น้ำหวาน พัสวี ร่ายยาวปกป้องลูกจากลูกค้าที่มองแรงในร้านกาแฟ “ผู้ใหญ่แสดงปฏิกิริยาแบบนี้ต่อเด็ก แย่กว่าเด็กเสียงดัง”

กำลังเป็นดราม่าที่โซเชียลมีเดียแสดงความคิดเห็นอย่างกว้างขวาง หลังจากที่ น้ำหวาน พัสวี ภรรยาของ นาวิน ต้าร์ ศิลปินชื่อดัง โดยเธอโพสต์ข้อความผ่านโซเชียลมีเดียบอกเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในร้านกาแฟแห่งหนึ่ง ซึ่งกลายเป็นอีกหนึ่งวันธรรมดาที่เธอรู้สึกหนัก เพราะต้องปกป้องลูกทั้ง 3 คนจากสายตาที่เธอบรรยายว่า ‘ดูโหดร้ายและน่ากลัว’ จากลูกค้าสาวรายหนึ่ง

น้ำหวาน เล่าว่าเธอมักพาลูก ๆ ไปใช้เวลาว่างในร้านกาแฟใกล้บ้านในช่วงวันหยุด เนื่องจากเป็นกิจกรรมที่เด็ก ๆ คุ้นเคย และทำให้พวกเขามีความสุข เด็ก ๆ พูดคุย ร้องเพลงตามประสา โดยที่เธอคอยดูแลไม่ให้รบกวนผู้อื่นมากเกินไป และโดยทั่วไปก็ได้รับรอยยิ้มและปฏิสัมพันธ์ที่ดีจากลูกค้าคนอื่น ๆ

แต่ครั้งนี้กลับมีลูกค้าหญิงวัยประมาณ 25 ปีที่แสดงท่าทีไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด ด้วยการส่งสายตาแข็งกร้าวมาที่ลูก ๆ ของเธอหลายครั้ง จนลูกคนกลางของ น้ำหวาน ถึงกับตกใจและเกือบร้องไห้

“ถ้าจะตำหนิควรตำหนิแม่ ไม่ใช่ส่งสายตาแบบนั้นใส่เด็ก 1 ขวบครึ่ง 5 ขวบ และ 7 ขวบ เด็กไม่ได้ทำผิดอะไร” ข้อความส่วนหนึ่งที่ น้ำหวาน เขียนเล่าเหตุการณ์ พร้อมเสริมว่าเธอตัดสินใจเดินไปที่โต๊ะของลูกค้าหญิงคนดังกล่าว ก่อนที่จะส่งสายตากลับและกล่าวกับเธออีกฝ่ายว่า “การที่ผู้ใหญ่แสดงปฏิกิริยาแบบนี้ต่อเด็ก มันแย่กว่าสิ่งที่เด็กเสียงดังเยอะมากค่ะ”

แม้อีกฝ่ายจะไม่ได้โต้ตอบใด ๆ กลับมา แต่ น้ำหวาน ยอมรับว่ารู้สึกอัดอั้นและเสียใจ พร้อมเรียกร้องให้สังคมมีเมตตาต่อเด็ก และไม่แสดงออกด้วยพฤติกรรมที่ทำให้เด็ก ๆ กลัวหรือรู้สึกผิดโดยไม่มีเหตุผล

ทันทีที่โพสต์ดังกล่าวถูกเผยแพร่ หลายเสียงในโลกออนไลน์ออกมาแสดงความคิดเห็นหลากหลาย โดยมีทั้งผู้ที่เห็นใจ น้ำหวาน และผู้ที่มองว่าเหตุการณ์นี้ควรเป็นบทเรียนเรื่องการเคารพพื้นที่สาธารณะร่วมกัน มีผู้ใช้โซเชียลบางส่วนตั้งคำถามถึงความเหมาะสมของการปล่อยให้เด็กส่งเสียงดังในร้านกาแฟ ซึ่งไม่ได้เป็นพื้นที่สำหรับครอบครัวเพียงกลุ่มเดียว

“เข้าใจว่าเด็กยังควบคุมตัวเองไม่ได้ แต่หน้าที่ของพ่อแม่คือกำกับดูแล ไม่ใช่พาไปสถานที่ที่ทุกคนต้องการความสงบ แล้วบอกว่าคนอื่นใจร้าย”

“เด็กมีสิทธิใช้พื้นที่สาธารณะ แต่ผู้ใหญ่ก็มีสิทธิในความเงียบและสมาธิ โดยเฉพาะถ้ามานั่งทำงานหรืออ่านหนังสือ”

หลายความเห็นยังมองว่า การที่ น้ำหวาน เดินไปจ้องกลับและพูดกับลูกค้าโดยตรง อาจเป็นการรุกล้ำพื้นที่ส่วนตัว และไม่ใช่วิธีที่เหมาะสมในการแก้ปัญหาในสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับบุคคลอื่นในที่สาธารณะ และเหตุการณ์นี้กลายเป็นตัวอย่างของความขัดแย้งระหว่างสิทธิในการเลี้ยงดูลูกของผู้ปกครอง กับความต้องการพื้นที่สงบของคนอื่นในพื้นที่สาธารณะ ซึ่งสะท้อนถึงความจำเป็นของความเข้าใจซึ่งกันและกันระหว่างผู้ใช้พื้นที่ทุกกลุ่ม

อีกทั้งเหตุการณ์นี้ยังเป็นเครื่องเตือนใจให้พ่อแม่ผู้ปกครอง ไม่เพียงแต่พาเด็กออกมาทำกิจกรรม แต่ควรคอยดูแลอย่างใกล้ชิด และตระหนักถึงบริบทของสถานที่ เพื่อไม่ให้กลายเป็นภาระทางเสียงหรืออารมณ์ต่อผู้อื่นโดยไม่ตั้งใจ

ภาพ : Passavee Payacaboot