พูดคุยกับ “MAIYARAP” ถึงเบื้องหลังการทำซิงเกิลล่าสุด “ใครในเพลง”

ENTERTAINMENT NEWS

พูดคุยกับ “MAIYARAP” ถึงเบื้องหลังการทำซิงเกิลล่าสุด “ใครในเพลง”

31 มี.ค. 2023

“MAIYARAP (ไมยราพ)” หรือ “แชมป์-นครินทร์ จรูญวิทยา” แร็ปเปอร์หนุ่มมากความสามารถจากค่าย YUPP! กลับมาอีกครั้งพร้อมซิงเกิลใหม่ล่าสุด "ใครในเพลง" ซึ่งได้ศิลปินรุ่นพี่อย่าง “แสตมป์-อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข” มาร่วมชวนให้ทุกคนอินไปกับท่วงทำนองแห่งความทรงจำที่ยังคงติดอยู่ในใจ วันนี้เราจึงชวนแชมป์มาร่วมค้นหาใครในเพลง พูดคุยถึงเบื้องหลังในการทำเพลงนี้กัน

ช่วยเล่าคอนเสปของเพลง “ใครในเพลง” ให้ฟังหน่อย

“คอนเสปของเพลงนี้ก็คือ เราซ่อนใครคนนึงไว้ในเพลง แต่กิมมิคของเพลงนี้ คืออยากให้ทุกคนฟังแล้วไม่ได้รีเลทถึงแค่ความรักของหนุ่มสาว อยากให้นึกถึงทั้งกลุ่มเพื่อน ครอบครัว แล้วก็อีกหลาย ๆ อย่างที่เราซ่อนไว้ในเพลง”

เพลงนี้ใช้เวลาทำนานมั้ย

“2 ปีกว่าเกือบ 3 ปีได้ครับ”

จุดเริ่มต้นของเพลงนี้เริ่มมาจากอะไร

“จุดเริ่มต้นมาจากแชมป์ได้เจอกับพี่แสตมป์ในโปรเจคโปรเจคนึง แล้วเราก็คุยกันไว้นานแล้ว ว่าเราอยากทำเพลงด้วยกัน พอมีโอกาส แชมป์ก็เลยชวนพี่แสตมป์ทำเพลงนี้ ก็เลยโยนคอนเสปไปให้พี่แสตมป์ ว่าเราจะใช้คอนเสปนี้นะ ซ่อนใครในเพลง”

เพลงนี้มีความยากขึ้นจากเพลงก่อน ๆ มั้ย

“เพลงนี้ความยากของมันน่าจะเป็นเรื่องของความหมายเพลง อย่างที่แชมป์บอกไปว่า ไม่ได้อยากให้สื่อถึงความรักของหนุ่มสาวอย่างเดียว เรียกว่าอยากให้ฟังเพลงนี้แล้วนึกถึงอีกเพลงนึง แล้วทันทีที่ฟังอีกเพลงนึง ก็จะวนกลับมานึกถึงเพลงนี้ อันนี้มันคือสิ่งที่ยาก แล้วจุดที่ยากที่สุดอีกจุดนึง เป็นเหตุผลที่เพลงนี้มันนาน 2ปีเกือบ 3 ปี เพราะว่าแชมป์ไม่สามารถเขียนเนื้อเพลงให้จบได้ จนตอนแชมป์เสียคุณป้า แชมป์ก็เลยเข้าใจความรู้สึกมากขึ้น ว่าคนที่เขาซ่อนใครไว้ในเพลง ที่นอกเหนือจากความรักของหนุ่มสาวเนี่ยมันเป็นยังไง”

ชอบเนื้อร้องท่อนไหนที่สุดในเพลง

“ชอบทุกท่อนเลยครับ โดยเฉพาะท่อนของพี่แสตมป์ พี่เขาเป็นเหมือนส่วนผสมสุดท้ายที่ทำให้เพลงนี้มันลงตัวที่สุดแล้ว”

ใครในเพลง ในมุมมองของแชมป์ สื่อถึงใคร

“สำหรับตัวแชมป์เอง แชมป์รู้สึกว่าเพลงนี้สื่อถึงคุณป้า แต่ว่าอยากให้ทุกคนฟังเพลงนี้แล้วนึกถึงใครก็ได้ ที่ทุกคนซ่อนไว้ในเพลง”

ทำไมถึงเลือก feat. กับพี่แสตมป์

“ต้องบอกก่อนว่าแชมป์มองพี่แสตมป์เป็นไอดอลครับ แชมป์มีไอดอลเรื่องการเขียนเนื้อเพลงอยู่ 3 คน มีพี่แสตมป์ อภิวัชร์ พี่อะตอม ชนกันต์ แล้วก็พี่กอล์ฟ ฟักกลิ้งฮีโร่ ผมชอบพี่แสตมป์ถึงขนาดที่ว่าไปซื้อหนังสือนิ้วกลมตามพี่แสตมป์เลยนะ อ่านตามเลย”

นี่เป็นการร่วมงานกับพี่แสตมป์ครั้งแรกหรือเปล่า

“เป็นการร่วมงานกันครั้งที่สองแล้วครับ”

แล้วการร่วมงานกันครั้งนี้เป็นยังไงบ้าง

“เขินครับ เป็นครั้งที่สองแล้วก็ยังเขินอยู่ รู้สึกเกร็ง ๆ แล้วก็เป็นเกียรติมากที่ได้ทำงานร่วมกับไอดอลของเรา แชมป์รู้สึกว่ามันนับเป็นอีกความสำเร็จในชีวิตได้เลยที่ได้ร่วมงานกับพี่แสตมป์”

สตอรี่ของ MV “ใครในเพลง” เป็นยังไง

“สตอรี่ MV อันนี้ต้องขอบคุณพี่ผู้กำกับเลยครับ ที่วางสตอรี่มา 3 ไลน์ ไลน์สตอรี่แรกคือผู้ชายคนนึงที่คิดถึงกลุ่มเพื่อนตอนฟังเพลง สตอรี่ที่สองก็คือเรื่องของพี่ชายน้องชาย และอีกสตอรี่นึงก็คือความรักของหนุ่มสาว ที่บังเอิญไปเจอแฟนเก่าอยู่กับแฟนใหม่ แต่ตัวเองก็ยังรู้สึกอยู่”

ในมุมมองของแชมป์ คิดว่าเพลงนี้ให้ความรู้สึกแบบไหน เป็นเพลงอกหัก เพลงเศร้า หรือเพลงคิดถึง

“จะมองว่าเศร้ามันก็เศร้า จะมองว่าคิดถึงมันก็คิดถึง ผมเรียกมันว่าเพลงเศร้าแล้วกัน เพราะฟังแล้วมันก็เศร้า มันอาจจะเศร้าเพราะความคิดถึง หรืออาจจะเศร้าเพราะความรู้สึกสูญเสียเหมือนกับแชมป์”

มีเพลงแนวไหนที่รู้สึกว่าอยากทำแต่ยังไม่ได้ทำมั้ย

“อยากทำเพลงลูกทุ่ง แล้วก็ไปทางเพลงป๊อปสนุก ๆ หน่อย อยากเต้นครับ”

ฝากอะไรถึงแฟนคลับ และคนที่ติดตามผลงานของแชมป์อยู่หน่อย

“อยากฝากให้ทุกคนรอติดตามผลงานใหม่ ๆ นะครับ ตอนนี้หลังจากเพลงใครในเพลง แชมป์ก็พยายามที่จะรวบรวมอัลบั้มเต็มให้เสร็จภายในปลายปีนี้ ก็อยากให้ทุกคนรอติดตามกันครับ ผมก็พยายามจะหาอะไรใหม่ ๆ ทำ ก็หวังว่าทุกคนจะยังไม่เบื่อกันนะ” 

ย้อนกลับไปสู่ห้วงความทรงจำกับซิงเกิล “ใครในเพลง” จาก “MAIYARAP x STAMP” ได้แล้ววันนี้ ทาง YouTube YUPP! และมิวสิกสตรีมมิงทุกแพลทฟอร์ม

related ENTERTAINMENT NEWS

Exclusive Talk with “TRINITY” ถึงเบื้องหลัง 1st Full Album : EP.02 DESIRE

19 ก.ค. 2023

Exclusive Talk with “TRINITY” ถึงเบื้องหลัง 1st Full Album : EP.02 DESIRE

TRINITY คัมแบคแล้ว พร้อมปล่อย 1st Full Album : EP.02 DESIRE ที่เปิดตัวด้วยเพลงจังหวะสนุก ๆ อย่าง Champagne Poppin ตามมาด้วย 100 Days, ขอไม่ยินดี (Congrats) และ Thank You All จัดเต็มให้ชาว TWILIGHT หายคิดถึง วันนี้ Chill Online มีโอกาสพูดคุยกับ TRINITY จึงได้ชวนมาเล่าถึงเบื้องหลัง EP.2 DESIRE กันภาพปกอัลบั้ม EP.2 DESIRE มีที่มายังไงเติร์ด – “ถ้าพูดถึงความต้องการหรือ DESIRE เนี่ย ผมว่าดวงตาของเราสามารถสื่ออารมณ์ข้างในได้มากที่สุด ทางทีมงานก็เลยเลือกใช้ดวงตาเป็นรูปปกครับ”รูปนี้เป็นดวงตาของเมมเบอร์ในวงด้วยหรือเปล่าเติร์ด – “ใช่ครับ ตาผมเองครับ”ทำไม EP.02 ถึงปล่อยออกมา 3 เพลงรวดเลย ต่างจาก EP.01 ที่จะปล่อยทีละเพลงปอร์เช่ – “เหมือนเราห่างหายกันไปนานอะครับ ปล่อยทีละเพลงมันน่าจะช้า เราเลยตัดสินใจปล่อยทีเดียว แล้วเราค่อยปล่อย Concept Photo กับ Virsualizer Video ตามดีกว่า เพราะว่าเราจะได้เอาเพลงไปใช้ทำงานต่อได้ด้วย เวลาออกอีเวนต์จะได้มีเพลงร้องมากขึ้น แล้วก็ให้ทุกคนได้ฟังอย่างจุใจมากขึ้นครับ”ช่วยเล่าคอนเสปของแต่ละเพลงที่เพิ่งปล่อยออกมาให้เราฟังหน่อยแจ๊คกี้ – “100 Days แต่งโดย Jam Factory กับพี่แอ้ม อัจฉริยา แล้วก็มีพี่ปอร์เช่เขียนเนื้อแรปด้วย เพลงนี้ความหมายมันคือการที่ติดอยู่ในลูป 100 วัน มันเป็น 100 วันที่เราจมอยู่กับความทุกข์ ความสับสน จมอยู่กับตัวเอง มันเป็นเรื่องราวของความรักที่ไม่สมหวัง คนรักจากไป แล้วก็ไม่รู้จะกลับมาหรือเปล่า เป็น 100 วันที่ทรมาน ปกติคนเราจะเล่น Anniversary ครบรอบหนึ่งเดือน ครบรอบสามเดือน แต่เราก็อยากลองหาอะไรที่มันแตกต่าง ก็เลยใช้เป็น 100 วันครับ”เติร์ด – “ขอไม่ยินดี เราได้พี่แทน ลิปตา มาช่วยโปรดิวซ์ครับ ก็จะเป็นเพลงเศร้านี่แหละ ที่พูดความสัมพันธ์ที่คนที่เรารัก เขาไปมีคนใหม่ มูฟออนไปแล้ว เราก็ควรจะยินดีกับเขา แต่ลึก ๆ แล้วเรากลับไม่ดีใจ เพราะว่าเรารู้สึกว่าเรายังรักเขาอยู่ แล้วก็แค่เสียใจที่ทำไมคนคนนั้นไม่ใช่เรา”ปอร์เช่ – “Thank You All เป็นเพลงที่อยากให้ทุกคนได้รับเมสเสจจากพวกเรา เรารู้สึกว่าพอเรามาทำงานสายนี้ มันมีหลาย ๆ อย่างที่เราเจอ มีทั้งดีและไม่ดี แต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่ทำให้เราเป็นวันนี้ ก็คือประสบการณ์ที่ผ่านมาที่เราเจอ ก็เลยออกมาเป็น Thank You All ขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม เพราะว่าสิ่งนั้นทำให้เราเป็นเรา”Thank You All เหมือนเป็นเพลงที่อยากมอบให้แฟนคลับด้วยมั้ยปอร์เช่ – “ใช่ครับ จริง ๆ แล้วก็มอบให้ทุกคน ขอบคุณทุกสิ่งที่อย่างที่เข้ามา ขอบคุณตัวเอง อยากให้ทุกคนรักตัวเองด้วย”EP.2 นี้มีอะไรที่เป็นความยาก หรือท้าทายกว่า EP.1 บ้างเติร์ด – “ผมว่าแต่ละเพลงมันก็มีความยากความท้าทายในแบบของตัวมันเองอะครับ ไม่ว่าจะเป็น EP.01 หรือเพลงที่เราทำตั้งแต่แรกก็ตาม ทุกเพลงมันจะมีความท้าทายของมันอยู่ เราก็อยากให้ทุกอย่างมันออกมาดีที่สุด”รู้สึกว่าเพลงไหนยากสุดใน EP.2เติร์ด – “ถ้ารวม Champagne Poppin ด้วย ผมว่า Champagne Poppin ครับ”เพลงนี้ยากเพราะอะไร เพราะต้องเต้นไปด้วยหรือเปล่าปอร์เช่ – “ถ้าพูดถึงแค่เพลง Champagne Poppin มันต้อง hold ฟีลที่รู้สึกว่ามันหลุดอะครับ สนุกจนหลุด บวกกับโทนเสียง ที่มันต้อง hold โทนเสียงนั้นตลอดทั้งเพลง แล้วก็รวมกับท่าเต้น ที่ต้อง hold เสียงร้องไปด้วย เต้นท่าที่เหนื่อยไปด้วย มันก็ค่อนข้างยาก”เพลงนี้ยากที่สุดเลยมั้ย ตั้งแต่ที่เคยทำเพลงมาตั้งแต่แรกแจ๊คกี้ – “มันเหนื่อยสุด”แล้วเพลงไหนของ TRINITY ที่ใช้เวลาทำนานที่สุดเติร์ด – “จริง ๆ เราใช้เวลาทำพอ ๆ กันนะ มันจะมีช่วงที่ทำ แล้วก็ช่วงที่รอ”ปอร์เช่ – “ถ้าเกิดทำนานสุดไม่มีนะ แต่รอนานสุดอะมี”บอกได้มั้ยว่าเพลงอะไรปอร์เช่ – “100 Days ครับ”แจ๊คกี้ – “เพลงนี้ตั้งแต่ 9 by 9 ครับ”ปอร์เช่ – “ใช่ เพลงนี้ได้ยินมาตั้งแต่ 9 by 9 แล้วครับ”เติร์ด – “ขอไม่ยินดี ก็ทำพร้อม ๆ กับ I don’t miss you”เพลงที่ชอบที่สุดของแต่ละคนใน EP.02 คือเพลงไหนเติร์ด – “ผมชอบขอไม่ยินดีครับ ผมชอบฟังเพลงเศร้า พอฟังแล้วรู้สึกว่าแบบ ในที่สุดเราก็มีเพลงเศร้าเป็นของตัวเองแล้วเว้ย ฟูลฟิล”แจ๊คกี้ – “ส่วนผมชอบ 100 Days ครับ ด้วยดนตรี แล้วก็ความหมายเพลง แนวเพลงมันทำให้รู้สึกว่า จังหวะมันโยก ๆ ครับ”ปอร์เช่ – “ถ้าเกิดเป็นฟัง ชอบ 100 Days ครับ แต่ถ้าเพอร์ฟอร์มกับความหมายจะชอบ Thank You All ครับ”รู้สึกกดดันกันบ้างมั้ย ยิ่งตอนนี้มีแฟน ๆ ต่างประเทศมาติดตามกันมากขึ้นด้วยเติร์ด – “ผมว่ามันเป็นความรู้สึกตื่นเต้นมากกว่าครับ ที่เราได้ออกไปเจอคนมากขึ้น มันเป็นปีแรกด้วยที่เราเริ่มต้นไปเพอร์ฟอร์มที่ต่างประเทศจริง ๆ”เห็นว่าจะมีไปแสดงคอนเสิร์ตที่ประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย เตรียมตัวยังไงกันบ้างปอร์เช่ – “ต้องเตรียมให้เหนื่อยยากเฉย ๆ ครับ สุขภาพต้องเต็มร้อยครับผม”เติร์ด – “ซ้อมให้เต็มที่ครับ”ปอร์เช่ – “เพราะว่ามันเป็นที่ที่ใหญ่ที่สุดที่เราจะไปเล่น เลยอยากให้มันออกมาดีที่สุด”มีอะไรที่ทั้งสามคนอยากทำ แต่ยังไม่ได้ทำมั้ยเติร์ด – “นอนให้ครบ 8 ชั่วโมงครับ (หัวเราะ) แต่ถ้าเป็นเรื่องงาน ผมว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่ฟูลฟิลที่สุดของพวกเราเลยนะ เพราะว่าเราได้ไปหลายที่ที่เราอยากไปมาก ๆ เราอยากทำทุกที่ให้มันดีที่สุด”แจ๊คกี้ – “อยากฟีทเจอริ่งครับ”เติร์ด – “ใช่ ๆ เรามีแต่ไปฟีทกับเขา”ปอร์เช่ – “ใช่ เพลงตัวเองแล้วเอาคนอื่นมาฟีทยังไม่เคยมีครับ”จะมีโอกาสกลับมาจับงานแสดงกันบ้างมั้ยเติร์ด – “ถ้ามีคิวก็มีโอกาสครับ แต่ว่าช่วงนี้ไม่มีคิวเลยครับ”ปอร์เช่ – “จริง ๆ มีติดต่อมาอยู่ แต่ว่าคิวแน่นมากครับ บอกเลยว่าค่อนข้างจะเดือดครับผม”เห็นว่า TRINITY กำลังจะมีคอนเสิร์ตใหญ่ของตัวเองด้วยแจ๊คกี้ – “ใช่ครับ 17 กันยายน”จะมีอะไรเซอร์ไพรส์ชาว TWILIGHT มั้ยเติร์ด – “มีแน่นอนครับ แล้วก็น่าจะเซอร์ไพรส์เราเองด้วย ตอนนี้เรายังไม่รู้ดีเทลเยอะครับ”เซอร์ไพรส์ด้วยการทำเป็นทอร์คโชว์มั้ยปอร์เช่ – “อย่าเลยครับ”เติร์ด – “เดี๋ยวปอร์เช่จะเหนื่อยครับถ้าทอร์คโชว์”ใน TRINITY ใครพูดเยอะสุดเติร์ด – “แล้วแต่เรื่องครับ ถ้าเรื่องไร้สาระก็จะเป็นผมบ้าง แจ็คกี้บ้าง แต่เรื่องสาระก็จะเป็นปอร์เช่ครับ”แจ๊คกี้ – “แต่จริง ๆ พวกเราก็พูดสาระนะ”เติร์ด – “ใช่ พูดได้ครับ แต่ว่านาน ๆ ทีฮะ”สุดท้ายฝากอะไรถึง TWILIGHT ที่ติดตามอยู่หน่อยแจ๊คกี้ – “ก็ฝากถึง TWILIGHT ทุกคนนะครับ ตอนนี้ 1st Full Album ของพวกเราก็ปล่อยครบทุกเพลงแล้ว ฝากติดตามทุก ๆ เพลงเลยนะครับ แล้วก็ฝากติดตามช่องทางของ TRINITY ทุก ๆ ช่องทาง ก็อยากให้เพลงของพวกเราไปถึงทุก ๆ คนจริง ๆ ก็ฝากด้วยครับ แล้วก็ฝากงานอีเวนต์ งานคอนเสิร์ตต่าง ๆ ที่พวกเรากำลังจะไปด้วยครับ”

เดินทางไปกับ Jeff Satur ใน Space Shuttle No.8

01 มี.ค. 2024

เดินทางไปกับ Jeff Satur ใน Space Shuttle No.8

เรียกได้ว่าฮอตสุด ๆ สำหรับ “Jeff Satur” ศิลปินมากความสามารถ ที่ได้ปล่อยอัลบั้มแรก “Space Shuttle No.8” พร้อมจัดคอนเสิร์ตเอเชียทัวร์ที่ 6 เมืองใหญ่ ไทเป, ฮ่องกง, มะนิลา, จาการ์ตา, สิงคโปร์ และปิดท้ายที่กรุงเทพ เราจึงได้ชวน Jeff Satur มาพูดคุยถึงเรื่องราวการเดินทางครั้งนี้กันอัลบั้ม Space Shuttle No.8 มีที่มายังไง“คือเราอยากจะรวบรวมเพลง ตั้งแต่เพลงแรก Highway จนมาถึงเพลงนี้ โดยที่เนื้อเรื่องของมันจะเชื่อมโยงกันหมด แล้วก็เราจะมีแกนกลางของเรื่องในอัลบั้มนี้อยู่แล้ว ซึ่งจะค่อย ๆ เห็นออกมาเรื่อย ๆ จากการดู MV จากการฟังสัมภาษณ์ จากการไปดูคอนเสิร์ตต่าง ๆ มันก็จะมี element hint เล็ก ๆ ออกมาเรื่อย ๆ จริง ๆ สิ่งที่อยากให้ทำเวลานั่งฟังอัลบั้มนี้ก็คือ เหมือนเรานั่งอยู่บน Space Shuttle หรือว่ากระสวยอวกาศเนี่ยแหละ นั่งคิดแล้วก็ฟัง แล้วก็ตั้งคำถามกับเพลง กับชีวิตตัวเอง รีเลทตัวเอง เหมือน have conversation กับตัวเอง แล้วก็มาดูว่า พอมันไปถึงปลายทางจริง ๆ มันพาเราไปถึงไหน”อัลบั้มนี้ใช้ระยะเวลาในการทำนานเท่าไหร่“ประมาณ 2 ปีกว่า ๆ ครับ”ทำไมถึงใช้ชื่อ Space Shuttle No.8“เพราะว่าผมรู้สึกวิวที่เราเห็นอยู่ทุกวันอะ เราเคยเห็นแล้วไง Space Shuttle คือการที่เราออกไปเจอสิ่งที่เรายังไม่เคยเห็น การที่ break boundary ว่าทำไมเราจะไม่สามารถไปที่อวกาศได้ล่ะ ในแต่ละสเตชั่นก็จะเป็นภาพวิวที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน ผมก็เลยอยากให้มันเป็นเหมือนการเดินทางไปสู่สิ่งที่เราไม่รู้”แล้วเลข 8 มีความหมายอะไรด้วยมั้ย“เลข 8 มันคล้ายสัญลักษณ์ infinity ครับ ผมเชื่อว่าถ้าผมตายไปแล้ว สุดท้ายแล้วผลงานเหล่านี้ มันก็จะยังคงอยู่ต่อไปเป็นนิรันดร์”เพลง “ซ่อน(ไม่)หา” (Ghost) กระแสตอบรับดีมาก ได้คาดหวังมั้ยว่ากระแสตอบรับจะดีขนาดนี้“ไม่ได้คาดหวังว่าฟีดแบคมันจะดีขนาดนี้ แล้วก็มีคนชื่นชอบขนาดนี้ การที่ได้เห็นศิลปินหลาย ๆ ท่าน หรือหลาย ๆ คนมาคอมเมนต์ ก็รู้สึกว่าเพลงนี้มันทำงานเนอะ เหมือนได้คุยกับพวกเขา ก็รู้สึกภูมิใจครับ”ในมุมมองของเจฟที่เป็นคนทำเพลง เราตีความเพลงนี้ว่ายังไง“ผมรู้สึกว่ามันเป็นเพลงที่เราก็เจ็บปวด แต่เราก็ต้อง let go กับอะไรบางอย่างไป โดยที่ต่อให้เราจะรั้งสิ่งเหล่านั้นไว้ มันก็ไม่ได้ทำให้เรามีความสุขมากกว่าเดิม มันจะยิ่งเจ็บปวดไปอีก มันเหมือนการที่ตัดสิ่งที่มันอยู่ต่อไม่ได้แล้ว ถ้าพูดตามตรงก็คือเหมือนส่วนไหนเน่าแล้วก็ต้องตัดออกไป เพื่อไม่ให้มันลุกลามแล้วก็เจ็บปวดกว่าเดิม คือมันไม่ใช่เพลงรักแน่นอนอยู่แล้ว แต่มันอาจจะเป็นเพลงที่รักตัวเอง อาจจะเป็นเพลงเศร้าในเชิงที่เราต้องเสียใจกับตัวเอง แต่ผมว่ามันก็เป็นเพลงนึงที่จะทำให้เรารักตัวเองมากขึ้น”มาที่ “ส่วนน้อย” (Yellow Leaf) ทำไมเจฟถึงใช้เพลงนี้เป็นซิงเกิลโปรโมทปิดอัลบั้ม“ผมรู้สึกว่าแต่ละเพลงที่เราทำมาตลอด มันมีความบู๊ประมาณนึง มีความรุนแรง มีความ aggressive เศร้าบ้าง ลึกบ้าง ก็เลยรู้สึกว่าอยากให้เพลงสุดท้ายของอัลบั้ม เป็นเพลงที่ซอฟต์ เหมือนได้จิบชาอุ่น ๆ ฟังแล้วรู้สึกว่าสบาย”เจฟออกซิงเกิลที่ 10 ก่อนซิงเกิลที่ 9 ด้วย ตรงนี้มีความหมายอะไรมั้ย“จริง ๆ ด้วยความที่มันเป็น Space Shuttle No.8 ไงครับ คือจบที่เลข 8 เพราะฉะนั้นการเริ่มสิ่งใหม่ ๆ มันจะเริ่มที่เลข 9 มันคือการสิ้นสุด และเริ่มต้นใหม่ที่เลข 9 แล้วก็เราจะได้เห็นว่า เนื้อเรื่องทั้งหมด เดี๋ยวจะได้รู้อีกทีว่าทำไมมันถึงต้องเป็นแบบนี้”เรามีเฉลยเรื่องนี้ด้วยใช่มั้ย“มีเฉลยครับ แต่ว่ายังไม่เฉลยตอนนี้”เฉลยในคอนหรือเปล่า“ไม่ใช่ในคอนด้วย ต้องรอติดตามครับ”อีกหนึ่งเพลงใหม่ในอัลบั้ม “Almost over you” ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยว่าเพลงนี้เกี่ยวกับอะไร“เพลงนี้เนื้อหาของมันคือการที่เราเกือบลืมเธอได้แล้ว สักวันนึงฉันจะลืมเธอได้จริง ๆ แต่อาจจะยังไม่ใช่ตอนนี้ แล้วก็มันพร่ำพรรณนาความเศร้าที่แบบ เธอไปแล้ว ดอกไม้มันเป็นสิ่งเดียวที่เป็นตัวแทนของเธอ ที่จะทำให้ฉันจำเธอได้ เพราะว่าทุกคนรอบข้างฉันลืมเธอไปหมดแล้ว เขาไม่พูดถึงเธอแล้ว สุดท้ายแล้วความเจ็บปวดของเรา มันก็จะเป็นความเจ็บปวดของเรา คนอื่นไม่ได้มีส่วนร่วมในความเจ็บปวดนี้ เพราะฉะนั้นเขาจะลืมความเจ็บปวดนี้ได้เร็วกว่า แล้วเพลงนี้มันถูกแต่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว คือจริง ๆ ทำ song camp กัน ใช้เวลา 4 ชั่วโมง เมโลดี้และคอร์ดก็เสร็จ แล้วก็ส่งต่อไปให้ทีมเขียนเนื้อที่เป็นทีมต่างประเทศเขียน ส่วนโปรดิวเซอร์ที่ทำเพลงนี้คือคุณ Hyuk Shin เป็นโปรดิวเซอร์ที่ทำเพลงให้ EXO ด้วยครับ”เพลงสุดท้าย “Saturdayss” เจฟแต่งให้แฟนคลับ แล้วก็ใช้วิธีการอัดที่แตกต่างจากเพลงอื่นด้วย“ใช่ครับ มันเป็นเพลงที่เหมือนฟังผมเล่นอยู่ในห้องทำงาน ผมกดอัด แล้วผมก็เล่นเลย อยากให้มันเป็นฟีลนั้น”เจฟใช้เวลาทำนานมั้ยสำหรับเพลงนี้“จริง ๆ ช่วงแต่งไม่นาน แต่ช่วงอัดจะนานตอนที่หาวิธีว่าโปรแกรมใช้ยังไง ผมไปเช่าห้องอัดที่ตราด เพราะว่าตอนนั้นผมถ่ายหนัง ก็เลยไม่มีเวลากลับมาอัดที่กรุงเทพ แต่ว่าใช้เวลาจริง ๆ อัดแค่ 10 นาทีเอง”ทำไมถึงเลือกใส่ “Saturdayss” ไว้เป็นแทรคสุดท้ายในอัลบั้ม“ผมรู้สึกว่ามันเป็นเพลงที่เรียบง่าย honest มาก แล้วก็เป็นเหมือนของขวัญ เหมือนเราผ่านอะไรด้วยกันมาในสเตชั่นต่าง ๆ เราไม่รู้ว่าสเตชั่นสุดท้ายมันจะเป็นยังไง แต่รู้ว่าปลายทางมีคนที่รักเราอยู่ สุดท้ายแล้วเราก็จะรอให้ถึงวันเสาร์อยู่เสมอ”ถ้าให้เลือกเพลงในอัลบั้มที่ตรงกับชีวิตหรืออารมณ์ของเจฟในตอนนี้มากที่สุด จะเลือกเพลงไหน“ยากจัง ไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อนเลย จริง ๆ ทุกเพลงมันคือ element ที่ดึงออกไปจากชิ้นส่วนของความทรงจำของผม แล้วก็ออกมาเป็นเพลง เพราะฉะนั้นถ้าถามว่าตอนนี้ความรู้สึกของผมตรงกับอันไหนเหรอ ผมเลือก ‘Saturdayss’ แล้วกัน เพราะผมรู้สึกว่า เราได้ความรักจากคุณวันเสาร์เยอะ รู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่ comfort เราเสมอ ไม่ว่าเราจะอยู่ในสถานการณ์ไหน แล้วก็เป็นแรงใจในการทำงาน ที่เราตื่นมาเดินสายสื่อ 4 วัน โดยที่เรารู้สึกว่ายังไหวอยู่ เพราะเรารู้ว่าพวกเขาเหล่านั้นกำลังรอชมสิ่งเหล่านี้อยู่ แล้วก็เขาให้กำลังใจเราเสมอ”เพิ่งเปิดเอเชียทัวร์มา ไทเป และฮ่องกง เจฟร้องเพลงเวอร์ชั่นภาษาไทยเนอะ เขาร้องตามกันได้มั้ย“ผมร้องเวอร์ชั่นไทยครับ เขาร้องตามได้ทุกเพลงเลย ประทับใจนะ เพราะเราก็ไม่คิดว่าเราออกเพลงมาเป็นภาษาไทยทุกเพลง แล้วเขาจะร้องตามได้ เพราะมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่าย ๆ ที่เขาต้องฝึกร้องได้ทุกคำขนาดนี้ แล้วก็ร้องเสียงดังด้วย ผมรู้สึกประทับใจมาก ๆ แล้วก็มันเติมฟีลในตัวเรามาก”ช่วงเบเนฟิตมีได้พูดคุยกันด้วย รู้สึกยังไงที่ได้คุยกับคุณวันเสาร์ต่างชาติที่เขาอาจจะไม่ได้เจอเราบ่อย ๆ“เรารู้สึกว่ามันไม่ใช่แค่เรื่องของการได้เจอกัน มันคือการได้คุยกันจริง ๆ แล้วโมเมนต์มันเป็นของเราจริง ๆ ผมมีความสุขมาก มันไม่เหนื่อยเลย มันแบบว่าหลายคนมากที่ต่อคิว แต่พอทำเสร็จผมรู้สึกไม่เหนื่อยเลยนะ มันเหมือนเป็นการเติมพลังให้กัน เขาอยากพูดอะไร เขาอยากคุยอะไรกับเรา เมสเสจมันมีแค่ 8 วินาที มันมีคุณค่ามาก ๆ ทั้งกับผมและกับเขา”เห็นเจฟเต้นด้วย แล้ว Space Shuttle No.8 Asia Tour in Bangkok จะเต้นด้วยมั้ย“จะเป็นเซิ้งแทนครับ ไม่เต้น แต่จะเป็นเซิ้ง หมอลำแทน”พูดแบบนี้คนเขาคาดหวังนะ“(หัวเราะ) ก็อาจจะมี ครับผม ต้องรอดูว่าเป็นยังไง”เกสต์สำหรับคอนเสิร์ตนี้ล่ะ มีวางไว้หรือยังว่ากี่คน“มี 2 ศิลปินครับ ยังไม่บอกว่าเป็นใคร แต่เป็นคนที่ทุกคนรู้จักแน่นอน”อีกบทบาทที่เจฟทำอยู่ คือเป็นเมนเทอร์รายการ Chuang Asia เป็นยังไงบ้างกับการถ่ายทำรายการนี้“ก็หนักหน่วงนะครับผม เพราะว่าจริง ๆ แล้วการที่เราได้มาอยู่ตรงนี้ คือเราต้องเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากสิ่งต่าง ๆ ที่ทำมา การไกด์น้อง ๆ เราก็ต้องระวังมาก ๆ ตรงที่ว่าคำพูดของเรามันมีความหมายมากสำหรับน้อง ๆ เพราะฉะนั้นการที่เราจะพูดอะไรออกไปสักอย่าง เราต้องคิดมาดี ๆ แล้ว แล้วก็ไม่ใช่ว่าทำให้เขารู้สึกหมดไฟในการทำงาน แต่ทำให้เขาพัฒนาขึ้นไป โดยที่เขาไม่ได้รู้สึกว่าสิ่งที่เขาทำมันผิดหรืออะไร เพราะสุดท้ายแล้วอาร์ตมันไม่มีสิ่งที่ผิด มันแค่ว่า ถ้าในสกิลเบสิคที่แบบ เต้นต้องล็อคท่านี้ อะไรแบบนี้มันโอเค ในวันนึงที่เราทำสิ่งนั้นได้แล้ว เราจะสามารถ expand ไปยังสิ่งต่าง ๆ ได้ คาแรคเตอร์ของน้อง ๆ ที่มีมาอยู่แล้ว อยากให้มันกรูมไปในแนวทางไหน เราต้องคิดตลอดเวลา แต่ความสนุกมันคือการได้ทำสิ่งนี้แหละ เพราะผมรู้สึกว่าการได้ไกด์น้อง ๆ ได้เอาประสบการณ์ทั้งหมดมาใช้ มันเป็นอะไรที่เราอยากทำให้กับใครสักคนนึง แล้วการได้มา explore ในสิ่งนั้น มันเป็นเรื่องที่ดี”เจฟคิดว่าตัวเองเป็นเมนเทอร์สายไหน ดุมั้ย“ผมไม่ได้ดุนะ เป็นเมนเทอร์สายชิล เป็นคนที่น้อง ๆ จะสามารถ โย่วเจฟ วอทซัพเจฟ อะไรแบบนี้ได้ ชิล เพราะผมมีความเชื่อว่างานศิลปะ มันจะเกิดมาจากการที่เรา relax อะครับ ในอีพีแรกผมอาจจะดูเคร่งนิดนึง เพราะว่ามันเป็นการที่เราต้องตั้งสมาธิมาก ๆ กับการดูน้อง ๆ ร้องเพลง ถ้าเราพูดอะไรออกไปโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจมากพอ ผมรู้สึกว่ามันเป็นการทรยศต่อความตั้งใจของน้อง ๆ”เจฟทำอะไรหลายอย่างมากเลย แบ่งเวลายังไง“ก็ไม่แบ่งนะฮะ (หัวเราะ) จริง ๆ ผมรู้สึกว่าสำคัญที่สุด คือเวลาพักผ่อน ผมควรจะพักยังไงให้มีคุณภาพ ก็คือการนอน การได้ดูอะไร ผมก็ใช้เวลาว่าง ๆ ในการทำสิ่งนั้น แต่ไม่ได้รู้สึกว่ามันเหนื่อยขนาดที่ทนไม่ไหว มันเป็นอะไรที่สนุกในทุกแง่มุม พอทำอะไรที่แตกต่างกัน อย่างเช่น สัมภาษณ์ ถ่ายแบบ โอเค มันก็เป็นสิ่งที่ต่างกัน มันก็รู้สึกว่าสนุกดี”มีอะไรที่เจฟอยากทำ แล้วยังไม่ได้ทำอีกมั้ย“ผมอยากทำซีรีส์ของตัวเอง ซึ่งก็คิดว่าก็คงได้ทำครับ”พูดแบบนี้แสดงว่ามีแพลนไว้บ้างแล้ว“คิดไว้แล้วครับ”เจฟเคยบอกไว้ว่าอยากเขียนหนังสือ พาร์ทนี้มีความเป็นไปได้แค่ไหน“อันนั้นก็มีแน่นอนครับ แล้วก็กลับมาที่คำถามเดิมว่า แล้วแบ่งเวลายังไง ก็ไม่แบ่งครับ (หัวเราะ)”เจฟได้มองภาพในเส้นทางสายดนตรีไว้มั้ย ว่าเราอยากไปถึงจุดไหนในฐานะศิลปิน“ความฝันของผมคือการได้เล่นเวิลด์ทัวร์ ไปเจอแฟน ๆ ในทุก ๆ เมือง ทุก ๆ ประเทศ ผมมองว่าถ้าได้ทำสิ่งนั้น มันก็จะเป็น achievement นึง แต่ถามว่ามองไปถึงตรงไหนมั้ย ผมว่าผมยังสนุกกับการลุ้นว่าพรุ่งนี้ผมจะทำอะไร หรือว่าพรุ่งนี้มันจะมีอะไรเกิดขึ้นอีก เพราะว่าจากที่เคยวางแพลนมาแล้วเนี่ย ทุกอย่างมันผิดไปหมดเลย มันคนละแบบ ผมก็เลยรู้สึกว่า งั้นก็ไม่ต้องวางหรอก ก็ทำเต็มที่ในทุก ๆ อย่างที่ทำ แล้วก็รอดูว่ามันจะพาเราไปไหน”ถ้าให้พูดอะไรถึงเจฟในอดีต วันแรกที่เราเริ่มเข้ามาเป็นศิลปิน จะพูดอะไรกับเขา“ไม่บอกอะไรฮะ เพราะว่าที่เขาทำมา มันก็ดีมากแล้ว”แล้วถ้าให้พูดถึงเจฟในอนาคตล่ะ“ก็ไม่บอกอะไรเหมือนกัน เพราะผมเชื่อว่าเขาจะเป็นคนที่คิดอะไรได้ด้วยตัวเองอยู่แล้วครับ เขาคงไม่ต้องการคำพูดจากผม”ฝากผลงานหน่อย ช่วงนี้เจฟทำอะไรอยู่บ้าง“ช่วงนี้ก็จะมีหนัง GDH ครับ ช่วงประมาณกลาง ๆ ปี มี Space Shuttle No.8 ที่เป็นทั้งอัลบั้มแล้วก็คอนเสิร์ต ยังซื้อบัตรรอบวันอาทิตย์ที่ 21 เมษายน 2567 ได้นะครับ ที่ Thai Ticket Major แล้วก็รายการ Chuang Asia ที่ผมเป็นเมนเทอร์ในเรื่องของโวคอล แล้วก็จะมีโปรเจคพิเศษค่อย ๆ ตามมา จะค่อย ๆ ปล่อยมาเรื่อย ๆ แต่ว่าตลอดปีนี้ยาว ๆ แน่นอนครับ”อยากให้เจฟพูดอะไรถึงคุณวันเสาร์หน่อย“การที่ได้มาเจอกันในช่วงเวลานี้ ไม่ว่าจะเพิ่งมาเจอกัน หรือเจอกันมานานแล้ว ก็อยากให้ทุกคนมีความสุข ไม่ต้องรู้สึกกดดันว่าเป็นแฟนคลับที่ดีต้องเป็นยังไง เป็นแฟนคลับที่ไม่ดีคืออะไร แค่รู้สึกว่าการที่เราได้รู้จักกัน ติดตามผลงาน ได้ร่วมเดินทางครั้งนี้ไปด้วยกัน ผมก็รู้สึกมีความสุขมากแล้ว เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นยังไง ผมก็หวังว่าทุกคนจะมีความสุขในการเดินทางครั้งนี้ เพราะว่าผมมีความสุขจริง ๆ ที่ได้เจอ แล้วก็ได้เดินทางร่วมกับทุกคน มันมีความหมายมาก แล้วก็ขอให้ทุกคนมีความสุข ไม่ว่าจะอยู่ตรงนี้ หรือไม่อยู่ตรงนี้ก็ตาม”คุณวันเสาร์เขาจะชอบเจฟในหลาย ๆ โพ เรามีชอบโพไหนเป็นพิเศษมั้ย“ผมไม่มีนะ แล้วแต่เขาแล้วกัน เขาอยากจะเลือกเป็นสถานะอะไรก็เลือกไปเถอะ เพราะทุกคนเป็นคนรักของผม”

Talk with “Chilling Sunday” ถึงเบื้องหลังเพลง “คิดดีไม่ได้”

16 ต.ค. 2023

Talk with “Chilling Sunday” ถึงเบื้องหลังเพลง “คิดดีไม่ได้”

"Chilling Sunday" กลับมาเสิร์ฟเพลงเพราะ ๆ อีกครั้ง กับ "คิดดีไม่ได้" ซิงเกิลที่ 2 จากอัลบั้ม Across ที่ยังคงแนวเพลงอกหักในสไตล์ที่ถนัด วันนี้เราจึงได้ชวน "บอย-กรกฎ แก้วพระคงคา" และ "ปาล์ม-อาทิชา สว่างไสว" มาพูดคุยถึงเรื่องราวในเพลงนี้กัน“คิดดีไม่ได้” เพลงนี้เริ่มต้นมาจากอะไร คอนเสปเพลงเป็นยังไงปาล์ม – “พวกเรามีโปรดิวเซอร์ท่านหนึ่ง ชื่อว่า พี่แม็ค ศรัณย์ เป็นคนที่คอยดูภาพรวมในอัลบั้ม Across พี่แม็คก็แนะนำว่าพี่อุทัยน่าจะเขียนเพลงเหมาะกับ Chilling Sunday พี่อุทัยก็เลยเขียนเพลงนี้ขึ้นมา ตอนแรกชื่อเพลงว่า คิดดีไม่ได้จริง ๆ ตอนที่ฟังครั้งแรกก็รู้สึกว่าเข้ากับเรา ก็เลยลองเอามาร้องดู แล้วมันก็เข้ากับเราจริง ๆ ก็เลยเอาเพลงนี้มา”บอย “คอนเสปก็คือวางไว้แล้ว ว่าจะต้องมีประเด็นอะไรบ้าง แล้วก็หยิบให้พี่อุทัยแต่งกลับมาให้ทางวงฟัง ทางวงก็ชอบ ก็เลยเอาเลย”เรื่องราวในเพลงได้แรงบันดาลใจมาจากชีวิตจริงของใครมั้ยปาล์ม – “จริง ๆ ปาล์มว่าหลาย ๆ คนก็น่าจะเคยมีเหตุการณ์แบบนี้ผ่านมาบ้าง เพลงนี้มันเกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างที่จะสับสน เหมือนเรามีแฟนอยู่แล้ว แล้วแฟนเราดันไปนึกถึงแฟนเก่าของเขา โดยที่เรารู้สึกว่ามันมีเซนส์อะไรบางอย่างที่มันไม่ปกติ แล้วเราก็ดันไปรับรู้เรื่องราวเหล่านั้น”แล้วปกติเราเป็นเซนส์แรงมั้ย เคยมีครั้งไหนที่สงสัย แล้วมันเป็นแบบที่เราคิดจริง ๆ บ้างบอย – “ผมว่าผมดูออกนะ ถ้าคนของเราเขามีพิรุธอะ”ปาล์ม – “ปาล์มว่าเซนส์ผู้หญิงค่อนข้าง ก็คงจะดูออกถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้กับเรา”ถ้าเราสงสัยขึ้นมา เราจะพูดออกมาเลยมั้ยบอย – “ไม่พูด”ปาล์ม – “ปาล์มถามนะ”บอย – “ผมรอรวบรวมพยานหลักฐาน แล้วจับกุมทีเดียว”คิดว่าสิ่งที่ยากที่สุดในเพลงนี้คืออะไรปาล์ม – “สำหรับปาล์ม ปาล์มรู้สึกว่าเพลงค่อนข้างจะเป็นเพลงอกหัก เป็นเพลงเศร้า ซึ่งบางที ณ เวลาที่เราอัดเพลง เราอาจจะไม่ได้รู้สึกอะไรแบบนั้น แต่ว่าเราต้องทำอิโมชันให้มันเข้ากับเพลง เรื่องการสื่ออารมณ์เลยอาจจะเป็นเรื่องยากสำหรับปาล์ม”บอย – “พาร์ทดนตรีเพลงนี้ยาก สัดส่วนเยอะ ถ้าคนแกะเพลงนี้เพื่อจะเล่น จะเสียเวลานิดนึง เพราะว่าสัดส่วนมันเยอะมาก แต่ว่าคอร์ดง่าย อยู่ในคีย์ที่เล่นง่าย แต่ว่าสัดส่วนเยอะนิดนึง”ปาล์ม – “โดยเฉพาะจังหวะ มันคือจังหวะยกเยอะอะค่ะ”บอย – “ใช่ครับ ด้วยความเป็นโซล แล้วก็ความเป็นพี่แม็ค ศรัณย์ นึกภาพกลิ่นอายแบบ ETC อะครับ สัดส่วนเยอะ ๆ”เพลงนี้ใช้เวลาทำนานมั้ยปาล์ม – “จริง ๆ ไม่นานนะคะ ประมาณสองเดือนได้”ทั้งสองคนชอบท่อนไหนที่สุดในเพลงบอย – “ผมชอบท่อนฮุค เปิดหัวมา โทษทีที่มันคิดดีไม่ได้จริง ๆ เฮ้ย ตบเข่าฉาด เอาเลย”ปาล์ม – “ปาล์มชอบตรงท่อนบริดจ์ มันจะร้องว่า อย่าทำเหมือนฉันเป็นอากาศ ตรงนี้มีคนจะขาดใจแล้ว”ทำเพลงเศร้าติด ๆ กันเลย Chilling Sunday จะมีเพลงรักให้เราฟังในเร็ว ๆ นี้บ้างมั้ยปาล์ม – “ก็อยากทำนะคะ ก็อาจจะได้ฟังกัน”ภายในปีนี้จะมีซิงเกิลใหม่ให้เราฟังอีกมั้ยบอย – “มีครับ”สปอยล์ซิงเกิลหน้าได้มั้ย จะมาแนวไหนปาล์ม – “เป็นเพลงที่เหมาะกับช่วงเวลา”บอย – “รอฟังแล้วกันครับ ปลายปีนี้แน่นอน”“คิดดีไม่ได้” จะมีเวอร์ชั่นอื่น ๆ ออกมาอีกมั้ย เช่น live sessionปาล์ม – “มีค่ะ จริง ๆ ทำไว้แล้วนะ"บอย – “แต่ยังไม่ให้ดูครับ หวง เก็บเอาไว้แป๊บนึง”พูดอะไรถึงแฟน ๆ ที่ติดตาม Chilling Sunday กันอยู่หน่อยปาล์ม – “ก็ขอบคุณมาก ๆ เลยนะคะ เพราะ Chilling Sunday ก็อยู่มายาวนานมาก บางคนมาทักว่า หนูติดตามพี่ตั้งแต่มัธยม จนตอนนี้หนูเรียนจบแล้วค่ะ คือค่อนข้างที่จะระยะเวลายาวมาก ๆ แล้วก็มีช่วงที่ห่างหายไป แต่ก็ยังมีหลาย ๆ คนที่ยังรอฟังเพลงเราอยู่ ก็ต้องขอบคุณมาก ๆ แล้วก็ดีใจที่หลายคนชอบเพลงเรา เวลานึกถึงเพลงช้า เพลงเศร้า ก็นึกถึงเพลงเรา เราก็ดีใจค่ะ”บอย – “เพลงชิลก็นึกถึงพวกเราได้ในยุคแรก ๆ อย่างมีน้องคนนึง แอดเฟซบุ๊กเรามาตอนวงก่อตั้งใหม่ ๆ ปี 2012 ตอนนั้นน้องอยู่ม.ต้น ตอนนี้น้องจบไปเป็นหมอแล้ว นานขนาดนั้น ก็ขอบคุณที่ยังติดตามเราอยู่เสมอนะครับ”อยากให้เพลง “คิดดีไม่ได้” เป็นอะไรสำหรับคนฟังปาล์ม – “เป็นเพื่อนสำหรับฟังเพลงชิล ๆ แล้วกัน จริง ๆ ไม่อยากให้ใครเจอเหตุการณ์เหมือนในเพลงเท่าไหร่ ฟังไว้เพื่อความบันเทิง ก่อนนอน ขับรถ อะไรแบบนี้แล้วกันค่ะ”

Exclusive Talk กับผู้กำกับ โอ๋–ภาคภูมิ พร้อมนักแสดงนำ ไอซ์ซึ และณัฏฐ์ จากซีรีส์ DELETE

13 ก.ค. 2023

Exclusive Talk กับผู้กำกับ โอ๋–ภาคภูมิ พร้อมนักแสดงนำ ไอซ์ซึ และณัฏฐ์ จากซีรีส์ DELETE

เรียกได้ว่าเข้มข้น และลุ้นระทึกทุกตอน สำหรับ DELETE ออริจินอลซีรีส์ไทยเรื่องล่าสุดจาก Netflix ผลงานการกำกับของ โอ๋-ภาคภูมิ เสริมทัพด้วยนักแสดงมากความสามารถ ณัฏฐ์-กิจจริต, ฟ้า-ษริกา, ไอซ์ซึ-ณัฐรัตน์, ออกแบบ-ชุติมณฑน์, เจ้านาย-จินเจษฎ์, ชาร์เลท-วาศิตา และปีเตอร์-นพชัย วันนี้ Chill Online จึงได้ชวนผู้กำกับ โอ๋–ภาคภูมิ พร้อมนักแสดงนำอย่าง ไอซ์ซึ และณัฏฐ์ มาพูดคุยถึงซีรีส์เรื่องนี้กันซีรีส์เรื่องนี้มีจุดเริ่มต้นมาจากอะไรโอ๋ – “เริ่มต้นมาจากทีม ISM กับ GDH พัฒนาบทซีรีส์ร่วมกัน แล้วเขาก็มาชักชวนผมให้มาทำซีรีส์ร่วมกัน เป็นคอนเสปแบบที่เห็นในทีเซอร์ คือโทรศัพท์มือถือที่ลบคนได้ ก็อยากตั้งคำถามว่า ถ้าเรามีมือถือเครื่องนึงที่สามารถลบใครก็ได้ให้หายไปจากโลกเลย เราจะทำมั้ย มันเหมือนเป็นเครื่องทดสอบจิตใจนิดนึงอะครับ ว่าถ้าเราเกลียดใครมาก ๆ เนี่ย เราจะลงมือทำมั้ย ถ้าเรามีเครื่องมือนี้อยู่ในมือ ก็อยากตั้งคำถามกับเรื่องนี้ จึงเป็นซีรีส์เรื่องนี้ขึ้นมา”ปกติเราถ่ายภาพเพื่อเก็บความทรงจำ ทำไมถึงเลือกให้การถ่ายภาพเป็นการลบให้คนหายไปโอ๋ – “จริง ๆ การลบคนให้หายไป มันเหมือนเป็นอำนาจอย่างนึงเหมือนกัน อำนาจที่เราสามารถทำให้ใครก็ได้หายไปเลย เราเลือกได้ว่าใครควรอยู่ ใครควรหายไป มันเหมือนกับเครื่องมือฆ่าคนที่ไม่ทิ้งหลักฐานอีกรูปแบบหนึ่ง เป็นเครื่องมือฆ่าคนที่แนบเนียนมาก ๆ ไม่มีใครจับได้ ไม่เหมือนปืนอะครับ มันเหมือนเป็นเครื่องมือทดสอบด้านมืดของจิตใจ ว่าถ้าเราทำให้คนนั้นหายไปเลย แล้วเราก็ไม่โดนความผิดอะไร เราจะทำมันไปเรื่อย ๆ เหรอ หรือเราจะตัดสินใจยังไงกับสิ่งที่เกิดขึ้น มันเหมือนกับเราสร้างตัวละครขึ้นมา เพื่อตั้งคำถามเหล่านี้กับคนดู”DELETE เป็นซีรีส์เรื่องแรกที่ โอ๋–ภาคภูมิ กำกับ สิ่งที่ท้าทายที่สุดคืออะไรโอ๋ – “มันเป็นการกำกับซีรีส์เรื่องแรกของผมเลย เพราะปกติผมจะทำหนังแนว Horror ก็เลยรู้สึกว่าถ้าเราทำซีรีส์แนว Thriller ที่มีการเล่าแบบภาพยนตร์ตั้งแต่อีพี 1-8 มันคงจะท้าทาย แล้วทีมที่ทำก็เป็นทีมที่ทำภาพยนตร์ทั้งหมดเลย อย่างตากล้องผมเองก็ไม่เคยทำซีรีส์มาก่อน เราก็อยากทำซีรีส์ที่ให้ความรู้สึกฟีลภาพยนตร์ขึ้นมาครั้งแรก เป็นการทำซีรีส์ครั้งแรกของ GDH กับ Netflix ด้วย ตรงนี้เป็นความยากและความท้าทาย แล้วก็รู้สึกว่า ถ้าเราทำซีรีส์แล้ว เราอยากให้เขาติดตาม อยากให้เขาดูแบบไม่หยุดเลย กดดูไปเรื่อย ๆ 8 อีพีรวด อันนี้คือความตั้งใจที่อยากให้เกิดขึ้นในซีรีส์เรื่องนี้ อีกความท้าทายคืออยากให้ซีรีส์ขึ้นไปติดอันดับในชาร์ตของ Netflix ให้ได้ ซึ่งมันไม่มีซีรีส์เรื่องไหนที่ขึ้นอับดับไปสูง ๆ เลยอะครับ แล้วพอเรื่องนี้สามารถขึ้นไปอยู่อันดับ 7 ได้ ผมรู้สึกว่าอันนี้มันเป็นหมุดหมายอันนึงของคอนเทนต์ไทย ที่เราสามารถไปปักธงตรงนั้นได้ ซึ่งมันคงไม่ใช่ครั้งเดียว มันคงจะมีคนอื่น ๆ ช่วยกันตามขึ้นมา ผลักดันให้คอนเทนต์ไทยไปสู่สากล และจะไม่มีใครพูดได้อีกว่า เฮ้ย คอนเทนต์ไทยแม่งไม่ดีว่ะ มันดีเพราะเราทุกคนช่วยกัน เราก็เป็นส่วนหนึ่งที่เราไปปักเอาไว้แล้ว แล้วก็รอคนอื่นให้ขึ้นไปอีก”สำหรับนักแสดงนำอย่าง ไอซ์ซึ และณัฏฐ์ รู้สึกยังไงที่ได้มาเล่นซีรีส์เรื่องนี้ณัฏฐ์ – “ผมรู้สึกยินดีเสมอที่ได้เข้าไปอยู่ในโปรเจคใหม่ ๆ ก็จะตื่นเต้น แต่ว่าอันนี้มันรู้สึกดีมาก ๆ เพราะว่ามันเพิ่งเป็นโปรเจคล่าสุดด้วย แล้วก็ผมรู้สึกโชคดีที่คนรอบ ๆ ตัว ทั้งนักแสดงร่วม ทีมงาน รวมไปถึงฝั่งครีเอเตอร์ ทุกคนดูจะถือธงเดียวกัน ว่าเราจะทำสิ่งนี้ให้ดี ซึ่งอันนี้สำคัญ มันสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจทีละเล็กทีละน้อย มันมีโมเมนต์เล็ก ๆ ระหว่างนักแสดง ที่แบบเดินมาตบหลังให้กำลังใจกัน หรือตอนเวิร์คชอป เรามีครูร่ม เรามีพี่โอ๋ ที่เวลาเราตั้งคำถาม เราก็มีคนช่วยตอบ ละข้างหลังพี่โอ๋เราก็มีทีมครีเอเตอร์มากมาย รวมถึงตอนเราพีอาร์ด้วย เราก็มีทีมที่น่าสนใจ ความรู้สึกรวม ๆ ของผม มันคือความโชคดีที่ได้มาอยู่ในโปรเจคนี้ แล้วก็เรียนรู้เยอะมาก รู้สึกว่าโตขึ้นจากคิวแรกเยอะเลยครับ”ไอซ์ซึ – “ในแง่ของอาชีพการงาน ผมมองว่าเราเชื่อในสิ่งนี้ด้วยกันทั้งหมดทั้งทีม เราเชื่อในสิ่งที่เราทำ เรารักในสิ่งที่เราทำ แล้วก็ทำๆๆ มันจะมีช่วงเวลาที่เรารู้สึกว่า ท้อว่ะ เราเจ๋งจริงปะวะ เราตั้งคำถามกับตัวเอง self-doubt มาก เราดีพอหรือเราไม่ดีพอ แล้วพอวันนึงงานที่เราทำมาทั้งหมด มันออกไปอยู่ในอันดับโลก แล้วคนให้การตอบรับกับงานของเรา ความ self-doubt ของเรามันหายไปเลย กลับเป็นความมั่นใจมากขึ้น ในการที่จะเดินหน้าต่อไปในวงการภาพยนตร์แล้วก็ซีรีส์ไทย อันนี้ชัดที่สุดในแง่ของอาชีพการงาน แต่ในแง่ของตัวเอง เหมือนที่พี่ณัฏฐ์ตอบเลย รู้สึกว่าเราโตขึ้น ยิ่งผมเจอกับพี่โอ๋ คือพี่โอ๋เป็นผู้กำกับที่ชัดเจนกับภาพที่เห็น แต่ก็ยังเปิดโอกาสให้นักแสดงทุกคนเสนอไอเดีย แล้วก็รับฟังไอเดียที่บอกด้วย แล้วผมดูการทำงานของพี่โอ๋ ในการที่พี่โอ๋ดีลงานกับแผนกอื่น ๆ เป็นหัวเรือของเรา แล้วก็เป็นหัวเรือที่ทำให้เรารู้สึกเชื่อ ผมรู้สึกว่าเราได้เรียนรู้ในสิ่งนี้ แล้วก็จะเอามาปรับใช้กับชีวิตตัวเอง กับการทำงานกับคนอื่น ๆ ต่อไป ว่าการที่เราต้องคุยกับคนอื่น เราคุยกันยังไง มีความเป็นมืออาชีพ ทำงานแบบคนที่โตขึ้น”มีซีนไหนที่รู้สึกว่าชอบมากที่สุดมั้ยณัฏฐ์ – “จริง ๆ ผมชอบซีนสุดท้ายของตัวละคร ชอบอารมณ์ ชอบความรู้สึกของตัวเอง ณ ตอนนั้น ผมรู้สึกว่ามันเป็นซีนที่ เริ่มรู้สึกจริง ๆ ว่าเอมคงมีทางออกในชีวิตแล้ว เลยชอบความรู้สึกรวม ๆ ของก้อนนั้น”โอ๋ – “ถ้าให้พูดขยายก็คือเหมือนตัวละครนั้นทำสิ่งที่เลวร้ายไว้เยอะมาก แล้วตัวละครได้ผ่านอะไรที่หนักหนา แล้วก็สำนึกผิดจริง ๆ ที่สิ่งที่ตัวเองทำ แล้วเขาก็แสดงความรู้สึกออกมาได้ดีมาก ทำให้เราเข้าใจว่าความรู้สึกของการลบคนอื่นไปมันเป็นยังไง ลบแล้วความรู้สึก guilty มันไม่ได้จางหายไป มันเหมือนกับยิ่งลบแล้วความรู้สึกข้างในเขามันยิ่งมากขึ้น”ณัฏฐ์ – “จริง ๆ ย้อนกลับไปคำถามที่ถามตอนแรก ๆ ที่พี่ถามเรื่องลบ ผมคิดว่าอันนี้ก็เจ๋งดี หมายถึงว่าจริง ๆ แล้ว ลบคืออะไร บางทีเรานึกถึงคนนึงที่ไม่อยู่แล้ว แต่เขาก็ยังมีความทรงจำร่วมในใจเรา ก็อาจจะมองต่างกันออกไปว่าอันนี้ลบหรือเปล่า ผมรู้สึกว่าคำว่าลบมนุษย์อีกคนนึง มันค่อนข้างกว้าง แล้วก็เฉพาะตัวมาก ๆ อันนี้คือหนึ่งในประเด็นที่เราพาไปสำรวจเลย คือคำว่าลบเนี่ยแหละ ว่ามันคืออะไร”ไอซ์ซึ – “ในซีรีส์ผมจะชอบซีนของตัวละครที่ชื่อจูน จริง ๆ มันเป็นทั้งก้อนด้วยซ้ำ หมายถึงอีพีที่เล่าเรื่องตัวละครจูน แต่ถ้าซีนที่ผมชอบจริง ๆ ซีนที่ผมดูแล้วลุกขึ้นมาเลย คือซีนที่ตัวละครจูนเขาโดนแกล้ง โดนขังไว้ แล้วพอวันต่อมาเขาเดินออกมาจากที่ขังด้วยความแค้น ผมเผ้ารุงรัง แล้วก็เฟรมที่จงใจถ่ายในซีรีส์ มันเหมือนเราดูหนังฟอร์มยักษ์ของฮอลิวูด พอเห็นแบบนั้นแล้วผมรู้สึกว่า เฮ้ย มันถ่ายที่เมืองไทย ด้วยทีมงานไทย ด้วยกล้องของคนไทย โลเคชั่นของคนไทย แล้วมันดูยิ่งใหญ่เท่านั้นได้ ผมขนลุกกับซีนนั้นในฐานะคนดูคนไทยด้วยครับ”ในมุมของผู้กำกับ อยากให้คนดูได้อะไรกลับออกไปหลังจากดูซีรีส์เรื่องนี้โอ๋ – “อย่างแรกเลยครับ ก็เป็นความบันเทิง ผมรู้สึกว่าซีรีส์แนวทริลเลอร์มันไม่ค่อยมี ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องรัก แล้วก็เป็นซีรีส์ที่มีความ high concept ผมรู้สึกว่าอันนี้ไม่ค่อยเห็น ถ้ามันมีออกมาก็อยากให้คนดูไปติดตามชม นอกจากประเด็นมือถือลบคนได้ มันยังมีอะไรมากกว่านั้น มันไม่ใช่แค่ความวิเศษหรือเมจิคเรื่องมือถือ มันมีเรื่องคนที่อยู่ในนั้น เขาลบคนอื่นไปเพราะต้องการอะไรบางอย่าง ให้ตั้งคำถามเกี่ยวกับการลบ เกี่ยวกับอำนาจของมือถือที่มันอยู่ในมือเรา ว่าเราจะตัดสินใจยังไง ถ้าเราลบให้เขาหายไป แล้วเขาจะหายไปจริง ๆ หรือเปล่า ถ้าเป็นคนดูเจอปัญหาแบบนี้ คนดูจะทำแบบนั้นมั้ย มันก็เป็นการทดสอบจิตใจของทุกคนว่าจะดำดิ่งไปได้เยอะขนาดไหน อันนี้เป็นสิ่งที่ผมอยากตั้งคำถามกับคนดู แล้วก็อยากให้คนดูรู้สึก นอกเหนือจากนั้นก็เป็นความบันเทิง ที่เราพยายามอยากยกระดับการทำซีรีส์ขึ้นไป ถ้าเราทำอย่างตั้งใจ อย่างเต็มที่ มันก็อยู่ที่คนดูที่ต้องไปพิสูจน์แล้วว่าความตั้งใจทั้งหมดที่เราทำไปเนี่ย มันเป็นยังไง กับทั้ง 8 ตอนใน Netflix ครับ”ถ้ามีมือถือเครื่องนั้นอยู่ในมือ จะเลือกเก็บไว้ ทำลายทิ้ง หรือจะจัดการกับมันยังไงณัฏฐ์ – “เก็บไว้ก่อน เผื่อต้องใช้ (ขำ) ก็คงเก็บไว้ ถ้าตอบแบบไว ๆ แต่ถ้ามีเวลาคิดอีกหน่อยก็แบบ จะกลายเป็นคนเลวมั้ยวะ คือผมว่าคำถามมันน่ากลัว หมายถึงว่าการตั้งคำถามกับเครื่องมือนี้ ที่กำลังเปรียบเปรยว่ามันอาจจะเป็นอำนาจก็ได้นะ มันอาจจะเป็นคำสบถที่เราสบถในทวิตเตอร์ทุกวันก็ได้นะ ถ้ามันเกิดขึ้นจริง เราจะรับผิดชอบมันไหวจริง ๆ มั้ย”โอ๋ – “เราเคยได้ยินเรื่องที่ว่า บางบ้านมีปืนอยู่ในบ้าน แล้วเรากลัวว่าวันนึงเราจะใช้มัน เพราะเรามีทางเลือก ถ้าวันนึงเรารู้สึกว่า เราเครียด เรามีปัญหาชีวิต เราอาจจะเอาปืนมาใช้ทำอะไรก็ได้ บางคนเลยรู้สึกว่าจะไม่อยากเก็บไว้ในบ้าน แต่มือถือเนี่ย มันลบคนให้หายไปได้ โดยไม่มีหลักฐาน ไม่มีรอยเลือด ไม่มีอะไรเลย มันง่ายในการที่เราจะตัดสินใจใช้มันด้วยซ้ำ แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นมันเลวร้ายกว่าความตายด้วย ความตายเรายังรู้ว่าตายไปอะครับ แต่คนที่หายไป มันทรมานกับคนที่ยังอยู่ เราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนที่หายไป ความรู้สึกเหมือนแม่ที่ลูกหายไป เราไม่รู้เลยว่าเขาหายไปไหน ตายหรือเปล่าก็ไม่รู้ เกิดอะไรขึ้นก็ไม่รู้ มันเป็นความทุกข์ทรมานในจิตใจมาก ๆ เลยครับ ก็เลยรู้สึกว่ามือถือเนี่ย มันอันตรายและน่ากลัวมาก แล้วพอมันอยู่กับผม มันจะยั่วผม เพราะมันเป็นอำนาจที่ทำให้เรารู้สึกว่า ถ้าวันนึงเราเจออะไรขึ้นมา เราต้องใช้มันแน่เลย แต่ผมก็คงไม่ทิ้งแน่ ๆ ผมก็คงเก็บเอาไว้ เผื่อว่าวันนึงผมอาจจะได้ใช้มัน”ไอซ์ซึ – “เก็บไว้แน่นอน เก็บไว้ก่อน เพราะถ้าอยู่กับเรา ถ้าเราไม่ใช้มัน มันก็ปลอดภัย แต่ถ้าไปอยู่ในมือคนอื่น เขาอาจจะใช้ทันทีเลยก็ได้ ใช้ในทางใดก็ไม่รู้ แต่เก็บไว้กับเรา เราควบคุมได้”เชิญชวนให้ทุกคนมาดูซีรีส์ DELETE หน่อยณัฏฐ์ – “ก็เชิญชวนครับ จริง ๆ ตอนที่เรามาพูดคุยกันเนี่ย ซีรีส์เราได้ออนแอร์ไปแล้วแหละ แล้วก็มีฟีดแบคที่เป็นมาตรวัดตามมาตราฐานสากลไปบ้างแล้ว ผมเชื่อว่าอย่างน้อย ๆ เราช่วยกันสนับสนุน ผมพยายามแยกประเด็น คือช่วยกันสนับสนุนอะ เป็นเจตนาอยู่แล้ว ตามภาพรวมของอุตสาหกรรม แต่ว่า DELETE เอง มันสนุก แล้วมันก็เต็มไปด้วยความตั้งใจ ผมอยากให้มาดู จะดู 8 ตอนรวดเลยก็ได้ พอเราสนุกกัน ผมว่าภาพรวมเราจะได้ประโยชน์กันทุกคน”DELETE จะมีซีซั่น 2 มั้ยโอ๋ – “ถ้าผลตอบรับจากคนดูซีซั่นแรกมีมาก ผมก็รู้สึกว่ามันเป็นกำลังใจให้คนทำอยากทำซีซั่นสองต่อไปอะครับ ก็ต้องรอฟีดแบคทั้งหมดอีกทีว่ามันเป็นยังไง ซึ่งจากที่ได้ยินมาก็ดูเป็นแนวโน้มที่ดีนะครับ”

album

0
0.8
1