[REVIEW] “Fantastic Beasts : The Secrets of Dumbledore” หรือนี่คือหนังรัก ในคราบของหนังพ่อมดโลกเวทมนตร์ | GOSSIP GUN

HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] “Fantastic Beasts : The Secrets of Dumbledore” หรือนี่คือหนังรัก ในคราบของหนังพ่อมดโลกเวทมนตร์ | GOSSIP GUN

14 เม.ย. 2022

ไม่แน่ใจว่านี่คือหนังเวทมนตร์หรือหนังต้องคำสาปกันแน่ เพราะภาคใหม่ของหนังตระกูล Fantastic Beasts ที่เปรียบเสมือนภาคก่อนหน้าของ Harry Potter ใช้เวลานานถึง 4 ปีในการเดินทางมาขึ้นจอใหญ่ ซึ่งโดยปกติแล้วหนังใหญ่ระดับนี้สตูดิโอมักไม่เว้นช่วงห่างนัก ส่วนสำคัญอาจเป็นเพราะกระแสตอบรับของภาคก่อนอย่าง The Crimes of Grindelwald ที่ทำรายได้น้อยที่สุดในเหล่าบรรดาจักรวาลพ่อมดทั้งหมด แถมยังได้รับคำวิจารณ์ในแง่ลบเยอะที่สุดด้วย ถ้าจะให้แฟรนไชส์นี้ไปต่อได้(สามารถสร้างได้ถึง 5 ภาคแบบที่ เจ.เค.โรว์ลิ่ง บอกไว้) วอร์เนอร์ต้องใช้เวลาพอสมควรในการพัฒนาบทให้ออกมาดีที่สุด แต่กระนั้นถึงเวลาหนังจะพร้อมถ่ายทำแล้ว กลับเจอหลายปัญหา ทั้งการเปลี่ยนนักแสดงที่รับบท กรินเดลวัลด์ จาก จอห์นนี เด็ปป์ เป็น แมดส์ มิคเคลสัน รวมถึงโควิด-19 ทำให้การถ่ายทำล่าช้าออกไป นี่ยังไม่รวมถึงดราม่าเกี่ยวกับ เจ.เค.โรว์ลิ่ง และสดๆร้อนๆกับ เอซร่า มิลเลอร์ ที่ทำให้ทางค่ายต้องแทบจะไม่พูดถึงทั้งคู่ในการโปรโมตหนัง

The Secrets of Dumbledore พาผู้ชมกลับสู่โลกแห่งเวทมนตร์อีกครั้ง ในช่วงเวลาปี ค.ศ.1932 ช่วงเวลาแห่งความตึงเครียดของโลกพ่อมด โดยเรื่องราวหลักในภาคนี้คือการหยุด กรินเดลวัลด์ พ่อมดผู้ฝักใฝ่ในอำนาจด้านมืด เขาหวังจะครองทั้งโลกมนุษย์และโลกแห่งเวทมนตร์ ศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์ (รับบทโดย จูด ลอว์) พยายามจะหยุดเขา จึงได้รวบรวมทีมพ่อมดและแม่มดที่เก่งกาจในด้านต่างๆ นำทีมโดย นิวท์ (รับบทโดย เอ็ดดี้ เรดเมย์น) นักสัตว์วิเศษ กับภารกิจเสี่ยงตายหยุดยั้งแผนการร้ายของกรินเดลวัลด์ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่มีการเลือกตั้งผู้นำของโลกเวทมนตร์คนใหม่ ที่อาจจะเอื้อประโยชน์กับพ่อมดฝ่ายชั่วก็เป็นอันได้

ถ้าความพยายามของวอร์เนอร์ คือการพัฒนาหนังชุดสัตว์มหัศจรรย์ให้ไปในทางบวกมากขึ้น The Secrets of Dumbledore ถือว่าประสบความสำเร็จ ในฐานะคอหนังที่ติดตามหนังชุด Harry Potter อยู่ห่างๆ ไม่ได้ศึกษาหรือดูซ้ำมากมายอะไรนัก หนังภาคนี้สามารถสร้างความบันเทิงให้กับผู้ชมได้อย่างดี หนังมาพร้อมกับพล็อตที่ไม่ได้สลับซับซ้อน แม้ว่าผู้ชมจะห่างหายจากภาคก่อนไปนานถึง 4 ปี ก็สามารถต่อเรื่องได้แบบทันที หนังยังคงมีฉากผจญภัยที่สนุกสนานสมกับความเป็นแฟนตาซีหลายฉาก รวมถึงมีสัตว์มหัศจรรย์ที่น่ารักน่าเอ็นดูมากมาย

แต่หัวใจจริงของ The Secrets of Dumbledore ดูเหมือนจะเป็นเรื่องความรัก ระหว่างดูไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหนังคลี่คลาย จะพบว่าหนังภาคนี้มีเส้นรักปรากฏเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นของตัวพระเอก ตัวเพื่อนสนิทพระเอก ตัวละครแวดล้อม ไปจนถึงปมใหญ่ระหว่างคู่เพื่อนรักเพื่อนแค้นอย่าง ดัมเบิลดอร์ และกรินเดลวัลด์ ที่เปรียบเหมือนแกนหลักของหนังภาคนี้ จูด ลอว์ และ แมดส์ มิคเคลสัน มีเคมีที่น่าสนใจมากทีเดียว หลายฉากที่ทั้งสองปรากฏตัวร่วมกันตั้งแต่ฉากแรกในหนังล้วนเป็นไฮไลต์ ซึ่ง แมดส์ เลือกที่จะถ่ายทอดบท กรินเดลวัลด์ ในแบบของเขา ซึ่งค่อนข้างฉีกต่างจากเวอร์ชั่น จอห์นนี เด็ปป์ ซึ่งนับเป็นทางเลือกที่ดี เพราะการเปรียบเทียบย่อมไม่ส่งผลดีต่อใคร การแสดงของเขา ทำให้กรินเดลวัลด์ทั้งสองแบบ ต่างมีเอกลักษณ์ในแบบตัวเอง ซึ่งชอบทั้งสองแบบจริงๆ

หนังภาคนี้เปิดเรื่องได้อย่างสนุก เล่าปมหลักได้น่าติดตาม กับภารกิจของแก๊งนิวท์ที่จะต้องหยุดกรินเดลวัลด์ เป็นพล็อตที่เปิดโอกาสให้หนังสร้างซีนต่างๆมากมาย แต่น่าเสียดายที่พอมาถึงช่วงคลายปมท้ายๆ ทุกอย่างแอบคลี่คลายง่ายเกินไป ต่างจากตอนต้นที่บิลด์เรื่องมาค่อนข้างซีเรียส แต่พอมาถึงบทสรุป กลับง่ายดายกว่าที่คิด แต่อย่างไรก็ตาม ช่วงท้ายนี่เองที่สำหรับผู้เขียนถือเป็นไฮไลต์ เพราะหนังพาผู้ชมในจักรวาล Harry Potter ออกสู่โลเคชั่นอื่น นอกจากยุโรปเป็นหลัก (และในอเมริกาบ้าง) หนังพาผู้ชมมาสู่โซนเอเชีย ซึ่งแปลกตาดีเหมือนกัน

โดยรวม The Secrets of Dumbledore ถือเป็นหนัง Fantastic Beasts ภาคที่ดูสนุก และมีหลากหลายอารมณ์ ค่อนข้างครบรสทีเดียว แม้มันจะยังมีข้อบกพร่องบ้าง ทั้งการคลายปมที่ง่ายดาย และความยาวที่หนังเองสามารถกระชับได้หลายๆฉาก และอีกจุดที่อาจจะทำให้แฟนๆสงสัย คือการที่หนังภาคนี้แทบจะคลายปมของ Fantastic Beasts ไปเกือบหมดแล้ว มันทำตัวเป็นเหมือนภาคจบ ทั้งๆที่แฟนๆรู้ดีว่า แผนการเดิมคือการสร้าง 5 ภาค เหมือนวอร์เนอร์ กำลังจะบอกว่า ถ้าภาคนี้ไม่ทำเงินตามที่พวกเขาคาดคิด Fantastic Beasts ก็มีภาคบทสรุปที่เกือบจะสมบูรณ์แล้วนะ แต่หนังก็ยังเปิดช่องไว้นิดๆ ว่า ถ้าแฟนๆกลับมาหนาแน่นเหมือนเดิม ก็ยังมีปมที่เราทิ้งไว้สำหรับภาค 4-5 เหมือนกัน กลายเป็นแทนที่หนังจะบิลด์หนักๆไปยังภาค 4 เหมือนทุกอย่างจะจบลงตรงนี้เลย


(ให้ 7 คะแนนจากคะแนนเต็ม 10 คะแนน)

related HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘The Super Mario Bros. Movie’ แอนิเมชั่นที่เต็มไปด้วย Nostalgia เหมือนไปเล่นสวนสนุก | GOSSIP GUN

11 เม.ย. 2023

[REVIEW] ‘The Super Mario Bros. Movie’ แอนิเมชั่นที่เต็มไปด้วย Nostalgia เหมือนไปเล่นสวนสนุก | GOSSIP GUN

ไม่มีใครไม่รู้จักเกม Mario นี่คือเกมที่ได้รับการขนานนามว่า เป็นวีดีโอเกมที่มียอดขายสูงสุดตลอดกาล จากต้นกำเนิดครั้งแรกเมื่อ 40 ปีก่อน Nintendo ได้พัฒนาเกมนี้ ออกมาอย่างหลากหลายรูปแบบหลายยุคหลายสมัย จาก 2D สู่แบบ 3D และมีการขยายลักษณะของเกมออกไปมากมายอย่างไม่จบสิ้น ซึ่งแน่นอนว่าเกมฮิตระดับนี้ ก็ต้องมีความพยายามจะนำมาสร้างเป็นหนัง ซึ่งความพยายามแรกเกิดขึ้นในปี 1993 กับการนำมาดัดแปลงเป็นหนังฉบับคนแสดง ซึ่งคว่ำไม่เป็นท่า ด้วยองค์ประกอบที่ดูประหลาดที่แตกต่างจากเกมอย่างสิ้นเชิง จนในที่สุดหนังที่คู่ควรสำหรับแฟนเกม Mario ก็มาถึง เมื่อ Nintendo ได้จับมือกับ Illumination สตูดิโอที่สร้างแอนิเมชั่นรายได้ถล่มทลายอย่าง Minions, The Secret Life of Pets และ Sing จากความถนัดในการทำหนังสนุกของค่ายหลังมาผนวกกับต้นฉบับมาริโอ้ของค่ายที่ให้กำเนิด ทำให้ The Super Mario Bros. Movie คือหนังเวอร์ชั่นที่ตอบโจทย์แฟนเกมที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในหนังแอนิเมชั่นฉบับนี้เล่าถึงสองพี่น้องนักซ่อมท่อ มาริโอ้ และลุยจิ (พากย์เสียงโดย คริส แพรตต์ และ ชาร์ลี เดย์) จากโลกมนุษย์ที่ดันหลุดเข้าไปในดินแดนมหัศจรรย์ผ่านท่อวิเศษ มาริโอ้หลุดเข้าไปในดินแดนเห็ด แต่สำหรับลุยจิ กลับหลงไปในดินแดนแห่งความมืดที่เต็มไปด้วยความอันตราย ซึ่งสถานที่แห่งนี้ถูกปกครองโดย บาวเซอร์ (พากย์เสียงโดย แจ็ค แบล็ค)ตัวร้ายสุดอำมหิตที่วางแผนจะถล่มทุกอาณาจักรรอบข้างและยึดครองให้เป็นของเขา หลังจากมาริโอ้พลัดพรากจากน้อง จึงไปขอความช่วยเหลือจากเจ้าหญิงพีช (พากย์เสียงโดย อันยา เทย์เลอร์-จอย) เธอจึงผนึกกำลังกับมาริโอ้ เพื่อบุกไปยังดินแดนแห่งความมืด โดยนอกจากจะช่วยเหลือลุยจิแล้ว ยังต้องปกป้องดินแดนเห็ดจากภัยรุกรานครั้งนี้อีกด้วยสำหรับผู้ใหญ่ที่ผ่านการเล่นเกมMario มาหลายยุคสมัย หนังเรื่องนี้เต็มไปด้วยความ Nostalgia นั่นคือการที่ความทรงจำในสมัยก่อน มันถูกดึงกลับมาให้รู้สึกอีกครั้งตลอดการดูหนังเรื่องนี้ เพราะ The Super Mario Bros. Movie อัดแน่นด้วยองค์ประกอบต่างๆจากเกม ที่หลายคนอาจจะลืมไปแล้ว หลายคนอาจจะคิดถึง ทั้งหมดมันถูกหยิบมาใส่ไว้ในหนัง ทำให้ผู้ชมจะได้รู้สึกย้อนวัยไปผจญภัยกับตัวละครเหล่านี้ โดยหนังเลือกที่จะเล่าหลายซีนให้เหมือนผู้ชมกำลังเล่นเกมไปด้วย ยิ่งเพิ่มความสนุกและเรียกความทรงจำเก่าๆกลับมาได้เพียบ และอีกพาร์ทที่ Nostalgia มากๆคือ Score หรือดนตรีประกอบ ซึ่งหยิบเอาทำนองจากในเกมมาทำใหม่ แล้วใส่ไว้ในฉากที่ตรงกับในเกม ยิ่งเพิ่มความรู้ใช่ระหว่างดูเข้าไปอีกการเข้าไปดู The Super Mario Bros. Movie ในอีกอารมณ์หนึ่งเหมือนผู้ชมกำลังเดินเข้าสู่สวนสนุกที่เรารู้ทันทีว่าความสนุก(โดยเฉพาะกับเด็กๆ) รออยู่มากมาย ไม่ว่าจะได้เจอกับเหล่าคาแรคเตอร์ที่พวกเราคิดถึง ได้เจอกับอาณาจักรต่างๆที่เต็มไปด้วยความตื่นตา เหมือนเรากำลังเดินเข้าไปใน Theme Park ต่างๆในสวนสนุก รวมถึงฉากแอ็กชันจำนวนมากที่ถูกออกแบบมาเหมือนเกม เหมือนผู้ชมกำลังอยู่ในฉากนั้นๆด้วย ยิ่งเหมือนว่าคนดูได้ขึ้นไปเล่นในเครื่องเล่นต่างๆ เพิ่มความสนุกให้กับหนังขึ้นไปอีก (ตรงจุดนี้เชื่อว่า การดูในระบบ 4DX น่าจะยิ่งเพิ่มอรรถรสได้มาก น่าจะเป็นหนังที่เหมาะกับระบบนี้จริงๆ)ในขณะที่เสียงพากย์นั้น แม้จะมีคำวิจารณ์ออกมาก่อนหน้านี้ เรื่องเอานักแสดงมาพากย์แล้วไม่เหมาะสมกับบท แต่ปรากฏว่า ทั้ง คริส แพรตต์, อันยา เทย์เลอร์-จอย และชาร์ลี เดย์ ต่างถ่ายทอดบท มาริโอ้ เจ้าหญิงพีช และลุยจิ ออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติมากๆ แต่ที่ขโมยทุกซีนไปเลยคือเสียงพากย์ของ แจ็ค แบล็คกับบทตัวร้ายหลักที่แสดงอารมณ์และเพิ่มความฮาผ่านเสียงได้อย่างหลากหลายรูปแบบมากๆ ยกให้เป็นที่สุดตัวตึงในทีมนักพากย์เลย นอกจากนี้อีกคนที่อยากกล่าวถึงมากๆ คือ เซธ โรแกน ในบทดองกี้คอง ที่รายนี้ก็ขโมยซีนหนักไปแพ้กัน – โดยรวมนั้น The Super Mario Bros. Movie เป็นหนังที่ตอบโจทย์แฟนเกมต่างๆ แต่สำหรับคนดูทั่วไปก็สามารถเอ็นจอยได้ แม้เส้นเรื่องจะไม่มีอะไรซับซ้อน แต่ฉากต่างๆล้วนสนุกและบันเทิง ถือเป็นแอนิเมชั่นอีกเรื่องที่ทำเงินทั่วโลกหนักแน่ๆชมตัวอย่าง The Super Mario Bros. Movie วันนี้ในโรงภาพยนตร์ภาพ : UIP Thailand

[REVIEW] ‘Hunger คนหิว เกมกระหาย’ หนังไทยสุดเชือดเฉือนของคนหิวอำนาจ ! | GOSSIP GUN

07 เม.ย. 2023

[REVIEW] ‘Hunger คนหิว เกมกระหาย’ หนังไทยสุดเชือดเฉือนของคนหิวอำนาจ ! | GOSSIP GUN

เตรียมจัดเข้ากลุ่มหนังไทยระดับท็อปแห่งปีแน่นอน สำหรับ 'Hunger คนหิวเกมกระหาย'หนังไทยเรื่องล่าสุดที่เป็นออริจินัลของ Netflix ที่พร้อมประกาศศักดาฉายพร้อมกันทั่วโลกสุดสัปดาห์นี้ ด้วยพล็อตที่เชือดเฉือน การแสดงสุดเข้มข้น และการชำแหละสังคมอย่างไม่ประนีประนอม นี่คือผลงานล่าสุดของ คงเดช จาตุรันต์รัศมี (จาก ตั้งวง, Where We Belong) ที่ลงมือเขียนบทและทำหน้าที่อำนวยการสร้าง พร้อมดึงผู้กำกับรุ่นใหม่มากฝีมืออย่าง สิทธิศิริ มงคลสิริ จาก แสงกระสือ มากำกับภาพยนตร์ เล่าถึง ออย (รับบทโดย ออกแบบ-ชุติมณฑน์) แม่ครัวสตรีทฟู้ดที่ถนัดทำอาหารประเภทผัด แต่ด้วยฝีมือและเซ้นต์ในการทำอาหารที่ไม่ธรรมดา ทำให้เธอได้รับการชักชวนให้เข้ามาร่วมงานกับ เชฟพอล (รับบทโดย ปีเตอร์-นพชัย) เชฟชื่อดังระดับประเทศ ที่โด่งดังจากการทำอาหารแบบ Fine Dining ซึ่งมีเฉพาะมหาเศรษฐีและบุคคลระดับวีไอพีเท่านั้น ที่จะได้ลิ้มรสอาหารของเขา และเมื่อออยก้าวเข้าสู่โลกของการทำอาหารในอีกขั้นนึง เมื่ออาหารไม่ใช่แค่สิ่งประทังชีวิต แต่เป็นสิ่งบ่งบอกสถานะทางชนชั้น ชีวิตของออยจึงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป..'Hunger คนหิวเกมกระหาย' คือหนังที่แม้ว่าหน้าหนังจะเล่าเหตุการณ์ในห้องครัว แต่อันที่จริงมันกลับพูดถึงเรื่องที่ใหญ่กว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นชนชั้นในสังคม สภาพอันน่ารังเกียจของคนกระหายอำนาจในโลกของการเมือง หนังพาผู้ชมไปดูสังคมจำลองในห้องครัวของเชฟพอล สถานที่ซึ่งคำว่าประชาธิปไตยไม่มีอยู่จริง ณ ที่แห่งนี้คืออำนาจเผด็จการล้วนๆ ทุกคนล้วนต้องทำตามคำสั่งของเขาอย่างเคร่งครัด และผลผลิตทุกจาน ล้วนถูกตอบแทนด้วยเงินมหาศาล อาหารชั้นเลิศที่ไม่มีเชฟคนในนอกจากเชฟพอล พอจะมีเงินจ่ายเพื่อรับประทานได้ หลังจากนั้นหนังค่อยๆขยายเรื่องราวให้กว้างขึ้นเรื่อยๆ พาผู้ชมเข้าไปสู่โลกของสังคมชั้นสูง ทั้งในแวดวงการเมือง และไฮโซ ผ่านมุมมองของออย เชฟสาวที่มาจากข้างถนน นี่คือหนังที่ถ่ายทอดประเด็นความแตกต่างทางชนชั้นได้อย่างชัดเจน และสื่อสารกับคนดูแบบไม่ประนีประนอม ไม่อ้อมค้อม แถมหลายฉากยังคล้ายคลึงกับเหตุการณ์จริงในหน้าข่าว จนระหว่างดูแอบอึ้งไปหลายจังหวะอยู่เหมือนกันนอกจากประเด็นและเส้นเรื่องอันเข้มข้นแล้ว นี่คือหนังไทยที่มาพร้อมกับคำว่า "คุณภาพ" ในแทบทุกองค์ประกอบ เริ่มจากงานสร้าง นี่คือหนังที่ภาพรวมสามารถกล่าวได้ว่าเป็นโปรดักชั่นระดับโลก ทุกฉากดูเนี้ยบ ไม่มีจุดไหนหนังของที่ดูเป็นงานCheap หรืองานลวกๆเลย ทุกอย่างถูกดีไซน์มาอย่างดี ทั้งการออกแบบงานสร้าง การบันทึกภาพ การตัดต่อ และอีกส่วนที่เสริมหนังขั้นสุด คือ ดนตรีประกอบ ที่ยิ่งฟังยิ่งขนลุก ยิ่งฟังแล้วยิ่งเร้าอารมณ์ และหลายท่อนถูกออกแบบมาให้เข้ากับหนังที่มีธีมเกี่ยวกับการทำอาหาร มีกลิ่นอายแบบเสียงเคาะของเครื่องครัว กลายเป็น Score ที่ทั้งเพิ่มอารมณ์ร่วมและสร้างเอกลักษณ์ให้กับหนังได้อย่างดีจริงๆและที่สำคัญที่สุด สิ่งที่ส่งให้ 'Hunger คนหิวเกมกระหาย' คือหนังต้องดูแห่งปี คือการแสดงของ ออกแบบ และพี่ปีเตอร์ ทุกฉาก (ย้ำว่า ทุกฉาก) ที่ทั้งสองคนปรากฏตัวร่วมกันบนจอ มันโคตรจะ Intense เต็มไปด้วยความตึงเครียด การส่งพลังการแสดงของทั้งคู่ เหมือนสงครามประสาทที่ทำเอาผู้ชมรู้สึกบีบอารมณ์ตามไปด้วย หรือแม้แต่ฉากเดี่ยวๆของทั้งคู่ ก็ยังยอดเยี่ยม ออกแบบ ทำให้ผู้ชมเข้าใจความรู้สึกอันซับซ้อนของตัวละคร ออย ได้ จากคนธรรมดาที่เริ่มเห็นภาพความเหลื่อมล้ำทางสังคม เหตุการณ์บางอย่างที่บีบบังคับให้เธอกระหายความเป็นคนพิเศษ จนถึงจุดที่เธอเริ่มเห็นว่า โลกของคนชั้นบนมันเป็นอย่างไร ออกแบบสามารถแสดงออกผ่านสีหน้าและอารมณ์ได้อย่างดี เธอสามารถตรึงคนดูให้อยู่กับตัวละคร ออย ได้ตลอดเวลาจริงๆ เสริมทัพด้วยการแสดงที่เป็นธรรมชาติสุดๆ ของทั้ง กรรณ สวัสดิวัตน์ ณ อยุธยา และ เอม ภูมิภัทร ยิ่งทำให้หนังสมบูรณ์แบบมากขึ้น(รายหลังนี่ ปรากฏตัวในหนังไทยเป็นเรื่องที่3ของปีนี้แล้ว ต่อจาก ขุนพันธ์ ๓ และ แสงกระสือ 2โดยรวม 'Hunger คนหิวเกมกระหาย'คือหนังไทยที่ทำให้คนดูยังศรัทธาและเชื่อมั่นว่า หนังไทยยังไปได้อีกไกล ยิ่งเรื่องนี้ลงใน Netflix และดูได้พร้อมกันกว่า 190 ประเทศทั่วโลก ยิ่งเป็นงานที่ไปฉายโชว์ให้คนข้างนอกดูได้อย่างน่าภูมิใจ (แต่ก็อับอายในประเด็นความเหลื่อมล้ำที่ชัดเจนเช่นกัน) แต่ก็น่าเสียดายที่จะไม่ได้ดูในโรงกัน เพราะงานโปรดักชั่นระดับนี้เหมาะกับการเข้าโรงมาก และถ้าเข้าโรงก็น่าจะกลายเป็นหนังตัวเต็งรางวัลในต้นปีหน้าได้แบบสบายๆ แต่ข้อดีของการดูผ่าน Netflix ที่บ้าน คือผู้ชมสามารถกด Pause เพื่อไปทำอาหารหรือสั่งอะไรมากินได้ เพราะหนังเรื่องนี้จะทำให้คุณน้ำลายไหลอย่างแน่นอน แม้แต่ข้าวผัดธรรมดาๆ หนังก็สามารถทำให้คนดูหิวได้ (อันนี้เรื่องจริงนะ เตรียมของกินรอไว้เลย)ชมตัวอย่าง Hunger คนหิวเกมกระหาย 8 เมษายนใน Netflix ทั่วโลกภาพ : Netflix Thailand

[REVIEW] ‘Black Panther : Wakanda Forever’ ภาคต่อที่ยิ่งใหญ่และบีบหัวใจขั้นสุด จุดเปราะบางของวากานด้า | GOSSIP GUN

09 พ.ย. 2022

[REVIEW] ‘Black Panther : Wakanda Forever’ ภาคต่อที่ยิ่งใหญ่และบีบหัวใจขั้นสุด จุดเปราะบางของวากานด้า | GOSSIP GUN

สิ้นสุดการรอคอยแล้ว สำหรับหนึ่งในหนังภาคต่อจากจักรวาลมาร์เวลที่แฟนๆทั่วโลกรอคอยมากที่สุดอย่าง Black Panther : Wakanda Forever ซึ่งแบกภาระอันหนักอึ้งไว้หลายๆอย่างด้วยกัน ตั้งแต่นาทีแรกที่ Black Panther ประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลาย หน้าที่ของหนังเรื่องนี้คือการเป็นภาคต่อของหนึ่งในหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่ฮิตสุดและได้รับคำชมมากที่สุดตลอดกาล เพียงเท่านี้ก็เป็นหน้าที่อันหนักหนาสาหัส และแบกความหวังของแฟนๆไว้มากพออยู่แล้ว แต่สถานการณ์ทุกอย่างเปลี่ยนไป เมื่อข่าวร้ายของ แชดวิก บอสแมน เดินทางมาถึง ในวันที่เขาจากโลกไปก่อนวัยอันควร ไม่เพียงแค่โลกสูญเสียแชดวิกเท่านั้น แต่วากานด้าก็ได้สูญเสียผู้นำของเขาเช่นกัน อีกหน้าที่ที่กลายเป็นบทบาทสำคัญของ Wakanda Forever คือการไว้อาลัยแด่นักแสดงผู้เป็นที่รัก แต่ในขณะเดียวกันผู้สร้างก็มีหน้าที่สานต่อเรื่องราว ทำให้ Black Panther คือแฟรนไชส์ที่แข็งแกร่งต่อไป ในวันที่ไม่มีแชดวิก ในวันที่ไม่มีทีชัลล่า พวกเขาต้องไปต่อให้ได้ และในวันนี้ โลกก็ได้รับคำตอบแล้วว่า พวกเขาทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม.Wakanda Forever เล่าถึงช่วงเวลาที่ประเทศวากานด้าสูญเสียกษัตริย์ทีชัลล่าไปอย่างไม่มีวันกลับ เช่นเดียวกับ แบล็กแพนเตอร์ที่อาจจะไม่มีอีกแล้ว ด้วยเหตุผลบางประการ เจ้าหญิงชูริ ยังคงทำใจไม่ได้กับการจากไปของพี่ชาย ในขณะที่มารดาอย่าง รามอนด้า ต้องเข้มแข็งให้ถึงที่สุด เพราะเธอต้องขึ้นทำหน้าที่ราชินีปกครองวากานด้าต่อ เธอจึงไม่สามารถอ่อนแอได้ แต่ในขณะที่ประเทศของพวกเธอกำลังเปราะบาง วากานด้ากลับต้องเผชิญกับภัยจากภายนอกที่อันตรายที่สุดเท่าที่พวกเขาเคยเผชิญมา จาก เนย์มอร์ ผู้นำอาณาจักรลึกลับใต้น้ำ ที่เผยตัวเองต่อโลกภายนอกเป็นครั้งแรกเพราะปมบางอย่าง ที่เกี่ยวข้องกับวากานด้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และนี่คือพล็อตบางส่วนเท่านั้นที่พอจะเล่าได้จาก Black Panther : Wakanda Forever ที่เหลือคือสิ่งที่ผู้ชมจะได้สัมผัสเองในโรงภาพยนตร์.คำที่จะสามารถอธิบายความเป็น Wakanda Forever ได้อย่างดีที่สุด คือคำว่า "เอพิก" นี่คือหนังแห่งความยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง ทั้งในแง่ของพล็อตและสเกลของเรื่อง แม้โดยรวมหนังอาจจะไม่ได้ลงตัวเทียบเท่า Black Panther ภาคแรก แต่มันก็ทวีคูณในหลายๆส่วน ทั้งพาร์ทของโปรดักชั่น รวมไปถึงอารมณ์ร่วมของผู้ชม ที่กล้าพูดได้อย่างเต็มปากว่าภาคนี้ เต็มไปด้วยฉากบีบหัวใจตลอดแทบทั้งเรื่อง เริ่มจากในพาร์ทของการไว้อาลัย แม้ในเรื่องจะเป็นการกล่าวถึงการจากไปของทีชัลล่า แต่ต้องยอมรับว่า มันคือการสื่ออารมณ์รำลึกถึง แชดวิกเช่นเดียวกัน หนังทำหน้าที่ตรงนี้ได้อย่างดีเยี่ยม และพยายามใช้เวลาพอสมควร ก่อนที่จะมูฟสู่พล็อตหลักของภาคนี้ ปมที่นำไปสู่สงคราม ซึ่งพาร์ทนี้เองหนังค่อยๆบิลด์ความตึงเครียดได้อย่างดีเยี่ยม แกนหลักของหนังคือ การที่ตัวละครหลักต้องพยายามเข้มแข็งให้ได้ในยามที่พวกเขาเปราะบางมากที่สุด การเยียวยาจิตใจเพื่อนำไปสู่ความแข็งแกร่งของวากานด้า ปมหลักตรงนี้เองที่แทบจะบีบหัวใจผู้ชมตลอดทั้งเรื่องสองนักแสดงหลักที่สำคัญมากๆของ Wakanda Forever คือ เลททิเรีย ไรท์ ในบทชูริ นอกจากเราจะเห็นเธอเติบโตจากภาคแรกแล้ว เราจะค่อยๆเห็นพัฒนาการของตัวละครนี้ตลอดทั้งเรื่อง ในวันที่เธอไม่ใช่แค่น้องของกษัตริย์อีกต่อไป ในวันที่เธอคือทายาทเพียงคนเดียวของวากานด้า เลททิเรียทำหน้าที่ได้อย่างน่าชื่นชมในการค่อยๆก้าวขึ้นมาเป็นนักแสดงนำของ Black Panther ในขณะที่ แองเจล่า บาสเซ็ตต์ กับบทควีน มีหลายฉากที่เธอแสดงได้อย่างชวนขนลุก ทำเอาไม่สามารถละสายตาจากจอได้อย่าง ทั้งแววตาและน้ำเสียง ของหญิงที่ต้องเข้มแข็งในจุดที่เธอสูญเสียแทบจะทุกสิ่ง แต่คนที่ไม่มีใครกลืนได้ลงคือ ตัวละครเนมอร์ ตัวร้ายหลักประจำภาคนี้ ที่ทำให้ผู้ชมสัมผัสได้ว่า วากานด้ากำลังเจอกับภัยที่อันตรายขั้นสุดแล้ว ได้เจอกับศัตรูที่สมน้ำสมเนื้อ ยิ่งวากานด้าอยู่ในจุดที่เปราะบาง ภัยรุกรานครั้งนี้คืออันตรายกว่าครั้งไหนๆ ซึ่ง เทนอช เฮอร์ตา นักแสดงชาวเม็กซิกัน สวมบทบาทนี้ได้อย่างดีเยี่ยมในแง่ของงานสร้าง สิ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือสเกลของฉากแอ็กชันที่ยกระดับความใหญ่โตเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะฉากสงครามในช่วงครึ่งหลัง ที่ทั้งใหญ่และตึงเครียด ถ้าจะมีข้อติบ้างน่าจะเป็นช่วงแรกที่หนังเล่าเหตุการณ์ในช่วงเวลากลางคืนเยอะ ทำให้ฉากแอ็กชันหลายซีนค่อนข้างมืด ยิ่งชมในระบบสามมิติยิ่งปรับสายตายาก ส่วนอีกหนึ่งไฮไลต์ที่ไม่เอ่ยถึงไม่ได้ และเป็นเอกลักษณ์สำคัญของ Black Panther ตั้งแต่ภาคแรกคือเพลงประกอบและดนตรีประกอบที่ยังคงไม่ทำให้ผิดหวัง ยกระดับความเท่ และเพิ่มความคูลให้กับแฟรนไชส์นี้ได้อย่างมากเลยทีเดียว โดยรวม Black Panther : Wakanda Forever จึงเป็นหนึ่งในหนังที่สำคัญมากๆในจักรวาลมาร์เวล และในขณะเดียวกันก็เป็นหนึ่งในหนังที่ผลลัพภ์ดีเยี่ยมเรื่องหนึ่งในเฟส 4 ถ้ามีโอกาสอยากให้ลองชมในระบบ IMAX3Dซึ่งเพิ่มความยิ่งใหญ่ เสริมอรรถรสในการชมได้อย่างดีเลยทีเดียวชมตัวอย่าง Black Panther : Wakanda Forever วันนี้ในโรงภาพยนตร์ภาพ : Marvel Thailand

[REVIEW] ‘บ้านเช่า บูชายัญ (Home For Rent)’ ผู้เช่าบ้านกับลัทธิสยอง หนังหลอนตั้งแต่ต้นจนจบ ! | GOSSIP GUN

05 เม.ย. 2023

[REVIEW] ‘บ้านเช่า บูชายัญ (Home For Rent)’ ผู้เช่าบ้านกับลัทธิสยอง หนังหลอนตั้งแต่ต้นจนจบ ! | GOSSIP GUN

เตรียมหลอนรับสงกรานต์กันได้เลย กับการกลับมาทำหนังสยองขวัญอีกครั้งของค่ายจีดีเอช กับ 'บ้านเช่า บูชายัญ' เพราะตั้งแต่ปล่อยชิ้นงานโปรโมตทั้งตัวอย่างและโปสเตอร์ออกมา ก็ได้รับเสียงตอบรับที่ค่อนข้างหลากหลาย (ตั้งแต่บวกสุดไปจนถึงลบสุดๆ) ทำให้หลายคนยังกังขาว่า หนังฉบับเต็มจะออกมาเป็นเช่นไร ซึ่งคอหนังสยองน่าจะพอโล่งใจได้ เพราะกระแสส่วนใหญ่ของรอบพรีเมียร์นั้น ค่อนข้างออกไปทางบวกเกือบหมด ใครที่เคยดูตัวอย่างแล้วยังลังเล ขอให้ลองไปพิสูจน์ในโรงกันดู เพราะสิ่งที่อยู่ในตัวอย่างนั้น เป็นเพียงเสี้ยวเดียวของหนังเท่านั้น เพราะหนังจริงๆ แทบจะไม่สามารถเล่าอะไรได้มากเลย เนื่องจากจะเป็นการสปอยล์ แต่สิ่งที่ผู้ชมจากรอบแรกเห็นตรงกันคือ นี่คือการกลับมาคืนฟอร์มของ จิม-โสภณ จาก ลัดดาแลนด์ ผู้กำกับที่มุ่งมั่นกับการสร้างหนังแนวนี้มาโดยตลอด แต่ก็มีเป๋ไปบ้างกับผลงาน 2 เรื่องล่าสุด หลายเสียงจึงเห็นตรงกันว่า นี่คือหนังสยองขวัญที่เวิร์คที่สุดของเขา นับจาก ลัดดาแลนด์บ้านเช่า บูชายัญ ได้นักแสดงระดับซูเปอร์สตาร์อย่าง เวียร์-ศุกลวัฒน์ และ มิว-นิษฐา มารับบทสามีภรรยา กวินและหนิง ที่อาศัยอยู่ในบ้านอันสงบสุขกับลูกสาววัย 7 ขวบ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ทำให้ทั้งคู่ต้องปล่อยบ้านหลังนี้ให้เช่า และผู้ที่สนใจเข้ามาเช่านั้น คือครอบครัวของ ราตรี (รับบทโดย ต่าย-เพ็ญพักตร์) แพทย์ที่เกษียณแล้ว ที่กำลังมองหาที่พักในกรุงเทพฯ เพื่ออยู่ใกล้ลูกสาว แต่ไม่นานหลังจากราตรีย้ายเข้ามาอยู่ เพื่อนบ้านเริ่มสังเกตเห็นถึงความผิดปกติมากมาย จากบ้านหลังนี้ ไม่ว่าจะเป็นตัวของราตรีที่แทบจะไม่ออกมาจากบ้านเลย สภาพของบ้านที่เริ่มเก่าและทรุดโทรม รวมถึงเสียงสวดประหลาดที่มักจะดังขึ้นทุกเช้ามืดเวลาตี 4 เกิดอะไรขึ้นกันแน่ในบ้านหลังนี้? และชีวิตของทุกคนกำลังจะตกอยู่ในอันตรายหรือไม่ (อย่างที่เกริ่นไป นี่เป็นเพียง 10% ของเส้นเรื่องเท่านั้น ที่เหลือต้องไปดูกันเอง)นี่คือหนังที่อาจจะกล่าวได้ว่า รีวิวยากมากเรื่องหนึ่ง เพราะหลายๆอย่างในหนังไม่สามารถบอกได้ มิฉะนั้นจะเป็นการสปอยล์ ไม่ใช่แค่เนื้อเรื่องด้วย แต่เป็นวิธีในการเล่าที่ทำให้หนังยิ่งน่าติดตามมากขึ้น แต่สิ่งที่พอบอกได้ และเป็นจุดที่ทำให้ชอบมากๆ คือ การดำเนินเรื่องที่ค่อนข้างไว (และเมื่อดูไปเรื่อยๆ จะเข้าใจเหตุผลว่า ทำไมถึงต้องเล่าไวในช่วงครึ่งแรก) หนังแทบจะไม่เสียเวลาอ้อยอิ่งอะไรเลย ตั้งแต่วินาทีที่หนังเริ่ม หนังพาผู้ชมเข้าเรื่องทันที และพอหนังเดินเรื่องไว ฉากสยองจึงมาไวเช่นกัน โดยเฉพาะในองก์แรกที่จัดเต็มฉากหลอนมาแบบต่อๆกัน จนแทบไม่ให้พักเลย หนังสามารถรักษาบรรยากาศความหวาดผวาไว้ได้ดี บวกกับปมหลัก โดยเฉพาะตัวละคร หนิง ของ มิว-นิษฐา ที่ต้องเผชิญกับความกดดันขีดสุด ทำให้ความรู้สึกของคนดู ผนวกกันทั้งความน่ากลัวและความกดดันไฮไลต์สำคัญที่ทำให้ บ้านเช่า บูชายัญ น่าติดตามเป็นอย่างมาก คือวิธีการเล่าเรื่อง ที่เล่นกับมุมมอง ทำให้ภาพรวมของหนังเป็นเหมือนจิ๊กซอว์ที่ค่อยๆปะติดปะต่อเรื่อง จนกว่าจะเป็นภาพรวมออกมา สำหรับในองก์แรก หนังเล่นกับอารมณ์ความไม่รู้เป็นหลัก หนังเลือกที่จะแหย่คนดูให้รู้เห็นเหตุการณ์ทีละนิด ทีละหน่อย ไม่ต่างกับตัวละครนำ ที่ยังคงสับสนว่าสิ่งที่พวกเขากำลังจะต้องเผชิญคืออะไรกันแน่ ซึ่งเป็นพาร์ทที่น่าลุ้นน่าติดตามมาก ก่อนที่จะเข้าสู่องก์ที่ 2-3 ซึ่งเมื่อเรื่องดำเนินไปเรื่อยๆ ผู้ชมเริ่มเห็นสิ่งต่างๆมากขึ้นเรื่อยๆ จากอารมณ์ความหลอนเพราะไม่รู้ ก็เริ่มปรับเปลี่ยนเป็นหลอน เพราะสิ่งที่รู้มันน่ากลัว น่าหวาดผวาแทนแน่นอนว่า อีกไฮไลต์สำคัญ คือการแสดงของ 3 นักแสดงหลักของเรื่อง ซึ่งหนังเปิดโอกาสให้แต่ละคนได้โชว์การแสดงในมุมของตัวเองพอสมควร เริ่มจาก มิว ที่รับบทหญิงที่ต้องเผชิญกับความกลัวขีดสุด ความไม่มั่นคงใดๆในชีวิต และพร้อมทำทุกทางให้กับลูกสาว หลายฉากผู้ชมสัมผัสได้จริงๆว่าตัวละครนี้ กลัวมากๆ เพราะเธอแทบจะไม่มีอะไรยึดมั่นได้เลย ในขณะที่ เวียร์ ถ่ายทอดบทสามีที่ค่อนข้างซับซ้อนได้ดีทีเดียว และเมื่อเส้นเรื่องดำเนินไป หลายฉากต้องแสดงอารมณ์ที่ทั้งซับซ้อนและสับสนค่อนข้างเยอะมาก ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะถ่ายทอด ปิดท้ายด้วย พี่ต่าย กับบทคุณราตรี ตัวละครที่เต็มไปด้วยปริศนา และดูน่าหวาดผวาจากภายนอก ซึ่งเพียงแค่สีหน้าของพี่ต่ายนั้น แค่ยืนเฉยๆก็สร้างความหวาดกลัวให้กับคนดูได้มากแล้วโดยรวม 'บ้านเช่า บูชายัญ' ถือเป็นหนังสยองขวัญของคนไทย ที่ไม่ธรรมดาเลย มีอะไรที่หนังซ่่อนเอาไว้ ยังไม่บอกผู้ชมอีกเพียบ เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งตัดสินจากสิ่งที่เห็นบางส่วนเท่านั้น เชื่อว่าหลายคนหลังดูจบ จะเกิดความหวาดระแวงเมื่อออกจากโรงหนังอย่างแน่นอน เพราะหลังจากดูจบ แค่ลองมองบ้านธรรมดาๆ ก็รู้สึกถึงความน่ากลัวได้แล้ว แค่เห็นหน้าต่างที่ม่านปิดอยู่ เสียงนกร้องในตอนกลางคืน เสียงน้ำหยดในบ้าน หรือแม้แต่ เมื่อถึงเวลาตี 4 ถ้าใครนอนไม่หลับ แล้วเพิ่งดูหนังเรื่องนี้มา ต้องมีหลอนกันบ้างอย่างแน่นอน นี่คือหนังสยองขวัญอีกเรื่อง ที่ิบิลด์ความน่ากลัวได้เก่ง และมีวิธีการเล่าที่น่าติดตามมากจริงๆ.\ชมตัวอย่าง 'บ้านเช่า บูชายัญ' เข้าฉาย 6 เมษายนในโรงภาพยนตร์ภาพ : GDH

album

0
0.8
1