการออกจากเซฟโซน เธอถึงขั้นพูดคุยกับผู้กำกับ “บยอนซองฮยอน” ก่อนที่โครงเรื่องจะถูกพัฒนาด้วยซ้ำ ทั้งสองเริ่มพูดคุยกัน ด้วยไอเดียที่ว่า เธออยากแสดงในหนังแอ็กชัน จนในที่สุดโปรเจกต์นี้ ก็กลายเป็นจริง พร้อมทัพนักแสดงระดับคุณภาพชุดใหญ่ เริ่มจาก “ซอลคยองกู” ที่เคยร่วมงานกับผู้กำกับคนนี้มาแล้วจาก The Merciless และ Kingmaker เขารับบทมินคยู ซีอีโอ ของบริษัท เอ็มเค องค์กรนักฆ่ายักษ์ใหญ่ที่บกซุนสังกัด นอกจากจะเป็นเจ้านายแล้ว เขาคือผู้มีพระคุณ เป็นอาจารย์ที่มอบโอกาสให้บกซุน ตั้งแต่เธอยังเด็ก นอกจากนี้หนังยังได้ “อีซม” นางแบบนักแสดงชื่อดัง นางเอกจากซีรีส์ Taxi Driver ซีซั่นแรกในบท มินฮี น้องสาวของมินคยู ผู้บริหารใหญ่ขององค์กรนักฆ่าที่ไม่ถูกชะตากับ บกซุน เพราะพี่ชายให้ความสำคัญกับบกซุนมากกว่า แม้เธอจะเป็นน้องแท้ๆก็ตามและ “คูคโยฮวาน” นักแสดงที่พิสูจน์ฝีมือมาแล้วจากซีรีส์ D.P. และหนังฟอร์มยักษ์ Escape From Mogadishu มาในบทของ ฮีซอง นักฆ่าที่ถูกขับไล่ออกจากองค์กร ที่มีปมบางอย่างกับบกซุนแอบแฝงอยู่เมื่อกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา Netflix ได้จัดงานแถลงข่าวเปิดตัวภาพยนตร์ Kill Boksoon ไปแล้วในเกาหลีใต้ ซึ่งนอกจากผู้สื่อข่าวในเกาหลีจะได้เข้าร่วมงานแล้ว เหล่า Influencer สายหนังและซีรีส์จากทั่วทั้งเอเชีย ก็ได้ร่วมงานดังกล่าวผ่านช่องทางออนไลน์อีกด้วย และในโอกาสพิเศษนี้เอง ทาง Hollywood GossipGun ก็ได้เข้าร่วมสัมภาษณ์ ผู้กำกับ บยอนซองฮยอน และทีมนักแสดงนำ ทั้ง จอนโดยอน, ซอลคยองกู และอีซม โดยทั้ง 4 คนได้เผยแง่มุมที่น่าสนใจเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องนี้แบบ Exclusive เริ่มจาก จอนโดยอน ที่ทุ่มเทกับหนังเรื่องนี้อย่างสุดพลัง จนเธอเผยว่า เธอจะไม่เล่นหนังแอ็กชันอีกแล้ว แต่ไม่รู้ว่าในอนาคตจะเปลี่ยนใจหรือเปล่า แต่สำหรับตอนนี้เธอขอพอก่อน (อย่างที่กล่าวไปในตอนต้น)- จุดเริ่มต้นของ ผู้กำกับ บยอนซองฮยอน และจอนโดยอน -“ผมไม่แน่ใจว่าพวกคุณจะรู้จักมั้ยนะ แต่ซีรีส์ดราม่าเรื่อง “Our Paradise (1992-1993)” คือผลงานที่ทำให้ผมกลายเป็นแฟนของ จอนโดยอน” - ผู้กำกับ บยอนซองฮยอน เล่าถึงความทรงจำ ครั้งแรกที่เขาได้ดูผลงานการแสดงของเธอและกลายเป็นแฟนการแสดงของ จอนโดยอน นับจากนั้น ต่อเนื่องมาถึง The Contact ภาพยนตร์เรื่องแรกที่จอนโดยอน รับบทนำ - “ผมเป็นแฟนคลับของ ฮันซอกคยู (พระเอก Shiri) อยู่แล้ว ณ ตอนนั้น แล้วพอ จอนโดยอน มาแสดงนำประกบกับเขา ผมเลยยิ่งอึ้งกับการแสดงของเธอไปด้วย”ผู้กำกับ บยอนซองฮยอน เล่าว่า เดิมทีเขาไม่รู้จักกับ จอนโดยอน เป็นการส่วนตัว แต่ซอลคยองกู นักแสดงที่เขาเคยร่วมงานมาแล้วถึง 2 ครั้ง กำลังถ่ายหนังเรื่อง Birthday (2019) กับจอนโดยอนอยู่ คยองกูเลยโทรมาตามให้ไปพบกับเธอ เพราะคยองกูรู้ว่า ผู้กำกับบยอนเป็นแฟนคลับของ จอนโดยอนอยู่แล้ว - “คยองกูแนะนำให้ผมได้รู้จักกับ โดยอนในตอนนั้น มีอยู่วันนึง โดยอนโทรมาหาผม และแสดงความสนใจว่าอยากจะร่วมงานกัน ผมเลยคิดอยู่นานว่าหนังประเภทไหนที่เหมาะกับการร่วมงานกับเธอ เพราะเธอแสดงในหนังชั้นเยี่ยมมามากมาย ซึ่งบทส่วนใหญ่ทั้งดาร์กและมืดมน ผมไม่อยากลงไปต่อสู้กับหนังกลุ่มนั้น ซึ่งล้วนแต่เป็นหนังชั้นดี ผมอยากจะทำหนังที่เข้าถึงผู้ชมง่ายๆ นั่นคือเหตุผลที่ผมตัดสินใจว่า เราจะทำหนังแอ็กชันกัน”บยอนซองฮยอน เล่าต่อว่า หลังจากเขาตัดสินใจจะทำหนังแอ็กชัน เขาเลยนัดคุยกับโดยอน และเล่าถึงไอเดียทั้งหมด เขาเล่าถึงไอเดียว่า - “ผมรู้สึกว่า จอนโดยอนในเวอร์ชั่นคุณแม่ กับ จอนโดยอนในเวอร์ชั่นนักแสดง เป็นสองคนที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง เมื่อลองนึกถึงหน้าที่ของการเลี้ยงดูเด็กขึ้นมาซักคน และหน้าที่ของนักฆ่าที่ต้องสังหารผู้คน เพียงแค่ผมลองแทนที่ชีวิตของเธอ จากการแสดงเป็นการฆ่าคน มันดูขัดแย้งและน่าสนใจมากๆ และนั่นแหละครับ เป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง”- จากนักแสดงสายรางวัล สู่ผลงานหนังแอ็กชัน -“ฉันอยากจะลองดู อันที่จริงแล้วฉันอยากลองแสดงหนังในหลายๆแนวดู แต่โอกาสไม่ได้มีง่ายๆ ดังนั้น ฉันเลยมีความสุขมากๆ ตอนที่ บยอนซองฮยอน มาเสนอโปรเจกต์หนังแอ็กชันกับฉัน” - จอนโดยอน เล่าถึงจุดเริ่มต้นของ Kill Boksoon เธอเล่าว่า นี่เป็นครั้งแรกตลอดชีวิตการทำงานเลย ที่เธอตัดสินใจลุยกับโปรเจกต์หนังเรื่องใดเรื่องหนึ่ง โดยที่ไม่ได้อ่านโครงเรื่องด้วยซ้ำ เธอบอกว่า เธอแฮปปี้กับโอกาสในครั้งนี้มาก เลยตอบตกลงแสดงในแบบทันที“ฉันฝึกซ้อมร่างกายนานถึง 4 เดือนเต็ม” - จอนโดยอน เล่าต่อถึงการเตรียมตัวเพื่อรับบทนำในหนังแอ็กชันเป็นครั้งแรก เธอเผยว่าโดยส่วนตัวแล้วไม่อยากใช้นักแสดงสตันท์เลยด้วยซ้ำ อยากจะเล่นฉากบู๊ทั้งหมดด้วยตัวเอง แต่มันเป็นไปไม่ได้ เพราะบางฉากก็อันตรายเกินไป - “ฉันไม่รู้ว่า มันคือคำที่ใช่หรือเปล่าที่จะอธิบายนะ แต่ตัวละครบกซุนก็มีความอะลุ้มอล่วยในบางครั้ง ดังนั้น ตัวฉันเองก็คงต้องทำเช่นนั้น ฉันคิดว่า มันเป็นทางที่ดีที่สุด ที่จะได้แสดงถึงเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดของตัวละคร บนหน้าจอ” - จอนโดยอน เผยว่า เธอใช้เวลาคุยกับผู้กำกับนานมากเพื่อตัดสินใจ ยอมให้ใช้นักแสดงแทนในบางฉาก เธอถึงขั้นขอเวลาผู้กำกับเพิ่ม เพื่อที่จะได้ฝึกฝนร่างกายและฝึึกซ้อมการต่อสู้ เพื่อที่เธอจะสามารถแสดงได้เองในทุกๆฉาก- หน้าที่ของการเป็นแม่ และหน้าที่การงาน -จอนโดยอน เล่าว่า ณ จุดเริ่มต้นที่เธอต้องเตรียมตัวสำหรับบทบกซุน เธอคิดว่าบทนี้มันคงไม่ได้ยากอะไรนักหรอก เพราะเธอมีจุดที่เหมือนกับตัวละครบกซุนหลายจุดเลย - “เราต่างเป็นคุณแม่ และต่างก็มีหน้าที่การงานที่ต้องทำ สิ่งที่ต่างอย่างชัดเจน มีเพียงแค่หน้าที่ของงานที่เราต้องทำ ฉันรู้สึกสบายใจ ถึงขั้นใส่ความเป็นตัวเองเข้าไปในตัวละครบกซุนพอสมควร ฉันว่าส่วนที่ยากที่สุดคงหนีไม่พ้น ฉากแอ็กชัน”แน่นอนว่า Kill Boksoon ไม่ใช่แค่หนังแอ็กชันที่มีแต่ฉากแอ็กชัน แต่ยังมีเรื่องราวของความเป็นแม่ แม้กระทั่ง เรื่องความรักในรูปแบบคนรัก จอนโดยอน บอกว่าเธอจึงต้องพยายามเกลี่ยน้ำหนักให้กับบทให้เหมาะสม เธอเผยว่าเธอคุยเรื่องการเกลี่ยความสำคัญในบทนี้ กับผู้กำกับบยอนบ่อยมาก และเมื่อเทียบกับผลงานเรื่องก่อนๆ เธอมักรับบทแม่ที่ดูใกล้เคียงกับความเป็นแม่ในฝัน แต่คราวนี้ สำหรับบทบกซุน ดูจะเป็นแม่ที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากกว่า จากประสบการณ์ที่เธอเป็นแม่ในชีวิตจริง“ในชีวิตคนเราไม่มีอะไรที่ได้มาอย่างง่ายดายหรอก แต่ฉันคิดว่าหน้าที่การทำงาน น่าจะง่ายกว่าการเลี้ยงลูกนะ เพราะฉันยังพอสามารถควบคุมการงานได้ แต่เมื่อพูดถึงการเลี้ยงเด็กซักคนนั้น หลายอย่างมันเหนือการควบคุมจริงๆ” - จอนโดยอนกล่าวว่า การเลี้ยงลูกนั้น บางอย่างมันก็ไม่มีทางเลือก ต้องยอมรับในสิ่งที่เป็น เธอเลยจริงว่า ระหว่างหน้าที่การงานกับการเลี้ยงลูก อย่างแรกง่ายกว่าเยอะ”- ดรีมทีมแห่งหนังเข้ม ซอลคยองกู และผู้กำกับบยอนซองฮยอน -“นี่เป็นครั้งที่ 3 แล้วนะ ที่ผมได้เล่นหนังของ บยอนซองฮยอน” - ซอลคยองกู นักแสดงตัวพ่อของวงการ ที่รับบทประธานใหญ่ขององค์กรนักฆ่า กล่าวถึงการกลับมาร่วมงานกับผู้กำกับ บยอนอีกครั้ง หลังจากเคยร่วมงานกันมาแล้วใน The Merciless และ Kingmaker - “มันไม่มีเหตุผลที่ผมต้องปฏิเสธนิ ผมแทบจะกลายเป็นแฟนหนังของเขาไปแล้ว ผมชอบเวลาทำงานกับเขาและทีมงานทุกคน นับตั้งแต่ The Merciless พวกเราเป็นทีมเดียวกันมาโดยตลอด และมาทำงานด้วยกันอีกครั้งใน Kill Boksoonผมเลยรู้สึกสบายใจที่มีทีมเวิร์คที่ดี” - ซอลคยองกู กล่าวถึงสาเหตุที่เขาแทบจะไม่ลังเลเพื่อรับบทนี้เลย เขากล่าวต่อว่า นี่คือการร่วมงานกันครั้งที่ 3 และก็มีงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับพวกเรา เขาแทบไม่ต้องคิดเลยว่า จะรับหรือไม่รับเล่นเรื่องนี้“ตอนแรกผมไม่ถามซอลคยองกูด้วยนะ ว่าเขาอยากเล่นไหม” - ผู้กำกับบยอน เล่าถึงเหตุการณ์ก่อนจะเริ่มต้นโปรเจกต์ เขาเล่าว่า เขาแค่โทรไปหาซอลคยองกู แล้วอีกฝ่ายพูดถึงมาว่า นายมีไอเดียหนังใหม่แล้วใช่มั้ยละ ผู้กำกับเลยตอบไปว่าใช่ ซอลคยองกูเลยบอกว่า งั้นเจอกันในอีก 2 วัน และยังไม่ทันที่ผู้กำกับจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับหนัง เขาก็ตอบรับแสดงในทันที โดยบทนี้ เขาแสดงเป็นมินคยู ประธานใหญ่ของ บริษัท เอ็มเค องค์กรนักฆ่าอันทรงอิทธิพลในหมู่นักฆ่าด้วยกันเอง เขาเป็นคนกำหนดกฏเกณฑ์ และหลักปฏิบัติ ว่าเป็นนักฆ่าต้องทำเช่นไร ซอลคยองกู เล่าถึงตัวละครนี้ว่า - “เขาเปรียบเสมือนพระเจ้า เขาเป็นคนออกกฏ ทุกคนต้องทำตาม แต่กลับมีข้อยกเว้นเดียว และข้อยกเว้นนั้นคือ กิลบกซุน และเขาต้องการให้เธออยู่เคียงข้างเขา เป็นมือขวาตลอดเวลา ดังนั้นเมื่อบกซุนเริ่มลังเลที่จะไม่ต่อสัญญา เขาจึงต้องทำทุกทางเพื่อให้เธอไม่ไปไหน”คยองกูเล่าต่อว่า มินคยูนั้น เจอบกซุนตั้งแต่สมัยที่เธออายุเพียง 17 ปี และกลายเป็นอาจารย์ของเธอเริ่มตั้งแต่ตอนนั้น - “มินคยูเป็นคนที่แข็งแกร่งมาก แต่เมื่อเป็นเรื่องของบกซุน เขาใจอ่อนเสมอ บางจุดก็เหมือนอารมณ์รักเขาข้างเดียว” - คยองกูเผยว่า แม้ว่าหนังเรื่องนี้จะเป็นหนังแอ็กชัน และอัดแน่นด้วยฉากต่อสู้ตลอดเวลา แต่สำหรับเขามันเหมือนหนังโรแมนซ์มากกว่า ยิ่งกับบุกซุนเขามีความรู้สึกหลงใหลเธอ มากกว่าอยากจะต่อสู้ด้วย- อีซม แค่ได้ประกบตัวแม่ ก็ไม่มีข้อแม้อะไรอีกแล้ว -“ฉันรักธีมที่เกี่ยวกับนักฆ่าหญิงมากเลย” - อีซม นักแสดงตัวแม่รุ่นใหม่ กล่าวถึงสาเหตุที่เธอตัดสินใจรับแสดงในหนังเรื่องนี้ นอกจากธีมที่ทำให้เธอสนใจแล้ว สาเหตุสำคัญคือการได้ร่วมงานกับทั้งผู้กำกับและนักแสดงที่เธอให้การเคารพยกย่อง เธอกล่าวว่า ตัดสินใจรับแสดงใน Kill Boksoon ก่อนที่จะอ่านบทหนังเลยด้วยซ้ำ โดยในเรื่องนี้เธอรับบทเป็น มินฮี น้องสาวของมินคยู ตำแหน่งของเธอคือ Director ของบริษัท คอยดูแลให้ทุกอย่างเป็นไปในทางที่ควรจะเป็น - “ฉันชอบทิศทางของหนังมากๆ มันดูดิบ ดูจริง ในขณะเดียวกันฉันก็สนุกมากๆด้วยตอนถ่ายทำ ฉันคอยทำตามที่ผู้กำกับนำทางให้ แล้วปรากฏว่า ตัวละครนี้ มีอะไรที่คาดเดาไม่ได้เพียบเลย”“มันมีฉากที่มินฮี ต้องเอาเท้าดันหน้าของ พี่ชายอย่างมินคยูด้วย โดยปกติฉันมักจะไม่เกร็งเวลาถ่ายทำแต่เพราะฉันชื่นชมและยกย่อง คยองกูมากๆ ฉันเลยกังวลอย่างมากตอนที่ถ่ายทำฉากนี้” - อีซมเล่าถึงฉากของเธอกับพี่ชายที่ทำให้เธอแทบจะเล่นไม่ออก แต่ด้วยความเป็นมืออาชีพ อีซมเล่าต่อว่า คยองกูบอกให้เธอเตะหน้าเขาแรงๆได้เลย ทำมันซะ เธอรวบรวมความกล้าและแสดงฉากนั้น เธอเล่าว่า หลังจากถีบเสร็จ เท้าของเธอก็ทั้งสั่นและชาไปเลย- จากโซลสู่เบอร์ลิน จาก Netflix สู่หน้าจอผู้ชมทั่วโลก -Kill Boksoon คือหนังเกาหลีที่ดีกรีไม่ธรรมดา เพราะได้รับเลือกให้ฉายเปิดตัวในเทศกาลหนังนานาชาติเบอร์ลินมาแล้ว และกวาดคำชมกลับมามากมาย ผู้กำกับบยอนเผยว่า เขาค่อนข้างแปลกใจ และไม่นึกมาก่อนว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น เพราะเขาเชื่อว่า Kill Boksoon ไม่ใช่หนังประเภทที่จะได้ฉายตามเทศกาล โดยเฉพาะเทศกาลหนังใหญ่ๆอย่างเบอร์ลิน - “ตอนที่ผมได้ข่าวครั้งแรก ผมนึกถึงตอนที่ได้รับเลือกให้ไป เทศกาลหนังเมืองคานส์ สมัยหนังเรื่อง The Merciless มันเป็นความรู้สึกแปลกใจ และไม่คาดคิดมาก่อน นี่ถือเป็นเกียรติมากสำหรับผมและทีมงานทุกคน ที่ได้รับเชิญให้ไปยังเบอร์ลิน”ในขณะที่ จอนโดยอน ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับเทศกาลหนังระดับโลก หลังจากเธอเคยคว้ารางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม จาก เทศกาลหนังเมืองคานส์มาได้แล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้รับเชิญให้ไปเบอร์บิน - “ก่อนจะไป ฉันสงสัยมากเลยว่า Kill Boksoon จะเป็นหนังที่ผู้ชมในเทศกาลจะรักได้จริงหรอ แต่เมื่อฉันได้นั่งดูหนังพร้อมๆกับทุกคนในงาน ทุกอย่างมันเหลือเชื่อจริงๆ เมื่อได้กระแสตอบรับที่ท่วมท้นชมตัวอย่าง Kill Boksoon สตรีมพร้อมกัน 31 มีนาคมใน Netflixภาพ : Netflix Thailand

[REVIEW] ‘SMILE’ เมื่อรอยยิ้มฆ่าคนตาย หนังสยองสุดตึงเครียด | GOSSIP GUN

27 ก.ย. 2022

[REVIEW] ‘SMILE’ เมื่อรอยยิ้มฆ่าคนตาย หนังสยองสุดตึงเครียด | GOSSIP GUN

จุดเริ่มต้นของหนังสยองขวัญแห่งปีอย่าง Smile เกิดขึ้นจากหนังสั้น Laura Hasn't Slept ของ ปาร์กเกอร์ ฟินน์ ที่คอนเซปต์เจ๋งและสยดสยอง จนถูกใจผู้บริหารของค่ายพาราเมาต์ พิคเจอร์ หนังจึงถูกหยิบมาพัฒนาเป็นหนังใหญ่ โดย ปาร์กเกอร์ ฟินน์ กลับมาสานต่อความหลอนจากหนังสั้นของเขาเอง รับหน้าที่เป็นผู้กำกับหนังใหญ่ครั้งแรก สำหรับ Smile ฉบับยาว เล่าถึง ดร.โรส (รับบทโดย โซซี เบคอน จากซีรีส์ 13 Reasons Why) จิตแพทย์หญิงที่เพิ่งเผชิญเหตุการณ์สุดสยอง เมื่อคนไข้ของเธอฆ่าตัวตายต่อหน้าต่อตา ก่อนตายคนไข้คนนี้คลั่งและบอกว่า มีสิ่งลึกลับที่มีรอยยิ้มไล่ตาม ดร.โรส ยิ่งสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ จึงเริ่มสืบและพบว่า มีคนตายจากรอยยิ้มในลักษณะเดียวกันกว่า 20 คนแล้ว และที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือ ดูเหมือนว่าคำสาปสุดอาถรรพ์นี้กำลังไล่ตามเธอเช่นกัน !สิ่งที่ทำให้ Smile มีเอกลักษณ์และแตกต่างจากหนังสยองขวัญเรื่องอื่นๆ คือ คอนเซปต์ ที่หยิบรอยยิ้มมาทำให้กลายเป็นความหลอน แม้เราอาจจะเห็นรอยยิ้มแบบหลอนๆในหนังมากมาย (อาทิ Joker และ Stephen King's It) แต่มันไม่เคยถูกหยิบมาเป็นแกนหลักของเรื่องอย่างจริงจัง บวกกับเส้นเรื่องในสไตล์การแก้คำสาป แบบเดียวกับ The Ring ที่ดูเหมือนจะไม่ได้เห็นกันมาสักพักใหญ่แล้ว ทำให้ Smile มีความน่าสนใจอยู่ไม่น้อย และหนังยังมีกลิ่นอายแบบ It Follows หนังเขย่าขวัญที่ทำให้คนยืนนิ่งๆดูน่ากลัวได้ เรื่องนี้มีสไตล์คล้ายๆกัน แต่เพิ่มรอยยิ้มเข้าไป ทำให้ระหว่างดูหนัง แม้แต่คนที่ยืนยิ้มนิ่งๆ ยังชวนขนลุกได้ หนังทำให้เราผวาในแบบที่ไม่คาดคิดได้จริงๆนอกจากจะเป็นหนังสยองขวัญ อันที่จริงแล้ว Smile มีความเป็นหนังจิตวิทยาที่ชัดเจนมาก เพราะหนังเล่นกับตัวละครหลักคือ ดร.โรส ซึ่งเป็นจิตแพทย์ แต่อันที่จริงแล้วเธอเองก็เคยเผชิญปัญหาทางจิตมาก่อน และยิ่งมาเจอกับเหตุการณ์หลอนที่หาทางออกไม่ได้แบบนี้ ยิ่งทำให้เธอสติแตกไปกันใหญ่ ความเก่งกาจของหนัง คือการทำให้ผู้ชมตึงเครียด และเหมือนจะประสาทแดกแบบนางเอกได้เหมือนกัน เมื่อหนังยิ่งดำเนินไป ข้อแม้ต่างๆของหนัง ปมคำสาปจากรอยยิ้ม มันชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ การผูกปมของหนังมันเลยยิ่งแน่นขึ้นไปอีก นั่นทำให้ Smile กลายเป็นหนังสยองขวัญที่บีบหัวใจของคุณช้าๆ แต่เมื่อถึงจุดพีกแล้ว มันยิ่งบีบหัวใจขั้นสุดในส่วนของงานโปรดักชันส่งเสริมความสยองของหนังได้อย่างดีเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นเสียงประกอบ ที่หลอนจับใจ การเคลื่อนกล้องที่หลายครั้งเลือกใช้ภาพกลับหัว สไตล์การตัดต่อ การเชื่อมโยงแต่ละฉาก หลายครั้งที่โฉ่งฉ่าง ทำให้ผู้ชมกระตุกได้เหมือนกัน และการบิลด์ผู้ชมด้วยความสยองในแบบ Jump Scare หนังใช้วิธีนี้ค่อนข้างเยอะพอสมควร แต่กระนั้นต้องชื่นชมผู้กำกับ ปาร์กเกอร์ ฟินน์ ที่ให้ฉากหลอกเหล่านี้ ดูมีรสนิยม เป็นการหลอกให้เราตกใจ แบบที่น่าสนใจ ไม่ได้ให้สิ่งลึกลับโผล่มาทื่อๆ อย่างไร้ที่มาที่ไปแต่อย่างใด โดยรวม Smile จึงกลายเป็นหนังสยองขวัญอีกเรื่องของปี 2022 ที่ทำได้ดีเกินคาดจริงๆ ใครที่อยากสัมผัสความหลอน ความตึงเครียด ลองชมหนังเรื่องนี้กันดู 29 กันยายนนี้ในโรงภาพยนตร์ชมตัวอย่าง Smile ยิ้มสยอง สัปดาห์นี้ทุกโรงภาพยนตร์ภาพ : UIP Thailand

[REVIEW] ‘Black Adam’ แอนตี้ฮีโร่คนใหม่ในจักรวาล DC กับความมันส์แบบจัดหนัก | GOSSIP GUN

20 ต.ค. 2022

[REVIEW] ‘Black Adam’ แอนตี้ฮีโร่คนใหม่ในจักรวาล DC กับความมันส์แบบจัดหนัก | GOSSIP GUN

พอถึงคิวฉายของหนังใหม่ในจักรวาล DC ทีไรก็ทำเอาแฟนหนังซูเปอร์ฮีโร่ลุ้นทุกที เพราะผลลัพธ์ที่ออกมาของค่ายนี้ค่อนข้างผีเข้าผีออกอยู่หลายครั้ง บ้างก็ดีจนน่าอิ่มใจ แต่หลายครั้งก็เละเทะจนทำเอาแฟนๆ กุมขมับ อย่างตอนที่หนังใหญ่ระดับJustice League ออกมาพังไม่เป็นท่า ก็ทำเอาผู้บริหารของวอร์เนอร์เป๋ไปอยู่หลายปีเหมือนกัน สำหรับหนังโปรแกรมล่าสุดอย่าง Black Adam ถือว่าต้องลุ้นหลายๆ อย่าง เพราะแค่ชื่อชั้นของตัวละครนำ ดูจะไม่ได้เป็นที่รู้จักเท่าไรนัก (ต่างจากระดับ แบทแมน หรือ ซูเปอร์แมน) เพราะตัว Black Adam เอง ออกจะเป็นตัวร้ายด้วยซ้ำ แถมแยกมาจากหนัง DC ที่ดังระดับกลางๆอย่าง Shazam! ทำให้คนดูทั่วไปอาจจะไม่คุ้นเคยกับเขาเสียเท่าไหร่ แต่จุดที่แข็งแกร่งมากๆหนังโปรเจกต์นี้ คือการที่ได้ดาราระดับ ดเวย์น จอห์นสัน หรือ เดอะร็อค มารับบทนำ กลายเป็นว่านี่อาจจะเป็นหนังในจักรวาล DC ที่ต้องพึ่งพลังนักแสดงมากที่สุดเรื่องนึงเลยก็ว่าได้แบล็คอดัม (หรือเดิมชื่อ เท็ท อดัม) เขาคือซูเปอร์ฮีโร่พลังเทพ เช่นเดียวกับ ชาแซม เขาได้รับพลังจากเหล่าทวยเทพของอียิปต์ ทำให้มีพลังกำลังเหนือมนุษย์ สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ แต่ด้วยพฤติกรรมที่ควบคุมไม่ได้ หลายครั้งที่แบล็คอดัมใช้พลังในการเข่นฆ่ามนุษย์ เขาจึงถูกคุมขังอยู่นานนับ 5 พันปี จนกระทั่งในโลกยุคปัจจุบัน หนังเล่าเหตุการณ์ในเมืองสมมุติที่ชื่อว่า คาห์นดัก ประเทศโลกที่สามที่ถูกกดขี่โดยกองกำลังติดอาวุธ เพื่อปลดปล่อยประชาชนให้ได้รับอิสรภาพ แบล็คอดัมจึงถูกปล่อยตัวออกมาให้เป็นฮีโร่ของชาวคาห์นดัก แต่การปรากฏตัวครั้งนี้ของเขากลับเป็นที่กังวลของฮีโร่อื่นๆ กลุ่ม Justice Society of America จึงถูกส่งตัวมายังคาห์นดัก เพื่อจับตัวแบล็คอดัมกลับไป ท่ามกลางสงครามการแย่งชิง มงกุฏลึกลับที่สามารถมอบพลังมหาศาลให้กับผู้ที่ครอบครองมันแน่นอนว่า Black Adam ไม่ได้ถูกออกแบบให้เป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่ขวัญใจนักวิจารณ์แบบที่ The Batman หรือ Joker เป็นอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่แปลกใจที่คะแนนนักวิจารณ์ล่าสุดใน Rotten Tomatoes จะออกมาก้ำกึ่งราวๆ 50% และเมื่อดูหนังเต็มๆก็พบว่า Black Adam ตัดสินใจให้ตัวเองเป็นหนังแอ็กชันหลั่งอะดรีนาลีนเดือดแบบเต็มตัว เอาใจแฟนๆสายแอ็กชัน เน้นความมันส์และสะใจโดยเฉพาะ สไตล์เดียวกับหนัง ดเวย์น จอห์นสันเรื่องอื่นๆ Black Adam จึงมีกลิ่นอายเหมือนการดูหนังแบบ Fast Furious ผสมกับ Jumanji มากกว่าที่จะเป็นหนังฮีโร่นิ่งๆ ดาร์กๆ ทั่วไป หนังใช้เวลาที่ในการเล่าเรื่องแบบติดสปีด ย้อนกลับไปเท้าความเมื่อ 5,000 ปีก่อน ก่อนที่จะตัดมาเล่าเหตุการณ์ในปัจจุบันอย่างรวดเร็ว และใช้เวลาไม่นานนักก่อนที่จะเข้าฉากแอ็กชันซีนใหญ่ซีนแรกที่ทำให้เราได้เจอกับ แบล็ค อดัม อาจจะบอกได้ว่าหนังเล่าไว จนใครที่เข้าโรงไม่ทัน อาจจะงงกันการปูเรื่องกันเลยทีเดียวแม้ว่าแรกเริ่มเดิมที Black Adam จะถูกวางเป็นตัวละครในหนังShazam! ก่อนที่ผู้บริหารวอร์เนอร์จะเปลี่ยนใจ ให้เขามีหนังเปิดตัวเป็นของตัวเอง แต่อาจจะกล่าวได้ว่า Black Adam ก็ยังมีความเป็น Spin-Off ของ Shazam! จนตอนแรกไม่ได้คาดหวังในสเกลของหนังมากนัก (เพราะอย่าง Shazam ก็ไม่ใช่ใหญ่โตอะไรมาก ถือเป็นหนังจักรวาล DC ไซส์กลางๆ) แต่ปรากฏว่าBlack Adam มาพร้อมกับงานโปรดักชั่นที่ใหญ่โต จนแซงหน้า Shazam! ไปเลยทีเดียว ฉากแอ็กชันมากมายที่เกิดขึ้นในเมืองคาห์นดัก ล้วนน่าตื่นตา หลายฉากทำออกมาได้สนุกเกินคาดไปมาก เช่นเดียวกับมุกตลกในหนัง แม้ว่าจะไม่ได้เน้นอารมณ์ขันมากเท่า Shazam! แต่หลายครั้งที่จังหวะปล่อยมุก ค่อนข้างเวิร์กมากๆ เป็นหนังอีกเรื่องที่ทำได้ดีในโซนนี้ เพิ่มดีกรีความบันเทิงให้กับหนังได้มากขึ้นไปอีก !ข้อดีมากๆ ของ Black Adam คือความสดใหม่ เหมือนผู้ชมได้ดูหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่เฟรชมากๆหนึ่งเรื่อง เนื่องด้วยหนังพาเราเข้าสู่ดินแดนใหม่ๆ อย่าง คาห์นดัก แม้ว่ามันจะได้รับแรงบันดาลใจมาจากหลายๆเมือง โดยเฉพาะ อียิปต์ หรือประเทศเอเชียตะวันออกกลาง แต่ก็ต้องถือว่าไม่ค่อยซ้ำทางกับหนังซูเปอร์ฮีโร่ยุคหลังๆเท่าไหร่นัก บวกกับตัวละครกลุ่มใหม่เกือบทั้งหมด หนังพาผู้ชมไปทำความรู้จักกับทั้งแบล็คอดัม และสมาชิกของ จัสตีซ โซไซตี้ ออฟ อเมริกา ซึ่งแต่ละตัวละครก็มีคาแรคเตอร์ที่น่าสนใจที่แตกต่างกันไป แม้ว่าหนังจะเล่าเรื่องด้วยลำดับเหตุการณ์ที่ค่อนข้างคลีเช่ ตามสไตล์หนังซูเปอร์ฮีโร่ทั่วไป แต่เพราะดีเทลทั้งสถานที่ ตัวละคร ที่มาใหม่แทบทั้งหมด ก็ทำให้การดูหนัง Black Adam ค่อนข้างสดชื่นเมื่อได้ชม เหมือนหนังพาผู้ชมไปสนุกกับเพื่อนๆกลุ่มใหม่ ในประเทศที่แปลกใหม่ ไม่ใช่อะไรเดิมๆที่เราเห็นมาแล้วบ่อยครั้งในฐานะหนังป็อปคอร์นที่เน้นมอบความบันเทิง Black Adam สอบผ่านในจุดนี้ แน่นอนว่ามันไม่ใช่หนังคุณภาพยอดเยี่ยมในระดับที่ขึ้นหิ้ง แต่มันก็ทำหน้าที่มอบความสนุกให้กับผู้ชมได้อย่างสบายๆ ถือเป็นการจับมือกันอีกครั้งของ ดเวย์น จอห์นสัน กับผู้กำกับ โจเม่ คอลเล็ต-เซอร์ร่า ที่น่าชื่นชม ถัดจาก Jungle Cruise ที่สนุกมากจนดิสนีย์ไฟเขียวสร้างภาคต่อไปแล้วเรื่องนึง นอกจากตัวหนังที่สนุกอย่างน่าพอใจแล้ว ไฮไลต์สำคัญที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับหนังซูเปอร์ฮีโร่ในยุคนี้คือเหล่าบรรดาฉากแถมช่วง End-Credit ที่สำหรับ Black Adam แม้จะมีแถมเพียงแค่ฉากเดียว แต่ก็พีกในระดับที่ทำให้แฟนๆของDC กรี๊ดสนั่นกันลั่นโรงเลยก็ว่าได้ พีกในระดับที่จักรวาล DC ไม่ได้ทำแบบนี้ได้มาหลายต่อหลายปีแล้ว แม้ว่า Black Adam จะไม่ใช่หนังที่มาพลิกโฉมดีซี แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้แฟนๆได้ยิ้มออกว่า หลังจากนี้ น่าจะมีอะไรสนุกๆรอเราอยู่อีกเพียบชมตัวอย่าง Black Adam วันนี้ในโรงภาพยนตร์ภาพ : Warner Bros. Thailand

[EXCLUSIVE REVIEW] “BROS” สัมภาษณ์พิเศษทีมนักแสดงนำ ปรากฏการณ์หนังรัก LGBTQ+ อารมณ์ดีที่กวาดคำชมล้นหลาม| GOSSIP GUN

02 พ.ย. 2022

[EXCLUSIVE REVIEW] “BROS” สัมภาษณ์พิเศษทีมนักแสดงนำ ปรากฏการณ์หนังรัก LGBTQ+ อารมณ์ดีที่กวาดคำชมล้นหลาม| GOSSIP GUN

ว่ากันว่าหนังรักอยู่คู่กับโลกภาพยนตร์มาตั้งแต่เริ่มต้น เริ่มจากหนังคลาสสิกอย่าง It Happened One Night เมื่อปี 1934 มาจนถึงหนังโรแมนติกเบาสมองยุคใหม่อย่าง When Harry Met Sally, Pretty Women, Sleepless in Seattle จนกระทั่งมาถึงยุคของ Notting Hill และ Love Actually ตลอดระยะเวลาเกือบ 100ปีที่ผ่านมา กับหนังรักหลายพันเรื่อง ไม่เคยมีครั้งไหนมาก่อน ที่สตูดิโอยักษ์ใหญ่ในฮอลลีวูด จะสร้างหนังประเภท Romantic-Comedy ที่มีสองตัวละครนำเป็นเกย์..และนี่คือครั้งแรกบิลลี่ ไอค์เนอร์ นักแสดงตลกที่มีชื่อเสียงจากรายการ Billy on the Street มาพร้อมกับไอเดียของ BROS ในฐานะหนังโรแมนติกเบาสมองที่มีคู่พระนางในเรื่องเป็น "เกย์"แม้ก่อนหน้านี้ ไม่เคยมีสตูดิโอยักษ์ใหญ่รายไหนอนุมัติสร้าง แต่เขาคิดว่ามันถึงเวลาแล้ว เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป โลกเปลี่ยนไป เรื่องราวความรัก LGBTQ+ คู่ควรแก่การถูกเล่าบนจอใหญ่เสียที บิลลี่นำไอเดียนี้ไปเสนอกับ นิโคลัส สโตลเลอร์ ผู้กำกับหนังรอมคอมที่ประสบความสำเร็จอย่าง Forgetting Sarah Marshall และเคยร่วมงานกับบิลลี่มาแล้วใน Bad Neighbors พวกเราทั้งคู่ลงมือเขียนบทภาพยนตร์ด้วยตัวเอง และส่งต่อโปรเจกต์ให้โปรดิวเซอร์หนังตลกแห่งยุคอย่าง จัดด์ อพาโทว์ และนำเสนอต่อสตูดิโอยักษ์ใหญ่อย่าง ยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ หลังจากนั้น BROS ก็กลายเป็นตำนาน ครั้งแรกที่สตูดิโอใหญ่สร้างหนังเกย์โรแมนติกคอเมดี้EFM94 ขอเป็นส่วนหนึ่งในความพิเศษครั้งนี้ กับการเป็นตัวแทนจากประเทศไทย ร่วมพูดคุยกับทีมนักแสดงนำ และผู้กำกับ และที่สำคัญอย่างยิ่ง ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับ บิลลี่ ไอค์เนอร์ ในฐานะผู้เริ่มต้นโปรเจกต์, ผู้เขียนบทภาพยนตร์ และที่สำคัญ เขาคือพระเอกของหนังเรื่องนี้อีกด้วย บิลลีี่รับบทเป็บ บ็อบบี้ เกย์วัย 40 อัปที่ไม่เชื่อในความรัก จนกระทั่งได้พบกับรักแท้ บิลลี่เล่าว่าเขาอยู่ในขั้นตอนการเขียนบทอยู่หลายปีเลย และเขากับนิค (ผู้กำกับ) ที่เป็นคู่หูที่แตกต่างอย่างดีเยี่ยม บิลลี่เผยว่า - "นิคเป็นชายแท้ ผมเป็นเกย์ นิคเขียนบทหนังมาตลอด แต่ผมไม่เคยมาก่อน ดังนั้น เราจึงต้องแชร์ความรู้แก่กันหลายอย่าง นิคค่อยๆสอนผมขั้นตอนต่างๆในการเขียนบทหนัง หนังรอมคอมสำหรับสตูดิโอใหญ่ๆ องค์ประกอบที่ต้องมี เรื่องราว สิ่งที่ค่ายหนังมองหา ผมเริ่มต้นจากมุมมองคนละแบบ ในฐานะคนที่ไม่รู้กฏเกณฑ์ในการเขียนมาก่อน ไม่รู้ว่ามันต้องออกมาเป็นอย่างไร ในขณะที่ นิคไม่รู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมเกย์ ไม่เคยมีประสบการณ์ด้านนี้มาก่อน ดังนั้น เราสอนซึ่งกันและกันเยอะมาก"บิลลี่เล่าต่อว่า แม้ประสบการณ์ในการเขียนบทหนังจะแตกต่างกัน ตัวตนในเรื่องเพศสภาพจากต่างกัน แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขาเหมือนกัน คือ ความรักที่มีให้กับหนังตลกที่ทำให้ผู้ชมหัวเราะออกมาได้ดังๆ บิลลี่ เล่าว่า ในหนังเรื่อง BROS พวกเขาไม่อยากเล่นอะไรที่เบาและนุ่มนวล เราต่างอยากให้ผู้ชมผจญภัยไปกับหนังได้ ทั้งสนุกและหัวเราะหนักๆ นั่นแหละคือเป้าหมายของทั้งเขาและนิค บิลลี่เผยว่า - "นิคสอนผมเกี่ยวกับกฏในการเขียนบทหนังหลายอย่าง และในขณะเดียวกันหลายครั้งที่ผมยุให้เขาลองแหกกฏดูบ้าง เพราะบางครั้งมันก็สนุกอยู่นะที่จะแหกกฏ เพราะมันจะทั้งเซอร์ไพรสและคาดเดาไม่ได้ เขาเป็นคู่หูที่ดีมากๆ และผมภูมิใจในงานที่พวกเราทำมาก"ในขณะที่ นิโคลัส สโตลเลอร์ ผู้กำกับและผู้ร่วมเขียนบทของ BROS เล่าว่า จุดเริ่มต้นมันคือการที่เขาเคยได้ร่วมงานกับบิลลี่ใน Bad Neighbors 2 นิคเล่าต่อว่า - "เป็นเป็นนักแสดงที่ยอดเยี่ยมมากนะ จนกระทั่งผมได้ยินไอเดียเกี่ยวกับหนังโรแมนติกคอเมดี้ที่ผู้ชายสองคนตกหลุมรักกันจากบิลลี่ พอได้ยินไอเดียนี้ ผมก็สนใจทันที ผมกับบิลลี่ พวกเรามองหาโปรเจกต์ที่จะทำร่วมกันมานานแล้ว ในฐานะที่ผมเป็นชายแท้ก็ค่อยๆศึกษาเรื่องเกย์จากเขา หลังจากนั้นเราก็ค่อยๆพัฒนาบทกันมา" – ในฐานะที่ BROS กลายเป็นหนังโรแมนติกคอเมดี้ที่มีตัวละครนำเป็นเกย์เรื่องแรก นิคออกความเห็นว่าคนดูพร้อมจะดูหนังเกย์รอมคอมมานานแล้วนะ เขาบอกว่าสตูดิโอช้ากว่าคนดูเยอะ ก่อนหน้านี้มักจะมีแต่พวกหนังเกย์ที่เป็นโศกนาฏกรรม แนวออสการ์ แล้วก็พวกหนังเกย์อินดี้ในยุค 90s นิคจำได้ว่าตอนเด็กๆ เขาดู The Birdcage เป็นหนึ่งในหนังที่ตลกที่สุดเท่าที่จำความได้ แล้วตามมาด้วย In Out ซึ่งตอนนั้นก็ทำเงินนะ แต่ไม่รู้ทำไมถึงหายไป และหวังว่าตอนนี้จะเป็นเวลาที่ใช่อีกครั้งความน่าประทับใจของการมีหนังอย่าง BROS คือการที่เกย์รุ่นใหม่ๆ จะมีอะไรที่เล่าขานหรือสื่อสารเรื่องราวของพวกเราในรูปแบบหนังใหญ่เสียที บิลลี่เผยว่า - "ผมว่า เกย์รุ่นใหม่กำลังมา มันมีสื่อมากมายที่จะแสดงถึงตัวตนของพวกเขา ทั้งบนหน้าจอทีวีหรือในออนไลน์ ในโซเชียลมีเดีย หรือ สตรีมมิ่งแพลตฟอร์ม ซึ่งผมเคยคาดหวังว่า พวกเราจะมีแบบนั้นบ้าง ตอนสมัยที่พวกเรายังวัยรุ่น ย้อนกลับไปสมัยรุ่นผมหรือรุ่นก่อนหน้า LGBTQ+ ไม่มีพื้นที่มากนักเท่าตอนนี้ ตอนนั้นไม่มีแม้แต่แนวทางที่ชัดเจนว่า ความสัมพันธ์ของเกย์เป็นแบบไหน ไม่มีแม้แต่หนังโรแมนติกคอเมดี้ในแบบของเรา ผมจึงภูมิใจที่ BROS จะได้เป็นคลื่นลูกใหม่ ในการบอกเล่าความรักของเกย์ในแบบหนังรอมคอม เพื่อให้คนรุ่นใหม่หรือแม้แต่รุ่นผม ได้เห็นว่าเรื่องราวความรักของเกย์มันเป็นอย่างไร เป็นแรงบันดาลใจให้รุ่นต่อๆไป"."ผมโตขึ้นมาในฐานะแฟนคลับของ เม็ก ไรอัน" – บิลลี่เล่าต่อถึงแรงบันดาลใจให้เขาอยากทำหนังโรแมนติกเบาสมองที่สองตัวละครนำเป็นเกย์ - "ผมชอบหนังของเธอแทบทุกเรีื่อง When Harry Met Sally, Sleepless in Seattle, You've Got Mail, French Kiss ผมพูดชื่อหนังต่อไปได้อีกเรื่อยๆ ผมรักหนังเหล่านั้นมาก รักจังหวะของชายหญิงตัวละครนำ สิ่งที่ผมรู้สึกพิเศษมากเกี่ยวกับ BROS คือผม ไม่เคยเห็นตัวเองในหนังเหล่านั้นเลย เพราะผมเป็นเกย์ คุณไม่ได้เป็นทั้ง ทอม แฮงค์ หรือว่า เม็ก ไรอัน มันอาจจะมีบางอย่างที่เชื่อมโยงกับคุณ อาจจะมีบางอย่างที่ทำให้คุณหัวเราะ ร้องไห้ แต่มันไม่เคยมีอะไรที่สะท้อนถึงความเป็นตัวตนของผมเลย ดังนั้น หนังเรื่องนี้จึงพิเศษทั้งสำหรับ ชายจริงหญิงแท้และเกย์ เพราะพวกคุณจะได้สัมผัสถึงวัฒนธรรมใหม่ๆ เหมือนๆกัน ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าหนังเหล่านี้จะมีเวอร์ชั่นสำหรับ LGBTQ+ได้ ถือว่าฮอลลีวูดมาได้ไกลพอสมควรเลย หนังเรื่องนี้จะมีหลายองค์ประกอบจากหนังรอมคอมในแบบที่ผู้ชมชอบ แต่ก็มีหลายอย่างที่แปลกใหม่มากจริงๆ"นอกจาก BROS จะเป็นหนังรักเบาสมองของเกย์เรื่องแรกจากสตูดิโอใหญ่แล้ว ในแง่ของงานสร้าง BROS ไปได้ไกลยิ่งกว่านั้น ด้วยการคัดเลือกให้ทีมนักแสดงนำทั้งหมดในหนัง ล้วนเป็นนักแสดง LGBTQ+ แม้แต่คาแร็คเตอร์ที่เป็นชายจริงหญิงแท้ในหนังก็ตาม เริ่มจาก ลุค แมคฟาร์เลน นักแสดงเกย์ ที่รับบทเป็นหนุ่มสุดฮ็อต แอร่อน ชายที่ทำให้บ็อบบี้ตกหลุมรักเข้าอย่างจัง แม้บ็อบบี้จะไม่เชื่อในความรักเท่าไหร่นัก แต่แอร่อนจะทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป ลุคเผยว่าการทำงานกับบิลลี่ ทั้งสนุกและง่ายมากๆ ลุคเล่าว่า - "บิลลี่เป็นคนที่ใจกว้างมาก เขาให้คำแนะนำตลอดเกี่ยวกับตัวละครนี้ รวมถึงปล่อยให้ผมได้ลองแสดงบทนี้ในแบบของตัวเองด้วย มันแปลกดีเหมือนกันที่ได้เล่นหนังคู่กับคนที่เขียนบทเรื่องนี้ แต่บิลลี่ เชื่อมั่นในขั้นตอนของการคัดเลือกนักแสดง ตอนที่ทดสอบบทเคมีเราเข้ากัน เขาปล่อยให้ผมเป็นตัวของตัวเองมากที่สุด ปล่อยให้ผมได้ลองตกหลุมรักเขาบนจอ ดังนั้น ผมได้รับการสนับสนุนอย่างมาก จาก บิลลี่ ครับ"นอกจากบทของคู่พระนางอย่าง บ็อบบี้และแอร่อนแล้ว ไฮไลต์สำคัญของ BROS ที่จะทำให้ผู้ชมหัวเราะจนท้องแข็ง คือเหล่านักแสดงสมทบ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตัวละครแก๊งสมาชิกบอร์ดของพิพิธภัณฑ์ โปรเจกต์ในฝันของบ็อบบี้ ที่เขาอยากสร้าง เกย์มิวเซียมที่บอกเล่าประวัติศาสตร์ ความเป็นมาที่สำคัญของ LGBTQ+ โดย BROS ได้นักแสดง LGBTQ+ ที่มีความหลากหลายในตัวตนมารับบทสมาชิกบอร์ด ทั้ง ทีเอส แมดิสัน ตัวแม่แห่งรายการเรียลลิตี้จาก The Ts Madison Experience มารับบทแองเจลล่า, มิส ลอว์เรนซ์ แฮร์สไตล์ลิสที่โด่งดังจากผลงานมากมาย มารับบท วานด้า, ด็อต-มารีย์ โจนส์ นักแสดงที่แฟนซีรีส์คุ้นหน้าคุ้นตาจาก Glee ในบทเชอร์รี่, จิม แรซ จากซีรีส์ Community ในบทโรเบิร์ต และ อีฟ ลินด์ลีย์ จากนางแบบทรานส์สู่นักแสดงมากฝีมือ ในบททามาร่า เมื่อพวกเขาได้รู้ว่า BROS จะเป็นหนังเรื่องแรกที่นักแสดงทั้งหมดเป็น LGBTQ+ ต่างเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า มันถึงเวลาแล้วเสียที มิส ลอว์เรนซ์ เผยว่า - "สิ่งที่ฉันคิดคือ มันถึงเวลาแล้วสินะ ที่พวกเราจะได้แสดงตัวตนที่แท้จริงของพวกเราออกไป เล่าเรื่องราวของพวกเราจริงๆ ในโลกของภาพยนตร์หรือซีรีส์" ในขณะที่ทีเอส แมดิสัน บอกว่าเห็นด้วยเช่นกัน เธอกล่าวต่อว่า - "มันถึงเวลาแล้วละ อันที่จริงมันไม่ควรจะต้องใช้เวลานานขนาดนี้ด้วยซ้ำ แต่ฉันเชื่อว่าทุกอย่างมันเกิดขึ้นในเวลาที่สมควร"ด็อต-มารีย์ เผยถึงประสบการณ์ในการถ่ายทำ BROS ซึ่งเธอบอกว่าไม่เหมือนหนังหรือซีรีส์เรื่องไหนที่เธอเคยแสดงมาก่อน เธอเล่าต่อว่า - "ก่อนอื่น ฉันขอบอกเลยว่า ฉันไม่เคยสัมผัสประสบการณ์ไหน เหมือนกับตอนที่แสดงใน Glee เลย ในเรื่องนั้น ไรอัน (ไรอัน เมอร์ฟีย์ โปรดิวเซอร์ Glee) พยายามจะเล่าเรื่องของ แต่ละตัวละคร LGBTQ+ แต่ละแบบ ในแต่ละตอน แต่ใน BROS นั้น หนังได้รวมเอาบุคคล LGBTQ+ มารวมไว้ด้วยกันอย่างงดงาม โดยเฉพาะฉากประชุมของสมาชิกบอร์ด คุณต้องไปดูหนังเรื่องนี้ มันจะทำให้คุณหัวเราะไม่หยุด ชวนผู้คนในชุมชนของคุณไปดูด้วยกัน หัวเราะ ร้องไห้ แบ่งปันความรักกัน ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน เพราะพวกเรามีกันเองเพียงเท่านี้"ในขณะที่ จิม เล่าว่า – "สำหรับผม ได้มีโอกาสร่วมแสดงในซีรีส์ Community ถึง 6 ปีด้วยกัน ครอบครัว และทีมนักแสดง เป็นแกนหลักสำคัญของซีรีส์ เช่นเดียวกับ BROS แค่มันต่างครอบครัวกัน ซึ่งผมภูมิใจอย่างมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในนั้น ในขณะที่ BROS สร้างตัวละครที่หลากหลายมาก เหมือนกับพวกเราได้เฉลิมฉลองความหลากหลาย และแกนที่แข็งแกร่งของหนังคือเหมือนพวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ผมดีใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของหนังที่เราสามารถยินดีกับตัวตนที่แท้จริงของพวกเราได้ สิ่งที่รวมพวกเราให้เป็นหนึ่งเดียวได้ คือ ความรู้สึกที่พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน สนุกไปด้วยกัน ได้เรียนรู้ที่จะรักกัน และโอกาสที่ทุกคนจะสามารถเป็นตัวของตัวเองได้" ด้านของ อีฟ เธอเล่าว่า เธอตื่นเต้นกับหนังเรื่องนี้มาก เพราะได้มีโอกาสร่วมงานกับบุคคลระดับตำนานของ LGBTQ+ หลายคน ที่เธอชื่นชมพวกเขาอยู่แล้ว - "ฉันเพิ่งมาเข้าใจเมื่อไม่นานมานี้เอง ว่าทำไม บิลลี่ ถึงต้องสร้างหนังเรื่องนี้ขึ้นมา และฉันโชคดีมากแค่ไหนที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในหนังเรื่องนี้"แน่นอนว่า BROS คือก้าวสำคัญของชุมชน LGBTQ+ ที่จะได้มีหนังที่เล่าถึงความรักของพวกเขาอย่างแท้จริง ในรูปแบบของหนังโรแมนติกคอเมดี้ แต่ในแง่มุมของโลกภาพยนตร์ BROSก็ยังเป็นหนังรอมคอมในแบบที่ห่างหายจากโรงภาพยนตร์ไปนาน มันคือหนังรักเบาสมองระดับคุณภาพที่ในระยะหลังๆ ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยครั้งนักจากฮอลลีวูด โดยล่าสุด BROS ที่กวาดคะแนนนักวิจารณ์ในแง่บวกไปเพียบ มากถึง 88% ในขณะที่คะแนนจากผู้ชมยิ่งชื่นชอบสูงกว่า ด้วยคะแนน Audience Score ระดับ 90% ซึ่งการันตีว่าผู้ชมต่างชอบ ต่างตกหลุมรักหนังเรื่องนี้ พวกเขาหัวเราะ พวกเขาร้องไห้ พวกเขาอินไปกับเรื่องราวความรักของคนสองคน นี่ไม่ใช่แค่หนังเกย์ นี่คือหนังที่เล่าเส้นทางความรักที่พวกเราพบเจอได้ทั่วไป นี่คือหนังที่เล่าถึงความหลากหลายของมนุษย์ นี่คือหนังที่จะส่งพลังให้กับพวกเราทุกคน ให้เป็นตัวของตัวเอง และในขณะเดียวกันก็ยอมรับในความแตกต่าง ยอมรับซึ่งกันและกัน นี่คืออีกหนึ่งหนังสนุกคุณภาพแน่นแห่งปี 2022 ที่ไม่ควรพลาดBROS เพื่อนชาย ?วางโปรแกรมฉายในไทย 3 พฤศจิกายนในโรงภาพยนตร์

album

0
0.8
1