[REVIEW] ‘Guardians of the Galaxy Vol.3’ ส่งท้ายอย่างยิ่งใหญ่ ปิดไตรภาคการ์เดี้ยนอย่างทรงพลัง | GOSSIP GUN

HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘Guardians of the Galaxy Vol.3’ ส่งท้ายอย่างยิ่งใหญ่ ปิดไตรภาคการ์เดี้ยนอย่างทรงพลัง | GOSSIP GUN

08 พ.ค. 2023

การเข้าฉายของ Guardians of the Galaxy Vol.3 เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่แสดงให้เห็นชัดเจน ถึงการเดินหมากที่ผิดพลาดของMarvel Studios ยิ่งเมื่อผลตอบรับของหนังออกมาในแง่บวกมากๆ ในวันที่ค่ายปล่อย เจมส์ กันน์ ให้หลุดมือไปคุมค่ายคู่แข่งอย่าง DC ไปแล้ว ยิ่งน่าเสียดายแทนยิ่งนัก อันที่จริงแล้วหนังเรื่องนี้ควรฉายได้ตั้งแต่ 2-3 ปีที่แล้วด้วยซ้ำ ตั้งแต่ Avengers : Endgame เพิ่งจบใหม่ๆ พอมาฉายตอนนี้ ซึ่งทิ้งห่างจาก Guardians of the Galaxy Vol.2 นานถึง 6 ปี ดูเหมือนจะกลายเป็นการทิ้งช่วงที่นานเกินไป ทั้งหมดเป็นเพราะความตื่นตูมของดิสนีย์ที่ไล่ผู้กำกับ เจมส์ กันน์ ออกเพราะเหตุดราม่าในทวิตเตอร์อันน้อยนิด จนในที่สุดก็ต้องมาย้อนคำตัดสินของตัวเอง เมื่อเห็น กันน์ ไปกำกับ The Suicide Squad ให้ค่ายคู่แข่ง ทำให้การเกิดขึ้นของหนังเรื่องนี้ช้าเกินไปอย่างน่าเสียดาย ดันมาในช่วงเวลาที่กระแสความไฮป์ของจักรวาลมาร์เวลเริ่มจางหายไปเสียแล้ว..

Guardians of the Galaxy Vol.3 ถูกวางตัวไว้ในฐานะหนังปิดไตรภาคของแก๊งการ์เดี้ยน และเล่าเหตุการณ์ไม่นานนักหลังจากAvengers : Endgame เมื่อปีเตอร์ สูญเสียคนรักของเขาอย่างกามอร่าไป สมาชิกของแก๊งอาศัยอยู่ในโนแวร์ และทำภารกิจปกป้องจักรวาลไปเรื่อยๆ ในภาคนี้ หนังจะเล่าเหตุการณ์ใน 2 ไทม์ไลน์ไปพร้อมๆกัน โดยศูนย์กลางของเรื่องอยู่ที่ร็อคเก็ต เมื่อมันถูกโจมตีโดย อดัม วอร์ล็อก ทำให้ชีวิตตกอยู่ในอันตราย ทันใดนั้นทุกคนต่างรู้ว่า ตัวเองแทบจะไม่รู้ที่มาของร็อคเก็ตเลย หนังจึงค่อยๆพาผู้ชมและสมาชิกชาวการ์เดี้ยน ย้อนกลับไปยังที่มาของตัวละครนี้ ซึ่งจะเกี่ยวพันกับเหตุการณ์สำคัญยิ่งในอนาคตที่กำลังจะมาถึง นี่คือหนังที่นอกจากจะพาผู้ชมไปสู่บทสรุปของเหล่าการ์เดี้ยน แต่ก็ยังพาผู้ชมย้อนกลับไปสู่จุดเริ่มต้นเช่นกัน

นี่คือหนังปิดไตรภาคที่นอกจากจะคงเอกลักษณ์ของความเป็น Guardians of the Galaxy ไว้ได้อย่างครบถ้วน มันยังกลายเป็นหนังภาคที่ทรงพลังมากที่สุดในบรรดาไตรภาค รวมถึงหนังตระกูลมาร์เวลในยุคหลังๆ แม้ครึ่งแรกหนังจะใช้เวลาพอสมควร ในการเคาะสนิม ค่อยๆพาผู้ชมย้อนกลับไปดูความเป็นไปของตัวละคร แต่เมื่อชั่วโมงหลังมาถึง ทุกองค์ประกอบของ Guardians of the Galaxy Vol.3 ถือว่าก้าวเข้าสู่จุดพีกแทบทั้งหมด ด้วยประเด็นของหนังที่ค่อนข้างจริงจังและจับประเด็นที่ค่อนข้างใหญ่ยิ่งกว่าทุกภาค นำไปสู่ฉากไคลแม็กซ์ที่จัดเต็มทั้งในแง่ของเส้นเรื่องและงานสร้าง กลายเป็นการปิดท้ายการผจญภัยของเหล่าการ์เดี้ยนที่น่าพอใจและคู่ควรสำหรับกลุ่มของคาแรคเตอร์ที่แฟนๆรักเช่นนี้

ยิ่งที่แข็งแรงมากๆของหนังตระกูล Guardians of the Galaxy ไม่ใช่ของการแสดงพลังพิเศษของตัวละครแบบในหนังซูเปอร์ฮีโร่ทั่วไป แต่มันคือการแสดงพลังแห่งมิตรภาพและความเป็นอันหนึ่งอันเดียว การจับมือกัน ซึ่งในภาคนี้ไม่ใช่แค่แก๊งการ์เดี้ยนแล้ว แต่มันคือการร่วมมือกันของทุกชีวิต เอกลักษณ์สำคัญที่ทุกตัวละครการ์เดี้ยนมีจุดร่วมกัน คือความ "ไม่สมบูรณ์แบบ"ทุกตัวละครล้วนมีจุดแปลก จุดบกพร่องของตัวเอง แต่เมื่อทุกคนร่วมมือกัน มันกลายเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ ซึ่งหนังภาคนี้โดยเฉพาะในครึ่งหลัง ไม่ได้แค่เชิดชูแค่ความเป็นตัวตนที่ไม่เหมือนใครเท่านั้น แต่เชิดชูการมีชีวิตของทุกชีวิต นี่คือหนังที่่ไม่เพียงแต่จะทำให้เราหันไปมองคนรอบข้าง แต่กลับมองทุกชีวิตอย่างมีคุณค่า แม้ว่าจะไม่ใช่สปีชีย์เดียวกับเราก็ตาม ซึ่งในหนังหลายๆเรื่องมองข้ามจุดๆนี้ไป

แม้ Guardians of the Galaxy Vol.3 จะพาผู้ชมไปสู่จุดที่จริงจัง ทรงพลัง และยิ่งใหญ่กว่าทุกภาค ด้วยความซีเรียสของเส้นเรื่องที่ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความเป็นความตายของตัวละคร ตัวร้ายที่พร้อมฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุเพราะทำตัวเยี่ยงพระเจ้า แต่หนังยังคงเอกลักษณ์ของ Guardians of the Galaxy ไว้อย่างครบถ้วน ในแบบที่ถ้าไม่ใช่ เจมส์ กันน์ ก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าใครจะสามารถทำได้ดีเท่า เอกลักษณ์ความเป็นการ์เดี้ยนในที่นี้ ประกอบไปด้วยความเกรียนอย่างร้ายกาจ มิตรภาพอันแน่นแฟ้นของตัวละคร จัดเข้ากลุ่มจำพวกปากร้ายแต่ใจดี จังหวะมุกต่างๆทำออกมาได้ค่อนข้างเวิร์กมากๆ และจังหวะประทับใจก็ถูกจัดวางไว้อย่างเป็นที่น่าพอใจเช่นเดียวกัน

โดยรวมแม้ Guardians of the Galaxy Vol.3 จะเป็นภาคปิดท้าย แต่มันก็ได้พาผู้ชมกลับสู่รากเหง้าของตัวละครหลายๆตัว แม้จะชูร็อคเก็ตเป็นแกนหลัก แต่ก็ยังไม่ทิ้ง สตาร์ลอร์ดและตัวละครอื่นๆ เป็นการเหลียวหลังเพื่อไปต่ออย่างแข็งแร็ง นี่คือหนังที่น่าจะเป็นที่พึงพอใจสำหรับแฟนหนังมาร์เวลอย่างแน่นอน และสำหรับผู้ชมทั่วไปก็น่าจะทำให้ตกหลุมรักตัวละครเหล่านี้เพิ่มมากขึ้น และยิ่งคิดถึงมากขึ้นไปอีกเมื่อเส้นทางในหนังชุดนี้กำลังจะจบลง สิ่งที่อยากทิ้งท้ายแถมไว้สำหรับคนดูทั่วไป ถ้าใครเป็น คนรักสัตว์ และคนรักเสียงเพลงละก็ นี่คือหนังที่จะทำให้คุณฟินมากขึ้นอีกสเต็ปอย่างแน่นอน

ชมตัวอย่าง Guardians of the Galaxy Vol.3 วันนี้ในโรงภาพยนตร์

 

ภาพ : Marvel Thailand

related HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘Fast & Furious X’ นี่คือ Infinity War ของตระกูลฟาสต์ บิลด์หนักไปสู่บทสรุป| GOSSIP GUN

17 พ.ค. 2023

[REVIEW] ‘Fast & Furious X’ นี่คือ Infinity War ของตระกูลฟาสต์ บิลด์หนักไปสู่บทสรุป| GOSSIP GUN

คงจะไม่เกินจริงนัก ถ้าจะบอกว่าหนังภาคนี้คือ Avengers สำหรับหนังตระกูล Fast Furious เพราะมันทำหน้าที่เหมือนพยายามโกยทุกสิ่งทุกอย่างนับตั้งแต่ Fast Five ที่ไม่ว่าจะอีเหละเขละขละขนาดไหน ให้กลับมาเข้าที่เข้าทาง แล้วไปด้วยกัน เพื่อบิลด์ไปสู่บทสรุป ก่อนหน้านี้หนัง Fast Furious ถูกวางโร้ดแมปไว้ให้ภาค11 เป็นภาคจบ ก่อนที่เมื่อสัปดาห์ก่อน วิน ดีเซล เพิ่งให้สัมภาษณ์แบบไม่มีใครทันตั้งตัวว่า Fast Furious จะจบที่ภาค 12 ไม่ว่าหลังจากนี้จะเหลืออีกภาคเดียวหรือสองภาค แต่ที่แน่ๆ Fast Furious X ทำหน้าที่เหมือนบันไดก้าวสู่จุดนั้น ถ้าให้เทียบกับจักรวาลมาร์เวล มันก็ทำหน้าที่เหมือน Avengers : Infinity War นั่นเอง ที่รวมเอาตัวละครในจักรวาลมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ มาใส่ไว้ด้วยกัน และบิลด์ให้กราฟเส้นเรื่องพุ่งทะยานขึ้นสูงสุด เพื่อให้ผู้ชมกระหายว่าบทสรุปของแฟรนไชส์จะเป็นอย่างไร (ภาคหน้าของฟาสต์ ก็คงเป็น Endgame ดีๆนี่เอง)ก่อนที่จะเข้าสู่ Fast Furious X หนังพาผู้ชมย้อนกลับไปยังภาคที่ 5 เพื่อปูแบ็คกราวน์ตัวร้ายหลักของภาคนี้ อย่าง ดันเต้ (รับบทโดย เจสัน โมโมอา จาก Aquaman) เขาคือทายาทของเฮอร์แนน พ่อค้ายาตัวพ่อที่โดน ดอมและไบรอันจัดการให้ภาค5 จากความแค้นที่สั่งสมมานานนับทศวรรษ ดันเต้ จึงกลับมาเพื่อล้างแค้นดอน แต่วิธีที่เจ็บปวดที่สุดนั้น กลับไม่ใช่การฆ่าเขา แต่เป็นการทยอยจัดการคนที่เขารัก บุคคลที่ดอมเรียกว่า "ครอบครัว"และเมื่อยิ่งครอบครัวใหญ่ การปกป้องก็ยิ่งยากขึ้น แน่นอนว่าสมาชิกหลักๆของหนังตระกูลฟาสต์ กลับมาแบบครบทีม รวมถึง 3 ตัวร้ายหลักจากภาค 7-9ที่กลับมาเป็นพันธมิตรของดอมไปซะแล้ว ทั้ง เจสัน สเตแธมในบท เด็กการ์ด, ชาร์ลีซ เธียรอน ในบทไซเฟอร์ และจอห์น ซีน่าในบท เจค็อบ น้องชายของดอม พร้อมกับสมาชิกใหม่ ซึ่งนอกจาก เจสัน โมโมอาแล้ว ยังมี บรี ลาห์สัน (จาก Captain Marvel) ในบทเทส ลูกสาวของมิสเตอร์โนบอดี้ และนักแสดงระดับตำนาน ริต้า โมเรร่า ในบทคุณย่าของดอมดูเหมือน Fast Furious X จะเป็นหนังตระกูลฟาสต์ที่เข้ารูปเข้ารอยมากที่สุดในหนังตระกูลนี้ระยะหลังๆ สำหรับผู้เขียนเองยกให้เป็นภาคที่ชอบที่สุดนับตั้งแต่ Fast Five ในแง่ของหนังเล่าเรื่องค่อนข้างลงตัว ไม่ได้สะเปะสะปะเท่าภาคก่อนๆ หนังพยายามจะดึงจุดสำคัญในภาคที่ 5-9 มารวมกันเพื่อนำไปสู่ภาค 11 (และอาจจะมี 12) อย่างที่ วิน ดีเซล พยายามให้เป็นบทสรุป หนังทำหน้าที่นั้นได้อย่างดี แม้ว่าจะมีหลายๆอย่างที่ดู "อิหยังวะ" หรือชวนให้ขำขัน แต่มันก็เป็นคาแรคเตอร์ของหนังตระกูลนี้ไปแล้ว แม้บทหนังจะไม่ได้เพอร์เฟคเต็มร้อย แต่หนังก็สามารถบิลด์ความตึงเครียด สร้างอารมณ์ร่วมได้ค่อนข้างดี และเส้นเรื่องเองก็ไม่ได้ยุ่งเหยิงเกินกว่าที่ควรจะเป็น ทำให้ภาคนี้ดูเป็นหนังฟาสต์ที่ "มีสติ" มากกว่าหลายๆภาคพอสมควรแน่นอนว่าไฮไลต์หลักของตระกูล Fast Furious คือฉากแอ็กชัน ซึ่งยังคงมันส์ สนุกและเร้าอารมณ์ได้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นฉากไล่ล่าใหญ่ในอิตาลี หรือฉากบู๊หนักในช่วงท้าย ซึ่งสิ่งที่เห็นได้ชัด คือความพยายามที่จะลดระดับความเว่อร์ลงมา หลังจากภาคก่อนๆไปไกลถึงระดับออกนอกโลก จนเกือบจะกลายเป็นหนังแฟนตาซีไปแล้ว ภาคนี้เห็นได้ชัดว่าผู้กำกับพยายามทำฉากแอ็กชันให้สมจริงมากขึ้น แม้จะยังเว่อร์อยู่เมื่อเทียบกับภาคแรกๆ แต่มันก็เป็นความเว่อร์ในระดับที่รับได้ ไม่ได้โม้จนถึงขั้นหัวเราะออกมา เป็นความเว่อร์ที่ไม่ได้ทำให้เส้นเรื่องที่ค่อนข้างตึงเครียด ดูเครียดน้อยลงแต่อย่างใด ดูจะเป็นฉากแอ็กชันที่โม้ในระดับที่ผู้ชมพอจะทำใจได้ว่า มันก็อาจจะเกิดขึ้นจริงก็ได้นะ ซึ่งภาคนี้ทำได้ดี จัดใหญ่จัดเต็มแบบคุ้มค่าตั๋วในการดูในโรงภาพยนตร์อย่างแน่นอนและอีกหนึ่งไฮไลต์หลักที่สำคัญมากสำหรับ Fast Furious X คือการปรากฏตัวของ เจสัน โมโมอา ตัวร้ายหลักประจำภาคที่สามารถยกให้เป็น MVP ของหนังเลยก็ว่าได้ เขาคือตัวร้ายที่มีทั้งเสน่ห์ มีทั้งอารมณ์ขัน แต่ก็อัดแน่นด้วยความอำมหิตเช่นเดียวกัน ทำให้ทุกฉากที่เขาปรากฏตัวแทบจะขโมยซีนไปได้ทั้งหมด ยิ่งคาแรคเตอร์ที่เหมือนจะตรงข้ามดอมทุกประการยิ่งทำให้แย่งซีนได้ง่ายมาก ต่างจากตัวร้ายภาคก่อนๆ ทั้ง เจสัน, ชาร์ลีซ หรือแม้แต่ จอห์นในภาคก่อน จะมีบุคลิกค่อนข้างนิ่ง ขรึม ต่างจากตัวละครนี้ ที่แม้จะเอาฮา ดูบ้า แต่ก็โหดของจริง ความเหี้ยมของตัวละครนี้ทำให้ Fast X เข้าสู่โหมดจริงจังได้อย่างเต็มที่ จนอยากจะยกให้บท ดันเต้ ของเจสัน โมโมอา คือตัวร้ายที่ดีที่สุด และอันตรายกับดอมมากที่สุด ในบรรดาหนังตระกูลฟาสต์ทุกภาคเลยด้วยซ้ำสำหรับใครที่เริ่มจะเบื่อๆหรือเอือมระอากับหนังตระกูล Fast Furious ที่ไม่จบไม่สิ้นเสียที อยากให้ลองกลับมาดูภาคนี้ เป็นภาคที่เหมือนพาแฟรนไชส์นี้ กลับสู่จุดพีกสุดอีกครั้ง หลังจากพีกไปมากๆในภาค 5 และภาค7 ต้องขอบคุณการเข้ามาของผู้กำกับ หลุยส์ เลตเตอเรีย (จาก Now You See Me และ Clash of the Titans) ที่บาลานซ์เรื่องค่อนข้างดี คุมหนังให้ไม่ออกนอกลู่นอกทางเท่าไหร่นัก และเป็นภาคที่หยิบเอบคำว่า "ครอบครัว" ซึ่งเป็นจุดแข็งแรงของตัวละครหลักมาตลบหลังให้กลายเป็นจุดอ่อน นี่คือภาคที่ทั้งสนุก ทั้งเข้มข้น และค่อนข้างลงตัวกว่าหลายๆภาค แม้มันจะยังคงเว่อร์ ยังคงมีบาดแผล ตามสไตล์หนังฟาสต์ แต่ต้องยอมรับว่า Fast X คือภาคที่บันเทิงกว่าหลายๆภาคในระยะหลังจริงๆ ปล. ดูในระบบ IMAX ยิ่งเพิ่มอารมณ์ร่วม ฉากแอ็กชันใหญ่ช่วยบิลด์ความอลังการได้ดีมากชมตัวอย่าง Fast Furious X (เร็ว..แรงทะลุนรก 10) วันนี้ในโรงภาพยนตร์ภาพ : UIP Thailand

[REVIEW] “House of Gucci” มหากาพย์เลือดข้นคนกุชชี การแสดงฟาดหนัก | GOSSIP GUN

19 ม.ค. 2022

[REVIEW] “House of Gucci” มหากาพย์เลือดข้นคนกุชชี การแสดงฟาดหนัก | GOSSIP GUN

นี่คือหนังอาชญากรรมกึ่งชีวประวัติที่เต็มไปด้วยแง่มุมที่ดึงดูดผู้ชม เริ่มจากพล็อตที่โคตรหวือหวา สร้างจากคดีจริงเบื้องลึกตระกูลดังแห่งแวดวงแฟชั่นอย่าง กุชชี แบรนด์เนมชื่อก้องโลก เรื่องราวความรัก การแย่งชิงอำนาจ นำไปสู่โศกนาฏกรรมที่ไม่มีใครคาดคิด ซึ่งประเด็นเหล่านี้ ดึงดูดผู้กำกับชั้นครู อย่าง ริดลีย์ สก็อตต์(จากAlienและGladiator)ให้สนใจอยากสร้างเป็นหนังนานนับทศวรรษแล้ว แต่กว่าจะเป็นจริงขึ้นมาได้ ก็คือไม่นานมานี้ และตัวเลือกของริดลีย์สำหรับบทนำนี่เอง ที่ทำให้หน้าหนังของHouse of Gucciอิมแพคยิ่งกว่าหนังดรามาเรื่องไหนๆ เพราะเขาเลือก เลดี้ กาก้า ที่ปังสุดๆ จากบทนำครั้งแรกในA Star is Bornมารับบทนำเป็นครั้งที่2แล้วแวดล้อมด้วยนักแสดงเบอร์เทพ ระดับ อัล ปาชิโน,เจเรมี่ ไอรอนส์,อดัม ไดรเวอร์ และจาเรด เลโต้ และรายหลังนี่เองที่สร้างความปังขั้นสุด ด้วยการแปลงโฉมเพื่อแสดงในหนัง จนแทบจะไม่มีใครจำได้!ในHouse of Gucciหนังพาผู้ชมย้อนกลับไปสมัยปลายยุค70sเล่าถึง แพทริเซีย(รับบทโดย เลดี้ กาก้า)หญิงสาวธรรมดาๆที่ฝันไกลอยากไต่เต้าเป็นมหาเศรษฐี จนกระทั่งเธอได้รู้จัก มัวริซิโอ้(รับบทโดย อดัม ไดรเวอร์ จากStar Wars : The Force Awakens)ทายาทตระกูลกุชชี่ ซึ่งตอนแรกเจ้าตัวแทนจะไม่สนใจธุรกิจของครอบครัว แต่ความรักของทั้งสองกลับขัดใจ โรดอฟโฟ(รับบทโดย เจเรมี่ ไอรอนส์)พ่อของเขา ทำให้มัวริซิโอ้ เริ่มไปสนิทกับคุณลุง(ซึ่งรับบทโดย อัล ปาชิโน)อีกหนึ่งหุ้นส่วนสำคัญของ กุชชี่แทน และเขานี่เองที่พยายามผลักดันและเชื้อเชิญให้ มัวริซิโอ้กลับมาสานต่อธุรกิจให้ครอบครัว ซึ่งแพทริเซียก็เห็นด้วยตามนั้น เพราะลูกชายแท้ๆของลุง(รับบทโดย จาเรด เลโต้ ที่แปลงโฉมอย่างหนัก)ไร้พรสวรรค์เกินกว่าจะทำงานด้านแฟชั่นได้ แม้ว่าเขาจะพยายามแค่ไหนก็ตาม ซึ่งทั้งหมดเริ่มค่อยๆนำไปสู่ปมบาดหมางในครอบครัว ความทะเยอทะยานของแพทริเซียค่อยๆล้ำเส้น เกินกว่าใครจะคาดเดาไฮไลต์ที่ทำให้ผู้ชมเพลิดเพลินมากที่สุดกับHouse of Gucciคือการฟาดฟันกันของเหล่านักแสดงที่เล่นดีกันแบบยกแผง ไม่มีใครดร็อปกว่าใครเลยจริงๆ ใจจริงเป็นห่วง เลดี้ กาก้า มากที่สุด เพราะเธออยู่ท่ามกลางนักแสดงฝีมือฉกาจทั้งหมด แต่เธอก็สวมบท แพทริเซีย แบบสุดพลังเช่นกัน แม้ว่าหลายฉากอาจจะดูแสดงล้นไปนิดๆ แต่อินเนอร์สำหรับบทนี้มาเต็ม แทบจะเกินร้อยทำให้เธอไม่ได้จมหายไปกับหนัง แถมยังแสดงความรู้สึกของตัวละครออกมาได้มีพลังสุดๆ และที่สำคัญคือเคมีของเธอกับ อดัม ไดรเวอร์ เจ้าของบทสามี ที่แน่นอนว่ารายหลังไร้ข้อกังขาเรื่องฝีมือไปนานแล้ว แต่ยิ่งดูจะยิ่งสัมผัสได้ว่าสองตัวละครนี้ มันไปด้วยกันได้ดีมากๆจริงๆแต่ที่บียอนด์ยิ่งกว่า คือสามนักแสดงที่เหลือ อัล ปาชิโน กับ เจเรมี ไอรอนส์ คือไร้ข้อกังขา ทั้งสองแสดงพลังออกมาไม่แพ้หนังเรื่องไหนๆ ยิ่งอยู่ด้วยกันพลังยิ่งเพียบ แผ่รังสีจนสุด แต่สิ่งบียอนด์ในบียอนด์ ขโมยซีนไปจนหมดต้องยกให้ จาเรด เลโต้ ที่ดูกี่ฉากก็ไม่ชินและไม่เชื่อว่านี่คือเขา เพราะไม่เหมือน จาเรด เลโต้ที่ีเคยเห็นเลย เขากลายเป็นตัวละครนั้นได้แบบเต็มตัว เหลือเพียงแววตาที่เราคุ้นว่านี่คือจาเรดเท่านั้น ยิ่งฉากที่เขาเข้ากับ อัล ปาชิโน ซึ่งแสดงเป็นพ่อ ยิ่งเป็นฉากที่ละสายตาจากจอไม่ได้จริงๆ เคมีระหว่างพ่อลูกที่ทั้งรักทั้งเกลียดกันคู่นี้ มันสุด ซีนเหล่านี้คือสมบัติอันล้ำค่าของฮอลลีวู้ดมากๆแน่นอนว่าตัวพล็อตที่เลือกมาเล่า มันมีความเข้มข้นน่าติดตามอยู่แล้ว ปมขัดแย้งในครอบครัวที่นำไปสู่คดีอาชญากรรมมันสนุกมันชวนดึงดูดให้ลุ้นตาม แต่ปัญหาหลักของHouse of Gucciน่าจะเกิดจากจังหวะในการเล่าของ ริดลีย์ สก็อตต์ ที่ในเรื่องนี้เขาตัดสินใจเล่าตามลำดับเวลา และจังหวะค่อนข้างออกไปทางเรื่อยๆเรียงๆไปนิด ด้วยความยาวถึง2.40ชม.กลายเป็นว่าหนังยาวเกินความจำเป็น และแทบจะไม่ได้มี จุดฮุกให้ผู้ชมรู้สึกลุ้นตามเท่าไหร่นัก กลายเป็นนักแสดงแผดฝีมือขั้นสุด แต่ตัวการตัดต่อและเล่าเรื่อง กลับไม่ค่อยได้บิลด์ตามการแสดงเท่าไหร่ จึงน่าเสียดายพอสมควร(ให้7.5คะแนน จากคะแนนเต็ม10คะแนน)

[REVIEW] ‘OMG รักจังวะ..ผิดจังหวะ’ นี่คือเพื่อนสนิทในฉบับยุคใหม่ หวนนึกถึงหนังวัยรุ่นจีทีเอช | GOSSIP GUN

28 ต.ค. 2022

[REVIEW] ‘OMG รักจังวะ..ผิดจังหวะ’ นี่คือเพื่อนสนิทในฉบับยุคใหม่ หวนนึกถึงหนังวัยรุ่นจีทีเอช | GOSSIP GUN

นานแค่ไหนแล้วที่ผู้ชมไม่ได้ดูหนังวัยรุ่น ในแบบที่คุณเคยตกหลุมรักค่ายจีทีเอช หนังรักในวัยเรียนในแบบ เพื่อนสนิท หรือ Season Change การมาถึงของ 'OMG รักจังวะ..ผิดจังหวะ' เป็นเหมือนการพาผู้ชมย้อนกลับไปสัมผัสหนังรักในสไตล์นั้นอีกครั้ง แต่ถูกเล่าด้วยจังหวะในแบบยุคใหม่ ในสไตล์ของคนรุ่นใหม่ แต่ยังคงมีพล็อตที่กระแทกใจ และคนส่วนใหญ่สามารถเชื่อมโยงกับประสบการณ์ของตัวเองได้ นั่นทำให้ OMG มีส่วนผสมของหนังวัยรุ่นจีทีเอชที่หลายคนคิดถึง กับซีรีส์วัยรุ่นยุคปัจจุบันที่มีสไตล์การเล่าที่ค่อนข้างเร็ว มีจังหวะที่โบ๊ะบ๊ะ เหมือนดูรายการทาง YouTube ผสมกับความเป็นยุค TikTok บวกกับวิธีการเล่าในแบบหนังของ เต๋อ นวพล'OMG รักจังวะ..ผิดจังหวะ' มาพร้อมกับชื่อตัวละครที่จำง่ายๆ เพราะแทบจะโยงมาจากชื่อจริงของนักแสดงนำเกือบทั้งหมด เล่าเรื่องราวของ กาย (รับบทโดย สกาย วงศ์รวี) เด็กหนุ่มที่โตมากับพี่น้องหญิงล้วน ที่คอยสอนเขาให้จีบหญิง มารยาทในการเข้าสังคมกับผู้หญิง กายตกหลุมรัก จูน (รับบทโดย จูเน่ เพลินพิชญา) เพื่อนในมหาลัยฯเดียวกัน แต่ทุกครั้งที่เขาพยายามจะจีบหรือบอกรักจูน ดูเหมือนพระเจ้าจะไม่เข้าข้างเขาตลอด ทุกอย่างดูผิดจังหวะและไม่เป็นใจไปเสียหมด ตอนที่เขาโสด จูนก็ดันมีแฟน พอจูนเลิกกับแฟน กายก็ดันไม่โสด จังหวะไม่ลงล็อกเสียที จนกระทั่ง จูนได้เจอกับ พี่พีต (รับบทโดย พีช พชร) หนุ่มนักร้องโปรไฟล์โคตรดี ชายหนุ่มสุดแสนจะเพอร์เฟ็ค การที่ที่จูนคบกับพี่พีต ทำให้ความรักของกาย ยิ่งไม่เป็นไปตามแผน ท้ายที่สุด จังหวะรักของเขาและจูน จะลงตัวหรือไม่ ต้องไปติดตามกันต่อในหนังอย่างที่เกริ่นไป OMG เป็นหนังโรแมนติกคอเมดี้ที่ไม่ค่อยเห็นค่ายหนังอารมณ์ดีสร้างมาสักพักแล้ว (ส่วนใหญ่ จีีดีเอช จะสร้างหนังรอมคอมที่ตัวละครโตขึ้นกว่าเดิม อย่าง น้อง/พี่/ที่รัก และ Friend Zone ที่ไม่ใช่วัยรุ่นในรั้วมหาลัยฯ) การพาผู้ชมไปสัมผัสความรักของวัยเรียนอีกครั้ง ทำให้หวยคิดถึงหนังรักวัยรุ่นแบบ จีทีเอช อยู่ไม่น้อย ระหว่างที่ดู OMG ทำให้หวนคิดถึงหนังอย่าง เพื่อนสนิท ตลอดเวลา พร้อมกับนึกไปว่า ถ้าเพื่อนสนิท ถูกหยิบมาสร้างในยุคนี้ มันก็คงเล่าเรื่องในสไตล์แบบนี้ จังหวะแบบนี้ Pacing แบบนี้ ที่ค่อนข้างลงล็อกกับรสนิยมของวัยรุ่นยุคนี้ นอกจากพล็อตที่มีจุดร่วมคือการตกหลุมรักเพื่อนสนิทแล้ว ตัวละคร กาย ยังทำให้หวนนึกถึง หลายๆบทที่ ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ เคยแสดง มีคาแร็คเตอร์ที่คล้ายคลึงกัน หรือแม้แต่การลง Voice Over สิ่งที่ตัวละครกายคิด ก็มีความคล้ายคลึงกับหนังอย่าง ฟรีแลนซ์ อยู่ไม่น้อย แม้ว่าหนังอาจจะไม่สามารถเทียบเท่าหนังอย่าง เพื่อนสนิท หรือ Season Change ที่กลายเป็นหนังวัยรุ่นระดับคลาสสิกไปแล้ว แต่ OMG ก็สนุกมากพอที่จะทำให้นึกถึงหนังเหล่านั้นสิ่งที่น่าชื่นชมสำหรับ OMG มีหลายๆส่วน ที่ทำให้หนังค่อนข้างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นมุกตลก ที่จังหวะโบ๊ะบ๊ะและเวิร์กในเกือบทุกฉาก พอถึงช่วงดราม่าหนักๆ หนังก็สามารถดึงจังหวะให้ผู้ชมอินกับอารมณ์ในฉากนั้นได้ ไม่ได้ย้วยหรือสั้นจนเกินไป รวมถึงการแสดงของทั้ง สกายและจูเน่ ที่ต่างมีเสน่ห์และออร่ามากๆทั้งคู่ บวกกับเคมีที่เข้ากันดี เหมาะกับการเป็นทั้งเพื่อนสนิทและคู่รัก จนอดเชียร์สองตัวละครนี้ไม่ได้ แต่สิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดของ OMG คือ บทภาพยนตร์ และการตัดสินใจว่าเส้นเรื่องจะไปยังจุดไหน โดยเฉพาะในครึ่งหลัง ที่มีปมด้านศีลธรรมเข้ามาเกี่ยวข้อง หนังเลือกทางออกที่สมจริงมากพอ เลือกบทสรุปที่ค่อนข้างน่าพอใจ ทำให้สิ่งที่ OMG ปูมาตั้งแต่แรกไม่สูญเปล่า ไม่ว่าจะในแง่มุมใดโดยรวม 'OMG รักจังวะ..ผิดจังหวะ' คือหนังรอมคอมวัยรุ่นฟีลกู้ด ที่ผู้ชมน่าจะเอ็นจอยกับเรื่องราวและอินกับหนังได้อย่างไม่ยาก ด้วยพล็อตที่เชื่อว่าใกล้ตัวเกือบทุกคน ไม่ว่าจะเคยผ่านประสบการณ์แบบนี้มา หรืออาจจะกำลังเกิดขึ้นกับตัวเองในขณะนี้ ผ่านการแสดงที่มีเสน่ห์มากๆ ของทั้ง สกายและจูเน่ สองนักแสดงที่ถ่ายทอดสองตัวละครที่มีความเป็น มนุษย์สุดๆ ดีบ้าง ร้ายบ้าง เห็นแก่ตัวบ้าง เอาแต่ใจบ้าง ชั่วบ้าง แต่ทั้งหมดมันก็คือ คนทั่วไป ที่ผิดพลาดได้ แต่ก็ต้องแก้ไขและยอมรับในความผิดพลาด หลายครั้งที่ผู้ชมทั้งเชียร์และไม่เชียร์คู่นี้ ตามจังหวะชีวิตและสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปในแต่ละฉาก หนังยังฝากให้ผู้ชมได้คิดในหลายๆประเด็นความรัก จังหวะที่ใช่มันคืออะไร ต้องไปหาคำตอบกันในหนังเรื่องนี้'OMG รักจังวะ..ผิดจังหวะ' วันนี้ในโรงภาพยนตร์ภาพ : GDH

[REVIEW] ‘Dungeons & Dragons : Honor Among Thieves’ จากเกมคลาสสิกสู่หนังโจรปล้นโจร ที่โคตรมันส์และเถิดเทิง | GOSSIP GUN

29 มี.ค. 2023

[REVIEW] ‘Dungeons & Dragons : Honor Among Thieves’ จากเกมคลาสสิกสู่หนังโจรปล้นโจร ที่โคตรมันส์และเถิดเทิง | GOSSIP GUN

เชื่อว่าเด็กอเมริกันจำนวนไม่น้อย ต้องเติบโตมากับเกมกระดาน Dungeons Dragons เกมสุดคลาสสิกที่อายุเก่าแก่เกือบ 50 ปี ซึ่งกลายเป็นวัฒนธรรมป็อปที่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม มีกลุ่มแฟนเกมที่เหนียวแน่น จนกระทั่งมีนิตยสารที่เกี่ยวกับเกมนี้โดยเฉพาะ และถูกต่อยอดไปเป็นทั้งซีรีส์ และวีดีโอเกมคอมพิวเตอร์มากมาย สำหรับการดัดแปลงเป็นหนังใหญ่นั้นDungeons Dragons ก็เคยผ่านจุดนั้นมาแล้ว แต่กลับไม่ได้รับความนิยมมากนัก จนล่าสุดพาราเมาต์ขอคว้าสิทธิ์เกมดังกล่าว มาขึ้นจอใหญ่อีกครั้ง ผ่านฝีมือการกำกับของสองผู้กำกับ โจนาธาน โกลด์สตีน และ จอห์น ฟรานซิส เดลีย์ ที่เคยฝากผลงานเขียนบท Spider-Man : Homecoming มาแล้ว และทั้งคู่ยังโด่งดังจากการกำกับหนังตลกสุดอลหม่านอย่าง Vacation และ Game NightDungeons Dragons : Honor Among Thieves พาผู้ชมเข้าสู่โลกแฟนตาซีที่มนุษย์อาศัยอยู่ร่วมกับสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดมากมาย โลกที่เวทมนตร์นั้นมีอยู่จริง โดยโฟกัสเรื่องราวที่คู่หูคู่โจร เอดจิ้น และโฮลก้า (รับบทโดย คริส ไพน์ และมิเชลล์ โรดริเกซ) ที่หลังจากออกคุก พวกเขาก็เดินทางไปตามหาคีร่า ลูกสาวของเอดจิ้นที่ฝากเพื่อนไว้ จนกระทั่งเขาได้พบว่า ฟอร์จ (รับบทโดย ฮิวจ์ แกรนต์) เพื่อนคนดังกล่าว บัดนี้ได้กลายเป็นเจ้าเมืองที่มีอำนาจยิ่งใหญ่ไปแล้ว โดยทั้งเอดจิ้นและโฮลก้าได้พบว่า ฟอร์จนั้นมีแผนการลับสุดอันตรายซ่อนเร้นอยู่ ทั้งคู่จึงต้องรวบรวมเหล่าบรรดาโจรที่พวกเขาเคยรู้จัก กลายเป็นทีมเฉพาะกิจเพื่อบุกไปยังปราสาท ช่วยเหลือคีร่าออกมา พร้อมกับปราบฟอร์จ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไปในบรรดาหนังจากเกมส์ ที่สนุกบ้างแป้กบ้าง (ซึ่งส่วนใหญ่จะออกไปทางคว่ำ) Dungeons Dragons : Honor Among Thieves สามารถจัดเข้าสู่กลุ่มหนังเกมส์ที่สนุกมากได้อย่างง่ายดาย หลังจากที่ HBO ส่ง The Last of Us กลายเป็นซีรีส์จากเกมส์ที่ฮิตติดลมบนและกวาดคำชมไปมากมายแล้ว ถึงคิวของหนังเรื่องนี้บ้าง ที่จะต่อยอดความนิยมของคอนเทนต์จากเกมที่ออกมาดีอย่างต่อเนื่อง นี่คือหนังแฟนตาซีที่ทำออกมาได้สนุกแบบครบสูตร ทำถึงอารมณ์แบบครบรส ตามที่หนังบล็อกบัสเตอร์ หรือหนังป็อปคอร์นที่ควรจะเป็น มาพร้อมกับเส้นเรื่องที่สนุกน่าติดตาม ฉากแอ็กชันที่ยิ่งใหญ่อลังการชวนลุ้น ไม่ใช่หนังแฟนตาซีที่ดูถูกคนดู ฉากตลกที่สอดแทรกได้อย่างลงตัว จังหวะการปล่อยมุกต่างๆที่ค่อนข้างแม่นยำ และหนังยังสามารถสร้างแก๊งตัวละครที่ีผู้ชมอยากจะเอาใจช่วย ไม่มีตัวไหนเลยที่ดูหลุดออกไปจากโลกของ Dungeons Dragonsแม้ว่าลุคภายนอกของDungeons Dragons อาจจะดูคล้ายหนังแฟนตาซีหลายต่อหลายเรื่อง แต่สิ่งที่ทำให้หนังโดดเด่นออกมาจากหนังแฟนตาซีทั่วไป คือ Mood Tone แบบเถิดเทิงของหนัง ด้วยสไตล์ของผู้กำกับที่ถนัดหนังตลกมาก่อน พวกเขาจึงหยิบอารมณ์ขันไปจัดวางในเส้นเรื่องได้อย่างแม่นยำ พร้อมกับแต่งแต้มตัวละครให้น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นบทพระเอกของ คริส ไพน์ ที่ความอารมณ์ดีของเขายิ่งชวนให้หนังน่าติดตาม แพ็คคู่กับตัวละครของ มิเชลล์ โรดริเกซ ที่เธอเหมือนขั้วตรงข้าม เธอจะเป็นสไตล์ตลกหน้าตาย ทำให้จังหวะรับส่งมุกยิ่งดูแตกต่างและลงตัวไปเสียงอีก แต่นักแสดงที่เหมาะกับบทและเข้ากับหนังได้อย่างมากคือ ฮิวจ์ แกรนต์ เนื่องจากตัวละครของเขามีลักษณะเป็นคนพล่าม พูดไปเรื่อยแบบไร้จุดหมาย คล้ายคลึงกับคาแรคเตอร์ที่ ฮิวจ์ เคยแสดงมาแล้วในหลายต่อหลายเรื่อง ยิ่งเพิ่มความสนุกให้กับหนังยิ่งขึ้นไปอีกชื่อของ Dungeons Dragons : Honor Among Thieves แม้ต้นฉบับจะเป็นเกมที่อายุเก่าแก่เกือบครึ่งศตวรรษ แต่มันกลับกลายเป็นหนังแฟนตาซีที่ไม่ได้ใกล้เคียงกับคำว่า โบราณ เลยแม้แต่น้อย มันเป็นหนังแอ็กชันแฟนตาซีที่อัดแน่นไปด้วยความสนุก ผสมผสานกับความโบ๊ะบ๊ะของตัวละครได้อย่างลงตัว มุกและอารมณ์ขันถูกจับวางไว้อย่างดี ทำให้หนังยิ่งดูมีลูกล่อลูกชน เพิ่มเสน่ห์ของหนังให้มากยิ่งขึ้นไปอีก และที่เซอร์ไพรสยิ่งกว่าคือ นอกจากซีนบู๊และซีนตลกแล้ว หนังยังสามารถเข้าโหมดดราม่าได้อย่างเข้าถึงอารมณ์ ผู้ชมจะสนุกและอินกับหนังไปอย่างไม่รู้ตัว นี่คือหนังสนุกที่เชียร์ให้กวาดรายได้มากๆ เพราะโลกของ Dungeons Dragons มันช่างบันเทิงจนแอบเสียดายถ้ามันไม่ได้ไปต่อ เพราะฉะนั้นไปดูกันเยอะๆ รับประกันว่า จะเต็มไปด้วยความเอ็นจอย และคุณอาจจะตกหลุมรักเหล่าตัวละครได้อย่างง่ายดายชมตัวอย่าง Dungeons Dragons : Honor Among Thievesเปิดรอบพิเศษ 24 มีนาคมหลัง 1 ทุ่ม / ฉายจริง 29 มีนาคมภาพ : UIP Thailand

album

0
0.8
1