[REVIEW] ‘Guardians of the Galaxy Vol.3’ ส่งท้ายอย่างยิ่งใหญ่ ปิดไตรภาคการ์เดี้ยนอย่างทรงพลัง | GOSSIP GUN

HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘Guardians of the Galaxy Vol.3’ ส่งท้ายอย่างยิ่งใหญ่ ปิดไตรภาคการ์เดี้ยนอย่างทรงพลัง | GOSSIP GUN

08 พ.ค. 2023

การเข้าฉายของ Guardians of the Galaxy Vol.3 เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่แสดงให้เห็นชัดเจน ถึงการเดินหมากที่ผิดพลาดของMarvel Studios ยิ่งเมื่อผลตอบรับของหนังออกมาในแง่บวกมากๆ ในวันที่ค่ายปล่อย เจมส์ กันน์ ให้หลุดมือไปคุมค่ายคู่แข่งอย่าง DC ไปแล้ว ยิ่งน่าเสียดายแทนยิ่งนัก อันที่จริงแล้วหนังเรื่องนี้ควรฉายได้ตั้งแต่ 2-3 ปีที่แล้วด้วยซ้ำ ตั้งแต่ Avengers : Endgame เพิ่งจบใหม่ๆ พอมาฉายตอนนี้ ซึ่งทิ้งห่างจาก Guardians of the Galaxy Vol.2 นานถึง 6 ปี ดูเหมือนจะกลายเป็นการทิ้งช่วงที่นานเกินไป ทั้งหมดเป็นเพราะความตื่นตูมของดิสนีย์ที่ไล่ผู้กำกับ เจมส์ กันน์ ออกเพราะเหตุดราม่าในทวิตเตอร์อันน้อยนิด จนในที่สุดก็ต้องมาย้อนคำตัดสินของตัวเอง เมื่อเห็น กันน์ ไปกำกับ The Suicide Squad ให้ค่ายคู่แข่ง ทำให้การเกิดขึ้นของหนังเรื่องนี้ช้าเกินไปอย่างน่าเสียดาย ดันมาในช่วงเวลาที่กระแสความไฮป์ของจักรวาลมาร์เวลเริ่มจางหายไปเสียแล้ว..

Guardians of the Galaxy Vol.3 ถูกวางตัวไว้ในฐานะหนังปิดไตรภาคของแก๊งการ์เดี้ยน และเล่าเหตุการณ์ไม่นานนักหลังจากAvengers : Endgame เมื่อปีเตอร์ สูญเสียคนรักของเขาอย่างกามอร่าไป สมาชิกของแก๊งอาศัยอยู่ในโนแวร์ และทำภารกิจปกป้องจักรวาลไปเรื่อยๆ ในภาคนี้ หนังจะเล่าเหตุการณ์ใน 2 ไทม์ไลน์ไปพร้อมๆกัน โดยศูนย์กลางของเรื่องอยู่ที่ร็อคเก็ต เมื่อมันถูกโจมตีโดย อดัม วอร์ล็อก ทำให้ชีวิตตกอยู่ในอันตราย ทันใดนั้นทุกคนต่างรู้ว่า ตัวเองแทบจะไม่รู้ที่มาของร็อคเก็ตเลย หนังจึงค่อยๆพาผู้ชมและสมาชิกชาวการ์เดี้ยน ย้อนกลับไปยังที่มาของตัวละครนี้ ซึ่งจะเกี่ยวพันกับเหตุการณ์สำคัญยิ่งในอนาคตที่กำลังจะมาถึง นี่คือหนังที่นอกจากจะพาผู้ชมไปสู่บทสรุปของเหล่าการ์เดี้ยน แต่ก็ยังพาผู้ชมย้อนกลับไปสู่จุดเริ่มต้นเช่นกัน

นี่คือหนังปิดไตรภาคที่นอกจากจะคงเอกลักษณ์ของความเป็น Guardians of the Galaxy ไว้ได้อย่างครบถ้วน มันยังกลายเป็นหนังภาคที่ทรงพลังมากที่สุดในบรรดาไตรภาค รวมถึงหนังตระกูลมาร์เวลในยุคหลังๆ แม้ครึ่งแรกหนังจะใช้เวลาพอสมควร ในการเคาะสนิม ค่อยๆพาผู้ชมย้อนกลับไปดูความเป็นไปของตัวละคร แต่เมื่อชั่วโมงหลังมาถึง ทุกองค์ประกอบของ Guardians of the Galaxy Vol.3 ถือว่าก้าวเข้าสู่จุดพีกแทบทั้งหมด ด้วยประเด็นของหนังที่ค่อนข้างจริงจังและจับประเด็นที่ค่อนข้างใหญ่ยิ่งกว่าทุกภาค นำไปสู่ฉากไคลแม็กซ์ที่จัดเต็มทั้งในแง่ของเส้นเรื่องและงานสร้าง กลายเป็นการปิดท้ายการผจญภัยของเหล่าการ์เดี้ยนที่น่าพอใจและคู่ควรสำหรับกลุ่มของคาแรคเตอร์ที่แฟนๆรักเช่นนี้

ยิ่งที่แข็งแรงมากๆของหนังตระกูล Guardians of the Galaxy ไม่ใช่ของการแสดงพลังพิเศษของตัวละครแบบในหนังซูเปอร์ฮีโร่ทั่วไป แต่มันคือการแสดงพลังแห่งมิตรภาพและความเป็นอันหนึ่งอันเดียว การจับมือกัน ซึ่งในภาคนี้ไม่ใช่แค่แก๊งการ์เดี้ยนแล้ว แต่มันคือการร่วมมือกันของทุกชีวิต เอกลักษณ์สำคัญที่ทุกตัวละครการ์เดี้ยนมีจุดร่วมกัน คือความ "ไม่สมบูรณ์แบบ"ทุกตัวละครล้วนมีจุดแปลก จุดบกพร่องของตัวเอง แต่เมื่อทุกคนร่วมมือกัน มันกลายเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ ซึ่งหนังภาคนี้โดยเฉพาะในครึ่งหลัง ไม่ได้แค่เชิดชูแค่ความเป็นตัวตนที่ไม่เหมือนใครเท่านั้น แต่เชิดชูการมีชีวิตของทุกชีวิต นี่คือหนังที่่ไม่เพียงแต่จะทำให้เราหันไปมองคนรอบข้าง แต่กลับมองทุกชีวิตอย่างมีคุณค่า แม้ว่าจะไม่ใช่สปีชีย์เดียวกับเราก็ตาม ซึ่งในหนังหลายๆเรื่องมองข้ามจุดๆนี้ไป

แม้ Guardians of the Galaxy Vol.3 จะพาผู้ชมไปสู่จุดที่จริงจัง ทรงพลัง และยิ่งใหญ่กว่าทุกภาค ด้วยความซีเรียสของเส้นเรื่องที่ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความเป็นความตายของตัวละคร ตัวร้ายที่พร้อมฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุเพราะทำตัวเยี่ยงพระเจ้า แต่หนังยังคงเอกลักษณ์ของ Guardians of the Galaxy ไว้อย่างครบถ้วน ในแบบที่ถ้าไม่ใช่ เจมส์ กันน์ ก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าใครจะสามารถทำได้ดีเท่า เอกลักษณ์ความเป็นการ์เดี้ยนในที่นี้ ประกอบไปด้วยความเกรียนอย่างร้ายกาจ มิตรภาพอันแน่นแฟ้นของตัวละคร จัดเข้ากลุ่มจำพวกปากร้ายแต่ใจดี จังหวะมุกต่างๆทำออกมาได้ค่อนข้างเวิร์กมากๆ และจังหวะประทับใจก็ถูกจัดวางไว้อย่างเป็นที่น่าพอใจเช่นเดียวกัน

โดยรวมแม้ Guardians of the Galaxy Vol.3 จะเป็นภาคปิดท้าย แต่มันก็ได้พาผู้ชมกลับสู่รากเหง้าของตัวละครหลายๆตัว แม้จะชูร็อคเก็ตเป็นแกนหลัก แต่ก็ยังไม่ทิ้ง สตาร์ลอร์ดและตัวละครอื่นๆ เป็นการเหลียวหลังเพื่อไปต่ออย่างแข็งแร็ง นี่คือหนังที่น่าจะเป็นที่พึงพอใจสำหรับแฟนหนังมาร์เวลอย่างแน่นอน และสำหรับผู้ชมทั่วไปก็น่าจะทำให้ตกหลุมรักตัวละครเหล่านี้เพิ่มมากขึ้น และยิ่งคิดถึงมากขึ้นไปอีกเมื่อเส้นทางในหนังชุดนี้กำลังจะจบลง สิ่งที่อยากทิ้งท้ายแถมไว้สำหรับคนดูทั่วไป ถ้าใครเป็น คนรักสัตว์ และคนรักเสียงเพลงละก็ นี่คือหนังที่จะทำให้คุณฟินมากขึ้นอีกสเต็ปอย่างแน่นอน

ชมตัวอย่าง Guardians of the Galaxy Vol.3 วันนี้ในโรงภาพยนตร์

 

ภาพ : Marvel Thailand

related HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘ขุนพันธ์ ๓’ ปิดไตรภาคแบบจัดใหญ่ หนังฮีโร่แบบไทยๆที่ไม่ธรรมดา| GOSSIP GUN

02 มี.ค. 2023

[REVIEW] ‘ขุนพันธ์ ๓’ ปิดไตรภาคแบบจัดใหญ่ หนังฮีโร่แบบไทยๆที่ไม่ธรรมดา| GOSSIP GUN

จะว่าไปแล้วในระยะหลัง การสร้างหนังไทยให้เป็นแฟรนไชส์ใหญ่ก็ดูจะลดลงเรื่อยๆ ยิ่งช่วงโควิด-19 ที่ระบาดหนักทำให้หนังไทยฟอร์มใหญ่ๆ หายไปจากการเข้าฉายในโรงมานานพอสมควร การกลับมาของหนังตระกูล 'ขุนพันธ์' ที่เดินทางมาถึงภาคที่3 แล้ว ดูจะเป็นการปักธงรบครั้งสำคัญ ที่ประกาศกร้าวว่า หนังไทยพร้อมที่จะคัมแบ็คแล้ว ด้วยฟอร์มที่จัดใหญ่จัดเต็มยิ่งกว่าสองภาคที่ผ่านมา ทุ่มทุนสร้างเนรมิตฉากแอ็กชันสุดอลังการ การันตีความเอพิคด้วยความยาวที่เฉียดๆ 2 ชั่วโมง 40 นาที ทำให้ 'ขุนพันธ์ ๓' เป็นหนังไทยโปรแกรมใหญ่ ที่มาเพื่อเติบเต็มอุตสาหกรรมหนังไทยอีกครั้ง และผลลัพธ์ที่ออกมา ดูเหมือนว่านี่ีคือความพยายามที่ไม่เสียเปล่า เพราะคำวิจารณ์ล็อตแรก ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า นี่คือหนังที่โคตรสนุก นี่คือหนังแอ็กชันของคนไทยที่ดูแล้วอยากลุกขึ้นปรบมือให้จริงๆอนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม กลับมาสวมบท ขุนพันธ์ ตำรวจยอดมือปราบที่วิชาอาคมแกร่งกล้าอีกครั้ง แต่เมื่อทุกสิ่งไม่จีรัง ทุกอย่างต่างมีอายุ มีเวลาเสื่อมของมัน ทำให้วิชาคงกระพันของเขาเริ่มอ่อนล้าลง โดยเหตุนี้ทำให้เขาตัดสินใจของย้ายตัวเองกลับไปยังบ้านเกิด เพื่อดูแลเมียและลูกในท้องของเธอ แต่แล้วกลับมีภารกิจใหญ่ ที่ทางกรมตำรวจต้องขอความช่วยเหลือจากขุนพันธ์อีกครั้ง เมื่อโจรผู้ร้ายในเชิ้ตดำ นำทีมโดย เสือมเหศวร และเสือดำ (รับบทโดย มาริโอ้ เมาเร่อ และโตโน่ ภาคิน)ออกปล้นสดมภ์ พร้อมกับลักพาตัว นักการเมืองคนสำคัญไป ขุนพันธ์จึงต้องนำทีมตำรวจรุ่นใหม่ บุกไปกลางป่าลึก เพื่อไล่ล่ากลุ่มโจรแก๊งนี้ ที่มีวิชาอาคมแกร่งกล้าไม่แพ้กัน กลายเป็นศึกใหญ่ที่ต่างเดิมพันด้วยชีวิต ท่ามกลางสถานการณ์อันเปราะบางทางการเมืองถ้าให้เทียบกับหนังไตรภาคฟอร์มใหญ่ของฮอลลีวูด อย่าง Spider-Man ก็อาจจะขนานนามว่าภาคนี้ว่าเป็นภาค No Way Home ของไตรภาคขุนพันธ์ก็ว่าได้ ด้วยความเล่นใหญ่ทั้งในด้านพล็อตและสเกลหนังมากกว่าภาคก่อนๆ รวมถึงมีการรวมตัวละครในจักรวาลขุนพันธ์มากกว่าภาคไหนๆ จนได้บรรยากาศความหึกเหิมในสไตล์นั้น โดยรวมถือว่าภาคนี้ค่อนข้างจัดใหญ่จัดเต็มมาก เริ่มตั้งแต่การเล่าเรื่อง ผู้ชมจะสัมผัสได้ตั้งแต่แรกว่าหนังภาคนี้ มีความเอพิกอย่างแน่นอน และเมื่อหนังเริ่มออกสตาร์ทกับฉากแอ็กชัน ผู้ชมจะได้เห็นฉากบู๊ที่ค่อยๆไต่ระดับความใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ ไต่ระดับความตู้มต้ามมากขึ้นเรื่อยๆ และมีอะไรที่แปลกตามากขึ้นเรื่อยๆ ในแบบที่เราไม่คาดคิด หรือไม่เคยเห็นมาก่อนในหนังตระกูลขุนพันธ์ความสนุกของการดู ขุนพันธ์ ๓ คือการได้เห็นการผสมผสานหนังหลากหลายสไตล์อยู่ในหนังเรื่องนี้ แม้ว่ามันจะเริ่มต้นจากการเป็นหนังแนวตำรวจจับผู้ร้าย แต่ด้วยอภินิหารที่ตัวละครมี ความแฟนตาซีที่ไต่ระดับมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้หลายครั้งได้ฟีลเหมือนดูหนังซูเปอร์ฮีโร่ในแบบไทยๆ และด้วยฉากหลังที่เป็นบรรยากาศย้อนยุค ตัวร้ายที่มาในรูปแบบกองโจร ทำให้หนังมีกลิ่นอายแบบหนังแก๊งสเตอร์สุดเท่ อัดแน่นอยู่ในหนังเช่นกัน และหลังจากลองชิมลางใส่กลิ่นอายความเหนือธรรมชาติเข้ามาในสองภาคแรก ดูเหมือนว่าภาคนี้จะเร่งเกียร์เข้าสู่โหมดแฟนตาซีแบบจัดเต็ม เรียกว่าเทกระจาดของที่อยากใส่มาก็ว่าได้ หลายซีนชวนให้นึกถึงหนังแนวสัตว์สยอง หลายซีนพาผู้ชมเหมือนไปดูหนังผีดิบ และอีกหลายซีนที่เข้าขั้นหนังสยองขวัญสุดผวา แต่ทั้งหมดที่เล่ามา ไม่ได้มีตรงไหนที่รู้สึกว่ามันเกิน หรือหลุดพวกไปจากหนังเลย ยิ่งทำให้จักรวาลของ ขุนพันธ์ ใหญ่โตขึ้น และเป็นการเปิดทางสู่แฟรนไชส์ที่ใหญ่ขึ้นอีกหลังจากนี้อีกจุดที่แอบโดนใจมากๆในหนังภาคนี้ คือการให้ฉากหลังของเรื่องราว เป็นบ้านเมืองในยุคที่ทรราชย์ปกครอง เต็มไปด้วยคอร์รัปชั่นและการใช้อำนาจในทางที่ผิด กรมตำรวจเต็มไปด้วยเรื่องฉาวโฉ่ มีเพียงขุนพันธ์ ที่อาจเป็นความหวังเดียวของชาวบ้าน ในขณะที่กลุ่มปัญหาชนคนรุ่นใหม่ที่ต่อต้านรัฐบาล กลับต้องหนีตายไปเข้าป่า กลายเป็นผู้ต้องหาจากหมายจับของรัฐ ไม่น่าเชื่อว่าภาพเหตุการณ์เหล่านั้น ที่เป็นฉากหลังของหนัง ขุนพันธ์ ๓ กลับคล้ายคลึงกับยุคปัจจุบันอย่างไม่น่าเชื่อ สะท้อนถึงการย่ำอยู่กับที่ บรรยากาศการเมืองการปกครองที่แทบจะไม่เดินหน้าไปไหน นอกจากฉากแอ็กชันที่จัดใหญ่จัดเต็ม พล็อตหนังสุดเข้มข้นแล้ว แบ็คกราวน์เรื่องเหล่านี้นี่แหละ ที่ทำให้ ขุนพันธ์ ๓ เป็นหนังย้อนยุคที่ไม่ตกยุคเลยสักนิด มีคุณค่าในตัวมัน ทั้งในแง่ของงานสร้าง การก้าวหน้าของหนังไทย และคุณค่าในแง่สังคม ที่สะท้อนอะไรหลายๆอย่าง ให้ผู้ชมได้เห็น ได้ฉุกคิดกันขุนพันธ์ ๓ เข้าฉาย 1 มีนาคมนี้ในโรงภาพยนตร์ภาพ : Sahamongkolfilm International Co.,Ltd

[REVIEW] “SING 2” กู่ร้องครั้งใหม่ กุมหัวใจยิ่งกว่าเดิม | GOSSIP GUN

12 ม.ค. 2022

[REVIEW] “SING 2” กู่ร้องครั้งใหม่ กุมหัวใจยิ่งกว่าเดิม | GOSSIP GUN

ปลายปีที่ผ่านมา นอกจากSpider-Man : No Way Homeที่เดินหน้ากวาดรายได้ถล่มทลายแล้ว มีหนังอีกเพียงเรื่องเดียวที่ทำเงินอย่างน่าสนใจ นั่นก็คือSING 2ภาคต่อของแอนิเมชั่นปี2016ของค่ายอีลูมิเนชั่น(ค่ายMinionsนั่นเอง)ที่ทำออกมากินใจผู้ชมอย่างมาก เพราะมันเล่าถึงเหล่าบรรดาสัตว์น้อยใหญ่ที่ต่างมีความฝันอันยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะบัสเตอร์มูน โคอาล่าที่ฝันอยากเป็นเจ้าของโรงละคร ซึ่งท้ายที่สุดฝันของแต่ละคนก็ไม่ได้ไกลเกินเอื้อม ด้วยภาพรวมหนังที่สนุก พล็อตประทับใจ และเพลงเพราะมาก ส่งให้หนังกวาดรายได้ทั่วโลกไปกว่า600ล้านเหรียญฯ จึงไม่แปลกใจที่อิลลูมิเนชั่นจะสร้างภาคสองออกมาทันที แม้ว่าฝันในสเต็ปแรกของเหล่าตัวละครในSINGจะประสบความสำเร็จแล้ว แต่เส้นทางก็ไม่ได้จบเพียงเท่านั้น เพราะในSING 2มูน(พากย์เสียงโดย แมธธิว แม็คคอนาเฮย์)อยากพาโชว์ของเขาไปยังเรดชอว์ซิตี้(ฟีลแบบได้แสดงในเวกัส)แต่แมวมองกลับบอกว่าพวกเขาไม่เก่งพอ มูนจึงพยายามทำทุกทางเพื่อให้ได้ขึ้นโชว์ ซึ่งเขารู้ดีว่าทางเดียวที่จะเป็นไปได้ คือการดึงเอา เคลย์ คาโลเวย์(พากย์เสียงโดย โบโนU2)ร็อกเกอร์ระดับตำนานที่เก็บตัวเงียบนาน15ปี กลับมาขึ้นเวทีอีกครั้ง แต่ภารกิจนี้จะสำเร็จหรือไม่ หรือฝันที่จะโชว์สุดอลังการในเวทีของ เรดชอว์ซิตี้จะพังทลาย ต้องมาดูกัน ซึ่งทีมนักแสดงจากภาคแรก ก็ยังกลับมาให้เสียงทั้ง รีส วิทเธอร์สพูน,สการ์เล็ต โจแฮนส์สัน,ทารอน เอ็ดเกอร์ตัน รวมถึงศิลปินดังๆอย่าง ฟาร์เรลล์ วิลเลี่ยม และฮาร์เซย์ ก็มาเป็นสมาชิกใหม่ประจำภาคนี้ด้วย ถ้าคุณชื่นชอบภาคแรก คุณจะตกหลุมรักหนังภาคนี้อย่างแน่นอน เพราะหนังอัดแน่นด้วยความอิ่มเอมและสนุกสนาน ปัจจัยหลักคือประเด็นในภาคนี้ และเพลงที่จัดหนักยิ่งกว่าภาคแรก หลังจากภาคแรกเล่าถึงความแตกต่างของตัวละครที่แม้ว่าคุณจะไม่ได้รับการสนับสนุนจากครอบครัว หรือคุณจะมีความแตกต่างจากคนในสังคมขนาดไหน แต่คุณก็มีสิทธิที่จะมีฝัน และทำตามความฝันได้ แม้ฝันนั้นจะสำเร็จแล้ว แต่ภาคสอง มันเล่าถึงการเลือกทางเดินที่เป็นตัวตนของคุณเองได้ ไม่ใช่ทุกคนต้องเดินไปในทางเดียวกัน ความสุขของแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน ซึ่งคุณเองนั่นแหละที่มีสิทธิเลือก รวมถึงประเด็นการสานต่อความฝัน แม้ว่าจะผิดหวังและทุกข์ทน คุณก็สามารถก้าวออกมา แล้วทำในสิ่งที่คุณรักได้ หลายประโยคในหนังภาคนี้ เข้าไปกินใจมากๆ และน่าจะสร้างพลังใจให้กันผู้ชมไม่มากก็น้อย ซึ่งเหมาะกับช่วงปีใหม่แบบนี้ ช่วงเวลาที่เราจะได้เริ่มต้นอะไรใหม่ๆกัน อีกจุดที่ทำให้SING 2เพลิดเพลินขั้นสุด คือเพลงดังชุดใหญ่จากหลากหลายยุคที่ถูกใส่เข้ามาในหนังอย่างถาโถม จนภาคนี้เกือบจะเป็นJukebox MusicalแบบเดียวกับTrollsที่อัดแน่นด้วยเพลงฮิต แบบเพลงแล้วเพลงเล่า ซึ่งแต่ละเพลงก็มาไม่ได้ถูกใส่มาเฉยๆ แต่มาในจังหวะที่ขยายเส้นเรื่อง เติมเต็มให้พิเศษขึ้นไปอีก อาทิ เพลงBreak Freeของอารีอาน่า กรานเด ที่ความหมายเฉยๆก็ทรงพลังอยู่แล้ว แต่SING 2ใส่มันในฉากที่พิเศษมากๆ เพิ่มพลังให้กับเพลงขึ้นไปอีก หรือแม้แต่เพลงของU2ที่เข้ามาในจังหวะที่เหมาะ นี่น่าจะเป็นหนึ่งในหนังJukebox Musicalที่แพรวพราวมากที่สุดเรื่องนึงเลยก็ว่าได้ ท้ายที่สุดSING 2คือหนังแอนิเมชั่นที่ทำให้ผู้ชมความสุขเอ่อล้นได้อย่างไม่ยาก ทั้งความสนุกสนานของเส้นเรื่องที่ยังคงอัดแน่นมุกตลกที่สร้างเสียงหัวเราะได้อย่างดี ประเด็นสำคัญในหนังที่กล่าวถึงความฝัน ความสุข และตัวตนที่ไม่เหมือนกันของแต่ละคน ยังคงแข็งแรงและสื่อสารได้อย่างถึงแก่น รวมถึงเพลงดังมากมาย ที่มาในรูปแบบโชว์สุดตื่นตา ระหว่างดูSING 2เหมือนเราได้เติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไปตลอดปีที่ผ่านมา นั่นคือการดูคอนเสิร์ต การดูแสดงโชว์ดีๆ ในชีวิตจริง เพราะโควิด-19ทำให้จัดไม่ได้ แต่โชว์ต่างๆในหนัง จะทำให้คุณเพลิดเพลินอย่างแน่นอน(ให้8คะแนน จากคะแนนเต็ม10คะแนน)

[REVIEW] “Top Gun Maverick” บทพิสูจน์ความเก๋าของแอ็กชันแบบตำนาน | GOSSIP GUN

24 พ.ค. 2022

[REVIEW] “Top Gun Maverick” บทพิสูจน์ความเก๋าของแอ็กชันแบบตำนาน | GOSSIP GUN

Top Gunคือหนังระดับตำนาน มันคือหนึ่งในภาพยนตร์ที่นิยามความเป็นยุค80sอย่างเด็ดชัด เป็นตัวแทนPop Cultureในยุคนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย นอกจากหนังจะยกระดับให้"ทอม ครูซ"ขึ้นแท่นเป็นพระเอกหนังบล็อกบัสเตอร์แล้ว มันยังส่งอิทธิพลไปถึงทุกวงการแวดล้อม นอกจากจะเป็นแนวทางให้กับหนังแอ็กชันยุคใหม่ หลายฉากในหนังกลายเป็นภาพจำแบบIconicแฟชั่นการแต่งตัวของนักแสดงนำ รวมไปถึงแว่นตาRay Banกลายเป็นภาพแฟชั่นที่นำสมัย แม้แต่เพลงประกอบอย่างTake My Breath Awayก็ยังกลายเป็นงานเพลงที่โดดเด่นสุดเพลงหนึ่งในยุค80sดังนั้นเมื่อเวลากว่า30ปีผ่านไป"ทอม ครูซ"บอกว่า ถึงเวลาแล้วที่จะกลับไปจับโปรเจกต์Top Gunอีกครั้ง มันต้องมีไอเดียอะไรบางอย่างแน่นอนที่เขามั่นใจ เพราะการกลับไปแตะของระดับตำนานไม่ใช่ไอเดียที่ดีนักสำหรับฮอลลีวูด ในTop Gun : Maverickทอม ครูซ กลับไปสวมบทมาเวอริคอีกครั้ง เขาคือนักบินรบระดับตำนาน สร้างสถิติมากมาย คว้าเหรียญฯเกียรติยศมาเต็มบ่า แต่ไม่ยอมขยับตำแหน่งขึ้นไปไหน เพราะสิ่งที่เขารักคือการบินเท่านั้น จนกระทั่งได้รับการมอบหมายหน้าที่ใหม่ ให้กลับไปยัง ท็อปกันอีกครั้ง สถาบันสอนนักบินรบ ที่มีเพียงระดับแถวหน้าของกองทัพที่จะได้มาเรียนที่นี่ ด้วยภารกิจลับที่ต้องใช้ยอดฝีมือเท่านั้น มาเวอริคต้องสอบเทคนิคการบินสุดผาดโผนของเขาให้12รุ่นน้องระดับท็อปของประเทศ โดยจะมีเพียงครึ่งเดียวได้ออกปฏิบัติการจริง และภารกิจนี้เองทำให้เขาได้เจอกับ รูสเตอร์(รับบทโดย ไมล์ เทลเลอร์ จากWhiplash)ลูกชายของกูส เพื่อนสนิทเขาที่เสียชีวิตในภารกิจ ซึ่งเขาเคยสัญญาว่า จะดูแลชีวิตเด็กคนนี้ ไม่ยอมให้ตกอยู่ในอันตราย แต่เมื่อรูสเตอร์ กลายมาเป็นส่วนหนึ่งในภารกิจเสี่ยงตายนี้ มาเวอริคจึงต้องทำทุกทางเพื่อไม่ให้ ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีกครั้ง! ตลอดระยะ1เดือนที่ผ่านมา สำนักข่าวต่างประเทศค่อยๆเริ่มถาโถมคำวิจารณ์ในแง่บวกของTop Gun : Maverickออกมา จนกระแสความไฮป์ของหนังเริ่มต้นขึ้น และมาร้อนแรงสุดเมื่อหนังฉายรอบพิเศษในเทศกาลหนังเมืองคานส์ จนกระทั่ง ทอม ครูซ และทีมงานได้รับการยืนปรบมือชื่นชมนานถึง5นาที ซึ่งไม่ใช่บ่อยครั้งนัก ที่หนังแอ็กชันฟอร์มยักษ์ จะถูกใจผู้ชมในเทศกาลหนังแบบนี้ ซึ่งTop Gun : Maverickก็ทำออกมาได้ยอดเยี่ยม ตามกระแสที่กล่าวมาจริงๆ ไม่แปลกใจที่สื่อหลายสำนักจะยกให้มันคือ"หนังบล็อกบัสเตอร์แห่งปี"ตัวหนังเองเหมือนเป็นข้อพิสูจน์ว่า โรงภาพยนตร์ยังคงสำคัญ การดูหนังในโรงคืออรรถรสที่ยอดเยี่ยมที่สุด ด้วยองค์ประกอบต่างๆที่จะกล่าวถึงต่อไป.. หากจะกล่าวกันตรงๆTop Gun : Maverickก็ยังคงเป็นหนังแอ็กชันแบบOld-Schoolคือมันไม่ใช่หนังยุคใหม่ แบบหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่เต็มไปด้วย สเปเชียลเอฟเฟกต์มากมาย แต่มันคือหนังแอ็กชันแบบที่เน้นสตันท์ การที่นักแสดงหรือนักแสดงแทนเล่นฉากแอ็กชันเสี่ยงตายด้วยตัวเองจริงๆ ซึ่งนั่นคือสิ่งที่ ทอม ครูซ เชื่อมั่นมาโดยตลอด และพิสูจน์มาแล้วในMission: Impossibleหลายต่อหลายภาค ในTop Gun : Maverickทอมและนักแสดงสมทบต่างต้องขับเครื่องบินรบด้วยตัวเอง(และถ่ายทำด้วยตัวเอง โดยใช้กล้องติดไว้ในห้องนักบิน)ดังนั้น ฉากต่างๆในห้องนักบินจึงออกมาสมจริง มากถึงมากที่สุด สิ่งต่างๆที่ปรากฏในหนังล้วนเป็นแอ็กชันที่อาจจะไม่หวือหวาเท่าหนังที่เน้นVFXแต่มันดูเรียล และดึงอารมณ์ได้ดีมากๆ ข้อดีมากๆของTop Gun : Maverickที่ทำให้องค์ประกอบต่างๆลงตัว และดึงผู้ชมเข้าไปสู่หนังได้ตลอดคือPacingหรือจังหวะความเร็วในการเล่าเรื่องของหนัง หนังไม่ได้เร่งรีบอะไรมากมายนัก ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้ยืดยาดจนน่าเบื่อ ทุกฉากใช้จังหวะตัดต่อดึงอารมณ์ได้อย่างพอดี และเมื่อฉากต่างๆในการปูเรื่อง ถูกปูมาอย่างพอเหมาะ จนผู้ชมค่อยๆซึมซับอารมณ์ของตัวละคร เริ่มอินกับปมระหว่างตัวละคร พอเมื่อไปถึงฉากไคลแม็กซ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง30นาทีสุดท้าย เมื่อทุกอย่างมันขมวดเข้าด้วยกัน กลายเป็นความรู้สึกที่ลุ้น บีบหัวใจ มากกว่าหนังแอ็กชันทั่วไป ฉากบู๊ที่ตื่นเต้นมากๆอยู่แล้ว ยิ่งเร้าอารมณ์เข้าไปใหญ่ด้วยปมแวดล้อมที่ถูกค่อยๆผูกมากอย่างดี อาจกล่าวได้ว่าTop Gun : Maverickเป็นหนังแอ็กชันที่ประณีตในการเล่า และค่อยๆรีดอารมณ์จากผู้ชมได้อย่างดีมาก จนบางครั้งเราอดน้ำตาซึม หรือปรบมิือให้กับตัวละครอย่างไม่รู้ตัว! แม้ว่าTop Gunภาคแรกจะเป็นไอคอนสำคัญแห่งยุค80sแต่Top Gun : Maverickก็สามารถถีบตัวเองให้เป็นภาคต่อที่ยอดเยี่ยมได้ไม่แพ้กัน จนหลายเสียงเทียบเคียงกับThe Godfather IIในแง่ของการที่เป็นภาคต่อที่มีคุณภาพไม่แพ้ต้นฉบับ ในแง่มุมหนึ่ง ตัวภาคต่อนี้ก็ได้Tributeหนังภาคแรกในหลายๆแง่มุม ฉากแอ็กชันบางฉากที่ทำออกมาเพื่อหวนให้ระลึกถึงความเก๋าของความเก่า สดุดีตัวละครกูสที่จากไปในท้ายภาคแรก หรือแม้แต่การนำ"วัล คิลเมอร์"กลับมาในแบบที่เคารพความเป็นเขาในปัจจุบัน ทั้งหมดนี้ล้วนทำไปเพื่อสดุดีความเป็นIconของภาคแรกทั้งสิ้น และในขณะเดียวกันTop Gun : Maverickก็สร้างตำนานบทใหม่ขึ้นมา ด้วยการสร้างตัวละครกลุ่มใหม่ที่น่าจดจำ ด้วยการเป็นหนังแอ็กชันระดับมาตรฐานคุณภาพสูงในยุค2020sใครจะไปคิดว่าภาคต่อที่ทิ้งห่างจากภาคแรกนานถึง36ปี จะกลายมาเป็นหนังซัมเมอร์ระดับคุณภาพในยุคนี้ได้(และจัดเข้ากลุ่มเดียวกับMad Max : Fury Road, Blade Runner 2049รวมถึงTron : Legacyซึ่งกำกับโดย โจเซฟ โคซินสกี้ เช่นเดียวกัน เข้ากรุ๊ปหนังภาคต่อจากยุค80sที่คุณภาพคับจอ) ท้ายที่สุดต้องขอบคุณพระเอก"ทอม ครูซ"ที่ดื้อแพ่งไม่ยอมให้ พาราเมาต์ปล่อยหนังเรื่องนี้ลงสตรีมมิ่ง อันที่จริงแล้วTop Gun : Maverickต้องฉายตั้งแต่ก่อนยุคโควิดด้วยซ้ำ แต่เพราะงานPost-Productionไม่เรียบร้อย จึงต้องดีเลย์นานนับปี พอเลื่อนมารอบแรกก็เจอโควิดเข้าไป ทำให้เลื่อนอีกหลายครั้ง รวมจากโปรแกรมแรกที่วางไว้ก็เกือบ3ปี จนในที่สุดTop Gun : Maverickก็ได้พบกับผู้ชมบนจอภาพยนตร์ ที่ๆเหมาะสมที่สุดในการดูหนังเรื่องนี้ และไม่เพียงแต่มันจะเหมาะกับการดูในโรงแล้วTop Gunยังเผยให้เห็นข้อดีของระบบพิเศษทั้งหลาย ทั้งIMAXจอยักษ์ที่เพิ่มดีกรีความตื่นตา,ระบบ4DXที่น่าจะทำให้ผู้ชมเหมือนอยู่บนเครื่องบินจริงๆ และล่าสุดกับScreen Xที่ว่ากันว่าเหมือนเราได้นั่งอยู่ในห้องนักบินกับตัวละครเลยทีเดียว!ใครสะดวกระบบไหนก็ลองพิสูจน์กันดู และไม่ต้องกลัวว่า ไม่เคยดูภาคแรกจะดูไม่รู้เรื่อง เพราะมันถูกออกแบบมาให้ดูแยกได้..และจะทำให้คุณอยากกลับไปหยิบTop Gunในปี1986กลับมาดูอย่างแน่นอน(ให้9คะแนนจากคะแนนเต็ม10คะแนน)

[REVIEW] ‘John Wick : Chapter 4’ มหากาพย์โลกนักฆ่า ดันบาร์ฉากแอ็กชันสูงลิบ | GOSSIP GUN

24 มี.ค. 2023

[REVIEW] ‘John Wick : Chapter 4’ มหากาพย์โลกนักฆ่า ดันบาร์ฉากแอ็กชันสูงลิบ | GOSSIP GUN

จักรวาลของหนังนักฆ่าไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปตั้งแต่มี John Wick หนังแอ็กชันแฟรนไชส์นี้ สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับหนังประเภทนี้อยู่เรื่อยๆ นับตั้งแต่โลกได้รู้จักหนังเรื่องนี้ครั้งแรกในปี 2014 เรื่องราวของนักฆ่าที่วางมือไปแล้ว แต่กลับต้องมาจับปืนอีกครั้ง เพื่อล้างแค้นให้กับสุนัขที่เขารักยิ่งชีพ (เพราะมันคือตัวแทนของภรรยาที่เสียไปแล้ว) จากปมเล็กๆ หนังค่อยๆขยายจักรวาลของนักฆ่าให้ใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ ด้วยการวางกฏเกณฑ์ วางแบบแผนให้โลกนักฆ่าในหนัง John Wick ดูมีสไตล์ มีรสนิยม ผสมกับฉากต่อสู้อันดุเดือดเลือดพล่าน จากการสั่งสมวิชาของ แชด สตาร์เฮลสกี้ ผู้กำกับหนังที่เติบโตมาจากการเป็นสตันท์ (เขาเคยเล่นเป็นสตันท์ให้ คีอานู รีฟส์มาแล้วใน The Matrix) ทำให้เมื่อแฟรนไชส์นี้ ดำเนินไป มันยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ กวาดคำชมมากขึ้นเรื่อยๆ และทำเงินมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกับ John Wick : Chapter 4 ที่ยังไม่ทันฉายก็คว้าคะแนนบวกจากRotten Tomatoes ไปถึง 93% แล้ว สูงสุดในบรรดาหนังทั้ง 4 ภาค เช่นเดียวกับรายได้ที่ถูกคาดหมายไว้แล้วว่า นี่คงจะเป็นภาคที่เปิดตัวแรงสุดเท่าที่จักรวาล John Wick เคยมีมาใน John Wick : Chapter 4 เส้นทางชีวิตของ จอห์น เดินทางมาถึงจุดสำคัญ เมื่อเขาถูกอัปเปหิออกจากโลกของนักฆ่า เขาไม่มีสังกัด ไม่มีใครสามารถช่วยเขาได้ และค่าหัวเขาค่อยๆเพิ่มขึ้นในระดับที่คาดไม่ถึง ภาคนี้ จอห์น ต้องเผชิญหน้ากับ อดีตมิตรที่ด้วยเหตุผลบางอย่าง วันนี้เขากลายเป็นศัตรู อย่าง เคน (รับบทโดย ดอนนี่ เยน จาก Ip Man) นักฆ่าตาบอดที่ฝีมือเก่งกาจ เขาต้องเด็ดหัวจอห์น จากคำสั่งของ มาร์คีย์ (รับบทโดย บิลล์ สการ์การ์ด จาก It) สมาชิกระดับสูงของสภาที่ต้องการจบทุกปัญหา เขามาพร้อมกับอำนาจล้นมือ ที่สั่งการให้ยุบทุกโรงแรมที่ให้จอห์นพักพิง สังหารทุกคนที่ช่วยให้จอห์นหลบหนี ทางเดียวที่จอห์นจะรอดพ้นจากการตามล่าครั้งนี้ได้ คือการท้าดวล แบบหนึ่งต่อหนึ่ง ซึ่งต้องแลกด้วยชีวิต ถ้าชนะ จอห์นจะรอดพ้นจากทุกคำสั่งตามล่า ไม่ว่าใครที่แพ้ คนนั้นจะมีจุดจบเดียวคือความตายคงจะไม่เกินจริงนัก ถ้าจะกล่าวว่า John Wick : Chapter 4 คือภาคที่เด็ดสุดและเดือดสุดเท่าที่เคยมีมา ด้วยเส้นเรื่องที่ตึงเครียดยิ่งกว่าทุกภาค ผนวกกับฉากแอ็กชันที่ระดับเวิร์ลคลาส อาจกล่าวได้ว่า John Wick : Chapter 4 คือหนังที่ดันบาร์ความเจ๋งของฉากต่อสู้ขึ้นไปในอีกระดับ ผู้สร้างรู้ดีว่าจุดเด่นของหนังตระกูลนี้คืออะไร ดังนั้น หนังจึงจัดให้ผู้ชมแบบเต็มสูบ หลังจากดูมา 3 ภาคแล้วอาจจะสงสัยว่า ผู้สร้างหมดมุกกับฉากบู๊แล้วหรือยัง แต่ปรากฏว่า หนังยังคงงัดอะไรใหม่ๆออกมาให้ผู้ชมได้อย่างต่อเนื่อง เริ่มจากฉากใหญ่ในญี่ปุ่น ต่อเนื่องมาถึงอิตาลี และปิดท้ายที่ฝรั่งเศส หนังสามารถส่งฉากแอ็กชันขั้นเทพออกมาได้อย่างต่อเนื่อง และไต่ระดับความเดือดได้มากขึ้นเรื่อยๆ จนอยากจะลุกขึ้นปรบมือให้กับ การออกแบบคิวบู๊ ซึ่งนี่น่าจะเป็นหนังที่ออกแบบคิวบู๊ได้ยอดเยี่ยมที่สุดในรอบทศวรรษเลยก็ว่าได้สิ่งที่ทำให้ฉากแอ็กชันใน John Wick : Chapter 4 เหนือกว่าหนังเรื่องไหน จนหลายเสียงพร้อมยกให้เป็นหนังแอ็กชันที่เดือดสุดในรอบหลายปี คือการผสมผสานกันอย่างลงตัวของ Choreographer การออกแบบคิวบู๊ที่ไหลลื่นแบบนันสต็อป ซึ่งทุกท่วงท่าถูกนำเสนออย่างหนักแน่น ดุดัน และรุนแรงเต็มสูบแบบไม่ยั้งอะไรทั้งนั้น ทั้งหมดถูกจัดวางลงในฉากต่างๆที่เต็มไปด้วยลูกเล่นแบบใหม่ แค่เฉพาะฉากในกรุงปารีส ก็สดใหม่ไม่ซ้ำแล้ว ทั้งฉากต่อสู้รอบๆประตูชัยที่มีรถจำนวนมากเข้ามาเกี่ยวข้อง ฉากในอาคารที่ถ่ายทำแบบ Bird's Eye View บวกกับ Long Take และไฮไลต์จริงๆคือ ฉากบันได ที่นำเสนอแบบเต็มไปด้วยไอเดียและอารมณ์ขัน ผสมผสานกับการจัดแสงแบบจัดจ้าน ทุกฉากจึงออกมาตื่นตาและตรึงอารมณ์ กลายเป็นหนังแอ็กชันที่เต็มไปด้วยฉากจำมากมายแน่นอนว่า คีอานู รีฟส์ ยังคงโดดเด่นในบท จอห์น วิค เขายกระดับตัวเองด้วยการแสดงฉากต่อสู้แบบหินๆมากมาย สมาชิกเก่าอย่าง เอียน แมคเชน และลอว์เรนซ์ ฟิชเบิร์น ยังคงเป็นสีสันสำคัญให้กับหนัง แต่ไฮไลต์จริงๆ น่าจะต้องยกให้สมาชิกใหม่อย่าง ดอนนี่ เยน ซึ่งหนังสร้างคาแรคเตอร์เขาออกมาได้อย่างมีมิติ และทุกฉากบู๊ที่เขาเข้าไปมีส่วนร่วมนั้น ล้วนเต็มไปด้วยพลัง ดอนนี่เพิ่มความเจ๋งให้ซีนนั้นๆ ทุกครั้งที่เขาปรากฏตัว สามารถตรึงคนดูได้ตลอด และตัวร้ายหลักภาคนี้อย่าง บิล สการ์การ์ด การแสดง สายตาและน้ำเสียงอันเยือกเย็น แผ่รังสีอำมหิตและความน่าเกรงขาม มาได้แบบเต็มๆตั้งแต่ซีนแรก เรารู้ทันทีว่าตัวละครนี้ไร้ความปราณี และไม่มีทางใจอ่อนต่อคนรอบข้างอย่างแน่นอน นี่คือคู่ปรับที่อันตรายของ จอห์น วิค ถือเป็นตัวร้ายที่ทำให้หนังยิ่งเข้มข้นขึ้นไปอีกJohn Wick : Chapter 4 คือหนังแอ็กชันที่มาเพื่อยกระดับหนังแอ็กชันอย่างแท้จริงๆ หนังอัดแน่นไปด้วยฉากการต่อสู้แบบเทพๆ ที่มาแบบนันสต็อป แต่ละฉากลากยาวแบบจบฉากนั้น คนดูต้องเหนื่อยกันบ้าง นอกจากนี้เส้นเรื่องยังช่วยเพิ่มอารมณ์ความเข้มข้นให้ทุกฉาก ดูจริงจัง ดูบีบอารมณ์ขึ้นไปอีก ผสมผสานกับสไตล์ด้านภาพและเพลงที่ทำให้ John Wick คือหนังแอ็กชันที่มีรสนิยม โรยนิดๆด้วยอารมณ์ขันแบบตลกหน้าตาย ซึ่งเป็นรสชาติที่ขาดไม่ได้ของหนังชุดนี้ และด้วยความยาวมากกว่า 2 ชั่วโมง 40 นาที ทำให้หนังภาคนี้ มีความเป็นหนัง เอพิค ค่อนข้างสูง ดังนั้น นี่คือหนังแอ็กชันที่รับประกันว่าคุ้มค่าตั๋วอย่างแน่นอน ใครที่กำลังจะไปชม ขอแนะนำว่าเข้าห้องน้ำให้พร้อม เพราะหลัง End-Credit ยังมีฉากแถมอีก 1 ฉากที่คุณไม่ควรพลาดอีกด้วยภาพ : Mongkol Major Mongkol CinemaJohn Wick : Chapter 4 แรงกว่านรก วันนี้ในโรงภาพยนตร์ทุกระบบ

album

0
0.8
1