[REVIEW] “The Lost City” หนังผจญภัยที่หัวใจความสนุก คือ เคมีนักแสดง | GOSSIP GUN

HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] “The Lost City” หนังผจญภัยที่หัวใจความสนุก คือ เคมีนักแสดง | GOSSIP GUN

19 เม.ย. 2022

คงจะไม่เกินจริงถ้าจะกล่าวว่า แซนดร้า บูลล็อค คือขุมทรัพย์ของหนังตลก เธอทำได้ดีและดูเป็นธรรมชาติเสมอในหนังแนวนี้ ที่พิสูจน์ด้วยหนังฮิตจากหลากยุคอย่าง While You Were Sleeping, Miss Congeniality, The Proposal และ Ocean's 8 แม้เธอจะเวียนไปแสดงหนังแนวอื่นมากมาย แต่ผู้ชมมักเรียกหาบูลล็อคในหนังตลกเสมอ เช่นเดียวกับผลงานล่าสุด The Lost City ในยุคที่หนังทำเงินมีแต่หนังรีเมกหรือภาคต่อ หนังออริจินัลที่นำแสดงโดยเธอ กลับสามารถทำเงินทะลุหลัก 80 ล้านเหรียญฯในอเมริกาไปได้แล้ว ไม่ธรรมดาจริงๆ โดยเรื่องนี้เธอได้จับมือกับ แชนนิ่ง เททั่ม อีกหนึ่งนักแสดงที่คล้ายกับบูลล็อค คือแวะเวียนไปเล่นหนังทุกแนว แต่สไตล์ที่แฟนๆ ตกหลุมรักเขามากๆ คือตลกเช่นกัน พิสูจน์ด้วยรายได้ของ 21 Jump Street และ She's The Man หนังที่แจ้งเกิดเขา

แซนดร้า บูลล็อค รับบทลอเร็ตต้า นักเขียนหญิงที่หมดแรงบันดาลใจในการเขียนหนังสือต่อ แม้นิยายแนวประวัติศาสตร์โรแมนซ์ของเธอจะขายดีเป็นเทน้ำเทท่า แต่เธอก็ไม่มีกะจิตกะใจในการเดินทางทัวร์โปรโมตหนังสือ เพราะส่วนหนึ่งเพราะต้องเจอกับ อลัน นายแบบหน้าปกหนังสือของเธอ ที่อินกับตัวละครพระเอกดั่งเขียนมาจากชีวิตเขา แต่แล้วเธอกลับตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย เมื่ออบิเกล (รับบทโดย แดเนียล แรดคลิฟฟ์ จาก Harry Potter) มหาเศรษฐี จับตัวเธอไป เพราะต้องการตามหาสมบัติที่ซ่อนอยู่ในเมืองสาบสูญ และทางเดียวที่จะไขปริศนาได้ คือการใช้ทักษะอ่านภาษาโบราณของลอเร็ตตา เมื่อเธอถูกจับตัวไปยังเกาะห่างไกลในมหาสมุทร อลันจึงทำทุกทางเพื่อไปช่วยเธอ เพื่อให้เขาได้เป็นมากกว่านายแบบหน้าปก ได้เป็นพระเอกในชีวิตจริง !

The Lost City ไม่ใช่หนังที่มีความใหม่อะไรมากนัก หนังผจญภัยในป่า ที่มีกลิ่นอายผสมระหว่าง แอ็กชัน โรแมนติก คอเมดี้ มีมาทุกสมัย ที่พีกมากๆ และภาพหนังดูใกล้เคียง ก็คือ Romancing The Stone ในปี 1984 แต่ The Lost City คือหนังที่มาถูกที่ถูกเวลา หลังจากแซนดร้า บูลล็อค ห่างหายจากหนังตลกไปนานถึง 4 ปี ส่วน แชนนิ่ง เททั่ม ว่างเว้นจากหนังตลกไปเกือบ 5 ปี นี่จึงกลายเป็นหนังที่คอหนังตลกต้องการโดยไม่รู้ตัว คุณอาจจะไม่ได้รู้สึกก่อนหน้านี้ว่าอะไรขาดหายไป แต่พอไปดู กลับรู้สึกถึงความสนุกแบบที่คุ้นเคย ที่เหมือนกับว่าไม่ได้ดูมาซักพักใหญ่แล้ว นี่คือโปรเจกต์ที่เหมาะมากกับทั้ง บูลล็อค และ เททั่ม พวกเขาต่างเป็นธรรมชาติมากๆในหนังเรื่องนี้ เช่นเดียวกับเคมีของทั้งคู่ ที่เปรียบเหมือนขุมทรัพย์ และเป็นสิ่งสำคัญที่ขับเคลื่อนหนังให้สนุกได้จริงๆ

โดยรวม The Lost City มีส่วนผสมระหว่างหนังแอ็กชันและตลกที่กำลังดี สถานการณ์แบบตกกระไดพลอยโจนกลางป่าลึกในเกาะที่ห่างไกล ทำให้หนังสร้างสถานการณ์สนุกๆได้มากมาย บวกกับคาแร็คเตอร์ของตัวละครที่ไม่ได้สายบู๊ทั้งคู่อยู่แล้ว หนังใช้ประโยคในการสร้างเหตุการณ์เหมาะๆได้อย่างไม่เสียดายพล็อต นอกจากนี้หนังยังเต็มไปด้วยมุกบ้าบอรายทาง ซึ่งก็ไม่ได้ปล่อยทิ้งขว้าง มีความตลกอยู่ตลอด รวมถึงไฮไลต์พิเศษ นั่นคือ นักแสดงรับเชิญอย่าง แบรด พิตต์ ที่ค่ายหนังไม่อยากเก็บไว้เซอร์ไพรส โปรโมตแบบเต็มแม็กไปเลย ก็แว้บมาสร้างสีสันได้อย่างกำลังดี แต่ก็ไม่ได้ขโมยซีนของพระนางด้วย

ปัญหาเล็กน้อยของ The Lost City อาจจะเป็นการเลือกให้ แดเนียล แรดคลิฟฟ์ มารับบทตัวร้ายของเรื่อง ซึ่งมีปัญหาในหลายๆด้าน ประการแรกคือคือผู้ชมจำนวนไม่น้อยไม่สามารถสลัดภาพเขาจากบทแฮร์รี่ พ็อตเตอร์ได้ เมื่อแรดคลิฟฟ์ ร้ายก็ดูแปลกดีแต่ยังไม่น่าเชื่อเท่าไหร่นัก อีกทั้งอายุที่อาจจะห่างจากทั้ง บูลล็อคและเททั่ม ทำให้เขาดูเป็นตัวร้ายที่ไม่ได้น่าเกรงขามนัก ความกล้ามใหญ่ของเททั่มดูจะเอาชนะได้แบบง่ายๆด้วย ตัวละครนี้เลยดูไม่หนักแน่นพอไปอย่างน่าเสียดาย แต่โดย The Lost City ถือเป็นหนังสนุกที่เพลิดเพลินตั้งแต่ต้นจนจบ ที่คอหนังแอ็กชันคอเมดี้น่าจะถูกใจได้ไม่ยาก


(ให้ 8 คะแนนจากคะแนนเต็ม 10 คะแนน)

related HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] “Everything Everywhere All At Once” ตะลุยมัลติเวิร์สแบบสุดจัดในทุกทาง | GOSSIP GUN

11 พ.ค. 2022

[REVIEW] “Everything Everywhere All At Once” ตะลุยมัลติเวิร์สแบบสุดจัดในทุกทาง | GOSSIP GUN

ไม่รู้ว่าจะด้วยความบังเอิญหรืออะไร ทำให้คนไทยมีหนังเล่าถึงมัลติเวิร์ส หรือ พหุภพ ในโรงภาพยนตร์ถึง2เรื่อง จากค่ายที่สร้างจักรวาลหนังซูเปอร์ฮีโร่ได้ยิ่งใหญ่สุดอย่างMarvelและค่ายหนังอินดี้ที่พิสูจน์ตัวเองในฐานะหนังดี หนังแปลก หนังลองของอย่างA24กับผลงานอย่างEverything Everywhere All At Onceที่สร้างกระแสปากต่อปากในอเมริกาอย่างต่อเนื่องตลอดเดือนที่ผ่านมา นอกจากคะแนนบวกจากนักวิจารณ์ที่ตรึงคะแนน96%ในRotten Tomatoesหนังค่อยๆ เพิ่มจำนวนโรงฉาย จนล่าสุดในสัปดาห์นี้ ไต่ขึ้นมาเป็นหนังทำเงินอันดับ2แล้ว(แน่นอนว่าอันดับ1คือDoctor Strange In The Multiverse of Madness)และหนังกำลังค่อยๆ เก็บรายได้ จนกลายเป็นว่าที่หนังทำเงินสูงสุดตลอดกาลในอเมริกาของค่ายA24แน่นอนว่ามันต้องมีดีอะไร ไม่เช่นนั้น ไม่มาไกลถึงเบอร์นี้ มิเชลล์ โหย่ว ที่รับบทอันหลากหลายตลอดชีวิตในวงการของเธอ ในเรื่องนี้เธอรับบทเป็นหญิงชาวจีนที่ชีวิตแสนจะธรรมดาที่สุด“เอเวอลีน”เธอทิ้งพ่อแม่จากเมืองจีน หนีตามคนรักมาอยู่อเมริกา และทำธุรกิจร้านซักรีดอบผ้าไปด้วยกัน แต่ชีวิตปีแล้วปีเล่ากลับไม่มีอะไร ลูกสาวที่เป็นเกย์ก็ขัดใจเธอเหลือ และเจ้าหน้าที่สรรพากรก็ตรวจสอบกิจการของเธอแบบกัดไม่ปล่อย ชีวิตของเอเวอลีนคงไม่มีอะไรหวือหวาไปกว่านี้แล้ว จนกระทั่ง เธอได้เจอสามีของเธอที่มาจากจักรวาลอื่น เขาบอกว่ามัลติเวิร์สกำลังล่มสลายด้วยภัยอันตรายเกินกว่าใครที่จะหยุดได้ มีเพียง เอเวอลีน เท่านั้น ที่ต้องดึงพลังของตัวเองในจักรวาลอื่นมาต่อสู้ ซือเจ๊ธรรมดากำลังจะกลายเป็นความหวังเดียวของพหุภพแห่งนี้ นอกจากคาแรคเตอร์ที่แสนจะธรรมดา (ในช่วงแรก)ของ มิเชลล์ โหย่ว ไม่มีอะไรที่ธรรมดาในหนังเรื่องนี้Everything Everywhere All At Onceคือหนังที่สุดจัดในทุกทาง ถ้าใช้ศัพท์ฝรั่งมาอธิบาย มักจะบอกว่าBlow Your Mindคือดูแล้วสติแตกไปเลย เพราะมันเต็มไปด้วยไอเดียครีเอทีฟที่แสนจะประหลาดเกินกว่าผู้ชมจะคาดคิด ว่าหนังเรื่องหนึ่งมันจะสามารถไปสุดได้ถึงเบอร์นี้ นับตั้งแต่นาทีที่ประตูมัลติเวิร์สในหนังถูกเปิดออก ก็เหมือนกับผู้สร้างได้พรั่งพรูไอเดียสุดบ้าคลั่งมากมายออกมา ที่หลายอย่างดูแปลกประหลาด ดูบ้าบอกว่าที่เราจะคาดคิด ซึ่งความWeirdของหนังตรงนี้ ทำให้ผู้ชมขำออกมาหลายช่วงมาก กลายเป็นหนังประสบความสำเร็จในการสร้างความบันเทิงได้อย่างยอดเยี่ยม แต่สิ่งที่เกินคาดมากไปกว่า ความน่าตื่นตาของไอเดียการนำเสนอมัลติเวิร์สแล้ว คือประเด็นหลักของหนัง ที่จับใจผู้ชม มีความลึกซึ้ง บางฉากถึงขั้นบ้าบอไปด้วยแต่ก็ส่งMessageที่กินใจผู้ชมเข้ามาได้อย่างไม่ขัดเขิน กลายเป็นอารมณ์ที่แปลกกว่าหนังทั่วไป ไม่น่าเชื่อว่าหนังเพี้ยนๆ ใส่ไอเดียเพ้อๆ จะสามารถลึกซึ้งไปได้พร้อมๆ กัน เวลาเดียวกับที่เราหัวเราะไปกับหนัง หนังก็สามารถทำให้เราไม่หยุดคิดถึงแก่นของหนังได้ ซึ่งมันแข็งแรงและบีบหัวใจมากๆ ต้องขอบคุณความปราณีตในการเขียนบท และการตัดต่อที่ลื่นไหล รับส่งอารมณ์ได้อย่างลงตัว เป็นหนังที่นำเสนอได้อย่างแพรวพราวแต่ก็กลมกล่อมมากๆ ในขณะเดียวกัน สิ่งที่ชอบมากๆ ของEverything Everywhere All At Onceคือการที่หนังเล่าถึงจักรวาลที่กว้างใหญ่มากๆ โลกของมัลติเวิร์ส แต่ในขณะเดียวกัน ฉากหลังของมันส่วนใหญ่กลับอยู่แค่ตึกสรรพากร ภาพรวมอันใหญ่โตของหนัง เกิดขึ้นในสถานที่เล็กๆ แค่นิดเดียว เช่นเดียวกับประเด็นของหนังที่เล่าไปถึงตั้งแต่ สัจธรรมของจักรวาลที่เราเป็นเพียงมนุษย์ตัวเล็กๆ ในความกว้างใหญ่ไพศาลที่ไม่มีขอบเขตที่สิ้นสุด ไปจนถึงประเด็นเล็กๆ ตั้งแต่ตัวเราเอง การรับมือกับจิตใจของเรา ครอบครัวของเรา ช่องว่างระหว่างวัยที่เกิดขึ้นระหว่างคนแต่ละรุ่น วัฒนธรรมของโลกตะวันออกและตะวันตก หนังจับประเด็นอันหลากหลายใส่ไว้ในหนังเพียงเรื่องเดียว ซึ่งน่าจะกระแทกใจผู้ชมด้วยประเด็นที่ต่างกันไป แล้วแต่แบคกราวน์ชีวิตของแต่ละคน โดยรวมEverything Everywhere All At Onceคือประสบการณ์การดูหนังที่แปลกใหม่และน่าตื่นเต้นสุดเรื่องนึงของปีนี้ หนังมีคุณค่าของภาพยนตร์ครบแทบทุกประการ แถมยังสดุดีหนังเก่าๆ อีกเพียบ(ถ้าคุณชอบดูหนัง อาจจะสังเกตเห็นว่าหลายฉากแอบแซว แอบกล่าวถึงหนังบางเรื่อง)ทั้งหมดทั้งมวลถูกถ่ายทอดโดยการแสดงอันยอดเยี่ยมแบบยกทีม ไม่ใช่แค่ มิเชลล์ โหย่วเท่านั้น แต่นี่คืองานกลุ่มที่ควรค่าแก่การได้รับคำชมเชยแบบทั้งเซ็ต นี่คือหนังที่รวมเอาหลายๆGenreไว้ในเรื่องเดียว มันทั้งแอ็กชัน มันทั้งตลก มันทั้งโรแมนติก มันทั้งดราม่าบีบอารมณ์ มันทั้งซึ้งกินใจEverything Everywhere All At Onceคือความกล้าที่จะแปลกของA24ซึ่งทำออกมาได้ลงตัว หนังเรื่องนี้อาจจะไม่ใช่สำหรับทุกคน แต่ควรค่าแก่การลอง(ให้9คะแนนจากคะแนนเต็ม10คะแนน)

[REVIEW] ‘M3GAN’ หนังหุ่นสยองยุคใหม่ ทันสมัยและแสบอย่างร้ายกาจ | GOSSIP GUN

12 ม.ค. 2023

[REVIEW] ‘M3GAN’ หนังหุ่นสยองยุคใหม่ ทันสมัยและแสบอย่างร้ายกาจ | GOSSIP GUN

ขึ้นแท่นหนังเปิดปี 2023 ที่ปังเกินคาดสำหรับ M3GAN หนังสยองขวัญผสมอารมณ์ตลกร้าย ผลงานการจับมือกันสร้างของสองโปรดิวเซอร์หนัง Horrorแห่งยุค อย่าง เจสัน บลัม แห่งค่าย Blumhouse ที่โด่งดังจากหนังตระกูล Paranormal Activity, The Purge จนมาถึงยุคหลังๆอย่าง Get Out, Happy Death Day และ Halloween ผนึกกำลังกับ เจมส์ วาน ผู้ให้กำเนิดหนังอย่าง Insidious และจักรวาล The Conjuring นั่นเอง ดังนั้นการมาเจอกันครั้งนี้ จึงต้องไม่ธรรมดา โดยล่าสุดจากทุนสร้างเพียง 12 ล้านเหรียญฯ หนัง M3GAN กวาดรายได้ทั่วโลกผ่านหลัก 50 ล้านไปแล้ว และดูเหมือนจะผ่าน 100 ล้านได้แบบง่ายๆอีกด้วย เพราะกระแสปากต่อปากในแง่บวกที่บอกต่อความสนุก ความแสบของหนัง ซึ่งไม่เพียงแค่ถูกใจคนดู แต่นักวิจารณ์ยังเทคะแนนบวกให้ จนล่าสุดคว้าคะแนนบวกสูงถึง 94%จาก Rotten Tomatoes ซึ่งพบได้ไม่มากนักในหนังแนวสยองขวัญM3GAN เล่าเรื่องราวของ เจมม่า (รับบทโดย แอลิสัน วิลเลี่ยมส์ จาก Get Out) นักวิจัยพัฒนาในบริษัทของเล่นยักษ์ใหญ่ ในขณะที่หุ่นตุ๊กตารุ่นล่าสุดของบริษัทกำลังขายดีเป็นเทน้ำเทท่า เธอก็กำลังสร้างสิ่งที่เหนือยิ่งกว่า คือหุ่นตุ๊กตาเมแกน ที่ภายนอกดูเหมือนเด็กผู้หญิงจริงๆ และภายในบรรจุสมองแบบ AI เอาไว้ ทำให้มันสามารถตอบโต้ได้ไม่ต่างจากมนุษย์ บวกกับการที่เมแกนสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆได้ ทำให้มันค่อยๆฉลาดขึ้น ซึ่งในหนัง เจมม่า ได้นำเมแกนตัวทดลองมาทดสอบกับหลานสาวของเธอ ที่เพิ่งสูญเสียพ่อและแม่ไป ในตอนแรกทุกอย่างก็ดูเหมือนจะไปด้วยดี เมแกนหลายเป็นเพื่อนสนิทคนใหม่ของหลาน แต่เพราะความผูกพันและปัญญาที่ฉลาดขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เมแกนเริ่มไม่ฟังคำสั่งใคร นำไปสู่เหตุการณ์ชวนสยอง มากกว่าใครจะคาดคิดจริงๆเส้นเรื่องหลักของ M3GAN ก็ไม่ได้แปลกประหลาดอะไร หลายครั้งที่ฮอลลีวูดเล่าถึงสิ่งที่ดูไม่มีพิษมีภัย แต่ท้ายที่สุดกลับเป็นฝันร้ายของคนที่เจอ แต่สิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้ ประสบความสำเร็จนั้น คงหนีไม่พ้นบทที่ค่อนข้างลงตัว M3GAN มีการผสมผสานกลิ่นอายของความเป็นหนังสยองขวัญ และอารมณ์ขันได้อย่างพอดิบพอดี หนังใช้เวลาพอสมควรในการค่อยๆบิลด์เส้นเรื่อง ค่อยๆปูความไม่น่าไว้วางใจให้กับตัวละครเมแกน คล้ายๆกับหนังที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์หลายเรื่องที่ค่อยๆทรยศมนุษย์ จนนำไปสู่พาร์ทสยองที่ชวนขนลุกอยู่ไม่น้อย M3GAN จึงมีกลิ่นอายในแบบ Child's Play ผสมกับ The Terminator บวกด้วยอารมณ์ขัน ที่ทั้งแสบสันต์และร้ายกาจ กลายเป็นรสชาติเฉพาะทางที่สร้างความบันเทิงให้กับผู้ชมเป็นอย่างดีไฮไลต์สำคัญของหนัง คือการดีไซน์คาแรคเตอร์ เมแกน ออกมาให้ชวนขนลุก ทั้งรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูอย่างไรก็ชวนไม่น่าไว้วางใจ และพฤติกรรมของเธอ ที่อำมหิตและคาดเดาไม่ได้ โดยการที่ เมแกนเป็น AI ที่ชาญฉลาด ทำให้หนังสามารถหยิบกับเทคโนโลยีต่างๆ มาเล่นกับเมแกนได้อย่างแพรวพราว มีลูกล่อลูกชนที่ไม่ธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นการแปลงเสียง การเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆ สร้างความขนลุกยิ่งกว่าเจอผีเสียอีก แต่แอบน่าเสียดายอยู่เล็กน้อย ที่ผู้สร้างตัดสินใจเดินหน้ากับเรต PG-13 (เด็กอายุต่ำกว่า 13 ต้องเข้าชมพร้อมกับผู้ปกครอง) ไม่ใช่ เรต R ทำให้หลายฉากในหนังต้องยั้งความโหดเอาไว้ ไม่ได้เลือดสาดสยองกระจายในแบบที่หนังเรตR ทำได้ หลายซีนเลยดูเหมือนอาจจะยังไปไม่สุด หรือไม่สะใจผู้ชมเท่าที่ควรโดยรวม M3GAN ถือเป็นหนังสยองขวัญสายบันเทิงอย่างแท้จริง นอกจากบรรยากาศที่ชวนขนลุกและไม่น่าไว้วางใจตลอดเวลาแล้ว หนังยังผสมอารมณ์ขันตลกร้ายไว้อย่างร้ายกาจ นอกจากนี้หนังยังชี้ให้เห็นถึง ประเด็นสังคมที่สำคัญของคนยุคใหม่ ที่ผู้ปกครองหลายท่านฝากลูกหลานไว้กับเทคโนโลยี ไม่ได้เลี้ยงดูหรือให้เวลากับเขาอย่างเต็มที่ หนังเรีื่องนี้อาจจะทำให้ผู้ปกครองทบทวนความคิดและหันมาดูแลบุตรหลานมากขึ้น หนังสะท้อนให้เห็นถึงระยะห่างที่ทั้ง คุณน้าคุณหลานมีเมื่อเมแกนเข้ามาแทรกกลาง กลายเป็นปมในใจที่ยิ่งปล่อยทิ้งไว้อาจจะสายเกินแก้ก็เป็นได้ นอกจากความสนุกของหนังแล้ว M3GAN ยังแฝงประเด็นเหล่านี้ไว้ให้ขบคิดอีกด้วยชมตัวอย่าง M3GAN (เมแกน) วันนี้ในโรงภาพยนตร์เท่านั้นภาพ : UIP Thailand

[REVIEW] ‘Black Panther : Wakanda Forever’ ภาคต่อที่ยิ่งใหญ่และบีบหัวใจขั้นสุด จุดเปราะบางของวากานด้า | GOSSIP GUN

09 พ.ย. 2022

[REVIEW] ‘Black Panther : Wakanda Forever’ ภาคต่อที่ยิ่งใหญ่และบีบหัวใจขั้นสุด จุดเปราะบางของวากานด้า | GOSSIP GUN

สิ้นสุดการรอคอยแล้ว สำหรับหนึ่งในหนังภาคต่อจากจักรวาลมาร์เวลที่แฟนๆทั่วโลกรอคอยมากที่สุดอย่าง Black Panther : Wakanda Forever ซึ่งแบกภาระอันหนักอึ้งไว้หลายๆอย่างด้วยกัน ตั้งแต่นาทีแรกที่ Black Panther ประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลาย หน้าที่ของหนังเรื่องนี้คือการเป็นภาคต่อของหนึ่งในหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่ฮิตสุดและได้รับคำชมมากที่สุดตลอดกาล เพียงเท่านี้ก็เป็นหน้าที่อันหนักหนาสาหัส และแบกความหวังของแฟนๆไว้มากพออยู่แล้ว แต่สถานการณ์ทุกอย่างเปลี่ยนไป เมื่อข่าวร้ายของ แชดวิก บอสแมน เดินทางมาถึง ในวันที่เขาจากโลกไปก่อนวัยอันควร ไม่เพียงแค่โลกสูญเสียแชดวิกเท่านั้น แต่วากานด้าก็ได้สูญเสียผู้นำของเขาเช่นกัน อีกหน้าที่ที่กลายเป็นบทบาทสำคัญของ Wakanda Forever คือการไว้อาลัยแด่นักแสดงผู้เป็นที่รัก แต่ในขณะเดียวกันผู้สร้างก็มีหน้าที่สานต่อเรื่องราว ทำให้ Black Panther คือแฟรนไชส์ที่แข็งแกร่งต่อไป ในวันที่ไม่มีแชดวิก ในวันที่ไม่มีทีชัลล่า พวกเขาต้องไปต่อให้ได้ และในวันนี้ โลกก็ได้รับคำตอบแล้วว่า พวกเขาทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม.Wakanda Forever เล่าถึงช่วงเวลาที่ประเทศวากานด้าสูญเสียกษัตริย์ทีชัลล่าไปอย่างไม่มีวันกลับ เช่นเดียวกับ แบล็กแพนเตอร์ที่อาจจะไม่มีอีกแล้ว ด้วยเหตุผลบางประการ เจ้าหญิงชูริ ยังคงทำใจไม่ได้กับการจากไปของพี่ชาย ในขณะที่มารดาอย่าง รามอนด้า ต้องเข้มแข็งให้ถึงที่สุด เพราะเธอต้องขึ้นทำหน้าที่ราชินีปกครองวากานด้าต่อ เธอจึงไม่สามารถอ่อนแอได้ แต่ในขณะที่ประเทศของพวกเธอกำลังเปราะบาง วากานด้ากลับต้องเผชิญกับภัยจากภายนอกที่อันตรายที่สุดเท่าที่พวกเขาเคยเผชิญมา จาก เนย์มอร์ ผู้นำอาณาจักรลึกลับใต้น้ำ ที่เผยตัวเองต่อโลกภายนอกเป็นครั้งแรกเพราะปมบางอย่าง ที่เกี่ยวข้องกับวากานด้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และนี่คือพล็อตบางส่วนเท่านั้นที่พอจะเล่าได้จาก Black Panther : Wakanda Forever ที่เหลือคือสิ่งที่ผู้ชมจะได้สัมผัสเองในโรงภาพยนตร์.คำที่จะสามารถอธิบายความเป็น Wakanda Forever ได้อย่างดีที่สุด คือคำว่า "เอพิก" นี่คือหนังแห่งความยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง ทั้งในแง่ของพล็อตและสเกลของเรื่อง แม้โดยรวมหนังอาจจะไม่ได้ลงตัวเทียบเท่า Black Panther ภาคแรก แต่มันก็ทวีคูณในหลายๆส่วน ทั้งพาร์ทของโปรดักชั่น รวมไปถึงอารมณ์ร่วมของผู้ชม ที่กล้าพูดได้อย่างเต็มปากว่าภาคนี้ เต็มไปด้วยฉากบีบหัวใจตลอดแทบทั้งเรื่อง เริ่มจากในพาร์ทของการไว้อาลัย แม้ในเรื่องจะเป็นการกล่าวถึงการจากไปของทีชัลล่า แต่ต้องยอมรับว่า มันคือการสื่ออารมณ์รำลึกถึง แชดวิกเช่นเดียวกัน หนังทำหน้าที่ตรงนี้ได้อย่างดีเยี่ยม และพยายามใช้เวลาพอสมควร ก่อนที่จะมูฟสู่พล็อตหลักของภาคนี้ ปมที่นำไปสู่สงคราม ซึ่งพาร์ทนี้เองหนังค่อยๆบิลด์ความตึงเครียดได้อย่างดีเยี่ยม แกนหลักของหนังคือ การที่ตัวละครหลักต้องพยายามเข้มแข็งให้ได้ในยามที่พวกเขาเปราะบางมากที่สุด การเยียวยาจิตใจเพื่อนำไปสู่ความแข็งแกร่งของวากานด้า ปมหลักตรงนี้เองที่แทบจะบีบหัวใจผู้ชมตลอดทั้งเรื่องสองนักแสดงหลักที่สำคัญมากๆของ Wakanda Forever คือ เลททิเรีย ไรท์ ในบทชูริ นอกจากเราจะเห็นเธอเติบโตจากภาคแรกแล้ว เราจะค่อยๆเห็นพัฒนาการของตัวละครนี้ตลอดทั้งเรื่อง ในวันที่เธอไม่ใช่แค่น้องของกษัตริย์อีกต่อไป ในวันที่เธอคือทายาทเพียงคนเดียวของวากานด้า เลททิเรียทำหน้าที่ได้อย่างน่าชื่นชมในการค่อยๆก้าวขึ้นมาเป็นนักแสดงนำของ Black Panther ในขณะที่ แองเจล่า บาสเซ็ตต์ กับบทควีน มีหลายฉากที่เธอแสดงได้อย่างชวนขนลุก ทำเอาไม่สามารถละสายตาจากจอได้อย่าง ทั้งแววตาและน้ำเสียง ของหญิงที่ต้องเข้มแข็งในจุดที่เธอสูญเสียแทบจะทุกสิ่ง แต่คนที่ไม่มีใครกลืนได้ลงคือ ตัวละครเนมอร์ ตัวร้ายหลักประจำภาคนี้ ที่ทำให้ผู้ชมสัมผัสได้ว่า วากานด้ากำลังเจอกับภัยที่อันตรายขั้นสุดแล้ว ได้เจอกับศัตรูที่สมน้ำสมเนื้อ ยิ่งวากานด้าอยู่ในจุดที่เปราะบาง ภัยรุกรานครั้งนี้คืออันตรายกว่าครั้งไหนๆ ซึ่ง เทนอช เฮอร์ตา นักแสดงชาวเม็กซิกัน สวมบทบาทนี้ได้อย่างดีเยี่ยมในแง่ของงานสร้าง สิ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือสเกลของฉากแอ็กชันที่ยกระดับความใหญ่โตเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะฉากสงครามในช่วงครึ่งหลัง ที่ทั้งใหญ่และตึงเครียด ถ้าจะมีข้อติบ้างน่าจะเป็นช่วงแรกที่หนังเล่าเหตุการณ์ในช่วงเวลากลางคืนเยอะ ทำให้ฉากแอ็กชันหลายซีนค่อนข้างมืด ยิ่งชมในระบบสามมิติยิ่งปรับสายตายาก ส่วนอีกหนึ่งไฮไลต์ที่ไม่เอ่ยถึงไม่ได้ และเป็นเอกลักษณ์สำคัญของ Black Panther ตั้งแต่ภาคแรกคือเพลงประกอบและดนตรีประกอบที่ยังคงไม่ทำให้ผิดหวัง ยกระดับความเท่ และเพิ่มความคูลให้กับแฟรนไชส์นี้ได้อย่างมากเลยทีเดียว โดยรวม Black Panther : Wakanda Forever จึงเป็นหนึ่งในหนังที่สำคัญมากๆในจักรวาลมาร์เวล และในขณะเดียวกันก็เป็นหนึ่งในหนังที่ผลลัพภ์ดีเยี่ยมเรื่องหนึ่งในเฟส 4 ถ้ามีโอกาสอยากให้ลองชมในระบบ IMAX3Dซึ่งเพิ่มความยิ่งใหญ่ เสริมอรรถรสในการชมได้อย่างดีเลยทีเดียวชมตัวอย่าง Black Panther : Wakanda Forever วันนี้ในโรงภาพยนตร์ภาพ : Marvel Thailand

[Exclusive Interview] “Kill Boksoon” คุณแม่ยอดนักฆ่า ในหนังเกาหลีฟอร์มเดือด| GOSSIP GUN

30 มี.ค. 2023

[Exclusive Interview] “Kill Boksoon” คุณแม่ยอดนักฆ่า ในหนังเกาหลีฟอร์มเดือด| GOSSIP GUN

“ฉันจะไม่เล่นหนังแอ็กชันอีกแล้ว ไม่รู้ว่าในอนาคตจะเปลี่ยนใจหรือเปล่านะ แต่สำหรับตอนนี้ฉันพอก่อนสำหรับฉากแอ็กชัน”- มากกว่า 30 ปีในการทำงาน นักแสดงตัวแม่แห่งเกาหลี “จอนโดยอน” แทบไม่เคยแสดงในหนังแอ็กชันมาก่อน นับตั้งแต่เธอประกาศศักดา เป็นชาวเกาหลีคนแรกที่ ชนะรางวัลนักแสดงนำยอดเยี่ยมจาก เทศกาลหนังเมืองคานส์ ด้วยผลงานอย่าง Secret Sunshine (2007) ผู้สร้างหนังมักหยิบยื่นบทในโทนที่ค่อนข้างดาร์กให้กับเธอมาโดยตลอด จอนโดยอน ในวัย 50 ปี กำลังมองหาเส้นทางใหม่ๆให้กับตัวเอง เธออยากจะก้าวออกจากเซฟโซนด้วยผลงานการแสดงใน Genre อื่นๆ ในปี 2023เธอพิสูจน์ความเป็นนักแสดงคุณภาพที่สามารถแสดงได้หลากหลายทาง ในซีรีส์โรแมนติกเบาสมอง “Crash Course in Romance” ที่ทุบสถิติเรตติ้ง ติด Top10 ซีรีส์เกาหลีที่ยอดผู้ชมมากที่สุดตลอดกาลในช่องเคเบิ้ล และยังไม่ทันพ้นไตรมาสแรก เธอขอพิสูจน์ฝีมือในบทบาทสุดท้าทายอีกครั้งในภาพยนตร์เรื่อง “Kill Boksoon” ภาพยนตร์แอ็กชันดุเดือดที่ผสมผสานเข้ากับอารมณ์ตลกร้าย นี่คือหนังที่เธอพร้อมจะประกาศศักดาอีกครั้ง ว่า จอนโดยอน คือตัวจริงที่จัดเต็มได้ในหนังหรือซีรีส์ทุกรูปแบบ“ฉันไม่คิดว่า Kill Boksoon จะออกฉายเร็วขนาดนี้ เพราะว่าผู้ชมยังติดภาพฉันจาก Crash Course in Romance อยู่เลย ถึงขั้นมีคนแซวว่า นัมแฮงซอน มีชีวิต 2 ด้านหรือเปล่านะ” - จอนโดยอน เผยถึง 2 ผลงานล่าสุดของเธอ ที่ออกฉายต่อเนื่องทางNetflix ซึ่งมีจุดเชื่อมโยงเหมือนเดิม คือ ฐานะของความเป็น “แม่” ใน Crash Course in Romance เธอรับบท นัมแฮงซอน อดีตนักกีฬาทีมชาติ ที่มาเปิดร้านอาหารเครื่องเคียง เธอคือคุณน้าที่ต้องดูแลหลานคนเดียว หลังจากแม่ของเธอทิ้งไป แม้เธอจะไม่ได้เป็นแม่ที่ให้กำเนิด แต่เธอก็ดูแลหลานคนนี้เหมือนลูกแท้ๆ ส่วนใน Kill Boksoon เธอรับบทเป็น กิลบกซุน นักฆ่าตัวแม่ที่ทุกคนในวงการให้การยอมรับ แต่กลับเผชิญการตัดสินใจอันยากลำบาก เมื่อลูกสาวเริ่มเติบโตเป็นวัยรุ่น เธอจึงคิดจะวางมือเพื่อไปทำหน้าที่ คุณแม่แบบ Full Time แต่ทุกอย่างไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะแวดวงนักฆ่า ใช่ว่าใครจะวางมือกันไปง่ายๆKill Boksoon คือผลงานหนังแอ็กชันเรื่องแรกของ “จอนโดยอน” งานใหม่ที่เธอตอบรับโปรเจกต์ เพราะต้องการออกจากเซฟโซน เธอถึงขั้นพูดคุยกับผู้กำกับ “บยอนซองฮยอน” ก่อนที่โครงเรื่องจะถูกพัฒนาด้วยซ้ำ ทั้งสองเริ่มพูดคุยกัน ด้วยไอเดียที่ว่า เธออยากแสดงในหนังแอ็กชัน จนในที่สุดโปรเจกต์นี้ ก็กลายเป็นจริง พร้อมทัพนักแสดงระดับคุณภาพชุดใหญ่ เริ่มจาก “ซอลคยองกู” ที่เคยร่วมงานกับผู้กำกับคนนี้มาแล้วจาก The Merciless และ Kingmaker เขารับบทมินคยู ซีอีโอ ของบริษัท เอ็มเค องค์กรนักฆ่ายักษ์ใหญ่ที่บกซุนสังกัด นอกจากจะเป็นเจ้านายแล้ว เขาคือผู้มีพระคุณ เป็นอาจารย์ที่มอบโอกาสให้บกซุน ตั้งแต่เธอยังเด็ก นอกจากนี้หนังยังได้ “อีซม” นางแบบนักแสดงชื่อดัง นางเอกจากซีรีส์ Taxi Driver ซีซั่นแรกในบท มินฮี น้องสาวของมินคยู ผู้บริหารใหญ่ขององค์กรนักฆ่าที่ไม่ถูกชะตากับ บกซุน เพราะพี่ชายให้ความสำคัญกับบกซุนมากกว่า แม้เธอจะเป็นน้องแท้ๆก็ตามและ “คูคโยฮวาน” นักแสดงที่พิสูจน์ฝีมือมาแล้วจากซีรีส์ D.P. และหนังฟอร์มยักษ์ Escape From Mogadishu มาในบทของ ฮีซอง นักฆ่าที่ถูกขับไล่ออกจากองค์กร ที่มีปมบางอย่างกับบกซุนแอบแฝงอยู่เมื่อกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา Netflix ได้จัดงานแถลงข่าวเปิดตัวภาพยนตร์ Kill Boksoon ไปแล้วในเกาหลีใต้ ซึ่งนอกจากผู้สื่อข่าวในเกาหลีจะได้เข้าร่วมงานแล้ว เหล่า Influencer สายหนังและซีรีส์จากทั่วทั้งเอเชีย ก็ได้ร่วมงานดังกล่าวผ่านช่องทางออนไลน์อีกด้วย และในโอกาสพิเศษนี้เอง ทาง Hollywood GossipGun ก็ได้เข้าร่วมสัมภาษณ์ ผู้กำกับ บยอนซองฮยอน และทีมนักแสดงนำ ทั้ง จอนโดยอน, ซอลคยองกู และอีซม โดยทั้ง 4 คนได้เผยแง่มุมที่น่าสนใจเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องนี้แบบ Exclusive เริ่มจาก จอนโดยอน ที่ทุ่มเทกับหนังเรื่องนี้อย่างสุดพลัง จนเธอเผยว่า เธอจะไม่เล่นหนังแอ็กชันอีกแล้ว แต่ไม่รู้ว่าในอนาคตจะเปลี่ยนใจหรือเปล่า แต่สำหรับตอนนี้เธอขอพอก่อน (อย่างที่กล่าวไปในตอนต้น)- จุดเริ่มต้นของ ผู้กำกับ บยอนซองฮยอน และจอนโดยอน -“ผมไม่แน่ใจว่าพวกคุณจะรู้จักมั้ยนะ แต่ซีรีส์ดราม่าเรื่อง “Our Paradise (1992-1993)” คือผลงานที่ทำให้ผมกลายเป็นแฟนของ จอนโดยอน” - ผู้กำกับ บยอนซองฮยอน เล่าถึงความทรงจำ ครั้งแรกที่เขาได้ดูผลงานการแสดงของเธอและกลายเป็นแฟนการแสดงของ จอนโดยอน นับจากนั้น ต่อเนื่องมาถึง The Contact ภาพยนตร์เรื่องแรกที่จอนโดยอน รับบทนำ - “ผมเป็นแฟนคลับของ ฮันซอกคยู (พระเอก Shiri) อยู่แล้ว ณ ตอนนั้น แล้วพอ จอนโดยอน มาแสดงนำประกบกับเขา ผมเลยยิ่งอึ้งกับการแสดงของเธอไปด้วย”ผู้กำกับ บยอนซองฮยอน เล่าว่า เดิมทีเขาไม่รู้จักกับ จอนโดยอน เป็นการส่วนตัว แต่ซอลคยองกู นักแสดงที่เขาเคยร่วมงานมาแล้วถึง 2 ครั้ง กำลังถ่ายหนังเรื่อง Birthday (2019) กับจอนโดยอนอยู่ คยองกูเลยโทรมาตามให้ไปพบกับเธอ เพราะคยองกูรู้ว่า ผู้กำกับบยอนเป็นแฟนคลับของ จอนโดยอนอยู่แล้ว - “คยองกูแนะนำให้ผมได้รู้จักกับ โดยอนในตอนนั้น มีอยู่วันนึง โดยอนโทรมาหาผม และแสดงความสนใจว่าอยากจะร่วมงานกัน ผมเลยคิดอยู่นานว่าหนังประเภทไหนที่เหมาะกับการร่วมงานกับเธอ เพราะเธอแสดงในหนังชั้นเยี่ยมมามากมาย ซึ่งบทส่วนใหญ่ทั้งดาร์กและมืดมน ผมไม่อยากลงไปต่อสู้กับหนังกลุ่มนั้น ซึ่งล้วนแต่เป็นหนังชั้นดี ผมอยากจะทำหนังที่เข้าถึงผู้ชมง่ายๆ นั่นคือเหตุผลที่ผมตัดสินใจว่า เราจะทำหนังแอ็กชันกัน”บยอนซองฮยอน เล่าต่อว่า หลังจากเขาตัดสินใจจะทำหนังแอ็กชัน เขาเลยนัดคุยกับโดยอน และเล่าถึงไอเดียทั้งหมด เขาเล่าถึงไอเดียว่า - “ผมรู้สึกว่า จอนโดยอนในเวอร์ชั่นคุณแม่ กับ จอนโดยอนในเวอร์ชั่นนักแสดง เป็นสองคนที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง เมื่อลองนึกถึงหน้าที่ของการเลี้ยงดูเด็กขึ้นมาซักคน และหน้าที่ของนักฆ่าที่ต้องสังหารผู้คน เพียงแค่ผมลองแทนที่ชีวิตของเธอ จากการแสดงเป็นการฆ่าคน มันดูขัดแย้งและน่าสนใจมากๆ และนั่นแหละครับ เป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง”- จากนักแสดงสายรางวัล สู่ผลงานหนังแอ็กชัน -“ฉันอยากจะลองดู อันที่จริงแล้วฉันอยากลองแสดงหนังในหลายๆแนวดู แต่โอกาสไม่ได้มีง่ายๆ ดังนั้น ฉันเลยมีความสุขมากๆ ตอนที่ บยอนซองฮยอน มาเสนอโปรเจกต์หนังแอ็กชันกับฉัน” - จอนโดยอน เล่าถึงจุดเริ่มต้นของ Kill Boksoon เธอเล่าว่า นี่เป็นครั้งแรกตลอดชีวิตการทำงานเลย ที่เธอตัดสินใจลุยกับโปรเจกต์หนังเรื่องใดเรื่องหนึ่ง โดยที่ไม่ได้อ่านโครงเรื่องด้วยซ้ำ เธอบอกว่า เธอแฮปปี้กับโอกาสในครั้งนี้มาก เลยตอบตกลงแสดงในแบบทันที“ฉันฝึกซ้อมร่างกายนานถึง 4 เดือนเต็ม” - จอนโดยอน เล่าต่อถึงการเตรียมตัวเพื่อรับบทนำในหนังแอ็กชันเป็นครั้งแรก เธอเผยว่าโดยส่วนตัวแล้วไม่อยากใช้นักแสดงสตันท์เลยด้วยซ้ำ อยากจะเล่นฉากบู๊ทั้งหมดด้วยตัวเอง แต่มันเป็นไปไม่ได้ เพราะบางฉากก็อันตรายเกินไป - “ฉันไม่รู้ว่า มันคือคำที่ใช่หรือเปล่าที่จะอธิบายนะ แต่ตัวละครบกซุนก็มีความอะลุ้มอล่วยในบางครั้ง ดังนั้น ตัวฉันเองก็คงต้องทำเช่นนั้น ฉันคิดว่า มันเป็นทางที่ดีที่สุด ที่จะได้แสดงถึงเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดของตัวละคร บนหน้าจอ” - จอนโดยอน เผยว่า เธอใช้เวลาคุยกับผู้กำกับนานมากเพื่อตัดสินใจ ยอมให้ใช้นักแสดงแทนในบางฉาก เธอถึงขั้นขอเวลาผู้กำกับเพิ่ม เพื่อที่จะได้ฝึกฝนร่างกายและฝึึกซ้อมการต่อสู้ เพื่อที่เธอจะสามารถแสดงได้เองในทุกๆฉาก- หน้าที่ของการเป็นแม่ และหน้าที่การงาน -จอนโดยอน เล่าว่า ณ จุดเริ่มต้นที่เธอต้องเตรียมตัวสำหรับบทบกซุน เธอคิดว่าบทนี้มันคงไม่ได้ยากอะไรนักหรอก เพราะเธอมีจุดที่เหมือนกับตัวละครบกซุนหลายจุดเลย - “เราต่างเป็นคุณแม่ และต่างก็มีหน้าที่การงานที่ต้องทำ สิ่งที่ต่างอย่างชัดเจน มีเพียงแค่หน้าที่ของงานที่เราต้องทำ ฉันรู้สึกสบายใจ ถึงขั้นใส่ความเป็นตัวเองเข้าไปในตัวละครบกซุนพอสมควร ฉันว่าส่วนที่ยากที่สุดคงหนีไม่พ้น ฉากแอ็กชัน”แน่นอนว่า Kill Boksoon ไม่ใช่แค่หนังแอ็กชันที่มีแต่ฉากแอ็กชัน แต่ยังมีเรื่องราวของความเป็นแม่ แม้กระทั่ง เรื่องความรักในรูปแบบคนรัก จอนโดยอน บอกว่าเธอจึงต้องพยายามเกลี่ยน้ำหนักให้กับบทให้เหมาะสม เธอเผยว่าเธอคุยเรื่องการเกลี่ยความสำคัญในบทนี้ กับผู้กำกับบยอนบ่อยมาก และเมื่อเทียบกับผลงานเรื่องก่อนๆ เธอมักรับบทแม่ที่ดูใกล้เคียงกับความเป็นแม่ในฝัน แต่คราวนี้ สำหรับบทบกซุน ดูจะเป็นแม่ที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากกว่า จากประสบการณ์ที่เธอเป็นแม่ในชีวิตจริง“ในชีวิตคนเราไม่มีอะไรที่ได้มาอย่างง่ายดายหรอก แต่ฉันคิดว่าหน้าที่การทำงาน น่าจะง่ายกว่าการเลี้ยงลูกนะ เพราะฉันยังพอสามารถควบคุมการงานได้ แต่เมื่อพูดถึงการเลี้ยงเด็กซักคนนั้น หลายอย่างมันเหนือการควบคุมจริงๆ” - จอนโดยอนกล่าวว่า การเลี้ยงลูกนั้น บางอย่างมันก็ไม่มีทางเลือก ต้องยอมรับในสิ่งที่เป็น เธอเลยจริงว่า ระหว่างหน้าที่การงานกับการเลี้ยงลูก อย่างแรกง่ายกว่าเยอะ”- ดรีมทีมแห่งหนังเข้ม ซอลคยองกู และผู้กำกับบยอนซองฮยอน -“นี่เป็นครั้งที่ 3 แล้วนะ ที่ผมได้เล่นหนังของ บยอนซองฮยอน” - ซอลคยองกู นักแสดงตัวพ่อของวงการ ที่รับบทประธานใหญ่ขององค์กรนักฆ่า กล่าวถึงการกลับมาร่วมงานกับผู้กำกับ บยอนอีกครั้ง หลังจากเคยร่วมงานกันมาแล้วใน The Merciless และ Kingmaker - “มันไม่มีเหตุผลที่ผมต้องปฏิเสธนิ ผมแทบจะกลายเป็นแฟนหนังของเขาไปแล้ว ผมชอบเวลาทำงานกับเขาและทีมงานทุกคน นับตั้งแต่ The Merciless พวกเราเป็นทีมเดียวกันมาโดยตลอด และมาทำงานด้วยกันอีกครั้งใน Kill Boksoonผมเลยรู้สึกสบายใจที่มีทีมเวิร์คที่ดี” - ซอลคยองกู กล่าวถึงสาเหตุที่เขาแทบจะไม่ลังเลเพื่อรับบทนี้เลย เขากล่าวต่อว่า นี่คือการร่วมงานกันครั้งที่ 3 และก็มีงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับพวกเรา เขาแทบไม่ต้องคิดเลยว่า จะรับหรือไม่รับเล่นเรื่องนี้“ตอนแรกผมไม่ถามซอลคยองกูด้วยนะ ว่าเขาอยากเล่นไหม” - ผู้กำกับบยอน เล่าถึงเหตุการณ์ก่อนจะเริ่มต้นโปรเจกต์ เขาเล่าว่า เขาแค่โทรไปหาซอลคยองกู แล้วอีกฝ่ายพูดถึงมาว่า นายมีไอเดียหนังใหม่แล้วใช่มั้ยละ ผู้กำกับเลยตอบไปว่าใช่ ซอลคยองกูเลยบอกว่า งั้นเจอกันในอีก 2 วัน และยังไม่ทันที่ผู้กำกับจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับหนัง เขาก็ตอบรับแสดงในทันที โดยบทนี้ เขาแสดงเป็นมินคยู ประธานใหญ่ของ บริษัท เอ็มเค องค์กรนักฆ่าอันทรงอิทธิพลในหมู่นักฆ่าด้วยกันเอง เขาเป็นคนกำหนดกฏเกณฑ์ และหลักปฏิบัติ ว่าเป็นนักฆ่าต้องทำเช่นไร ซอลคยองกู เล่าถึงตัวละครนี้ว่า - “เขาเปรียบเสมือนพระเจ้า เขาเป็นคนออกกฏ ทุกคนต้องทำตาม แต่กลับมีข้อยกเว้นเดียว และข้อยกเว้นนั้นคือ กิลบกซุน และเขาต้องการให้เธออยู่เคียงข้างเขา เป็นมือขวาตลอดเวลา ดังนั้นเมื่อบกซุนเริ่มลังเลที่จะไม่ต่อสัญญา เขาจึงต้องทำทุกทางเพื่อให้เธอไม่ไปไหน”คยองกูเล่าต่อว่า มินคยูนั้น เจอบกซุนตั้งแต่สมัยที่เธออายุเพียง 17 ปี และกลายเป็นอาจารย์ของเธอเริ่มตั้งแต่ตอนนั้น - “มินคยูเป็นคนที่แข็งแกร่งมาก แต่เมื่อเป็นเรื่องของบกซุน เขาใจอ่อนเสมอ บางจุดก็เหมือนอารมณ์รักเขาข้างเดียว” - คยองกูเผยว่า แม้ว่าหนังเรื่องนี้จะเป็นหนังแอ็กชัน และอัดแน่นด้วยฉากต่อสู้ตลอดเวลา แต่สำหรับเขามันเหมือนหนังโรแมนซ์มากกว่า ยิ่งกับบุกซุนเขามีความรู้สึกหลงใหลเธอ มากกว่าอยากจะต่อสู้ด้วย- อีซม แค่ได้ประกบตัวแม่ ก็ไม่มีข้อแม้อะไรอีกแล้ว -“ฉันรักธีมที่เกี่ยวกับนักฆ่าหญิงมากเลย” - อีซม นักแสดงตัวแม่รุ่นใหม่ กล่าวถึงสาเหตุที่เธอตัดสินใจรับแสดงในหนังเรื่องนี้ นอกจากธีมที่ทำให้เธอสนใจแล้ว สาเหตุสำคัญคือการได้ร่วมงานกับทั้งผู้กำกับและนักแสดงที่เธอให้การเคารพยกย่อง เธอกล่าวว่า ตัดสินใจรับแสดงใน Kill Boksoon ก่อนที่จะอ่านบทหนังเลยด้วยซ้ำ โดยในเรื่องนี้เธอรับบทเป็น มินฮี น้องสาวของมินคยู ตำแหน่งของเธอคือ Director ของบริษัท คอยดูแลให้ทุกอย่างเป็นไปในทางที่ควรจะเป็น - “ฉันชอบทิศทางของหนังมากๆ มันดูดิบ ดูจริง ในขณะเดียวกันฉันก็สนุกมากๆด้วยตอนถ่ายทำ ฉันคอยทำตามที่ผู้กำกับนำทางให้ แล้วปรากฏว่า ตัวละครนี้ มีอะไรที่คาดเดาไม่ได้เพียบเลย”“มันมีฉากที่มินฮี ต้องเอาเท้าดันหน้าของ พี่ชายอย่างมินคยูด้วย โดยปกติฉันมักจะไม่เกร็งเวลาถ่ายทำแต่เพราะฉันชื่นชมและยกย่อง คยองกูมากๆ ฉันเลยกังวลอย่างมากตอนที่ถ่ายทำฉากนี้” - อีซมเล่าถึงฉากของเธอกับพี่ชายที่ทำให้เธอแทบจะเล่นไม่ออก แต่ด้วยความเป็นมืออาชีพ อีซมเล่าต่อว่า คยองกูบอกให้เธอเตะหน้าเขาแรงๆได้เลย ทำมันซะ เธอรวบรวมความกล้าและแสดงฉากนั้น เธอเล่าว่า หลังจากถีบเสร็จ เท้าของเธอก็ทั้งสั่นและชาไปเลย- จากโซลสู่เบอร์ลิน จาก Netflix สู่หน้าจอผู้ชมทั่วโลก -Kill Boksoon คือหนังเกาหลีที่ดีกรีไม่ธรรมดา เพราะได้รับเลือกให้ฉายเปิดตัวในเทศกาลหนังนานาชาติเบอร์ลินมาแล้ว และกวาดคำชมกลับมามากมาย ผู้กำกับบยอนเผยว่า เขาค่อนข้างแปลกใจ และไม่นึกมาก่อนว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น เพราะเขาเชื่อว่า Kill Boksoon ไม่ใช่หนังประเภทที่จะได้ฉายตามเทศกาล โดยเฉพาะเทศกาลหนังใหญ่ๆอย่างเบอร์ลิน - “ตอนที่ผมได้ข่าวครั้งแรก ผมนึกถึงตอนที่ได้รับเลือกให้ไป เทศกาลหนังเมืองคานส์ สมัยหนังเรื่อง The Merciless มันเป็นความรู้สึกแปลกใจ และไม่คาดคิดมาก่อน นี่ถือเป็นเกียรติมากสำหรับผมและทีมงานทุกคน ที่ได้รับเชิญให้ไปยังเบอร์ลิน”ในขณะที่ จอนโดยอน ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับเทศกาลหนังระดับโลก หลังจากเธอเคยคว้ารางวัลนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม จาก เทศกาลหนังเมืองคานส์มาได้แล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้รับเชิญให้ไปเบอร์บิน - “ก่อนจะไป ฉันสงสัยมากเลยว่า Kill Boksoon จะเป็นหนังที่ผู้ชมในเทศกาลจะรักได้จริงหรอ แต่เมื่อฉันได้นั่งดูหนังพร้อมๆกับทุกคนในงาน ทุกอย่างมันเหลือเชื่อจริงๆ เมื่อได้กระแสตอบรับที่ท่วมท้นชมตัวอย่าง Kill Boksoon สตรีมพร้อมกัน 31 มีนาคมใน Netflixภาพ : Netflix Thailand

album

0
0.8
1