[REVIEW] ‘Avatar : The Way of Water’ ปรากฏการณ์แห่งโลกภาพยนตร์ ตื่นตาอ้าปากค้าง | GOSSIP GUN

HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘Avatar : The Way of Water’ ปรากฏการณ์แห่งโลกภาพยนตร์ ตื่นตาอ้าปากค้าง | GOSSIP GUN

15 ธ.ค. 2022

คงไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่จะสร้างภาคต่อของหนังที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก Avatar ภาคแรกออกฉายเมื่อ 13 ปีก่อน และยังครองตำแหน่งหนังทำเงินสูงสุดตลอดกาลของโลก ด้วยรายได้ 2.9 พันล้านเหรียญฯ มันกลายเป็นหนังในดวงใจของใครหลายๆคน มันกลายเป็นหนังที่พลิกโฉมโลกภาพยนตร์ ด้วยเทคโนโลยีการสร้างที่ทันสมัย ดังนั้น เมื่อ เจมส์ คาเมรอน ต้องสร้างภาคต่อให้กับหนังที่ฮิตที่สุดในโลก เขาจึงต้องใช้เวลา และเขาไม่ได้มาแค่เล่นๆ เพราะหนังภาคต่อถูกวางแพลนยาวๆถึงภาค 5 กันเลยทีเดียว (ตอนนี้ถ่ายทำภาค 3 เสร็จแล้ว และถ่ายภาค 4 ไปได้องค์แรก) ดังนั้นผู้ชมจึงต้องรอนานมากกว่าทศวรรษเพื่อกลับสู่แพนโดร่าอีกครั้ง

Avatar : The Way of Water เล่าเหตุการณ์มากกว่า 10 ปีหลังจากเหตุการณ์ในภาคแรก (ห่างพอๆกับปีฉายหนังทั้งสองภาคนั่นเอง) เมื่อ เจคและเนทีรี ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข พร้อมกับสมาชิกครอบครัวใหม่ ทายาทของพวกเขาถึง 4 คน แต่แล้ว มนุษย์ก็ยังไม่หยุดแผนการณ์ที่จะเข้ายึดครองดาวดวงแห่งนี้ แถมยังขยายเขตอาณานิคมกว้างขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาจึงต้องลุกขึ้นสู้ เพื่อปกป้องเผ่าพันธุ์ และได้พบว่าผู้พันไมล์ ศัตรูจากภาคแรกที่แม้เจคจะสังหารไปแล้ว กลับปรากฏตัวขึ้นในร่างใหม่ (แต่เพราะอะไรต้องไปดูกันในหนัง) โดยไมล์มีเป้าหมายเดียว คือการตามล่าเจค และสังหารเขา นี่คือความแค้นส่วนตัวที่นำไปสู่การไล่ล่าครั้งใหม่ เจคจึงต้องทำทุกทางเพื่อปกป้องครอบครัว นำไปสู่การผจญภัย การต่อสู้ และสงคราม ในแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

สิ่งที่ทำให้ เจมส์ คาเมรอน ใช้เวลาเตรียมงานสร้างภาคต่อ Avatar นานกว่าทศวรรษคือการพัฒนาเทคโนโลยี ภาคแรกผู้ชมจะเห็นความสมจริง จากการถ่ายทำแบบเทคนิค Motion-Capture ดังนั้น สีหน้า แววตา การขยับตัวของตัวละครจะเหมือนนักแสดง แต่ภาคนี้ไอเดียเขาล้ำกว่า คือจะถ่าย Motion-Capture แบบในน้ำ ซึ่งไม่มีใครเคยทำมาก่อน เขาจึงต้องทดลองอยู่นาน ซึ่งความพยายามนี้เอง ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก เพราะไฮไลต์ที่โดดเด่นจริงๆของ The Way of Water นั้น คือฉากใต้น้ำนี่เอง หนังใช้เวลาถึง 2 ใน 3 ของเรื่องกับฉากเหนือน้ำและใต้น้ำ ทำให้เทคนิคนี้ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างคุ้มค่า ภาพที่ปรากฏบนจอดูสวยสะกดสายตามากๆ ทำให้สิ่งที่เห็นแล้วตื่นตะลึงในภาคแรก ถูกอัพเลเวลความน่าตื่นตาขึ้นไปอีก ยิ่งดูในระบบ IMAX 3D ยิ่งเพิ่มอรรถรส เหมือนเราหลุดเข้าไปอยู่ในโลกแห่งนั้นจริงๆ เหมือนเราลงไปในมหาสมุทรจริงๆก็ว่าได้ (ดีไม่ดี สวยกว่าของจริงด้วย)

นอกจากงานสร้างที่สามารถเรียกว่า Visual Stunning สวยงามระดับตื่นตะลึงแล้ว สิ่งที่ทำให้ Avatar ภาคใหม่ตรึงผู้ชมได้ดี คือการไต่ระดับอารมณ์ของหนัง โดยเฉพาะในชั่วโมงสุดท้าย เจมส์ คาเมรอน สามารถเนรมิตฉากไคลแมกซ์สุดยิ่งใหญ่ออกมาได้อย่างไม่ผิดหวัง โดยเฉพาะซีนแอ็กชันในภาคนี้ เล่นใหญ่มาก และทำเอาลุ้นระทึกได้ตลอด แถมดีไซน์มุมกล้องออกมาได้สดใหม่ ทำให้เพิ่มความว้าวขึ้นไปอีก แต่ปัญหาหลักของ Avatar ภาคนี้ กลับเป็นเส้นเรื่อง ที่เหมือนจะยังไม่ได้เดินหน้าไปไหนมากนัก (จนหลายคนแซวว่าหนังรีเมกภาคแรกด้วยซ้ำ) หนังยังคงวนเวียนอยู่กับตัวละครกลุ่มเดิม จากภาคแรกที่เป็นการปกป้องเผ่าพันธุ์และอาณาจักร ภาคนี้ดูเหมือนกับโฟกัสที่ปมแค้นส่วนตัวของตัวละครมากขึ้นกว่าเดิม ทำให้พลังความหึกเหิม และอารมณ์ร่วมค่อนข้างลดหายไปอยู่บ้าง (แต่ถ้าคิดซะว่าเป็นแผนยาว ที่เขาต้องสร้างถึงภาค 5 ก็พอเข้าใจอยู่ว่าจะเก็บอะไรไว้เล่าอีกเยอะ)

โดยรวม Avatar : The Way of Water คือหนังอีกหนึ่งเรื่องที่สามารถพูดได้เต็มปากว่าเป็น Cinema Experience ผู้ชมจะได้สัมผัสประสบการณ์ในการดูหนังในโรงที่ยอดเยี่ยม แม้ว่าตัวหนังเองอาจจะไม่ได้สดใหม่เท่าภาคแรก แต่มันก็ยกระดับงานสร้างขึ้นไปจากเดิม อรรถรสในการดูหนังเรื่องนี้ จึงอยู่ที่การได้ดูในโรงภาพยนตร์ที่จอใหญ่ๆ และเสียงกระหึ่มจริงๆ นี่คือหนังอีกเรื่องที่ตอกย้ำว่า การดูหนังในโรงมันแตกต่างจากดูที่บ้านอย่างไร เพราะเชื่อเหลือเกินว่า เมื่อหนังถูกลงในระบบสตรีมมิ่งแล้ว ถ้าดูซ้ำ คงไม่ได้อ้าปากค้าง หรีือเหมือนหลุดเข้าไปในโลกแพนโดร่า เหมือนตอนดูในโรงอีกแล้ว

ชมตัวอย่าง Avatar : The Way of Water วันนี้ในโรงภาพยนตร์

ภาพ : 20th Century Studios Thailand

related HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW EXCLUSIVE] : จอร์จ คลูนีย์ x จูเลีย โรเบิร์ต นำทีม "Ticket To Paradise” เผยเบื้องลึกก่อนตีตั๋วรักสู่หนังรอมคอมแห่งปีที่ไม่ควรพลาด ! | GOSSIP GUN

05 ต.ค. 2022

[REVIEW EXCLUSIVE] : จอร์จ คลูนีย์ x จูเลีย โรเบิร์ต นำทีม "Ticket To Paradise” เผยเบื้องลึกก่อนตีตั๋วรักสู่หนังรอมคอมแห่งปีที่ไม่ควรพลาด ! | GOSSIP GUN

นานแค่ไหนแล้วที่เราไม่ได้ดูหนังโรแมนติกคอเมดี้ที่ยิ้มไม่หุบตลอดทั้งเรื่อง ยังจำเสียงหัวเราะตอนที่ดู Four Weddings and a Funeral ได้หรือไม่ ยังจำความสุขตอนที่ดู Notting Hill ได้หรือเปล่า และยังจำความอิ่มเอมหัวใจพองโตตอนที่ดู Love Actually กันได้ใช่ไหม ? ดูเหมือนว่าหนังรอมคอมจะห่างหายจากโรงภาพยนตร์ไปพักใหญ่หลายต่อหลายปีที่ผ่านมา และนี่คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้ ยูนิเวอร์แซล มอบความสุขที่ห่างหายไปให้กับผู้ชมทั่วโลกอีกครั้งกับ “Ticket To Paradise” (ตั๋วรักสู่พาราไดซ์) นี่ไม่ใช่แค่การกลับมาของหนังรักเบาสมองแบบที่พวกเราคุ้นเคยและโหยหาเท่านั้น แต่ยังเป็นการกลับมาเจอกันอีกครั้งบนหน้าจอ ของพระเอกเสน่ห์เหลือล้นแห่งยุคอย่าง "จอร์จ คลูนีย์" และราชินีแห่งหนังรักอย่าง "จูเลีย โรเบิร์ต" ซึ่งพิสูจน์กันมาแล้วว่า เคมีของทั้งคู่ช่างเข้าขากันดีเหลือเกินก่อนที่จะได้ชม Ticket To Paradise กันในโรงภาพยนตร์ เราขอพาทุกคนไปพูดคุยกับ ซูเปอร์สตาร์แห่งยุค อย่าง จอร์จ คลูนีย์ และจูเลีย โรเบิร์ต ที่นำทีมนักแสดงและผู้กำกับ จากหนังโรแมนติกเบาสมองแห่งปี มารวมตัวกันที่รอบปฐมทัศน์ในกรุงลอนดอน ซึ่งในโอกาสนี้พวกเขาทั้งหมด ได้เข้าร่วมงาน Press Conference พร้อมกับสื่อมวลชนจากทั่วโลกผ่านทางออนไลน์ และในโอกาสนี้ ทาง EFM94 และเพจ Hollywood GossipGun ก็ได้รับโอกาสพิเศษในการเข้าร่วมด้วย ทำไมเราทุกคนถึงไม่ควรพลาด Ticket To Paradise หนังเรื่องนี้จะมอบความสุขให้ผู้ชมได้ขนาดไหน เราขอพาทุกท่านไปหาคำตอบพร้อมๆกัน“หนังเรื่องนี้ถูกเขียนบทขึ้นมาเพื่อจอร์จ และจูเลียโดยเฉพาะ” - โอล ปาร์กเกอร์ ผู้กำกับ Ticket To Paradise เล่าถึงไอเดียแรกเริ่มของหนัง เขาเขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้ โดยมี จอร์จ คลูนีย์ และ จูเลีย โรเบิร์ต อยู่ในหัวตั้งแต่วันแรก และโปรเจกต์นี้คงกลายเป็นอากาศธาตุถ้านักแสดงระดับโลกทั้งสองคนปฏิเสธที่จะรับบทนำ แต่ โอลและแฟนหนังโรแมนติกคอเมดี้ทั่วโลกโชคดี เพราะทั้งสองต่างตอบรับ โอลเล่าต่อว่า - “ผมเขียนบทเพื่อจอร์จ และจูเลียโดยเฉพาะ ถ้าพวกเขาไม่รับเล่น พวกเราคงไม่ได้มานั่งอยู่ตรงนี้ สองบทบาทนี้สำหรับพวกคุณเท่านั้น (โอลหันไปหา จอร์จและจูเลีย) ผมเขียนบทเพื่อพวกคุณ ติดต่อไปยังพวกคุณ และภาวนาให้พวกคุณรับแสดงในหนังเรื่องนี้”ย้อนกลับไป จอร์จ คลูนีย์ และจูเลีย โรเบิร์ต พบกันครั้งแรกในกองถ่าย Ocean's Eleven เมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว หลังจากนั้นทั้งสองก็กลายเป็นเพื่อนสนิทกันในทันที จอร์จเล่าให้ฟังว่า เขานั่งอยู่ที่พื้นโรงแรมและเล่นมุกกันเกือบ 5 ชั่วโมง นั่นคือจุดเริ่มต้นความสนิทสนมของทั้งสอง - “สำหรับพวกเรามันง่ายเสมอ ตอนที่ผมได้บทภาพยนตร์ Ticket To Paradise จำได้ว่าโอลส่งให้ทั้งผมและจูเลียพร้อมๆกัน ผมโทรหาจูเลียถามว่า คุณอ่านบทหนังหรือยัง เธอกำลังอ่านอยู่เลย ผมบอกไปว่าผมจะเล่นถ้าคุณเล่น จูเลียก็พูดแบบเดียวกัน โชคดีที่พวกเราใจตรงกัน” - จอร์จเล่าต่อว่า มันสนุกที่ได้ทำงานกับเพื่อน ที่ได้ทำงานกับจูเลีย หลังจากการแสดงหนังด้วยกันครั้งแรก ทั้งสองได้ร่วมงานกันอีกครั้งในภาคต่อ Ocean's Twelve และในหนังระทึกขวัญMoney Monster แต่ใครจะเชื่อว่าทั้งสองคน ยังไม่เคยเล่นหนังโรแมนติกคอเมดี้ด้วยกันมาก่อนใน Ticket To Paradise จอร์จ คลูนีย์ และจูเลีย โรเบิร์ต รับบทเป็น เดวิด และจอร์เจีย อดีตสามีภรรยาที่กลายความสัมพันธ์จากคู่รัก ไปเป็นคู่แค้น หลังหย่าร้างทั้งคู่แทบไม่เคยพูดจาดีๆ แทบไม่เคยมองหน้ากัน แม้แต่อยู่ในห้องเดียวกันยังเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แต่แล้วภารกิจที่ทำให้ทั้งสองต้องจับมือกันก็เกิดขึ้น เมื่อ ลิลลี่ ลูกสาวที่เพิ่งเรียนจบของพวกเขา ไปพบรักหนุ่มอินโดนีเซีย หลังเดินทางไปพักผ่อนที่บาหลี และทั้งสองตัดสินใจที่จะแต่งงานกัน ทันทีที่ เดวิดและจอร์เจีย ทราบข่าว ทั้งคู่จึงรีบซื้อตั๋วบินสู่เกาะบาหลี แต่ไม่ใช่เพื่อแสดงความยินดีกับลูก เป้าหมายของพวกเขา คือการล่มงานวิวาห์ครั้งนี้ให้ได้ เพื่อให้ ลิลลี่ ไม่ทำผิดพลาดในความรัก แบบที่ทั้งคู่เคยเผชิญ และพาเหรดแห่งความอลหม่านก็ได้เริ่มต้นขึ้น ณ ตรงนี้“แค่ได้มีโอกาสต่อปากต่อคำกับจอร์จ ฉันก็พร้อมโดดเข้าร่วมในหนังแล้ว” - จูเลีย โรเบิร์ต เล่าถึงเหตุผลที่เธอตัดสินใจตอบตกลง กลับมาเล่นหนังรอมคอมทันทีที่อ่านบทจบ หลังจากห่างหายไปนานกว่าทศวรรษ เพื่อไปเล่นหนังแนวอื่นๆ เธอเล่าว่าแค่การที่จะได้เห็น จอร์จ คลูนีย์ ตกหลุมรักเธอแบบหัวปักหัวปำมันก็น่าสนุกเต็มทีแล้ว จูเลียเผยถึงความสัมพันธ์ระหว่างสองตัวละครว่า - “แม้ในหนังจอร์จ จะตกหลุมรักฉันอย่างหนัก แต่ฉันไม่รักเขาแล้ว และเขาพยายามใช้โอกาสนี้ที่ลูกสาวของพวกเราจะแต่งงาน เพื่อหาโอกาสกลับมาคืนดีกับเธอ..” - ไม่ทันที่ จูเลีย จะพูดจบ จอร์จก็พยายามพูดแทรกเข้ามาทันที แทบจะไม่ต่างจากบทอดีตผัวเมียคู่นี้ในจอเลย นี่คือการพิสูจน์ให้เห็นว่า นอกจอพวกเขาทั้งสนิทและสนุกกันเพียงใด ในจอก็เป็นเช่นกัน และก่อนที่จูเลียจะพูดจบ จอร์จก็ป้อนคำหวานว่า - “สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผม คือโอกาสที่จะได้เล่นหนังกับราชินีแห่งซิตคอม ราชินีแห่งหนังโรแมนติกเบาสมอง”- นั่นสิ จะพลาดโอกาสนี้ไปได้อย่างไร ?ขนาด จอร์จ และจูเลีย ยังไม่อยากพลาดโอกาสที่จะได้ร่วมงานกันเอง แล้วทีมนักแสดงคนอื่นๆ จะพลาดได้ไง สาวน้อยที่โชคดีที่สุดคือ เคทลิน เดเวอร์ นักแสดงสาวที่แจ้งเกิดจาก Booksmart และได้ชิงรางวัล Golden Globes จากมินิซีรีส์Unbelievable เล่าถึงโอกาสแห่งชีวิต ที่เธอได้รับเลือกให้แสดงบท ลิลลี่ ลูกสาวของ จอร์จและจูเลียในหนัง เธอเล่าว่าเหตุผลสำคัญ ที่ตัดสินใจเล่นบทนี้ แน่นอนว่ามันคือการได้เล่นเป็นลูกของ จอร์จและจูเลีย นอกจากนี้เธอเล่าต่อว่า - “ฉันไม่เคยเล่นหนังรอมคอมมาก่อน เลยอยากลองบทที่แตกต่าง และแน่นอนว่าฉันจะได้ทำงานกับเพื่อนสนิท ฉันมีความสุขมากๆระหว่างถ่ายทำหนังเรื่องนี้ มันเยี่ยมมากเลย” - เพื่อนสนิทที่ว่านี้ เคทลินหมายถึง บิลลี่ ลอร์ด นักแสดงรุ่นพี่ที่เคยร่วมงานกันมาแล้วในBooksmart ซึ่งทั้งสองกลับมาร่วมงานกันอีกครั้งในTicket To Paradise แถมยังแสดงเป็นเพื่อนสนิทกันอีกด้วย เคทลินบอกว่า การได้ร่วมงานกับเพื่อนสนิท ทำให้ทุกอย่างมันง่ายขึ้นมาก และแค่โอกาสที่ได้รู้จัก จอร์จและจูเลีย มันก็วิเศษมากๆแล้วนอกจาก จอร์จ-จูเลีย และเหล่าบรรดาสาวๆบนเกาะสวรรค์แห่งนี้แล้ว สองนักแสดงหนุ่มที่เข้ามามีบทบาทสำคัญ เพิ่มความสนุกให้กับ Ticket To Paradise คนแรกคือ แม็กซิม บูเทียร์ นักแสดงและนักดนตรีหนุ่มสุดหล่ชาวอินโดนีเซีย ที่เข้ามารับบท เจด หนุ่มท้องถิ่นที่ ลิลลี่ ลูกสาวของ จอร์จและจูเลีย ตกหลุมรัก แม็กซิม เล่าถึงตัวละครของเขาว่า - “เขามาจากบาหลี เขาเพาะสาหร่ายริมทะเลเป็นอาชีพ เขาเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติรอบๆตัวเขา เขาเหมือนจะเป็นเจ้าชายรูปงามเลยละ” (เพื่อนๆนักแสดงต่างแซวว่า เขาเป็นเจ้าชายแบบออร์แกนิคเลยละ เพราะปลูกสาหร่าย) – เมื่อถูกถามว่า รู้สึกอย่างไรบ้าง ที่ได้แสดงเป็นลูกเขยของ จอร์จ คลูนีย์ และจูเลีย โรเบิร์ต แมกซีนเล่าทันทีว่า ตอนที่เขารับโทรศัพท์ แล้วปลายสายบอกว่าคุณได้เล่นบทนี้นะ เขานี่ตัวแทบลอย การที่ได้ร่วมงานกับจอร์จ มีหลายฉากที่ต้องเล่นด้วยกัน แม็กซิมรู้สึกขอบคุณมากๆที่ได้รับโอกาสนั้น มันเป็นประสบการณ์ที่บ้ามากๆเลยปัญหาที่ จอร์จ คลูนีย์ ต้องเผชิญบนเกาะสวรรค์แห่งนี้ ไม่ใช่แค่การหยุดลูกสาวจากงานวิวาห์ที่เขาไม่เห็นด้วยเท่านั้น แต่ยังมีการที่เขาต้องเห็นอดีตคนรักไปมีแฟนใหม่ ที่ทั้งหนุ่ม ทั้งแซ่บยิ่งกว่า เมื่อตัวละครจอร์เจีย กำลังอินเลิฟกับ พอล นักบินหนุ่มซึ่งรับบทโดย ลูคัส บราโว่ หนุ่มหล่อจาก Emily In Paris ซึ่งเมื่อพอลรู้ว่า จอร์เจีย กำลังจะบินไปหาลูกที่บาหลี เขาเลยตัดสินใจแลกเที่ยวบิน เพื่อมาบินในไฟลต์นี้ และเซอร์ไพรสแฟนสาวรุ่นใหญ่ด้วย ลูคัสเล่าถึงตัวละครเขาว่า - “ความน่าสนใจของตัวละครพอล คือเขาแทบจะไม่เคยเจอปัญหาปวดใจมาก่อน เป็นคนใสซื่อบริสุทธิ์มากๆ เขาเหมือนเด็กอายุ 14 ปี ติดอยู่ในร่างชายวัย 30 ซึ่งผู้กำกับ (โอล ปาร์กเกอร์) เปิดโอกาสให้ผมได้อิมโพรไวซ์ ได้ลองแสดงหลายๆแบบ แล้วจอร์จกับจูเลียก็เล่นตาม มันน่าสนใจมาก”แม้จะได้เล่นหนังเป็นคนรักของ จูเลีย โรเบิร์ต แต่ลูคัสเผยว่า ตอนแรกที่เล่นบทนี้ มันไม่ได้สบายเลย และเขาได้เล่าถึงฉากที่ประหม่าอย่างมาก - “อย่างฉากจูบบนเครื่องบิน ผมแทบไม่เชื่อตัวเองว่าจะได้จูบกับจูเลีย พวกเราขำกันไม่หยุด ผู้กำกับก็เลยบอกว่า จูบใหม่สิ..” ทันใดนั้น ระหว่างที่พูดคุยกันอยู่ จอร์จ คลูนีย์ ก็แซวขึ้นมาทันทีว่า จูเลียนั่นแหละที่อยากจูบอีก ด้านจูเลียแซวตัวเองต่อไปอีกว่า มันอยู่ในสัญญาของเธอเลยนะ นี่คือตัวอย่างความสนุกที่ล้นออกมาจากในจอสู่นอกจอ พวกเขาสนิทกันจริงๆในชีวิตจริง ทั้งจอร์จและจูเลียต่างเอ็นดูลูคัสมาก เขาบอกว่าทั้งสองพยายามเปิดทางให้เขาได้ซีนเสมอ - “มันเป็นความรู้สึกที่ประหลาดมาก หลังจากที่ผมได้ดูหนังเต็มๆเมื่อคืน ผมเริ่มตระหนักได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ผมไม่ได้บอกพ่อแม่ด้วย แต่พุ่งไปยังกองถ่ายเลย ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วแค่พริบตา เมื่อวานผมเพิ่งมานั่งคิดจริงจังว่า เกิดอะไรขึ้นกับผมเนี่ย” - ยังไม่ทันจะพูดจบ จอร์จ คลูนีย์ ก็แซวขึ้นมาอีกแล้ว – “ลูคัสเพิ่งอายุ 5 ขวบเอง ตอนที่ Notting Hill ฉาย เขาตั้งตารอจะมาเจอคุณตั้งแต่ตอนนั้นแล้วละ” เชื่อแล้วว่าสนิทกันจริงๆทีมนักแสดงทั้งหมด บินไปยังออสเตรเลีย เพื่อถ่ายทำ Ticket To Paradise แทนที่จะเป็นเกาะบาหลี เพราะตอนที่หนังเปิดกล้อง อินโดนีเซีย ยังคงมีมาตรการด้านโควิด-19 ที่ยังรัดกุมทำให้ถ่ายทำไม่ได้ แต่ท้ายที่สุดทีมงานก็สามารถเก็บภาพบรรยากาศของบาหลีมาใช้จริงๆได้ในเวลาต่อมา นี่คือการถ่ายทำหนังที่เหล่านักแสดงต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่มีวันไหนที่พวกเขาไม่มีความสุขเลย และทั้งหมดต้องขอบคุณทีมงานและผู้กำกับ โอล ปาร์กเกอร์ จูเลีย โรเบิร์ต เผยว่า - “โอล เขาทั้งตลก ทั้งมีความมั่นใจ กล้าหาญ เขารู้จักตัวตนนักแสดงแต่ละคน แล้วค่อยๆปรับให้เข้ากับหนัง” -ในขณะที่ จอร์จ กล่าวเสริมว่า พวกเขาต่างโชคดี โอลเขียนบทภาพยนตร์ที่งดงามออกมา แล้วก็ได้พวกเรามาแสดง เขาต้องหาวิธีในการคุมพวกเราให้อยู่ ตลอดเวลาการถ่ายทำมันสนุกมาก เขาทั้งสุภาพ และนิสัยดี พวกเราแทบจะไม่มีวันแย่ๆในกองถ่ายเลย ซึ่งมันหายากมาก“ทั้งฉันและจอร์จต่างรู้สึกภาคภูมิใจเมื่อทำให้ผู้ชมหัวเราะได้ ฉันดีใจมากทุกครั้งที่ได้ทำอะไรบางอย่างแล้วได้ยินเสียงหัวเราะในกองถ่าย ทีมงานขำอยู่หลังมอนิเตอร์” - จูเลีย โรเบิร์ต กล่าวถึงการที่เธอและเพื่อนสนิทอย่าง จอร์จ ได้มอบความสุขให้กับทุกคนในกองถ่าย และความสุขเหล่านั้น กำลังจะส่งต่อไปยังผู้ชมทั่วโลก หลังจากที่พวกเราผ่านช่วงเวลาอันยากลำบาก ของการระบาดโควิด-19 นี่คือช่วงเวลาแห่งความสุขที่กำลังกลับคืนมา พวกเราห่างหายจากการหัวเราะดังๆพร้อมกันในโรงภาพยนตร์มานานแค่ไหนแล้ว พวกเราห่างหายจากการเสียน้ำตาในโรงภาพยนตร์มานานแค่ไหนกัน Ticket To Paradise คือตั๋วสู่ความอิ่มเอมที่พวกเราคุ้นเคย นี่คือโอกาสสำคัญที่จะได้ดูหนังโรแมนติกเบาสมอง แบบที่ทุกคนชื่นชอบอีกครั้ง ตั๋วรักสู่พาราไดซ์ 6 ตุลาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์เท่านั้นภาพ : Universal Pictures

[REVIEW] ‘Ant-Man and The Wasp : Quantumania’ เปิดเฟสใหม่อย่างตื่นตา พร้อมกับวายร้ายที่โคตรสะพรึง| GOSSIP GUN

21 ก.พ. 2023

[REVIEW] ‘Ant-Man and The Wasp : Quantumania’ เปิดเฟสใหม่อย่างตื่นตา พร้อมกับวายร้ายที่โคตรสะพรึง| GOSSIP GUN

หลังจากเหล่าอเวนเจอร์สสามารถโค่นทานอสไปได้ในหนัง Avengers ภาคล่าสุด เป็นการปิดหนัง MCU ในพาร์ทของ The Infinity Saga ไปได้อย่างสวยงาม ถึงเวลาแล้วที่แฟนๆและคอหนัง จะได้ทำความรู้จักตัวร้ายหลักประจำเส้นเรื่องใหม่อย่างThe Multiverse Saga นั่นก็คือ แคงผู้พิชิต ที่จะปรากฏตัวเป็นครั้งแรกใน Ant-Man and The Wasp : Quantumania ซึ่งนอกจากหนังจะทำหน้าที่ปิดไตรภาคของ แอนท์-แมน เองแล้ว ยังถือว่าเป็นหนังเรื่องแรกใน MCU เฟส 5 อีกด้วย ที่นอกจากจะสำรวจพหุจักรวาลให้ลึกขึ้น หนังยังทำหน้าที่ปูไปยังปมใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในจักรวาลนี้ ซึ่งจะถูกปิดท้ายด้วยหนัง Avengers : The Kang Dynasty และ Avengers : Secret Wars ที่จะออกฉายใน 2-3 ปีข้างหน้าเรื่องราวใน Ant-Man and The Wasp : Quantumania เริ่มต้นขึ้น เมื่อแคสซี่ ลูกสาวของ สก็อตต์ แลง ที่ประดิษฐ์เครื่องมือในการส่งสัญญาณเพื่อติดต่อกับในมิติควอนตั้มขึ้น โดยที่เธอไม่รู้เลยว่า นั่นคือจุดเริ่มต้นของวิกฤตครั้งใหม่ จากสิ่งประดิษฐ์นี้ ทำให้ สก็อตต์, โฮป, แคสซี่, ดร.แฮงค์ และเจเน็ต ถูกดูดเข้าไปในมิติควอนตั้ม ซึ่งสร้างความหวาดผวาอย่างมากให้กับ เจเน็ต เพราะเธอเคยถูกขังอยู่ในมิตินี้ นานกว่า 30 ปีกว่าจะออกไปได้ และเธอรู้ดีว่า อันตรายอะไรที่กำลังคืบคลานมาหาพวกเขา ทั้ง 5 จึงต้องทำทุกทางเพื่อหาทางออกไปจากที่นั่นให้เร็วที่สุด พร้อมกับหยุดยั้งบุคคลอันตราย ที่พยายามทำทุกทางเพื่อออกไปจากมิตินี้เช่นกัน..หากเทียบกับหนังในตระกูล Ant-Man ทั้งสองภาคก่อนหน้านี้ Ant-Man and The Wasp : Quantumania ถือเป็นภาคที่ดูจะมีMood Tone ที่แตกต่างจากเดิมค่อนข้างมาก แม้ว่ายังคงมีอารมณ์ขัน และโครงเรื่องที่เกี่ยวกับครอบครัวอยู่ แต่เพราะเหตุการณ์ในเกือบทั้งเรื่อง เกิดขึ้นในมิติควอนตัม งานภาพของภาคนี้ จึงดูแตกต่างจากภาคก่อนๆไปอย่างสิ้นเชิง ดูคล้ายหนังอย่าง Doctor Strange ภาคล่าสุด ซึ่งถือว่าเป็นหนังที่มีบทบาทสำคัญใน The Multiverse Saga เช่นเดียวกัน แต่ในขณะเดียวกัน แม้ว่างานโปรดักชั่นของ Ant-Man and The Wasp : Quantumania จะดูยิ่งใหญ่กว่าภาคก่อนๆ แต่ด้วยความยาวเพียง 2 ชั่วโมง ทำให้หนังอาจจะดูไม่ยิ่งใหญ่เท่า Doctor Strange In The Multiverse of Madness หรือBlack Panther : Wakanda Forever แต่กระนั้น มันก็มีข้อดีอย่างชัดเจน คือหนังสั้น ทำให้ค่อนข้างกระชับ และเดินเรื่องฉับไว หนังแทบจะไม่เสียเวลาตรงไหนที่ไม่จำเป็นกับเรื่องเลยจุดที่โดดเด่นมากๆของหนังภาคนี้ กลับไม่ใช่ครอบครัวของ แอนท์-แมน แต่เป็นการปรากฏตัวของ แคงผู้พิชิตเสียมากกว่า ซึ่งการแสดงของ โจนาธาน เมเจอร์ส นั้น ชวนขนลุกและน่าเกรงขามมากๆ ตั้งแต่สีหน้า ท่าทาง หรือแม้แต่น้ำเสียงที่ดูแสนจะเลือดเย็น ตั้งแต่วินาทีที่แคงปรากฏตัวบนจอ ดูเหมือนหนังจะถูกขโมยไปเป็นหนังของเขาเลยทีเดียว และตลอดเวลาที่ดู ผู้ชมสามารถสัมผัสได้ทันทีว่า นี่ไม่ใช่ตัวร้ายธรรมดาทั่วไป นี่เป็นตัวร้ายที่บางทีอาจจะเก่งเกินกว่าที่ แอนท์-แมน จะสามารถโค่นได้ Ant-Man and The Wasp : Quantumania จึงทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยมในฐานะหนังเปิดเฟส 5 ของจักรวาลมาร์เวล ซึ่งดูแล้ว ความสามารถของแคง และเจตนารมณ์อันน่าสะพรึงนั้น สามารถเป็นแกนหลักให้กับ The Multiverse Saga ได้อย่างสบายๆในส่วนของครอบครัวแอนท์-แมน เอง ภาคนี้ก็ยังคงยึดในความรักและความผูกพันอย่างชัดเจน ยังคงตอกย้ำภาพลักษณ์ของหนัง Ant-Man ที่ดูจะเป็นหนังครอบครัวมากกว่าหนังซูเปอร์ฮีโร่ตัวอื่นๆใน MCU แต่ตัวละครที่โดดเด่นในภาคนี้มากที่สุด ต้องยกให้บท เจเน็ท ที่ มิเชลล์ ไฟเฟอร์ แสดงไว้ได้อย่างชวนขนลุก เนื่องจากตัวละครของเธอ เคยถูกขังอยู่ในมิติควอนตัมมาแล้ว ทำให้เจเน็ท ขยับขึ้นมามีบทบาทสำคัญในหนังภาคนี้ และนั่นเปิดโอกาสให้นักแสดงรุ่นใหญ่ได้โชว์ฝีมือการแสดงได้อย่างเต็มที่ กับบทที่มีมิติและความซับซ้อนทางอารมณ์มากขึ้น แต่ไฮไลต์สำคัญสำหรับใครที่เติบโตมาในยุค 90s คือการที่ตัวละครของ มิเชลล์ ไฟเฟอร์, ไมเคิล ดักกลาส และสมาชิกใหม่ของภาคนี้อย่าง บิล เมอร์เร่ย์ ปรากฏตัวพร้อมกัน เป็นฉากที่ชวนย้อนระลึกความหลังได้อย่างดี ถึงความยิ่งใหญ่ในยุคสมัยนั้นโดยรวมแล้ว Ant-Man and The Wasp : Quantumania สามารถจัดเข้ากลุ่มหนังใน MCU ที่สามารถดูได้เพลินๆ ความสนุกอยู่ในระดับปานกลาง อาจจะไม่ได้เข้มข้นหรือบีบอารมณ์ผู้ชมเท่าหลายๆเรื่อง แต่กระนั้น หนังเรื่องนี้ต้องถือว่ามีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการก้าวต่อของ จักรวาลมาร์เวลเฟสใหม่ ทำให้หนังดูเหมือนจะทำหน้าที่เป็นหนังเปิดเฟสใหม่ มากกว่าหนังปิดไตรภาคของเส้นเรื่อง Ant-Man เอง สำหรับแฟนของมาร์เวลเอง น่าจะมีหลายจุดในหนังที่ทำให้ร้องว้าว นับตั้งแต่การปรากฏตัวของแคง ไปจนถึงฉากแถมระหว่างและหลังจบ End-Credit ที่ในเรื่องนี้มีแถมให้ถึง 2 ฉาก และต่างเป็นซีนที่สำคัญ เพื่อก้าวสู่สเต็ปต่อไปของจักรวาลมาร์เวลชมตัวอย่าง Ant-Man and The Wasp : Quantumania วันนี้ในโรงภาพยนตร์

[REVIEW] ‘OMG รักจังวะ..ผิดจังหวะ’ นี่คือเพื่อนสนิทในฉบับยุคใหม่ หวนนึกถึงหนังวัยรุ่นจีทีเอช | GOSSIP GUN

28 ต.ค. 2022

[REVIEW] ‘OMG รักจังวะ..ผิดจังหวะ’ นี่คือเพื่อนสนิทในฉบับยุคใหม่ หวนนึกถึงหนังวัยรุ่นจีทีเอช | GOSSIP GUN

นานแค่ไหนแล้วที่ผู้ชมไม่ได้ดูหนังวัยรุ่น ในแบบที่คุณเคยตกหลุมรักค่ายจีทีเอช หนังรักในวัยเรียนในแบบ เพื่อนสนิท หรือ Season Change การมาถึงของ 'OMG รักจังวะ..ผิดจังหวะ' เป็นเหมือนการพาผู้ชมย้อนกลับไปสัมผัสหนังรักในสไตล์นั้นอีกครั้ง แต่ถูกเล่าด้วยจังหวะในแบบยุคใหม่ ในสไตล์ของคนรุ่นใหม่ แต่ยังคงมีพล็อตที่กระแทกใจ และคนส่วนใหญ่สามารถเชื่อมโยงกับประสบการณ์ของตัวเองได้ นั่นทำให้ OMG มีส่วนผสมของหนังวัยรุ่นจีทีเอชที่หลายคนคิดถึง กับซีรีส์วัยรุ่นยุคปัจจุบันที่มีสไตล์การเล่าที่ค่อนข้างเร็ว มีจังหวะที่โบ๊ะบ๊ะ เหมือนดูรายการทาง YouTube ผสมกับความเป็นยุค TikTok บวกกับวิธีการเล่าในแบบหนังของ เต๋อ นวพล'OMG รักจังวะ..ผิดจังหวะ' มาพร้อมกับชื่อตัวละครที่จำง่ายๆ เพราะแทบจะโยงมาจากชื่อจริงของนักแสดงนำเกือบทั้งหมด เล่าเรื่องราวของ กาย (รับบทโดย สกาย วงศ์รวี) เด็กหนุ่มที่โตมากับพี่น้องหญิงล้วน ที่คอยสอนเขาให้จีบหญิง มารยาทในการเข้าสังคมกับผู้หญิง กายตกหลุมรัก จูน (รับบทโดย จูเน่ เพลินพิชญา) เพื่อนในมหาลัยฯเดียวกัน แต่ทุกครั้งที่เขาพยายามจะจีบหรือบอกรักจูน ดูเหมือนพระเจ้าจะไม่เข้าข้างเขาตลอด ทุกอย่างดูผิดจังหวะและไม่เป็นใจไปเสียหมด ตอนที่เขาโสด จูนก็ดันมีแฟน พอจูนเลิกกับแฟน กายก็ดันไม่โสด จังหวะไม่ลงล็อกเสียที จนกระทั่ง จูนได้เจอกับ พี่พีต (รับบทโดย พีช พชร) หนุ่มนักร้องโปรไฟล์โคตรดี ชายหนุ่มสุดแสนจะเพอร์เฟ็ค การที่ที่จูนคบกับพี่พีต ทำให้ความรักของกาย ยิ่งไม่เป็นไปตามแผน ท้ายที่สุด จังหวะรักของเขาและจูน จะลงตัวหรือไม่ ต้องไปติดตามกันต่อในหนังอย่างที่เกริ่นไป OMG เป็นหนังโรแมนติกคอเมดี้ที่ไม่ค่อยเห็นค่ายหนังอารมณ์ดีสร้างมาสักพักแล้ว (ส่วนใหญ่ จีีดีเอช จะสร้างหนังรอมคอมที่ตัวละครโตขึ้นกว่าเดิม อย่าง น้อง/พี่/ที่รัก และ Friend Zone ที่ไม่ใช่วัยรุ่นในรั้วมหาลัยฯ) การพาผู้ชมไปสัมผัสความรักของวัยเรียนอีกครั้ง ทำให้หวยคิดถึงหนังรักวัยรุ่นแบบ จีทีเอช อยู่ไม่น้อย ระหว่างที่ดู OMG ทำให้หวนคิดถึงหนังอย่าง เพื่อนสนิท ตลอดเวลา พร้อมกับนึกไปว่า ถ้าเพื่อนสนิท ถูกหยิบมาสร้างในยุคนี้ มันก็คงเล่าเรื่องในสไตล์แบบนี้ จังหวะแบบนี้ Pacing แบบนี้ ที่ค่อนข้างลงล็อกกับรสนิยมของวัยรุ่นยุคนี้ นอกจากพล็อตที่มีจุดร่วมคือการตกหลุมรักเพื่อนสนิทแล้ว ตัวละคร กาย ยังทำให้หวนนึกถึง หลายๆบทที่ ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ เคยแสดง มีคาแร็คเตอร์ที่คล้ายคลึงกัน หรือแม้แต่การลง Voice Over สิ่งที่ตัวละครกายคิด ก็มีความคล้ายคลึงกับหนังอย่าง ฟรีแลนซ์ อยู่ไม่น้อย แม้ว่าหนังอาจจะไม่สามารถเทียบเท่าหนังอย่าง เพื่อนสนิท หรือ Season Change ที่กลายเป็นหนังวัยรุ่นระดับคลาสสิกไปแล้ว แต่ OMG ก็สนุกมากพอที่จะทำให้นึกถึงหนังเหล่านั้นสิ่งที่น่าชื่นชมสำหรับ OMG มีหลายๆส่วน ที่ทำให้หนังค่อนข้างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นมุกตลก ที่จังหวะโบ๊ะบ๊ะและเวิร์กในเกือบทุกฉาก พอถึงช่วงดราม่าหนักๆ หนังก็สามารถดึงจังหวะให้ผู้ชมอินกับอารมณ์ในฉากนั้นได้ ไม่ได้ย้วยหรือสั้นจนเกินไป รวมถึงการแสดงของทั้ง สกายและจูเน่ ที่ต่างมีเสน่ห์และออร่ามากๆทั้งคู่ บวกกับเคมีที่เข้ากันดี เหมาะกับการเป็นทั้งเพื่อนสนิทและคู่รัก จนอดเชียร์สองตัวละครนี้ไม่ได้ แต่สิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดของ OMG คือ บทภาพยนตร์ และการตัดสินใจว่าเส้นเรื่องจะไปยังจุดไหน โดยเฉพาะในครึ่งหลัง ที่มีปมด้านศีลธรรมเข้ามาเกี่ยวข้อง หนังเลือกทางออกที่สมจริงมากพอ เลือกบทสรุปที่ค่อนข้างน่าพอใจ ทำให้สิ่งที่ OMG ปูมาตั้งแต่แรกไม่สูญเปล่า ไม่ว่าจะในแง่มุมใดโดยรวม 'OMG รักจังวะ..ผิดจังหวะ' คือหนังรอมคอมวัยรุ่นฟีลกู้ด ที่ผู้ชมน่าจะเอ็นจอยกับเรื่องราวและอินกับหนังได้อย่างไม่ยาก ด้วยพล็อตที่เชื่อว่าใกล้ตัวเกือบทุกคน ไม่ว่าจะเคยผ่านประสบการณ์แบบนี้มา หรืออาจจะกำลังเกิดขึ้นกับตัวเองในขณะนี้ ผ่านการแสดงที่มีเสน่ห์มากๆ ของทั้ง สกายและจูเน่ สองนักแสดงที่ถ่ายทอดสองตัวละครที่มีความเป็น มนุษย์สุดๆ ดีบ้าง ร้ายบ้าง เห็นแก่ตัวบ้าง เอาแต่ใจบ้าง ชั่วบ้าง แต่ทั้งหมดมันก็คือ คนทั่วไป ที่ผิดพลาดได้ แต่ก็ต้องแก้ไขและยอมรับในความผิดพลาด หลายครั้งที่ผู้ชมทั้งเชียร์และไม่เชียร์คู่นี้ ตามจังหวะชีวิตและสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปในแต่ละฉาก หนังยังฝากให้ผู้ชมได้คิดในหลายๆประเด็นความรัก จังหวะที่ใช่มันคืออะไร ต้องไปหาคำตอบกันในหนังเรื่องนี้'OMG รักจังวะ..ผิดจังหวะ' วันนี้ในโรงภาพยนตร์ภาพ : GDH

[REVIEW] “The Batman” นี่คือหนังอาชญากรรมชั้นเลิศในคราบซูเปอร์ฮีโร่ | GOSSIP GUN

04 มี.ค. 2022

[REVIEW] “The Batman” นี่คือหนังอาชญากรรมชั้นเลิศในคราบซูเปอร์ฮีโร่ | GOSSIP GUN

ไม่ใช่งานง่ายที่จะต้องทำหนังแบทแมนต่อจากความสำเร็จของไตรภาคThe Dark Knightที่ คริสโตเฟอร์ โนแลน สร้างมาตรฐานไว้สูงลิบ อันที่จริงโปรเจกต์หนังเดี่ยวของแบทแมน เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ สมัย เบ็น แอฟเฟล็ค สวมบทบาทในBatman V Supermanแล้ว แต่ก็ไม่ได้เกิดขึ้นจริงเสียที จนกระทั่งโปรเจกต์ถูกส่งต่อให้กับ แมตต์ รีฟส์ แห่งDawn of Planet of the ApesและCloverfieldซึ่งเขามองแบทแมนในทิศทางที่ต่างจากเดิม บรู๊ซ เวย์น ในฉบับของเขายังไม่ใช่แบทแมนที่เต็มตัวนัก และเพิ่งเข้าสู่โลกแห่งอาชญากรรมในเมืองก็อตแธม โดยหนังเรื่องนี้จะเป็นฐานะแบบStand Aloneคือไม่เกี่ยวโยงกับตัวละครอื่นๆในจักรวาลDCเลย แบทแมนฉบับนี้จะเล่าถึงเขาในด้านของชายที่ผ่านโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ และทำให้กลายเป็นคนสันโดษ จะไม่ได้เห็นบรู๊ซอยู่ในแมนชั่นสุดหรู แต่กลับเป็นคฤหาสน์ที่สุดโทรม รีฟส์เลือก โรเบิร์ต แพททินสัน มารับบท บรู๊ซ เวย์น ในวัย30ต้นๆ เขาเพิ่งกลายเป็นแบทแมนได้เพียง2ปีเท่านั้น ดังนั้นอุปกรณ์ไฮเทคต่างๆจะยังไม่ค่อยมีเท่าไหร่ แม้แต่มุมเพลย์บอยของเขาก็ถูกตัดออกจากหนังฉบับนี้ เหตุการณ์ในหนังThe Batmanเริ่มต้นขึ้น เมื่อผู้สมัครนายกเทศมนตรีแห่งมหานครก็อตแธมถูกฆาตกรรม ตามด้วยศพของผู้มีอำนาจอีกมากมาย ชายที่ก่อเหตุทิ้งคำใบ้ปริศนา พร้อมเอ่ยนามตัวเองว่า"เดอะริดเลอร์" (รับบทโดย พอล ดาโน)แบทแมนจึงต้องแท็กทีมกับ สารวัตรกอร์ดอน(รับบทโดย เจฟฟรี่ย์ ไรท์)ออกสืบสวนเกี่ยวกับคดี และฉีกหน้ากากของ เดอะริดเลอร์ ว่าเขาคือใครกันแน่ และเหตุการณ์ทั้งหมด โยงทำให้แบทแมนได้เจอกับ เซลิน่า ไคล์(แคทวูเมน ที่รับบทโดย โซอี้ คราวิสต์)และเพนกวิน(ที่รับบทโดย โคลิน ฟาร์เรล ที่เมคอัพจนแทบจำไม่ได้) การทำหนังเดี่ยวของThe Batmanเลี่ยงไม่ได้ที่มันจะถูกนำไปเทียบกับหนังระดับตำนานอย่างThe Dark Knightอาจกล่าวได้ว่า นี่คือหนังแบทแมนที่ดีที่สุดนับตั้งแต่เรื่องนั้น แต่ฉบับใหม่นี้ก็มาพร้อมกับโทนและทิศทางที่แตกต่าง มีส่วนผสมของความเป็นหนัง ฟิล์มนัวร์-อาชญากรรม ในแบบSe7enหรือZodiacของ เดวิด ฟินเชอร์ มีกลิ่นอายของหนังแก็งสเตอร์จากช่วงยุค90sจนถึงบางจุดมีกลิ่นของหนังเขย่าขวัญนิดๆ(โดยเฉพาะฉากเปิด)ทำให้Mood Toneฉีกจากหนังของโนแลนไปอีก เป็นThe Batmanในแบบของตัวเอง มีความดาร์กในอีกสไตล์ แม้มันจะคล้ายกับงานของ ฟินเชอร์ก็ตาม ซึ่งรีฟส์น่าจะได้รับแรงบันดาลใจอยู่ไม่น้อย เพราะเขาเองก็เคยให้สัมภาษณ์ว่า เขายึดโทนหนังจากเพลงของNirvana (และเอาเพลงมาใส่ในหนังด้วย) ไฮไลต์สำคัญของThe Batmanคือทีมนักแสดงที่แต่ละคนท็อปฟอร์มในฉบับของตัวเอง โรเบิร์ต แพททินสัน ในยามที่ใส่หน้ากากเป็นแบทแมนเต็มตัว เขาดูดุดัน ดูน่าค้นหา ดูลึกลับ น่าสนใจมากๆ น่าสนใจจนเมื่อเป็น บรู๊ซ เวย์น ยามที่ถอนหน้ากาก ดูไม่น่าดึงดูดเท่าไหร่นัก ดูเป็น บรู๊ซ เวย์น ที่คาแรคเตอร์เบาไปนิด ในขณะที่ โซอี้ คราวิสต์ ทำได้ดีเกินคาดกับบท เซเลน่า ตั้งแต่ซีนแรกที่เธอปรากฏตัว ดูเป็นตัวละครที่มีเสน่ห์ สวยจิกกล้องแทบทุกซีนจริงๆ และเคมีของเธอและแพททินสัน เข้ากันอย่างมาก แต่ที่เซอร์ไพรสสุด คือ พอล ดาโน ในบทเดอะริดเลอร์ ที่ซับซ้อน และน่าสะพรึงอย่างถึงขีดสุด ในขณะที่ เดอะเพนกวิน ของ โคลิน ฟาร์เรลล์ ดูเป็นมาเฟียที่ตอนแรกเหมือนจะไม่มีอะไร แต่หนังค่อยๆสร้างสตอรี่ให้กับตัวละครมากขึ้นเมื่อดำเนินไป อย่างไรก็ตาม เมคอัพของตัวละครเขา แอบเบี่ยงเบนความสนใจ จากการแสดงของ ฟาร์เรลล์ ไปพอสมควร The Batmanมาพร้อมกับงานสร้างที่ประณีตขั้นสุด โดยเฉพาะการออกแบบงานสร้างเมืองก็อตแธม ที่เวอร์ชั่นนี้ดูโสมมและแฝงด้วยความเลวร้ายในทุกมุม ยิ่งสร้างบรรยากาศความฉ้อฉลเสริมกับพล็อตเรื่องที่คอรัปชันแฝงอยู่ในทุกระดับของเมืองได้อย่างดี บวกกับดนตรีประกอบสุดบีบอารมณ์ ทุกซีนที่เพลงธีมของ เดอะแบทแมน ถูกบรรเลงในหนังมันบีบหัวใจอยู่ไม่น้อย ยิ่งถ้าได้ดูในโรงที่เสียงกระหึ่ม กลายเป็นว่า ดนตรีประกอบ แทบจะไม่ถูกกลบหายไปเลย เป็นอีกหนึ่งพระเอกที่ชูหนัง และชูความเป็นแบทแมนให้เด่นชัดและหนักแน่นขึ้นเรื่อยๆ ปัญหาหลักสำหรับThe Batmanฉบับนี้คือความยาวที่อีกเพียงไม่กี่นาทีจะแตะหลัก3ชั่วโมง และจังหวะการเล่าเรื่องที่ค่อยเป็นค่อยไป ดั่งหนังสืบสวนที่เน้นบรรยากาศที่คลุมเครือหม่นหมอง ฉากแอ็กชันของหนังก็ไม่ได้มากมายอะไรนัก แต่อย่างไรก็ตามThe Batmanสามารถตรึงผู้ชมให้อยู่กับหนังได้ทุกขณะ แทบจะไม่มีฉากไหนที่ไม่จำเป็นเลย มันเหมือนชิ้นส่วนของจิกซอว์ที่ค่อยๆต่อแล้วเผยให้เห็นภาพที่ใหญ่ของเรื่องราวได้ ดังนั้น เข้าห้องน้ำให้พร้อมก่อนไปชม แล้วคุณจะได้สัมผัสThe Batmanในฉบับที่ไม่ซ้ำกับเวอร์ชันไหนๆอย่างแน่นอน(ให้9คะแนนจากคะแนนเต็ม10คะแนน)

album

0
0.8
1