“กับลูก เราเล่นกันแบบเป็นเพื่อน แต่สอนแบบพ่อแม่ เราเลี้ยงลูกโดยเน้นเหตุผล และพยายามคุยกับเขาเหมือนเขาเป็นผู้ใหญ่ตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง เราจะอธิบายให้เข้าใจว่าทำไมสิ่งนี้ถึงทำได้หรือทำไม่ได้ ไม่ใช่แค่สั่งห้ามเฉย ๆ โดยไม่ให้เหตุผล เช่น หากลูกอยากเล่นอะไรที่เสี่ยง เราก็จะสอนวิธีที่ปลอดภัยและให้ระวัง แทนที่จะห้ามไปเลย เพราะผมไม่ชอบให้เด็กถูกห้ามจนไม่กล้าทำไปเลยโดยการขู่ และรอสอนลูกในช่วงที่คิดว่ามีสติ สมาธิที่กำลังดี โดยเฉพาะในช่วงเวลากลางคืนก่อนนอน เพราะลูกจะสงบที่สุด และไม่มานั่งเถียง ทำให้รับฟังเรื่องราวที่ต้องการสื่อสารได้ดี”
ที่ Club Inspired Day ทุก Story มีความหมาย ได้ Inspired ทุก Moment เมื่อ “ดีเจเป้” ได้เปิดไมค์ต้อนรับ “ตู่ ภพธร” นักร้องและนักแสดงชาวไทย ที่ได้แชร์เรื่องราวที่มาของภาพลักษณ์ในปัจจุบันที่ดูสนุกสนานขึ้น เมื่อเทียบกับภาพลักษณ์อบอุ่นในอดีต จากนั้นได้กล่าวถึง ภูมิหลังในวัยเด็ก รวมถึงการเริ่มต้นเรียนดนตรีตั้งแต่อายุ 5 ขวบ และการใช้ชีวิตช่วงวัยรุ่น 12 ปีที่สหรัฐอเมริกา ที่ซึ่งเขาเริ่มอาชีพเป็น นักร้องตามร้านอาหารไทย ก่อนจะได้รับโอกาสกลับมาทำงานเพลงในประเทศไทย นอกจากนี้ ยังมีการพูดคุยถึง การรับมือกับความเครียด ในชีวิต และ การเลี้ยงดูบุตรสาวทั้งสองคน ในสไตล์ที่เน้นการใช้เหตุผลและความเข้าใจ รวมถึงผลงานการแสดง และแผนงานเพลงที่จะมีขึ้นในปีหน้า เรื่องราวชีวิต พร้อมข้อคิดแรงบันดาลใจ ถูกแชร์ไว้แล้วในรายการ

เสียงดนตรีจากวันวาน...สู่การค้นหาตัวเองในต่างแดน
ย้อนไปเมื่อวัยเด็ก ตู่ ภพธ เริ่มต้นเรียนคีย์บอร์ดตั้งแต่อายุเพียง 5 ขวบ ที่สยามกลการ ซึ่งแม้ว่าเขาจะไม่ได้เก่งกาจในการเล่น แต่ก็ถือเป็นการสร้างพื้นฐานด้านดนตรีและการฟังที่ดี ครอบครัวของเขา โดยเฉพาะคุณแม่ มีส่วนสำคัญในการผลักดันให้เขาได้เรียนรู้ดนตรี ในวัยเด็ก เขาค้นพบว่าตนเองชอบการร้องเพลง และเริ่มร้องเพลงต่อหน้าผู้คนตามงานญาติหรือพิธีแต่งงาน โดยมักจะได้รับเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นค่าตอบแทน ซึ่งปลูกฝังความคิดที่ว่า "ร้องเพลงต้องได้เงิน"
เมื่ออายุ 13 ปี ตู่ ภพธร ได้ย้ายไปใช้ชีวิตที่สหรัฐอเมริกาพร้อมกับคุณแม่และพี่สาว เป็นเวลา 12 ปี การย้ายครั้งนี้เกิดขึ้นเนื่องจากคุณแม่ต้องการเริ่มต้นชีวิตใหม่หลังจากแยกทางกับคุณพ่อ แม้ว่าคุณตู่จะมีความรู้สึก “อยากไป”เพราะมองว่าอเมริกาเป็นแหล่งรวมของเล่นและสิ่งที่เห็นในหนัง แต่เมื่อไปถึง เขากลับรู้สึก “เหงาสุด ๆ” เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบและแตกต่างจากเมืองไทย เขาต้องใช้เวลาหลายเดือนในการปรับตัว
ในช่วงที่อยู่ที่นั่น เขาได้เรียนรู้การทำงานหาเงินด้วยตัวเอง เช่น ช่วยคุณแม่ทำงานที่ร้านอาหารไทย เก็บโต๊ะ หรือเป็นพนักงานเสิร์ฟในช่วงปิดเทอม เพื่อหาเงินค่าขนม
จากชีวิตพาร์ทนี้ ทำให้เราเรียนรู้ว่า รากฐานสำคัญเสมอ การเรียนรู้พื้นฐานใด ๆ ตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะเป็นดนตรีหรือทักษะอื่น ๆ จะเป็นประโยชน์ในการสร้างโอกาสในอนาคต และ ความเหงาคือส่วนหนึ่งของการเติบโต การเผชิญหน้ากับความเหงาและความแตกต่างในสภาพแวดล้อมใหม่ ๆ เป็นบททดสอบที่ทำให้เกิดการปรับตัวและเรียนรู้

จากนักร้องร้านอาหาร สู่จุดหักเหที่ชวนให้คิดถึงงานเสิร์ฟ
หลังเรียนจบหลักสูตร Certificate Course ด้าน Entertainment ในอเมริกา ตู่รู้สึกเคว้งคว้างและไม่แน่ใจว่าจะเรียนต่อหรือหางาน แต่ชีวิตนักร้องก็เริ่มต้นขึ้นโดยบังเอิญ เมื่อเขาไปเที่ยวร้านอาหารไทยกับเพื่อน และถูกชวนให้ไปร้องเพลงกับคาราโอเกะในร้าน เขาได้รับโอกาสเป็นนักร้องในร้านอาหารเป็นเรื่องเป็นราวตั้งแต่อายุ 20 ต้น ๆ และร้องเพลงอยู่ 5 ปี
ตู่ได้พบกับ พี่บอย โกสิยพงษ์ ผ่านการร้องประสานเสียงให้กับ พี่นภ พรชำนิ และพี่บอย ในคอนเสิร์ตที่อเมริกา พี่บอยชักชวนให้เขากลับมาร้องเพลง "จะทำยังไง" ในอัลบั้ม R&B Boy 11 ซึ่งเป็นเพลงแรกในฐานะนักร้องอาชีพของเขาในไทย
ในช่วงแรกของการทำงานกับค่าย LOVEiS ที่เป็นค่ายอินดี้ คุณตู่ต้องดูแลตัวเองทั้งเรื่องเสื้อผ้าหน้าผม เนื่องจากพี่บอยไม่เชื่อเรื่องช่างแต่งหน้า เขามักถูกแซวว่าดูเหมือนช่างเทคนิคหลังเวที เพราะหน้ามัน ทำให้ต้องไปซื้อแป้งมาทาเอง และเริ่มเรียนรู้การแต่งหน้าด้วยตัวเอง
หลังจากช่วงโปรโมทเพลงจบลง งานของตู่ก็หายไปอย่างสิ้นเชิง เขาเคยรู้สึกท้อแท้มาก จนคิดจะกลับอเมริกาไปทำงานเสิร์ฟเหมือนเดิมเพื่อประทังชีวิต เขาต้องขายทรัพย์สินชิ้นเดียวที่มีคือรถยนต์ที่แม่ซื้อให้ ซึ่งกลายเป็นเงินสำรองที่ค่อย ๆ หมดไป ในช่วงที่ไม่มีงานทำและเหงาจัด เขาใช้การ "เดิน" ทางไกล (เช่น เดินจาก BTS พระโขนงไปถึงแยกคลองตัน) เพื่อให้ตัวเองเหนื่อยจะได้ไม่คิดมาก และกลับไปพักผ่อน
แม้จะโดนดูถูกหรือขาดความมั่นใจในเรื่องที่ไม่ถนัด (เช่น การดูแลภาพลักษณ์) ก็ต้องพยายามหาทางพัฒนาตัวเองและทำสิ่งที่จำเป็น เมื่อเผชิญกับช่วงตกต่ำ การหาทางออกเพื่อปลดปล่อยอารมณ์หรือทำให้ตัวเอง "หายเหนื่อย" (เช่น การเดิน) เป็นวิธีที่ช่วยให้ผ่านพ้นช่วงยากลำบากไปได้

การจัดการอารมณ์และการเติบโตบนเส้นทางศิลปิน
คุณตู่ยอมรับว่าในอดีตเขาเป็นคน "ใจร้อน" แต่ ณ ปัจจุบัน เขาพยายามทำตัวเองให้ "ใจเย็น" มากขึ้น เพราะต้องการเป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูก และตระหนักว่าความใจเย็นช่วยแก้ปัญหาได้ดีที่สุด โดยวิธีการจัดการความเครียดและความโกรธของเขาคือ การหายใจลึก ๆ (Bubble Breathing) ที่เขามักสอนลูก และนำมาใช้กับตัวเองเพื่อให้กลับมาอยู่กับลมหายใจและสมาธิ รวมไปถึง การปล่อยวางและเตือนตัวเอง พยายามปล่อยให้เร็วที่สุดและคิดอยู่เสมอว่าความโมโหนั้น "ไม่คุ้มกัน" เพราะมันส่งผลกระทบต่อคนในครอบครัว และรู้จัก การรอเวลา เขาเชื่อว่าปัญหาหลายเรื่องเมื่อเวลาผ่านไปมันจะดูไม่ใหญ่เท่าไหร่
นอกจากการร้องเพลงแล้ว ตู่ยังได้เข้าสู่วงการแสดงจากการชักชวนให้ไปแคสติ้งละครเวทีเรื่องแรกคือ น้ำใสใจจริง The Musical ซึ่งเขาพบว่าเป็นประสบการณ์ที่ยากแต่สนุก และได้เรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ และตู่เคยได้รับบทบาทเล็ก ๆ ในภาพยนตร์ระดับฮอลลีวูด Thirteen Lives ที่ไปถ่ายทำที่ออสเตรเลียในช่วงโควิด แม้จะเป็นงานเล็ก แต่เขาก็รู้สึกว่าคุ้มค่ามากที่ได้ลอง เพราะได้เห็นวิธีการทำงานโปรดักชันที่ยิ่งใหญ่ ได้ฝึกดำน้ำเพื่อเข้าฉาก และได้ทำงานใกล้ชิดกับผู้กำกับและนักแสดงที่ชื่นชอบ
วินาทีประทับใจที่ไม่ลืม ช่วงที่ไปถ่ายทำที่ออสเตรเลียนั้นตรงกับช่วงที่ภรรยา (คุณนุช) กำลังจะคลอดลูกคนที่ 2 เขาได้ตัดสินใจ แอบนำโทรศัพท์มือถือเข้ากองถ่าย เพื่อ Face Time คุยกับภรรยาในขณะที่กำลังคลอด โดยซ่อนโทรศัพท์ไว้หลังรูปจ่าแซม ซึ่งเป็น Prop ที่ต้องถือเข้าฉากพอดี เหตุการณ์นี้เป็นความทรงจำที่ประทับใจและได้เห็นความเข้าใจกันในครอบครัว
พาร์ทนี้ทำให้เราได้เรียนรู้ว่า หากได้ทำสิ่งที่รัก (เช่น การแสดงในหนังที่ชื่นชอบ) แม้จะเป็นบทบาทเล็ก ๆ ก็ยังคุ้มค่า เพราะได้เรียนรู้ ได้เห็นวิธีการทำงานที่ยิ่งใหญ่ และความใจร้อนมีแต่เสีย การฝึกตัวเองให้ใจเย็น การรู้จักปล่อยวาง และการเตือนตนเองอยู่เสมอเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการใช้ชีวิตโดยเฉพาะเมื่อมีครอบครัว

พ่อผู้ใช้เหตุผล และรักที่ต้องเติมเต็ม
ตู่และภรรยาเลี้ยงลูกสาวสองคนด้วยวิธีการแบบสมัยใหม่ โดยเน้นการใช้ "เหตุผล" พยายามคุย และอธิบายลูกเหมือนเป็นผู้ใหญ่ตัวเล็ก ๆ และจะไม่ห้ามโดยไม่มีเหตุผล โดยตู่จะพยายามดุด้วยความเฟิร์มแบบไม่ใช้อารมณ์และมีเทคนิคเฉพาะที่เรียนรู้มาจากภรรยาคือการ สอนลูกในช่วงกลางคืนก่อนนอน เพราะเป็นช่วงที่ลูกสงบที่สุด และจะตั้งใจฟัง
ตู่ยอมรับว่าหลังจากมีลูกสองคนแล้ว เวลาระหว่างเขากับภรรยาจะน้อยลง ทุกอย่างจะนึกถึงแต่ลูก ทำให้ต้องคอย เตือนตัวเองให้เติมความหวานให้กัน เช่น การหาเวลากินข้าวด้วยกัน การกอด หรือการหอมกันเมื่อนึกขึ้นได้ แม้เขาจะไม่ถือว่าตัวเองเป็นคนโรแมนติกมากนัก แต่ก็เคยเซอร์ไพรส์ภรรยาด้วยการทำเค้กให้
ตู่มองว่า ลูกและครอบครัวคือความสุขและเป็นเหตุผลที่เขาทำทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตตอนนี้ เขาแนะนำให้คุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่มีความสุขกับการเลี้ยงลูก และใช้เวลากับช่วงวัยที่ลูกยังน่ารัก มาออดอ้อน เพราะช่วงเวลานั้นสั้นมาก (ก่อนอายุ 10-15 ปี)
การสอนลูกด้วยเหตุผล การให้เกียรติพวกเขาเหมือนเป็นผู้ใหญ่ตัวเล็ก ๆ และการเลือกเวลาที่เหมาะสมในการสื่อสาร (เช่น ก่อนนอน) จะช่วยให้การสอนมีประสิทธิภาพ และในชีวิตคู่ที่มีลูก การเติมความหวาน และการใช้เวลาร่วมกันถือเป็นเรื่องสำคัญที่ต้อง "เตือนตัวเองให้ทำ" เพราะเป็นสิ่งที่สามารถลืมได้ง่าย

ข้อคิดสำหรับคนรุ่นใหม่ และเส้นทางในอนาคต
สำหรับคนรุ่นใหม่ที่อยากเข้าสู่วงการบันเทิง ตู่เน้นย้ำว่า "ฝึกฝนมาให้พร้อมที่สุด" ก่อนที่โอกาสจะมาถึง เขาแนะนำให้ใช้ช่องทางออนไลน์ในการเรียนรู้ (เช่น Masterclass) และใช้โซเชียลมีเดียให้เป็นประโยชน์ในการสร้างโอกาสให้ตัวเอง เพราะปัจจุบันการหานักแสดงหรือนักร้องใหม่ ๆ อาจไม่ได้มาจากการแคสติ้งทั่วไป แต่มาจากช่องทางออนไลน์มากขึ้น ผู้ที่ประสบความสำเร็จต้องมีความขยัน มีวินัย และคิดอย่างมีกลยุทธ์
ตู่ยืนยันว่าในปี 2026 จะมีผลงานเพลงใหม่ออกมาปล่อยเป็นซิงเกิล และวางแผนที่จะจัดคอนเสิร์ตหลังจากนั้น แม้ว่าชีวิตส่วนตัวจะมีความสุขและอบอุ่น แต่ตู่ยังคงชอบที่จะร้องเพลงเศร้า เพราะเชื่อว่าเพลงเศร้าช่วยคนฟังได้ เป็นเหมือนขั้นตอนในการเยียวยาตัวเอง โดยการเศร้าให้สุดแล้วลุกขึ้นมาใหม่ เขาเชื่อว่าคนเล่าเรื่องไม่จำเป็นต้องเล่าเรื่องของตัวเองเสมอไป

เปิดรับแรงบันดาลใจได้ใน Club Inspired Day คลับที่เต็มไปด้วยข้อคิดแรงบันดาลใจ และมีคลังความรู้ที่พร้อมแชร์ ไปกับ Iconic และสองดีเจสุดเท่ “ดีเจเป้” และ “ดีเจแคน” ได้ในทุกสัปดาห์
ดูรายการย้อนหลัง
