[REVIEW] ‘เธอกับฉันกับฉัน (You and Me and Me)’ หนังแฟนฉันของคนยุคนี้ รักแรกของฝาแฝดสุดประทับใจ| GOSSIP GUN

HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘เธอกับฉันกับฉัน (You and Me and Me)’ หนังแฟนฉันของคนยุคนี้ รักแรกของฝาแฝดสุดประทับใจ| GOSSIP GUN

10 ก.พ. 2023

ใครที่เคยคิดถึงหนัง Feel Good ดีต่อใจสไตล์ค่ายจีดีเอช (หรือค่ายก่อนหน้านี้) การรอคอยกำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว กับผลงานใหม่อย่าง 'เธอกับฉันกับฉัน' ที่จะชวนให้ผู้ชมหวนระทึกถึงความทรงจำในวัยเด็ก และรักแรกในวัยรุ่นของเราอีกครั้ง แต่ความแตกต่างของโปรเจกต์นี้ คือการ ใช้ตัวละครนำเป็นฝาแฝด และพาผู้ชมเข้าสู่โลกของแฝด กับรายละเอียดหลายแง่มุมที่อาจไม่เคยรู้มาก่อน ผ่านสองผู้กำกับแฝดหญิงอย่าง วรรณแวว และแวววรรณ หงษ์วิวัฒน์ ที่เคยจับงานเบื้องหลังในหลังคาค่ายนี้อยู่นาน ก่อนที่จะได้รับโอกาสในการกำกับหนังใหญ่เรื่องแรก ผ่านการดูแลของ โต้ง บรรจง ผู้กำกับระดับพันล้าน ที่มีผลงานการันตีแน่นเครดิต

'เธอกับฉันกับฉัน' พาผู้ชมย้อนกลับไปในยุคสมัย Y2K (ซึ่งอยู่ดีๆก็กลับมาเป็นเทรนด์ ณ เวลานี้) ในปี 1999 ช่วงเวลาที่คนทั้งโลกกำลังหวาดวิตกว่า การก้าวเข้าสู่ยุค 2000 จะเกิดปัญหาด้านคอมพิวเตอร์ ทำให้เกิดภัยพิบัติมากมาย ซึ่งตรงกับคำทำนายของนอสตราดามุส ว่าโลกอาจถึงจุดสิ้นสุด โดยสองตัวละครหลักของเรื่อง คือ พี่น้องฝาแฝด ยู และ มี (รับบทโดย ใบปอ ธิติยา จิระพรศิลป์ ซึ่งแสดงคนเดียวเป็นสองบทบาทเลย) ทั้งคู่เติบโตมาด้วยกัน แชร์หลายๆอย่างด้วยกัน และเป็นส่วนหนึ่งของกันและกันมาตลอดชีวิต จนกระทั่งพวกเธอได้พบกับ หมาก (รับบทโดย อันโทนี่ บุยเซอเรท์) หนุ่มหล่อลูกครึ่งเพื่อนร่วมโรงเรียน ที่เจอกันตั้งแต่ตอนสอบซ่อม ไปจนถึงช่วงปิดเทอมซัมเมอร์ที่นครพนม ไม่นานเรื่องราวความรักก็เริ่มเข้ามาในหัวใจของคนทั้งสาม นี่คือรักแรกของสองแฝด กับ หนึ่งหนุ่ม ที่ความสัมพันธ์ค่อยๆ ยุ่งเหยิงและนำไปสู่ การตัดสินใจที่พวกเธอไม่เคยเผชิญมาก่อน

'เธอกับฉันกับฉัน' คือหนังที่ค่อยๆพาผู้ชมเข้าสู่โลกของฝาแฝด ที่ทั้งมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไป หลายอย่างอาจจะเป็นมุมอินไซด์ที่คนทั่วไปอาจไม่ได้รู้มาก่อน ทำให้เกิิดพล็อตที่ทั้งสนุกสนานและยุ่งเหยิงได้มากมาย จากการที่เธอทั้งสองหน้าเหมือนกัน แทบจะเป็นคนๆเดียวกัน และในขณะเดียวกัน มันก็ถูกเล่าผ่านโครงเรื่องในลักษณะ รักแรก ผสมกับ รักสามเส้า ทำให้นอกจากมุมดีต่อใจแล้ว ผู้ชมสามารถคาดเดาได้เลยว่า จะได้เจอมุมบีบหัวใจอย่างแน่นอน ทำให้หนังนอกจากจะน่าติดตามในปมเรื่องแฝดแล้ว ยังน่าจะทำให้ผู้ชมอินในประเด็นรักแรก หรือรักในวัยเรียนได้อีกด้วย

สิ่งที่เพิ่มความน่าสนใจให้กับ 'เธอกับฉันกับฉัน' ยิ่งขึ้นไปอีก คือการที่หนังเลือกเล่าในบรรยากาศปลายยุค 90s ซึ่งเป็นอีกหนึ่งยุคที่มีเสน่ห์เฉพาะตัวเพราะอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน กำลังเข้าสู่ยุคออนไลน์ หนังสนุกกับการหยิบ Pop Culture ในยุคนั้นมาเล่นหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ที่ฉายในปีนั้น เพลงดังที่ถูกปล่อยในช่วงนั้น ร้านอาหารที่เป็นที่นิยมของคนยุคนั้น ไปจนถึงไอเท็มบางอย่างที่บอกยุคสมัยได้อย่างดี สำหรับผู้ชมที่สมัยหนัง แฟนฉัน เข้าฉายแล้วอาจจะเกิดไม่ทัน ไม่ได้อินกับเรื่องแวดล้อมในหนัง อาจจะมาอินกับหนังเรื่องนี้ได้ไม่ยาก สำหรับใครที่อายุราว 30-40 ปี น่าจะเป็นช่วงที่กำลังเติบโต กำลังเสพสื่อ กำลังใช้ชีวิตผ่านช่วงเวลานั้น หนังทำให้ผู้ชมระลึกถึงความทรงจำในอดีตอันหอมหวานได้อย่างดีอีกด้วย

แต่สิ่งที่น่าชื่นชมมากที่สุด ต้องยกให้กับงานสร้าง ที่อาจกล่าวได้ว่า นี่คืองานที่ไม่ง่ายเลยทั้งสำหรับทีมงานและนักแสดง เพราะเมื่อ 'เธอกับฉันกับฉัน' ใช้นักแสดงเพียงคนเดียว เล่นเป็นฝาแฝด ดังนั้นเทคนิคการถ่ายทำหลายๆอย่างจึงถูกหยิบนำมาใช้ ส่วนที่ง่ายหน่อยน่าจะเป็นซีนที่ถ่ายผ่านหลัก ทำให้เห็นตัวละครเพียงคนเดียว แต่สำหรับฉากที่ต้องเห็นทั้งสอง ทั้งถ่ายทำและตัดต่อออกมาได้เนี้ยบมากๆ จนแทบจะไม่มีจุดไหนรู้สึกสะดุดเลย และที่สำคัญต้องชื่นชมน้องใบปออย่างยิ่ง ที่สร้างคาแรคเตอร์ ยูกับมี ออกมาแตกต่างได้อย่างชัดเจน ในช่วงแรกอาจจะต้องตั้งใจดูเพื่อจับความแตกต่างพอสมควร แต่เมื่อหนังดำเนินไป ไม่ใช่แค่ไฝที่ต่าง แต่วิธีการพูด ลักษณะของตัวละครก็สามารถแยกได้ชัด ซึ่งเป็นงานที่ไม่ง่ายเลยสำหรับนักแสดงหน้าใหม่ ซึ่งต้องปรบมือชื่นชมในจุดนี้

โดยรวม 'เธอกับฉันกับฉัน' ถือเป็นหนังไทยที่น่าสนใจและไม่ควรพลาดอีกเรื่อง ด้วยคุณภาพที่กล่าวได้ว่าตามมาตรฐานค่ายจีดีเอช ทั้งในแง่บท งานสร้าง และองค์ประกอบต่างๆ ใครที่เคยคิดถึงหนังอารมณ์ดี หนังแนว Coming-of-Age ที่ทางค่ายเองก็ไม่ได้สร้างหนังแนวนี้มาพักใหญ่ นี่คือการกลับมาที่น่าพอใจ และเชื่อว่า หนังจะสามารถเข้าไปอยู่ในใจของผู้ชมหลายต่อหลายคนได้อย่างแน่นอน

 

ชมตัวอย่าง 'เธอกับฉันกับฉัน' วันนี้ในโรงภาพยนตร์

ภาพ : GDH

related HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘Indiana Jones and the Dial of Destiny’ การผจญภัยครั้งสุดท้าย ได้ฟีลหนังสไตล์ยุค 80s | GOSSIP GUN

03 ก.ค. 2023

[REVIEW] ‘Indiana Jones and the Dial of Destiny’ การผจญภัยครั้งสุดท้าย ได้ฟีลหนังสไตล์ยุค 80s | GOSSIP GUN

ย้อนกลับไป Indiana Jones เคยได้รับการขนานนามว่า เป็นหนึ่งในหนังผจญภัยที่ยิ่งใหญ่สุดในฮอลลีวูด จากความสำเร็จของไตรภาคหลักในยุค 80s ที่เป็นการผนึกกำลังกันของสามยักษ์ใหญ่ในฮอลลีวูดอย่าง จอร์จ ลูคัส ผู้ให้กำเนิด Star Warsที่เป็นทั้งผู้สร้างและเจ้าของไอเดียหนังชุด Indiana Jones ซึ่งได้ดึงเอาเพื่อนสนิทอย่าง สตีเว่น สปีลเบิร์ก พ่อมดฮอลลีวูดมากำกับหนัง และมอบบทอินเดียน่า โจนส์ ให้กับ แฮร์ริสัน ฟอร์ด ที่กำลังมาแรงสุดๆในขณะนั้น จากบทฮาน โซโลในหนังระดับบล็อคบัสเตอร์อย่าง Star Wars ก่อนที่จะมีการกลับไปสร้างภาคต่ออีกครั้งในปี 2008 แต่กลับไม่ได้รับคำชมมากเท่า 3 ภาคแรก จนกระทั่งล่าสุด ดิสนีย์ ที่เพิ่งซื้อกิจการลูคัสฟิล์มมาไม่นาน ขอส่งท้ายตำนานอีกครั้งด้วยหนังภาคที่ 5 อย่าง 'Indiana Jones and the Dial of Destiny' โดย แฮร์ริสัน ฟอร์ด กลับมารับบทเป็นการส่งท้าย ด้าน สปีลเบิร์กและลูคัส กลับมานั่งตำแหน่งอำนวยการสร้าง และส่งต่อหน้าที่ผู้กำกับให้ เจมส์ แมนโกลด์ จาก The Wolverine และ Ford V Ferrariสำหรับ The Dial of Destiny พาผู้ชมย้อนกลับไปในปี 1969 ช่วงเวลา 12 ปีหลังจากภาคก่อน เมื่ออินเดียน่า โจนส์ เดินทางมาสู่วัยเกษียณ ชีวิตของเขาหมดความหมายอีกต่อไป เมื่อเขากำลังจะหย่าร้างกับภรรยาหลังสูญเสียลูกชายไปในสงคราม จนกระทั่งได้พบกับ เฮเลน่า (รับบทโดย ฟีบี้ วอลเลอร์ บริดจ์) ลูกสาวบุญธรรม ทายาทของเพื่อนสนิท ที่โผล่มาหาเขาเพราะต้องการรู้เรื่องราวของ สิ่งของโบราณอย่างหนึ่ง ซึ่งเชื่อกันว่าสามารถพาให้ผู้ครอบครองเดินทางย้อนเวลาได้ ซึ่งสมบัติชิ้นนี้ ก็เป็นที่หมายปองของ วอลเลอร์ (รับบทโดย แมดส์ มิคเคลเซ่น) อดีตนาซีศัตรูเก่าของอินเดียน่า ที่ปัจจุบันกลายเป็นหนึ่งในที่ปรึกษาของโครงการ NASA นำไปสู่การผจญภัยครั้งใหม่เพื่อตามหาสิ่งวิเศษชิ้นนี้ ก่อนที่มันจะตกอยู่ในมือผู้ประสงค์ร้ายIndiana Jones and the Dial of Destiny ถือเป็นหนังภาคส่งท้ายที่ค่อนข้างน่าพอใจ และได้บรรยากาศแบบเก่าๆกลับมาครบ เหมือนหนังพาผู้ชมย้อนเวลากลับไปสมัยปลายยุค 80s ถึงต้นยุค 90s อีกครั้ง เพราะถ้าไม่นับเรื่องของ CGI ที่มีพัฒนาการไปตามยุคสมัย Mood Tone ของหนังมีความคล้ายคลึงกับหนังยุคนั้น เหมือนหนังถูกสร้างและแช่แข็งเอาไว้ ก่อนที่จะนำออกมาฉายตอนนี้ ทำให้บรรยากาศแบบเดิมๆจากหนังไตรภาค กลับมาพอสมควร ใครที่คิดถึงหนังสไตล์นี้น่าจะพึงพอใจ เพราะแทบจะหาไม่ได้แล้วในยุคสมัยนี้ ในมุมหนึ่งมันก็ดูค่อนข้างจะโบราณไปบ้าง แต่ในมุมหนึ่งมันก็มีความ Old School เป็นความคลาสสิคที่นานๆกลับมาดู ก็เป็นรสชาติที่หลายคนคิดถึงองค์ประกอบต่างๆของหนังภาคนี้ ดูจะคล้ายคลึงกับภาคก่อนๆที่ผ่านมา ในด้านของเส้นเรื่องก็ไม่มีอะไรแปลกใหม่มากนัก เน้นเล่าการผจญภัยของอินเดียน่า โจนส์ ที่ต้องเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆตามลายแทงและหลักฐาน เพื่อตามหาสมบัติก่อนที่ตัวร้ายจะคว้าไป และระหว่างทางก็จะมีฉากแอ็กชันไล่ล่า ที่ก็จะเป็นไปตามเอกลักษณ์ของหนังสไตล์นี้ เนื่องด้วยพล็อตเรื่องจะเกิดขึ้นระหว่างช่วงปี 30s-60s ทำให้ฉากแอ็กชันส่วนใหญ่ก็จะเกิดขึ้นในป่า หรือตัวเมืองที่ค่อนข้างมีความโบราณ แต่การตัดต่อก็ทำออกมาได้ค่อนข้างเร้าอารมณ์ มีผสมกับอารมณ์ขันที่หนังมีอยู่เสมอ บวกกับเพลงธีมของ Indiana Jones ที่ทุกครั้งที่ใส่มา ยิ่งเพิ่มเอกลักษณ์ของหนังมาแบบเต็มๆสำหรับ แฮร์ริสัน ฟอร์ด ในวัย 80 ปี อาจจะไม่ได้กระฉับกระเฉงเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่หนังก็ไม่ได้พยายามจะให้ตัวละครอินเดียน่า โจนส์ในภาคนี้ หนุ่มกว่าวัยแต่อย่างใด หนังได้ใส่คาแรคเตอร์ในแบบวัยเกษียณเข้าไปด้วย มีกลิ่นความเป็นมนุษย์ลุงเบาๆ และช่วงองก์ที่ 3 ของหนังสำหรับภาคนี้ ถือมีบทส่งท้ายสำหรับอินเดียน่า โจนส์ ได้อย่างน่าพอใจ หนังพาผู้ชมไปไกลกว่าที่คาดคิดพอสมควร ยิ่งสำหรับตัวละครที่เป็นนักโบราณคดี การที่หนังพาไปไกลขนาดนั้น ถือว่าไม่ธรรมดา (แต่ขออนุญาตไม่สปอยล์ตรงนี้ เพื่ออรรถรสของผู้ชม) เป็นการปิดฉากสำหรับแฟรนไชส์หนังผจญภัยสุดยิ่งใหญ่ได้อย่างน่าพึงพอใจ ใครที่เป็นแฟนหนังแนวล่าขุมทรัพย์ ตามหาสมบัติก็ไม่ควรพลาดกันชมตัวอย่าง Indiana Jones and the Dial of Destiny วันนี้ในโรงภาพยนตร์ภาพ : Walt Disney Studios Thailand

[REVIEW] “The Lost City” หนังผจญภัยที่หัวใจความสนุก คือ เคมีนักแสดง | GOSSIP GUN

19 เม.ย. 2022

[REVIEW] “The Lost City” หนังผจญภัยที่หัวใจความสนุก คือ เคมีนักแสดง | GOSSIP GUN

คงจะไม่เกินจริงถ้าจะกล่าวว่า แซนดร้า บูลล็อค คือขุมทรัพย์ของหนังตลก เธอทำได้ดีและดูเป็นธรรมชาติเสมอในหนังแนวนี้ ที่พิสูจน์ด้วยหนังฮิตจากหลากยุคอย่างWhile You Were Sleeping, Miss Congeniality, The ProposalและOcean's 8แม้เธอจะเวียนไปแสดงหนังแนวอื่นมากมาย แต่ผู้ชมมักเรียกหาบูลล็อคในหนังตลกเสมอ เช่นเดียวกับผลงานล่าสุดThe Lost Cityในยุคที่หนังทำเงินมีแต่หนังรีเมกหรือภาคต่อ หนังออริจินัลที่นำแสดงโดยเธอ กลับสามารถทำเงินทะลุหลัก80ล้านเหรียญฯในอเมริกาไปได้แล้ว ไม่ธรรมดาจริงๆ โดยเรื่องนี้เธอได้จับมือกับ แชนนิ่ง เททั่ม อีกหนึ่งนักแสดงที่คล้ายกับบูลล็อค คือแวะเวียนไปเล่นหนังทุกแนว แต่สไตล์ที่แฟนๆ ตกหลุมรักเขามากๆ คือตลกเช่นกัน พิสูจน์ด้วยรายได้ของ21 Jump StreetและShe's The Manหนังที่แจ้งเกิดเขา แซนดร้า บูลล็อค รับบทลอเร็ตต้า นักเขียนหญิงที่หมดแรงบันดาลใจในการเขียนหนังสือต่อ แม้นิยายแนวประวัติศาสตร์โรแมนซ์ของเธอจะขายดีเป็นเทน้ำเทท่า แต่เธอก็ไม่มีกะจิตกะใจในการเดินทางทัวร์โปรโมตหนังสือ เพราะส่วนหนึ่งเพราะต้องเจอกับ อลัน นายแบบหน้าปกหนังสือของเธอ ที่อินกับตัวละครพระเอกดั่งเขียนมาจากชีวิตเขา แต่แล้วเธอกลับตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย เมื่ออบิเกล(รับบทโดย แดเนียล แรดคลิฟฟ์ จากHarry Potter)มหาเศรษฐี จับตัวเธอไป เพราะต้องการตามหาสมบัติที่ซ่อนอยู่ในเมืองสาบสูญ และทางเดียวที่จะไขปริศนาได้ คือการใช้ทักษะอ่านภาษาโบราณของลอเร็ตตา เมื่อเธอถูกจับตัวไปยังเกาะห่างไกลในมหาสมุทร อลันจึงทำทุกทางเพื่อไปช่วยเธอ เพื่อให้เขาได้เป็นมากกว่านายแบบหน้าปก ได้เป็นพระเอกในชีวิตจริง! The Lost Cityไม่ใช่หนังที่มีความใหม่อะไรมากนัก หนังผจญภัยในป่า ที่มีกลิ่นอายผสมระหว่าง แอ็กชัน โรแมนติก คอเมดี้ มีมาทุกสมัย ที่พีกมากๆ และภาพหนังดูใกล้เคียง ก็คือRomancing The Stoneในปี1984แต่The Lost Cityคือหนังที่มาถูกที่ถูกเวลา หลังจากแซนดร้า บูลล็อค ห่างหายจากหนังตลกไปนานถึง4ปี ส่วน แชนนิ่ง เททั่ม ว่างเว้นจากหนังตลกไปเกือบ5ปี นี่จึงกลายเป็นหนังที่คอหนังตลกต้องการโดยไม่รู้ตัว คุณอาจจะไม่ได้รู้สึกก่อนหน้านี้ว่าอะไรขาดหายไป แต่พอไปดู กลับรู้สึกถึงความสนุกแบบที่คุ้นเคย ที่เหมือนกับว่าไม่ได้ดูมาซักพักใหญ่แล้ว นี่คือโปรเจกต์ที่เหมาะมากกับทั้ง บูลล็อค และ เททั่ม พวกเขาต่างเป็นธรรมชาติมากๆในหนังเรื่องนี้ เช่นเดียวกับเคมีของทั้งคู่ ที่เปรียบเหมือนขุมทรัพย์ และเป็นสิ่งสำคัญที่ขับเคลื่อนหนังให้สนุกได้จริงๆ โดยรวมThe Lost Cityมีส่วนผสมระหว่างหนังแอ็กชันและตลกที่กำลังดี สถานการณ์แบบตกกระไดพลอยโจนกลางป่าลึกในเกาะที่ห่างไกล ทำให้หนังสร้างสถานการณ์สนุกๆได้มากมาย บวกกับคาแร็คเตอร์ของตัวละครที่ไม่ได้สายบู๊ทั้งคู่อยู่แล้ว หนังใช้ประโยคในการสร้างเหตุการณ์เหมาะๆได้อย่างไม่เสียดายพล็อต นอกจากนี้หนังยังเต็มไปด้วยมุกบ้าบอรายทาง ซึ่งก็ไม่ได้ปล่อยทิ้งขว้าง มีความตลกอยู่ตลอด รวมถึงไฮไลต์พิเศษ นั่นคือ นักแสดงรับเชิญอย่าง แบรด พิตต์ ที่ค่ายหนังไม่อยากเก็บไว้เซอร์ไพรส โปรโมตแบบเต็มแม็กไปเลย ก็แว้บมาสร้างสีสันได้อย่างกำลังดี แต่ก็ไม่ได้ขโมยซีนของพระนางด้วย ปัญหาเล็กน้อยของThe Lost Cityอาจจะเป็นการเลือกให้ แดเนียล แรดคลิฟฟ์ มารับบทตัวร้ายของเรื่อง ซึ่งมีปัญหาในหลายๆด้าน ประการแรกคือคือผู้ชมจำนวนไม่น้อยไม่สามารถสลัดภาพเขาจากบทแฮร์รี่ พ็อตเตอร์ได้ เมื่อแรดคลิฟฟ์ ร้ายก็ดูแปลกดีแต่ยังไม่น่าเชื่อเท่าไหร่นัก อีกทั้งอายุที่อาจจะห่างจากทั้ง บูลล็อคและเททั่ม ทำให้เขาดูเป็นตัวร้ายที่ไม่ได้น่าเกรงขามนัก ความกล้ามใหญ่ของเททั่มดูจะเอาชนะได้แบบง่ายๆด้วย ตัวละครนี้เลยดูไม่หนักแน่นพอไปอย่างน่าเสียดาย แต่โดยThe Lost Cityถือเป็นหนังสนุกที่เพลิดเพลินตั้งแต่ต้นจนจบ ที่คอหนังแอ็กชันคอเมดี้น่าจะถูกใจได้ไม่ยาก(ให้8คะแนนจากคะแนนเต็ม10คะแนน)

[Review] Thanksgiving สาแก่ใจคอหนังไล่เชือด ฆาตกรโรคจิตกับคืนวันขอบคุณพระเจ้า

30 พ.ย. 2023

[Review] Thanksgiving สาแก่ใจคอหนังไล่เชือด ฆาตกรโรคจิตกับคืนวันขอบคุณพระเจ้า

จะเกิดอะไรขึ้น? ถ้าการลดราคาครั้งใหญ่ Black Friday ในช่วงเทศกาลขอบคุณพระเจ้า กลายเป็นคืนแห่งเลือดในห้างสรรพสินค้าห้างหนึ่ง นี่คือไอเดียตั้งต้นของ Thanksgiving หนังสยองขวัญแนวเชือด ที่เป็นการกลับมาสู่หนังแนวนี้อีกครั้งของผู้กำกับ อีไล รอธ หลังแจ้งเกิดจากหนังสยองขวัญสายโหดอย่าง Cabin Fever และ Hostel แล้วก็วนไปกำกับหนังแนวอื่น ซึ่งเดิมทีไอเดียของ Thanksgiving เริ่มจากการทำตัวอย่างหนังปลอม ๆ ไปใส่ไว้ในหนังชื่อ Grindhouse (2007) จนต่อมา อีไล ได้พัฒนาบทหนัง จนกลายมาเป็นหนังใหญ่ในที่สุด ซึ่งหนังจากเขาเบนเข็มไปกำกับทั้งหนังแอ็กชัน หนังแฟนตาซี และหนังไซไฟ ก็ได้ฤกษ์ที่เขาจะกลับมาทำหนังที่แจ้งเกิดเขาอีกครั้งเสียทีThanksgiving เล่าเรื่องราวความสยองในคืนวันเทศกาลขอบคุณพระเจ้า เมื่อเกิดความโกลาหลขึ้นในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ที่ผู้คนพากันเหยียบกันตาย เพราะแย่งกันซื้อของลดราคา กลายเป็นฝันร้ายของเมืองพลีมัธนับจากนั้น แม้ผู้คนจะกลับไปใช้ชีวิตตามปกติ แต่เมื่อ 1 ปีผ่านไป ฝันร้ายก็ย้อนกลับมาอีกครั้ง เมื่อมีฆาตกรโรคจิตใส่หน้ากาก แต่งตัวเป็นผู้ก่อตั้งเมือง ออกมาไล่เชือดประชาชน ซึ่งทุกคนล้วนแต่เกี่ยวข้องกับเหตุโศกนาฏกรรมเมื่อปีก่อน โดยเป้าหลักคือ เจสสิก้า หญิงสาวที่พ่อของเธอเป็นเจ้าของห้างที่เกิดเหตุร้าย แถมเธอยังอยู่ในเหตุการณ์คืนวันนั้น จึงกลายเป็นหน้าที่ของ เอริค (รับบทโดย แพทริค เดมพ์ซีย์ จาก Grey's Anatomy) นายอำเภอของเมืองที่จะต้องจัดการคนร้าย ก่อนที่เทศกาลแห่งการเฉลิมฉลอง จะกลายเป็นคืนสยองอีกครั้ง!ใครที่เป็นแฟนหนังแนวนี้ Thanksgiving คือหนังที่น่าจะสาแก่ใจคอหนังไล่เชือดอยู่ไม่น้อย โดยรวมนี่คือหนังที่ค่อนข้างเดินตามรอยหนังแนวเดียวกันที่ฮิตในช่วงปลายยุค 90s ไล่ตั้งแต่ Scream, I Know What You Did Last Summer ไปจนถึงUrban Legend เรื่องราวของวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งที่ต้องเผชิญกับฆาตกรโรคจิตในหน้ากากปริศนาที่คอยตามไล่ฆ่า กับเหตุฝันร้ายในอดีตที่ตามหลอกหลอนพวกเขา โดยเหตุการณ์มักจะเกิดขึ้นในเมืองเล็กๆเมืองนึง และฆาตกรก็มักจะเป็นตัวละครสักตัว โดยจะเฉลยปมเหตุการฆ่าในตอนท้าย สำหรับ Thanksgiving แล้ว มาในสูตรแบบเดียวกันนี้เลย แต่ทำออกมาได้อย่างสนุก มีองค์ประกอบต่าง ๆ ที่ใส่มาอย่างน่าพอใจ ซึ่งปัจจุบันผู้ชมอาจจะไม่ค่อยได้เห็นหนังแนวนี้มากนัก เหมือน Thanksgivingสร้างมาให้หายคิดถึงกึ่ง ๆ Tribute ให้ด้วยซ้ำThanksgiving คือหนังที่สามารถนิยามได้ว่า “ฆ่ากันแบบเถิดเทิง” เพราะหนังมีองค์ประกอบที่ทำถึงมาก ๆ ในสองส่วน พาร์ทแรกคือความโหด ที่ Thanksgiving จัดเต็มความโหดแบบไม่ยั้ง ไม่ให้เสียชื่อ อีไล รอธ หลังจากหนังสยองหลายเรื่องกลัวไม่ได้ผู้ชมกลุ่มอายุน้อย เลยโหดแบบเบาๆเพื่อให้ได้เรต PG-13 แต่หนังเรื่องนี้ มุ่งหน้าสู่เรต R แบบไม่กลัว ทำให้ฉากฆ่า ฉากเชือด จัดเต็มทั้งเลือดและฉากอวัยวะขาดแบบสะใจคอหนังเชือด และอีกพาร์ทที่หนังทำได้ดีคือ อารมณ์ขัน หนังเต็มไปด้วยอารมณ์ตลกร้าย จนหลายครั้งตัวหนังเองก็เกือบจะเป็นหนังล้อเลียน Parody หนังแนวไล่เชือดอยู่ไม่กัน โดยเฉพาะพวกฉากฆ่าต่าง ๆ มีดีไซน์ที่เต็มไปด้วยอารมณ์ขัน ทำให้หนังยิ่งสนุกมากขึ้นสรุปแล้ว Thanksgiving คือหนังประเภท Teen-Slasher ที่แม้จะเดินตามสูตร แต่ก็ทำออกมาได้อย่างสนุกสนาน มีองค์ประกอบทั้งความโหดและอารมณ์ขันแบบจัดเต็ม เป็นความโหดที่บันเทิงใช้ได้เลย และสำหรับแฟนของ แพทริค เด็มพ์ซีย์ ก็ถือว่าค่อนข้างแปลกตา ที่เขามารับบทนำในหนังแนวนี้ หลังติดภาพเขาเป็นผู้ชายในฝันเจ้าสำอาง บทบาทนี้ก็ดูสดใหม่ดีสำหรับเขาอยู่เหมือนกัน ใครที่คิดถึงหนังไล่เชือดที่เต็มไปด้วยความเถิดเทิง ไม่ต้องเนี้ยบมาก ไม่ต้องฉลาดมาก เรื่องนี้คือตัวเลือกที่น่าสนใจThanksgiving คืนเดือดเชือดขาช็อป / เข้าฉาย 5 ธันวาคมนี้

[REVIEW] ‘Pinocchio’ ความมหัศจรรย์ครั้งใหม่ที่ไม่ซ้ำของเดิม| GOSSIP GUN

09 ก.ย. 2022

[REVIEW] ‘Pinocchio’ ความมหัศจรรย์ครั้งใหม่ที่ไม่ซ้ำของเดิม| GOSSIP GUN

เมื่อนักแสดงเจ้าของสองรางวัลออสการ์ ทอม แฮงค์ และผู้กำกับวิสัยทัศน์กว้างไกล โรเบิร์ต เซเมกคิส มาเจอกันทีไร มักเกิดความอัศจรรย์บนแผ่นฟิล์มมาโดยตลอด นับตั้งแต่ Forrest Gump (1994) ที่ชีวิตอันแสนมหัศจรรย์ได้อย่างน่าประทับใจ ต่อด้วย Cast Away (2000) หนังที่เล่าถึงชีวิตชายติดเกาะที่ไม่เหมือนใคร และ The Polar Express (2004) หนังแห่งการเฉลิมฉลองที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น ซึ่งตอนนั้น แฮงค์ เหมาเล่นคนเดียวไป 6 บน จนกระทั่งล่าสุดพวกเขากลับมาเจอกันอีกครั้งในโปรเจกต์รีเมกแอนิเมชั่นคลาสสิก Pinocchioเวอร์ชั่น Live-Action หนังจากดิสนีย์สร้างฉบับการ์ตูน ผ่านมา 80 กว่าปี มีหนังพินอคคิโอมากมายหลายฉบับ แต่ หนังที่ดิสนีย์รีเมกเองนั้นยังไม่เคยมีมาก่อน จนกระทั่งตอนนี้ทอม แฮงค์ รับบท เจปเปทโต ช่างไม้ที่สร้างหุ่นเด็กผู้ชาย พินอคคิโอ ขึ้นมาจากไม้ เพื่อระลึกถึงลูกชายของเขาที่จากไปแล้ว ด้วยคำขอพรของเขา ทำให้ในค่ำคืนหนึ่ง นางฟ้าได้ปรากฏตัวขึ้น (รับบทโดย ซินเทีย อาริโว่ นักแสดง/ศิลปิน เจ้าของรางวัลแกรมมี่) และเสกให้พินอคคิโอ มีชีวิตเหมือนเด็กธรรมดาทั่วไป และเสกให้จิ้งหรีด คอยดูแลเขาอย่างใกล้ชิด แต่ทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผน เมื่อวันแรกที่ เจปเปทโต ส่ง พินอคคิโอ ไปเรียนหนังสือ เขากลับถูกปฏิเสธเพียงเพราะแค่แตกต่างจากเด็กทั่วไป นำไปสู่การผจญภัย และเรียนรู้โลกกว้าง จนพินอคคิโอเข้าใจว่า อะไรกันแน่คือสิ่งที่ดีงาม อะไรคือความถูกต้องแม้ผู้ชมจะพอรู้เส้นเรื่อง หรือเคยดูหนัง Pinocchio หลากหลายฉบับมาก่อนแล้ว แต่หนังในฉบับนี้ ก็ยังสร้างความสดใหม่ให้เรื่องราวได้ ด้วยองค์ประกอบต่างๆ แม้หนังจะเริ่มต้นด้วยเส้นเรื่องที่ผู้ชมคุ้นเคย แต่เมื่อ พินอคคิโอ ออกจากบ้าน ดิสนีย์ก็ได้ค่อยๆแต่งเติม สร้างสีสันที่แปลกใหม่ จนกระทั่งนำไปสู่องก์สุดท้ายของหนัง ที่มาพร้อมกับไคลแมกซ์ และบทสรุปที่แตกต่างไปจากเดิม นอกจากเส้นเรื่องที่ไม่ซ้ำเดิมแล้ว ดิสนีย์ยังเลือกใส่ Easter Egg เกี่ยวกับดิสนีย์เองเข้ามาเบาๆ ถ้าใครสังเกตทันก็จะเห็นถึงความขี้เล่นของค่าย แต่แม้ว่าตัวบทอาจจะมีอะไรแปลกไปจากเดิม แต่หัวใจของเรื่อง Pinocchio ก็ยังอยู่อย่างครบถ้วน ยังคงให้อารมณ์สุดประทับใจกับผู้ชมได้แทบตลอดทั้งเรื่องในแง่ของงานสร้าง Pinocchio ทำออกมาได้ค่อนข้างสมูธ หลายฉากช่วงแรกๆแม้จะเล่าเรื่องแค่ในบ้านของ เจปเปทโต แต่เราก็สัมผัสได้ถึงความอัศจรรย์เล็กๆ จนกระทั่งฉากที่พินอคคิโอออกไปผจญภัยในโลกกว้าง สร้างความตื่นตาได้ดีทีเดียว อาทิ Pleasure Island ก็ออกแบบมาอย่างน่าดึงดูด หรือฉากไคลแมกซ์กลางมหาสมุทรก็ดูยิ่งใหญ่ จนแอบเสียดายนิดๆ ที่ผู้ชมทั่วโลกจะได้ดู Pinocchio ในบ้านเป็นหลัก เพราะอันที่จริงหนังมีโอกาสที่จะทำเงินได้ไม่ยากเลย ถ้าเข้าฉายในโรง และวางโปรแกรมในช่วงเทศกาลแห่งความสุข อย่าง Thanksgiving หรีือ Christmasอย่างไรก็ตาม Pinocchio ฉบับ Live-Action ก็ยังไม่ใช่หนังระดับเพอร์เฟค มีหลายๆส่วนที่ดูไม่เข้ากับหนัง อาทิ มีมุกนึงที่ตลก แต่มันดูไม่เข้ากับยุคสมัย ทำให้ผู้ชมหลุดออกมาจากหนังอยู่เหมือนกัน หรืออย่างจังหวะในการเล่า ที่ช่วงแรกก่อนที่ พินอคคิโอ จะมีชีวิตนั้น Pacing ค่อนข้างช้ามากๆ ดีไม่ดี เด็กๆหลับไปก่อนแล้ว คุณพ่อคุณแม่อาจจะต้อง Skip ไปตอนที่สนุกเลย และอีกพาร์ทที่หนังยังแอบไม่ชัดเจนนิดๆ คือการที่ให้บางฉากตัวละครพูดบทเป็นบทกลอน บางฉากก็ร้องเพลงออกมาเลย บางฉากเหมือน ทอม แฮงค์ จะร้องเพลงแต่ก็ไม่ร้อง มันเลยดูเหมือนจะกั๊กๆ จะเป็นหนังมิวสิคัลเลยก็ไม่ถึงขนาดนั้น จะเป็นหนังกวีก็ยังไม่ใช่ เป็นส่วนผสมที่ยังแปร่งๆ ไม่ลงตัวเท่าไหร่ท้ายที่สุด Pinocchio ฉบับใหม่ ก็อาจจะยังไม่ใช่การคอลแล็ปที่ดีที่สุดของ ทอม แฮงค์ และโรเบิร์ต เซเมกคิส ในขณะเดียวกัน ถ้าจัดอันดับหนังดิสนีย์ Live-Action ในระยะหลัง ก็สามารถวาง Pinocchio ไว้ได้ในลำดับกลางๆ แต่หนังก็ยังสนุก และมีของดีมากพอ ที่จะให้ทุกคนเปิดชมหนังได้ โดยเฉพาะครอบครัว และเด็กๆ ที่น่าจะเอ็นจอยกับหนังอย่างแน่นอน เพราะมีความชวนตื่นตาในแง่ของ CG ตัวละครสัตว์ต่างๆอยู่พอสมควร เด็กๆจะได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่างจากหนังเรื่องนี้ อย่างไรก็ดี นี่ไม่ใช่หนัง Pinocchio เพียงเรื่องเดียวของปี เพราะธันวาคมนี้จะมีอีกเวอร์ชั่น โดยผู้กำกับ กิลเลอโม่ เดล โตโร่ ที่จะฉายใน Netflix ต้องมารอติตตามศึกพินอคคิโอนัดนี้ เรื่องนี้จะเจ๋งกว่ากันภาพ : DisneyPlus Hotstar Thailandชมตัวอย่าง Pinocchio สตรีมได้แล้ววันนี้ใน Disney+ Hotstar

album

0
0.8
1