[REVIEW] ‘OMG รักจังวะ..ผิดจังหวะ’ นี่คือเพื่อนสนิทในฉบับยุคใหม่ หวนนึกถึงหนังวัยรุ่นจีทีเอช | GOSSIP GUN

HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘OMG รักจังวะ..ผิดจังหวะ’ นี่คือเพื่อนสนิทในฉบับยุคใหม่ หวนนึกถึงหนังวัยรุ่นจีทีเอช | GOSSIP GUN

28 ต.ค. 2022

นานแค่ไหนแล้วที่ผู้ชมไม่ได้ดูหนังวัยรุ่น ในแบบที่คุณเคยตกหลุมรักค่ายจีทีเอช หนังรักในวัยเรียนในแบบ เพื่อนสนิท หรือ Season Change การมาถึงของ 'OMG รักจังวะ..ผิดจังหวะ' เป็นเหมือนการพาผู้ชมย้อนกลับไปสัมผัสหนังรักในสไตล์นั้นอีกครั้ง แต่ถูกเล่าด้วยจังหวะในแบบยุคใหม่ ในสไตล์ของคนรุ่นใหม่ แต่ยังคงมีพล็อตที่กระแทกใจ และคนส่วนใหญ่สามารถเชื่อมโยงกับประสบการณ์ของตัวเองได้ นั่นทำให้ OMG มีส่วนผสมของหนังวัยรุ่นจีทีเอชที่หลายคนคิดถึง กับซีรีส์วัยรุ่นยุคปัจจุบันที่มีสไตล์การเล่าที่ค่อนข้างเร็ว มีจังหวะที่โบ๊ะบ๊ะ เหมือนดูรายการทาง YouTube ผสมกับความเป็นยุค TikTok บวกกับวิธีการเล่าในแบบหนังของ เต๋อ นวพล

'OMG รักจังวะ..ผิดจังหวะ' มาพร้อมกับชื่อตัวละครที่จำง่ายๆ เพราะแทบจะโยงมาจากชื่อจริงของนักแสดงนำเกือบทั้งหมด เล่าเรื่องราวของ กาย (รับบทโดย สกาย วงศ์รวี) เด็กหนุ่มที่โตมากับพี่น้องหญิงล้วน ที่คอยสอนเขาให้จีบหญิง มารยาทในการเข้าสังคมกับผู้หญิง กายตกหลุมรัก จูน (รับบทโดย จูเน่ เพลินพิชญา) เพื่อนในมหาลัยฯเดียวกัน แต่ทุกครั้งที่เขาพยายามจะจีบหรือบอกรักจูน ดูเหมือนพระเจ้าจะไม่เข้าข้างเขาตลอด ทุกอย่างดูผิดจังหวะและไม่เป็นใจไปเสียหมด ตอนที่เขาโสด จูนก็ดันมีแฟน พอจูนเลิกกับแฟน กายก็ดันไม่โสด จังหวะไม่ลงล็อกเสียที จนกระทั่ง จูนได้เจอกับ พี่พีต (รับบทโดย พีช พชร) หนุ่มนักร้องโปรไฟล์โคตรดี ชายหนุ่มสุดแสนจะเพอร์เฟ็ค การที่ที่จูนคบกับพี่พีต ทำให้ความรักของกาย ยิ่งไม่เป็นไปตามแผน ท้ายที่สุด จังหวะรักของเขาและจูน จะลงตัวหรือไม่ ต้องไปติดตามกันต่อในหนัง

อย่างที่เกริ่นไป OMG เป็นหนังโรแมนติกคอเมดี้ที่ไม่ค่อยเห็นค่ายหนังอารมณ์ดีสร้างมาสักพักแล้ว (ส่วนใหญ่ จีีดีเอช จะสร้างหนังรอมคอมที่ตัวละครโตขึ้นกว่าเดิม อย่าง น้อง/พี่/ที่รัก และ Friend Zone ที่ไม่ใช่วัยรุ่นในรั้วมหาลัยฯ) การพาผู้ชมไปสัมผัสความรักของวัยเรียนอีกครั้ง ทำให้หวยคิดถึงหนังรักวัยรุ่นแบบ จีทีเอช อยู่ไม่น้อย ระหว่างที่ดู OMG ทำให้หวนคิดถึงหนังอย่าง เพื่อนสนิท ตลอดเวลา พร้อมกับนึกไปว่า ถ้าเพื่อนสนิท ถูกหยิบมาสร้างในยุคนี้ มันก็คงเล่าเรื่องในสไตล์แบบนี้ จังหวะแบบนี้ Pacing แบบนี้ ที่ค่อนข้างลงล็อกกับรสนิยมของวัยรุ่นยุคนี้ นอกจากพล็อตที่มีจุดร่วมคือการตกหลุมรักเพื่อนสนิทแล้ว ตัวละคร กาย ยังทำให้หวนนึกถึง หลายๆบทที่ ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ เคยแสดง มีคาแร็คเตอร์ที่คล้ายคลึงกัน หรือแม้แต่การลง Voice Over สิ่งที่ตัวละครกายคิด ก็มีความคล้ายคลึงกับหนังอย่าง ฟรีแลนซ์ อยู่ไม่น้อย แม้ว่าหนังอาจจะไม่สามารถเทียบเท่าหนังอย่าง เพื่อนสนิท หรือ Season Change ที่กลายเป็นหนังวัยรุ่นระดับคลาสสิกไปแล้ว แต่ OMG ก็สนุกมากพอที่จะทำให้นึกถึงหนังเหล่านั้น

สิ่งที่น่าชื่นชมสำหรับ OMG มีหลายๆส่วน ที่ทำให้หนังค่อนข้างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นมุกตลก ที่จังหวะโบ๊ะบ๊ะและเวิร์กในเกือบทุกฉาก พอถึงช่วงดราม่าหนักๆ หนังก็สามารถดึงจังหวะให้ผู้ชมอินกับอารมณ์ในฉากนั้นได้ ไม่ได้ย้วยหรือสั้นจนเกินไป รวมถึงการแสดงของทั้ง สกายและจูเน่ ที่ต่างมีเสน่ห์และออร่ามากๆทั้งคู่ บวกกับเคมีที่เข้ากันดี เหมาะกับการเป็นทั้งเพื่อนสนิทและคู่รัก จนอดเชียร์สองตัวละครนี้ไม่ได้ แต่สิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดของ OMG คือ บทภาพยนตร์ และการตัดสินใจว่าเส้นเรื่องจะไปยังจุดไหน โดยเฉพาะในครึ่งหลัง ที่มีปมด้านศีลธรรมเข้ามาเกี่ยวข้อง หนังเลือกทางออกที่สมจริงมากพอ เลือกบทสรุปที่ค่อนข้างน่าพอใจ ทำให้สิ่งที่ OMG ปูมาตั้งแต่แรกไม่สูญเปล่า ไม่ว่าจะในแง่มุมใด

โดยรวม 'OMG รักจังวะ..ผิดจังหวะ' คือหนังรอมคอมวัยรุ่นฟีลกู้ด ที่ผู้ชมน่าจะเอ็นจอยกับเรื่องราวและอินกับหนังได้อย่างไม่ยาก ด้วยพล็อตที่เชื่อว่าใกล้ตัวเกือบทุกคน ไม่ว่าจะเคยผ่านประสบการณ์แบบนี้มา หรืออาจจะกำลังเกิดขึ้นกับตัวเองในขณะนี้ ผ่านการแสดงที่มีเสน่ห์มากๆ ของทั้ง สกายและจูเน่ สองนักแสดงที่ถ่ายทอดสองตัวละครที่มีความเป็น มนุษย์สุดๆ ดีบ้าง ร้ายบ้าง เห็นแก่ตัวบ้าง เอาแต่ใจบ้าง ชั่วบ้าง แต่ทั้งหมดมันก็คือ คนทั่วไป ที่ผิดพลาดได้ แต่ก็ต้องแก้ไขและยอมรับในความผิดพลาด หลายครั้งที่ผู้ชมทั้งเชียร์และไม่เชียร์คู่นี้ ตามจังหวะชีวิตและสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปในแต่ละฉาก หนังยังฝากให้ผู้ชมได้คิดในหลายๆประเด็นความรัก จังหวะที่ใช่มันคืออะไร ต้องไปหาคำตอบกันในหนังเรื่องนี้

'OMG รักจังวะ..ผิดจังหวะ' วันนี้ในโรงภาพยนตร์

ภาพ : GDH

related HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] “One For The Road วันสุดท้าย..ก่อนบายเธอ” ค็อกเทลแก้วพิเศษที่ทั้งกลมกล่อมและบีบหัวใจไปพร้อมๆ กัน | GOSSIP GUN

10 ก.พ. 2022

[REVIEW] “One For The Road วันสุดท้าย..ก่อนบายเธอ” ค็อกเทลแก้วพิเศษที่ทั้งกลมกล่อมและบีบหัวใจไปพร้อมๆ กัน | GOSSIP GUN

นี่คือโปรเจกต์หนังที่ถูกจับตามองตั้งแต่ประกาศสร้าง นอกจากจะเป็นผลงานล่าสุดของ บาส นัฐวุฒิ ผู้กำกับหนังร้อยล้านอย่าง ฉลาดเกมส์โกง แล้ว สิ่งที่ทำให้คอหนังปักธงรอคือชื่อของโปรดิวเซอร์อย่าง หว่องกาไว เจ้าพ่อหนังเหงาที่คนไทยต่างตกหลุมรักหนังของเขา การร่วมงานกันของสองนักทำหนังในงานชิ้นนี้ต้องออกมาไม่ธรรมดาแน่ๆ จนกระทั่งถึงวันถ่ายทำ ซึ่งมีการยกกองไปถ่ายบางส่วนถึงนิวยอร์ก และปิดท้ายด้วยการฉายรอบปฐมทัศน์ในเทศกาลหนังซันแดนซ์ เมื่อต้นปีที่แล้ว พร้อมคว้ารางวัลกลับมาด้วย ทำให้หนังOne For The Roadขึ้นแท่นอีกหนังโปรเจกต์ที่คอหนังชาวไทยตั้งตารอว่าจะได้ฉายเมื่อไหร่ จนกระทั่งจีดีเอช นำมาจัดจำหน่ายให้ชมกันในสัปดาห์นี้One For The RoadคือRoad Movieที่พาเราย้อนกลับไปเยี่ยมเยียนความทรงจำ พาผู้ชมค่อยๆย้อนกลับไประลึกถึงความรักเก่าๆที่ผ่านพ้นไปแล้ว หนังเล่าถึง อู๊ด(รับบทโดย ไฮซ์ซึ ณัฐรัตน์)ทายาทร้านแผ่นเสียงที่ป่วยหนักด้วยโรคมะเร็ง ก่อนที่ชีวิตเขาจะจบลง อู๊ดตัดสินใจโทรหาเพื่อนสนิทที่ห่างหายกันไปนานอย่าง บอส(รับบทโดย ต่อ ธนภพ)เจ้าของบาร์ที่นิวยอร์ก ให้กลับไทยมาช่วยเขาสานฝันสุดท้าย คือการนำสิ่งของบางอย่าง กลับไปคืนเหล่าบรรดาแฟนเก่า และระหว่างเส้นทางที่พวกเขากำลังเดินไปด้วยกัน นอกจากอู๊ดที่ค่อยๆกลับไปเยี่ยมความทรงจำเก่าๆแล้ว ก็กลายเป็นช่วงเวลาที่ บอสเองก็ได้ย้อนไปนึกถึงความรักครั้งสำคัญที่เขาไม่เคยลืมเลือนไปด้วยเช่นกัน หนังได้ พลอย หอวัง,ออกแบบ ชุติมณฑน์,นุ่น ศิรพันธุ์ และ วี วิโอเลต มาร่วมถ่ายทอดบทเหล่าบรรดาแฟนเก่าในหนังOne For The Roadด้วยความที่ตัวละคร บอส เป็นบาร์เทนเดอร์และเจ้าของบาร์ เขาจึงพยายามตีความความสัมพันธ์แต่ละครั้งเป็นเครื่องดื่ม ค็อกเทล ที่มีส่วนผสมต่างกัน ให้รสชาติที่แตกต่างกันไป ถ้าเทียบหนังเรื่องนี้เป็นเครื่องดื่ม มันก็คงเป็นค็อกเทลแก้วที่สมูธมากๆ มีรสชาติที่กลมกล่อม แต่ความน่าสนใจคือ แต่ละจิบของมันก็ให้รสชาติที่แตกต่างกัน จิบแรกอาจจะหวาน จิบต่อมาอาจจะเปรี้ยวนำ หรือจิบสุดท้ายอาจจะขม แต่ทุกจิบที่ให้รสชาติที่ล้วนเข้าไปกระแทกใจ หลากหลายแต่กลมกล่อม และล้วนจำไม่เคยลืม ซึ่งก็เหมือนชีวิตของคนเรา ที่เส้นทางของแต่ละคน ส่วนผสมผสานด้วยวัตถุดิบที่แตกต่างกันไป ออกมาเป็นรสชาติที่ไม่เหมือนกัน หนังเรื่องนี้ทำหน้าที่ประมาณนั้นข้อดีมากๆของOne For The Roadคือนอกจากหนังจะขับเคลื่อนด้วยเส้นเรื่องที่คาดเดาไม่ได้แล้ว เพราะหนังจะย้อนตัดสลับเหตุการณ์ในอดีตโยงมาถึงปัจจุบัน ซึ่งจะทำให้ผู้ชมค่อยๆเห็นภาพรวมความสัมพันธ์ของเหล่าตัวละคร สิ่งที่ทำให้ทุกฉากบีบอารมณ์ และถึงใจมากๆคือการแสดงของเหล่านักแสดง ที่สามารถเอ่ยได้ว่า ทุกคนมาในระดับท็อปฟอร์ม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สองตัวละครนำอย่าง ต่อ ธนภพ และไอซ์ซึ ที่ซีนอารมณ์ตรึงเราให้อยู่หมัดได้ในทุกๆฉาก และที่โดดเด่นมากๆ คือ วี วิโอเลต ที่แสดงฉากสำคัญๆได้เป็นธรรมชาติมากๆ สามารถส่งอารมณ์มาถึงผู้ชมได้อย่างเต็มเปี่ยม นอกจากเส้นเรื่องในครึ่งหลังที่บีบหัวใจขั้นสุดแล้ว การแสดงของพวกเขานี่แหละที่ส่งให้ความรู้สึกเหล่านั้นมาขยี้ใจผู้ชมและถ้าย้อนกลับไปเทียบOne For The Roadกับการดื่มค็อกเทลอีกครั้ง ต้องบอกว่ามันเป็นการดื่มที่บรรยากาศช่างดีเสียเหลือเกิน เพราะรูปลักษณ์ของมันทั้งสวยมาก และให้เสน่ห์ดึงดูดไปพร้อมๆกัน เคล้าไปกับเสียงเพลง เพลย์ลิสต์ที่ถูกเลือกใช้ในหนังล้วนเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ และมีความหมายกับทุกๆจังหวะของมัน ถ้าเปรียบการดูหนังเรื่องนี้กับการจิบค็อกเทล มันคงเป็นการจิบที่บรรยากาศรอบข้างดีมากๆ รสชาติกำลังกลมกล่อง รอบตัวสบายตา เสียงเพลงที่ดังเข้าหูช่วยบิลด์อารมณ์ได้อย่างถูกจังหวะจริงๆ นี่คือหนังที่โปรดักชั่นคุณภาพ และหลายฉากมีกลิ่นอายของ หว่องกาไว อย่างชัดเจน ยิ่งเพิ่มอารมณ์ให้กับหนังได้มากขึ้นไปอีกท้ายที่สุดOne For The Roadเล่นกับความรู้สึกของผู้ชมได้หลากหลายแง่มุม หนังเปรียบเหมือนรถที่ตัวละครนำขับ และพาผู้ชมย้อนกลับไประลึกถึงแต่ละช่วงเวลาชีวิต ซึ่งแน่นอนว่าแต่ละคนผ่านเส้นทางมาไม่เหมือนกัน แต่เชื่อว่าต้องมีจุดร่วมอะไรบางอย่าง ที่สามารถเชื่อมโยงกับเหล่าตัวละครได้อย่างแน่นอน มีปมอะไรบางอย่างที่เคยเกิดขึ้นกับเราเช่นกัน ดูหนังจบแล้วลองกลับไปเยี่ยมเยียนความทรงจำนั้น บุคคลเหล่านั้นดู อย่างที่หนังได้บอกว่า ไม่รู้เส้นทางชีวิตของคนเราจะยาวไปถึงเมื่อไหร่ ตรงไหนคือจุดจากลาของความสัมพันธ์..Nobody Knows !(ให้9คะแนนจากคะแนนเต็ม10คะแนน)

[REVIEW] 'Emergency Declaration' หายนะเหนือน่านฟ้า สุดบีบอารมณ์และสมจริง ! | GOSSIP GUN

03 ส.ค. 2022

[REVIEW] 'Emergency Declaration' หายนะเหนือน่านฟ้า สุดบีบอารมณ์และสมจริง ! | GOSSIP GUN

สิ้นสุดการรอคอยเสียที สำหรับภาพยนตร์หายนะบนเครื่องบินเรื่องแรกของเกาหลี ที่ทุ่มทุนสร้างมหาศาล ขนทัพนักแสดงแถวหน้าของวงการไว้มากมาย หลังจากไปเปิดตัวในเทศกาลหนังเมืองคานส์เมื่อปีก่อน และได้รับคำชมมากมาย หนังก็ขยับโปรแกรมฉายมาเรื่อยๆ (เนื่องจากช่วงก่อนหน้านี้ โควิดที่เกาหลียังแรงอยู่) จนกระทั่งล่าสุดได้โปรแกรมฉายเสียที นี่คืองานล่าสุดของผู้กำกับ ฮันแจริม (จาก The Face Reader) ที่เขาเผยว่า เขียนบทไว้ตั้งแต่ก่อนโควิดจะเริ่ม แต่ไปๆมาๆพอหนังเริ่มถ่ายทำไปแล้ว โควิดก็มาพอดี ซึ่งมีอะไรหลายอย่างที่ตรงกับในหนังอย่างไม่ได้ตั้งใจ !Emergency Declaration เล่าถึงหายนะที่เกิดขึ้นบนเที่ยวบิน จากกรุงโซล มุ่งหน้าสู่ฮาวาย เมื่อมีผู้โดยสารคนหนึ่งเสียชีวิตอย่างเป็นปริศนา สร้างความตื่นตระหนกให้กับผู้โดยสารทุกคน และเมื่อเหตุการณ์เหนือการควบคุม กัปตันจึงต้องประกาศเหตุฉุกเฉินเพื่อขอลงจอดในสนามบินที่ใกล้ที่สุด แต่ปัญหาใหญ่คือ อันตรายที่อยู่บนเครื่องบิน อาจสร้างหายนะให้กับผู้คนข้างล่างได้เมื่อมันแลนดิ้ง เลยสร้างความกังวลให้กับทุกฝ่าย เพราะหายนะบนเครื่องบิน อาจกลายเป็นหายนะของคนทั้งโลก !นี่คือหนังแอ็กชันระทึกขวัญที่จะทำให้ผู้ชมนั่งไม่ติดเก้าอี้ของจริง หนังใช้เวลาช่วงแรกในการค่อยๆแนะนำแต่ละตัวละครที่สำคัญ ทั้งบนเครื่องบิน เริ่มจากตัวละครของ อีบยองฮอน (จาก Mr.Sunshine) ที่รับบทคุณพ่อที่ต้องพาลูกสาวบินไปฮาวายเพื่อรักษาโรค แต่กลับเจอเหตุการณ์ไม่คาดคิดเสียก่อน โดย คิมนัมกิล (จาก Pandora) รับบทกัปตันที่ต้องทำการตัดสินใจประกาศ Emergency Declaration เพื่อให้เครื่องบินลงจอดฉุกเฉิน ในขณะเดียวกันฝั่งภาคพื้นดิน ก็มีตัวละครของ ซงคังโฮ (จาก Parasite) เป็นตำรวจฝีมือเยี่ยมที่ต้องทำทุกทางเพื่อช่วยภรรยา ซึ่งอยู่บนเครื่องบินไฟลต์นรกเช่นเดียวกัน โดยการตัดสินใจทั้งหมด เกิดขึ้นกับตัวละครของ จอนโดยอน (จาก Untold Scandal) ในบทรัฐมนตรีคมนาคม ที่ต้องรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินนี้หนังใช้เวลาบิลด์เรื่องพอสมควร ทั้งในส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนฟ้า และเหตุการณ์บางอย่างที่เกี่ยวข้องด้านล่าง ทำให้ผู้ชมค่อยๆซึมซับอารมณ์ ค่อยๆบิลด์ความตื่นเต้น จนกระทั่งพีกขั้นสุดในช่วงแรกเมื่อหายนะได้เกิดขึ้น ชั่วโมงแรกของ Emergency Declaration หนังทำได้อย่างเยี่ยมยอดที่ทำให้เราลุ้นในแทบทุกนาที และรู้สึกไม่น่าไว้วางใจตลอดเวลาเมื่อหายนะเกิดขึ้น ลากยาวไปจนถึงช่วงครึ่งหลัง ที่ตรึงอารมณ์ผู้ชมไว้ได้ตลอด ความตื่นเต้นไม่ได้ลดระดับลงเลย แม้บางช่วงจะอารมณ์ดร็อปลงบ้าง เพราะสถานการณ์เหมือนจะเบาบางลง แต่หนังก็กระหน่ำวิกฤตใส่เข้ามาเรื่อยๆ ให้ผู้ชมแทบจะไม่ได้พักกันเลยทีเดียว นอกจากลุ้นในฝากของฉากตื่นเต้นแล้ว ในพาร์ทดราม่าที่เกี่ยวกับตัวละคร และการตัดสินใจ ถือว่าทำได้ดี เมื่อผู้ชมดูหนังไปซักพัก และเริ่มอินกับเรื่อง พอพาร์ทดราม่ามาถึง มันก็ทำงานได้ในจังหวะที่พอเหมาะถ้าจะมีอะไรให้รู้สึกว่าหนังบกพร่องสำหรับ Emergency Declaration ก็น่าจะเป็นเรื่องความยาว ที่ยาวถึง 2.30 ชั่วโมง อาจจะมีบางช่วงที่สามารถตัดออกเพื่อให้หนังกระชับและเข้มข้นกว่านี้ได้ โดยเฉพาะช่วงกลางเรื่อง ที่มีกลิ่นอายของหนังแนวสืบสวนสอบสวนเข้ามา ทำให้ความรู้สึกลุ้นไปกับตัวละครลดลงไปเล็กน้อย ก่อนที่จะกลับมาบิลด์หนักอีกครั้งในช่วงองก์สุดท้าย และในช่วงท้ายที่หนังค่อนข้างใช้เวลากับบทสรุปที่ค่อนข้างนาน ในแง่ดีมันก็ทอดอารมณ์ให้ผู้ชมยังคงอินกับหนังได้อย่างเต็มอิ่ม แต่ในขณะเดียวกัน ก็รู้สึกว่ามันสามารถย่อให้สั้นลงได้อีกในฐานะหนังหายนะบนเครื่องบินเรื่องแรกของเกาหลี ต้องบอกว่า Emergency Declaration ตั้งมาตรฐานไว้ค่อนข้างสูง หลายฉากทำให้ผู้ชมตรึงอยู่กับที่นั่งด้วยความระทึก ยิ่งฉากที่โปรโมตกัน เรื่องของเครื่องบินที่หมุน 360องศา ซึ่งหนังใช้เครื่องบินจริง มาตัดเป็นท่่อน แล้วหมุนจริง นักแสดงอย่าง อีบยองฮอน ก็นั่งอยู่บนเครื่องที่หมุนจริงด้วย พอมาดูเต็มๆในหนัง ทำให้ภาพที่ออกมาสมจริงมากๆ นอกจากนี้ต้องชื่นชมทีมนักแสดงทั้งรุ่นใหญ่ รุ่นกลาง รุ่นเล็ก นำทีมโดย ซงคังโฮ, อีบยองฮอน และจอนโดฮยอน ทำได้ดีมากๆเลย โดยเฉพาะ 3 ตัวหลักที่เอ่ยไป มีแง่มุมของตัวละครที่นักแสดงถ่ายทอดออกมาอย่างพอเหมาะ นี่เป็นอีกครั้งที่หนังเกาหลีก้าวไปข้างหน้าอีกสเต็ป และดูเหมือนว่าจะไม่แผ่วลงมาง่ายๆ ใครที่ชอบหนังตื่นเต้น บีบหัวใจ น่าตีตั๋วขึ้นไปคลั่งกันบนเที่ยวบินไฟลต์นี้มากๆปล. หนังเข้าฉายในระบบ 4DX ด้วย และดูเหมือนว่าจะมีหลายฉากที่ออกแบบมาเพื่อระบบนี้ โดยเฉพาะ ยิ่งฉากที่ระทึกที่เกิดขึ้นบนเครื่องบินทั้งหมด ระบบ 4DX ช่วยเพิ่มอรรถรสได้อย่างมาก จนบางจุดให้อารมณ์คล้ายกับนั่งเครื่องบินจริงๆ ที่กำลังประสบปัญหาเลยทีเดียว เมื่อเทียบกับหนังหลายๆเรื่องก่อนหน้านี้ที่ฉายในระบบนี้ Emergency Declaration ถือว่ามีเอฟเฟคที่แรงทีเดียว อาจจะไม่ได้ถี่ตลอดเวลา แต่เมื่อไหร่ที่เอฟเฟคมาก ถึงขั้นตอนจับตรงที่กั้นระหว่างเก้าอี้เลยทีเดียวชมตัวอย่าง Emergency Declaration ไฟลต์คลั่ง ฝ่านรกชีวะภาพ : Mongkol Major Mongkol Cinema

[REVIEW] ‘The Flash’ หนังซูเปอร์ฮีโร่สุดเจ๋ง สร้างมัลติเวิร์สแบบไม่น้อยหน้าใคร | GOSSIP GUN

14 มิ.ย. 2023

[REVIEW] ‘The Flash’ หนังซูเปอร์ฮีโร่สุดเจ๋ง สร้างมัลติเวิร์สแบบไม่น้อยหน้าใคร | GOSSIP GUN

กวาดกระแสบวกไปอย่างท่วมท้นนับตั้งแต่ฉายรอบพิเศษในงาน CinemaCon เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา สำหรับ The Flash หนังซูเปอร์ฮีโร่เรื่องล่าสุดในจักรวาล DC ถึงขนาดที่ เจมส์ กันน์ หัวเรือของ DC Studio คนใหม่ที่ถึงแม้จะไม่ได้สร้างหนังเรื่องนี้ ก็ยังอดออกปากชมไม่ได้ว่านี่คือหนึ่งในหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่เคยมีมา ทำให้ตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา ก่อนที่ The Flash จะเข้าฉายจริงในกลางเดือนมิถุนายนนี้ ทางวอร์เนอร์ฯ สตูดิโอเจ้าของหนังจึงจัดรอบพิเศษมากมายทั่วโลกเพื่อบิลด์กระแสบวกให้กับหนัง ส่วนหนึ่งเพื่อกลบกระแสลบของนักแสดงนำอย่าง เอซร่า มิลเลอร์ ที่ก่อคดีมากมายตลอดปีที่ผ่านมา กลายเป็นดราม่าให้ผู้บริหารสตูดิโอปวดหัวว่าจะทำอย่างไรกับหนังเรื่องนี้ดี แต่เพราะผลลัพภ์ในแง่บวกสุดๆ ทำให้ค่ายหนังพยายามเบนเข็มความสนใจของแฟนหนังมายังรีวิว มากกว่าที่จะโฟกัสถึงพฤติกรรมส่วนตัวของนักแสดง เพื่อให้หนังได้เข้าฉายและประสบความสำเร็จมากที่สุดเท่าที่จะทำได้The Flash เป็นหนังเดีี่ยวเรื่องแรกของตัวละครแบร์รี่ อัลเลน หลังจากปรากฏตัวใน Justice League ของแซค สไนเดอร์ เอซร่า มิลเลอร์ก็กลับมารับบทนี้อีกครั้ง ภายใต้การคุมโปรเจกต์ของ แอนดี้ มุสชิเอติ จากหนัง Stephen King's It ทั้งสองภาคที่ประสบความสำเร็จจนวอร์เนอร์ไว้ใจให้เขาเข้ามาคุมหนังฟอร์มยักษ์เรื่องนี้ ซึ่งดูเหมือนว่า The Flash จะสร้างกระแสความฮือฮาต่อเนื่องตลอดการสร้าง เพราะข่าวน่าตื่นเต้นออกมามากมาย เริ่มจากการที่ เบน แอฟเฟล็ก จะกลับมารับบทแบทแมนในหนังเรื่องนี้ แต่ที่ทำให้แฟนๆตื่นตะลึงมากกว่า คือการที่ประกาศว่า ไมเคิล คีตัน จะกลับมารับบทแบทแมนอีกครั้ง หลังจาก Batman Returns ในปี 1992 ทำให้แฟนๆคาดการณ์ไปต่างๆนานาถึงพล็อต จนกระทั่งตัวอย่างปล่อยออกมาก็ยืนยันว่า หนังจะเล่าเรื่องในหลายมิติ ทำให้มีนักแสดงที่รับบทแบทแบน ปรากฏตัวใน The Flash มากกว่า 1 เวอร์ชั่นสำหรับในหนังเรื่องนี้จะเล่าถึง แบร์รี่ ที่ยังคงตกอยู่ในความเศร้า หลังสูญเสียแม่ไปตั้งแต่วัยเด็ก แต่เพราะเขาได้พลังเร็วกว่าแสงของ เดอะแฟลช มา ทำให้เขาสามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีตได้ ถึงแม้ว่า บรู๊ซ เวย์น จะพยายามห้ามไม่ให้เขาสร้างความวุ่นวายจากการเปลี่ยนอดีตก็ตาม แต่นั่นก็ไม่สามารถหยุดความตั้งใจของแบร์รี่ แต่ทุกอย่างเริ่มผิดพลาด เมื่อการย้อนกลับไปครั้งนี้ ทำให้เขาได้พบกับ แบร์รี่ ในอีกเวอร์ชั่น เขาได้สร้างมิติใหม่ขึ้นมา กลายเป็นโลกที่ นายพลซอด (รับบทโดย ไมเคิล แชนน่อน ที่กลับมารับบทเดิมจาก Man of Steel) กำลังจะบุกมาทำลาย เขามายังโลกใบนี้เพื่อที่จะตามหาซูเปอร์แมน ซึ่งทางเดียวที่จะหยุดแผนร้ายนี้นั้น คือการที่แบร์รี่ จะต้องตามหาเหล่าบรรดาจัสติซ ลีกในมิตินี้ ทำให้เขาพบกับ แบทแมนในเวอร์ชั่นที่เขาไม่เคยเจอมาก่อน แบทแมนที่ผู้ชมคุ้นเคยจากบทบาทการแสดงของ ไมเคิล คีตันแน่นอนว่า The Flash คือหนังทีี่สามารถอวยได้อย่างเต็มปากว่าเจ๋งมากๆ สมคำร่ำลือว่านี่คือหนังในจักรวาลดีซีที่อยู่ในระดับบนๆแน่นอน ความน่าสนใจมากๆของหนัง คือการวางโครงเรื่องและสร้างบทภาพยนตร์ออกมา ด้วยการเล่าเรื่องที่น่าติดตาม และคาดเดาไม่ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างหลังจากนี้ ความสนุกของหนังจึงอยู่ที่การพาผู้ชมเข้าสู่อีกมิติหนึ่งของดีซี มันเปิดโอกาสให้หนังสามารถเล่นอะไรได้มากมาย เปิดทางถึงความเป็นไปได้หลายๆอย่าง แน่นอนว่าหนังยังมีปมอีกมากมายที่ยังไม่ได้เล่าในตัวอย่าง ยังมีเซอร์ไพรสที่ซ่อนอยู่อีกพอสมควร ทำให้ระหว่างทางผู้ชมจะเจอได้กับหลายสิ่งที่ทำให้แปลกใจ นี่คือความสนุกของ The Flash และแน่นอนว่าหนังจะทำให้แฟนของดีซีกรี๊ดลั่นอย่างแน่นอนอีกหนึ่งความรู้สึกระหว่างดู The Flash คือการที่สัมผัสได้ว่า นี่เหมือนจะเป็นหนังภาคต่อกลายๆของ Batman Returns สำหรับแฟนๆของ แบทแมน ฉบับของ ไมเคิล คีตัน นี่เป็นเหมือนหนังที่จะพาผู้ชมไปรู้เรื่องราวของตัวละครนี้ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับบรู๊ซ เวย์น ฉบับนี้ตลอด 30 ปีที่ผ่านมา หลังจากจบภาคนั้นไปแล้วคีตันไม่รับบทนี้ต่อ ทำให้เกิด Batman Forever ขึ้น หนังเรื่องนี้เลยเปรียบเหมือนแบทแมนภาคที่หายสาบสูญไป ซึ่งการกลับมาครั้งนี้ของคีตัน เขายังคงเท่และทรงพลังมากๆในบทของแบทแมน แม้ว่าอายุของเขาและตัวละครบรู๊ซในหนังจะค่อนข้างมากแล้ว แต่ก็ไม่มีอะไรสามารถลดพลังและเสน่ห์ของแบทแมนในแบบของเขาได้เลย และจุดนี้ยิ่งเพิ่มเสน่ห์ให้กับหนังมากยิ่งขึ้นอย่างไรก็ตาม แม้ว่าหนัง The Flash จะมีแบทแมนเข้ามาปรากฏตัวถึงสองเวอร์ชั่น และใช้เวลากับตัวละครอัศวินแห่งรัตติกาลพอสมควร แต่ก็ไม่ได้แย่งซีนจากเดอะแฟลชไปแต่อย่างใด ผู้ชมยังคงเต็มอิิ่มกับตัวละครนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้ชมจะได้เจอกับแบร์รี่ถึงสองคน เดอะแฟลชถึงสองเวอร์ชั่นด้วยกัน ทำให้เราได้เรียนรู้และรู้จักตัวละครนี้มากเสียยิ่งกว่ามาก สิ่งที่ชอบมากๆใน The Flash คือการที่หนังทำให้ผู้ชมได้สัมผัสด้านที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนของตัวละครนี้ในหลายๆด้าน หลังจากใน Justice League เราอาจจะรู้จักเขาแค่เพียงผิวเผิน แต่ในหนังเดี่ยวจะได้เห็นถึงทั้งมุมที่แข็งแกร่งและอ่อนแอของตัวละคร ให้เห็นชัดว่าแม้เขาจะเป็นซูเปอร์ฮีโร่แต่ก็มีมุมที่เปราะบางในแบบมนุษย์มากๆ มีความผิดพลาดเฉกเช่นคนทั่วไป ทำให้นี่คือหนังเดี่ยวของ The Flash อย่างแท้จริง ไม่ได้โดนใครแย่งซีนไปทั้งนั้นโดยรวม The Flash ถือเป็นอีกสเต็ปของจักรวาลดีซีที่น่าพอใจมากๆ เป็นการสร้างมัลติเวิร์สของตัวเองในแบบที่ไม่น้อยหน้าใคร ในฐานะหนังเดี่ยวของเดอะแฟลชก็ทำหน้าที่ได้ดีที่ทำให้ผู้ชมได้รัก ได้เข้าใจตัวละครนี้ในฐานะมนุษย์มากขึ้น ในฐานะหนังในจักรวาลดีซีมันก็น่าจะทำให้แฟนๆพึงพอใจได้อย่างมากเช่นกัน ด้วยการพาไปสำรวจหลายๆมุมในโลกของดีซีที่หลายมุมแฟนๆอาจไม่เคยเห็นมาก่อน หลายมุมเคยเห็นแต่ห่างหายไปนาน ในฐานะหนังฟอร์มยักษ์กลางซัมเมอร์ หนังก็มาพร้อมกับงานโปรดักชั่นที่ไม่ธรรมดาและฉากแอ็กชันสุดตื่นตา เรียกว่าครบองค์ประกอบหนังฟอร์มใหญ่ที่ควรดูเลยจริงๆ ไม่ว่าในอนาคตจักรวาลดีซีจะถูกเปลี่ยนไปในทิศทางใด The Flash ยังจะได้ไปต่อหรือไม่ นี่คือหนังซูเปอร์ฮีโร่อีกหนึ่งเรื่องที่ไม่ควรพลาดชมตัวอย่าง The Flash เข้าฉายสัปดาห์นี้ในโรงภาพยนตร์

[REVIEW EXCLUSIVE] : จอร์จ คลูนีย์ x จูเลีย โรเบิร์ต นำทีม "Ticket To Paradise” เผยเบื้องลึกก่อนตีตั๋วรักสู่หนังรอมคอมแห่งปีที่ไม่ควรพลาด ! | GOSSIP GUN

05 ต.ค. 2022

[REVIEW EXCLUSIVE] : จอร์จ คลูนีย์ x จูเลีย โรเบิร์ต นำทีม "Ticket To Paradise” เผยเบื้องลึกก่อนตีตั๋วรักสู่หนังรอมคอมแห่งปีที่ไม่ควรพลาด ! | GOSSIP GUN

นานแค่ไหนแล้วที่เราไม่ได้ดูหนังโรแมนติกคอเมดี้ที่ยิ้มไม่หุบตลอดทั้งเรื่อง ยังจำเสียงหัวเราะตอนที่ดู Four Weddings and a Funeral ได้หรือไม่ ยังจำความสุขตอนที่ดู Notting Hill ได้หรือเปล่า และยังจำความอิ่มเอมหัวใจพองโตตอนที่ดู Love Actually กันได้ใช่ไหม ? ดูเหมือนว่าหนังรอมคอมจะห่างหายจากโรงภาพยนตร์ไปพักใหญ่หลายต่อหลายปีที่ผ่านมา และนี่คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้ ยูนิเวอร์แซล มอบความสุขที่ห่างหายไปให้กับผู้ชมทั่วโลกอีกครั้งกับ “Ticket To Paradise” (ตั๋วรักสู่พาราไดซ์) นี่ไม่ใช่แค่การกลับมาของหนังรักเบาสมองแบบที่พวกเราคุ้นเคยและโหยหาเท่านั้น แต่ยังเป็นการกลับมาเจอกันอีกครั้งบนหน้าจอ ของพระเอกเสน่ห์เหลือล้นแห่งยุคอย่าง "จอร์จ คลูนีย์" และราชินีแห่งหนังรักอย่าง "จูเลีย โรเบิร์ต" ซึ่งพิสูจน์กันมาแล้วว่า เคมีของทั้งคู่ช่างเข้าขากันดีเหลือเกินก่อนที่จะได้ชม Ticket To Paradise กันในโรงภาพยนตร์ เราขอพาทุกคนไปพูดคุยกับ ซูเปอร์สตาร์แห่งยุค อย่าง จอร์จ คลูนีย์ และจูเลีย โรเบิร์ต ที่นำทีมนักแสดงและผู้กำกับ จากหนังโรแมนติกเบาสมองแห่งปี มารวมตัวกันที่รอบปฐมทัศน์ในกรุงลอนดอน ซึ่งในโอกาสนี้พวกเขาทั้งหมด ได้เข้าร่วมงาน Press Conference พร้อมกับสื่อมวลชนจากทั่วโลกผ่านทางออนไลน์ และในโอกาสนี้ ทาง EFM94 และเพจ Hollywood GossipGun ก็ได้รับโอกาสพิเศษในการเข้าร่วมด้วย ทำไมเราทุกคนถึงไม่ควรพลาด Ticket To Paradise หนังเรื่องนี้จะมอบความสุขให้ผู้ชมได้ขนาดไหน เราขอพาทุกท่านไปหาคำตอบพร้อมๆกัน“หนังเรื่องนี้ถูกเขียนบทขึ้นมาเพื่อจอร์จ และจูเลียโดยเฉพาะ” - โอล ปาร์กเกอร์ ผู้กำกับ Ticket To Paradise เล่าถึงไอเดียแรกเริ่มของหนัง เขาเขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้ โดยมี จอร์จ คลูนีย์ และ จูเลีย โรเบิร์ต อยู่ในหัวตั้งแต่วันแรก และโปรเจกต์นี้คงกลายเป็นอากาศธาตุถ้านักแสดงระดับโลกทั้งสองคนปฏิเสธที่จะรับบทนำ แต่ โอลและแฟนหนังโรแมนติกคอเมดี้ทั่วโลกโชคดี เพราะทั้งสองต่างตอบรับ โอลเล่าต่อว่า - “ผมเขียนบทเพื่อจอร์จ และจูเลียโดยเฉพาะ ถ้าพวกเขาไม่รับเล่น พวกเราคงไม่ได้มานั่งอยู่ตรงนี้ สองบทบาทนี้สำหรับพวกคุณเท่านั้น (โอลหันไปหา จอร์จและจูเลีย) ผมเขียนบทเพื่อพวกคุณ ติดต่อไปยังพวกคุณ และภาวนาให้พวกคุณรับแสดงในหนังเรื่องนี้”ย้อนกลับไป จอร์จ คลูนีย์ และจูเลีย โรเบิร์ต พบกันครั้งแรกในกองถ่าย Ocean's Eleven เมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว หลังจากนั้นทั้งสองก็กลายเป็นเพื่อนสนิทกันในทันที จอร์จเล่าให้ฟังว่า เขานั่งอยู่ที่พื้นโรงแรมและเล่นมุกกันเกือบ 5 ชั่วโมง นั่นคือจุดเริ่มต้นความสนิทสนมของทั้งสอง - “สำหรับพวกเรามันง่ายเสมอ ตอนที่ผมได้บทภาพยนตร์ Ticket To Paradise จำได้ว่าโอลส่งให้ทั้งผมและจูเลียพร้อมๆกัน ผมโทรหาจูเลียถามว่า คุณอ่านบทหนังหรือยัง เธอกำลังอ่านอยู่เลย ผมบอกไปว่าผมจะเล่นถ้าคุณเล่น จูเลียก็พูดแบบเดียวกัน โชคดีที่พวกเราใจตรงกัน” - จอร์จเล่าต่อว่า มันสนุกที่ได้ทำงานกับเพื่อน ที่ได้ทำงานกับจูเลีย หลังจากการแสดงหนังด้วยกันครั้งแรก ทั้งสองได้ร่วมงานกันอีกครั้งในภาคต่อ Ocean's Twelve และในหนังระทึกขวัญMoney Monster แต่ใครจะเชื่อว่าทั้งสองคน ยังไม่เคยเล่นหนังโรแมนติกคอเมดี้ด้วยกันมาก่อนใน Ticket To Paradise จอร์จ คลูนีย์ และจูเลีย โรเบิร์ต รับบทเป็น เดวิด และจอร์เจีย อดีตสามีภรรยาที่กลายความสัมพันธ์จากคู่รัก ไปเป็นคู่แค้น หลังหย่าร้างทั้งคู่แทบไม่เคยพูดจาดีๆ แทบไม่เคยมองหน้ากัน แม้แต่อยู่ในห้องเดียวกันยังเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แต่แล้วภารกิจที่ทำให้ทั้งสองต้องจับมือกันก็เกิดขึ้น เมื่อ ลิลลี่ ลูกสาวที่เพิ่งเรียนจบของพวกเขา ไปพบรักหนุ่มอินโดนีเซีย หลังเดินทางไปพักผ่อนที่บาหลี และทั้งสองตัดสินใจที่จะแต่งงานกัน ทันทีที่ เดวิดและจอร์เจีย ทราบข่าว ทั้งคู่จึงรีบซื้อตั๋วบินสู่เกาะบาหลี แต่ไม่ใช่เพื่อแสดงความยินดีกับลูก เป้าหมายของพวกเขา คือการล่มงานวิวาห์ครั้งนี้ให้ได้ เพื่อให้ ลิลลี่ ไม่ทำผิดพลาดในความรัก แบบที่ทั้งคู่เคยเผชิญ และพาเหรดแห่งความอลหม่านก็ได้เริ่มต้นขึ้น ณ ตรงนี้“แค่ได้มีโอกาสต่อปากต่อคำกับจอร์จ ฉันก็พร้อมโดดเข้าร่วมในหนังแล้ว” - จูเลีย โรเบิร์ต เล่าถึงเหตุผลที่เธอตัดสินใจตอบตกลง กลับมาเล่นหนังรอมคอมทันทีที่อ่านบทจบ หลังจากห่างหายไปนานกว่าทศวรรษ เพื่อไปเล่นหนังแนวอื่นๆ เธอเล่าว่าแค่การที่จะได้เห็น จอร์จ คลูนีย์ ตกหลุมรักเธอแบบหัวปักหัวปำมันก็น่าสนุกเต็มทีแล้ว จูเลียเผยถึงความสัมพันธ์ระหว่างสองตัวละครว่า - “แม้ในหนังจอร์จ จะตกหลุมรักฉันอย่างหนัก แต่ฉันไม่รักเขาแล้ว และเขาพยายามใช้โอกาสนี้ที่ลูกสาวของพวกเราจะแต่งงาน เพื่อหาโอกาสกลับมาคืนดีกับเธอ..” - ไม่ทันที่ จูเลีย จะพูดจบ จอร์จก็พยายามพูดแทรกเข้ามาทันที แทบจะไม่ต่างจากบทอดีตผัวเมียคู่นี้ในจอเลย นี่คือการพิสูจน์ให้เห็นว่า นอกจอพวกเขาทั้งสนิทและสนุกกันเพียงใด ในจอก็เป็นเช่นกัน และก่อนที่จูเลียจะพูดจบ จอร์จก็ป้อนคำหวานว่า - “สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผม คือโอกาสที่จะได้เล่นหนังกับราชินีแห่งซิตคอม ราชินีแห่งหนังโรแมนติกเบาสมอง”- นั่นสิ จะพลาดโอกาสนี้ไปได้อย่างไร ?ขนาด จอร์จ และจูเลีย ยังไม่อยากพลาดโอกาสที่จะได้ร่วมงานกันเอง แล้วทีมนักแสดงคนอื่นๆ จะพลาดได้ไง สาวน้อยที่โชคดีที่สุดคือ เคทลิน เดเวอร์ นักแสดงสาวที่แจ้งเกิดจาก Booksmart และได้ชิงรางวัล Golden Globes จากมินิซีรีส์Unbelievable เล่าถึงโอกาสแห่งชีวิต ที่เธอได้รับเลือกให้แสดงบท ลิลลี่ ลูกสาวของ จอร์จและจูเลียในหนัง เธอเล่าว่าเหตุผลสำคัญ ที่ตัดสินใจเล่นบทนี้ แน่นอนว่ามันคือการได้เล่นเป็นลูกของ จอร์จและจูเลีย นอกจากนี้เธอเล่าต่อว่า - “ฉันไม่เคยเล่นหนังรอมคอมมาก่อน เลยอยากลองบทที่แตกต่าง และแน่นอนว่าฉันจะได้ทำงานกับเพื่อนสนิท ฉันมีความสุขมากๆระหว่างถ่ายทำหนังเรื่องนี้ มันเยี่ยมมากเลย” - เพื่อนสนิทที่ว่านี้ เคทลินหมายถึง บิลลี่ ลอร์ด นักแสดงรุ่นพี่ที่เคยร่วมงานกันมาแล้วในBooksmart ซึ่งทั้งสองกลับมาร่วมงานกันอีกครั้งในTicket To Paradise แถมยังแสดงเป็นเพื่อนสนิทกันอีกด้วย เคทลินบอกว่า การได้ร่วมงานกับเพื่อนสนิท ทำให้ทุกอย่างมันง่ายขึ้นมาก และแค่โอกาสที่ได้รู้จัก จอร์จและจูเลีย มันก็วิเศษมากๆแล้วนอกจาก จอร์จ-จูเลีย และเหล่าบรรดาสาวๆบนเกาะสวรรค์แห่งนี้แล้ว สองนักแสดงหนุ่มที่เข้ามามีบทบาทสำคัญ เพิ่มความสนุกให้กับ Ticket To Paradise คนแรกคือ แม็กซิม บูเทียร์ นักแสดงและนักดนตรีหนุ่มสุดหล่ชาวอินโดนีเซีย ที่เข้ามารับบท เจด หนุ่มท้องถิ่นที่ ลิลลี่ ลูกสาวของ จอร์จและจูเลีย ตกหลุมรัก แม็กซิม เล่าถึงตัวละครของเขาว่า - “เขามาจากบาหลี เขาเพาะสาหร่ายริมทะเลเป็นอาชีพ เขาเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติรอบๆตัวเขา เขาเหมือนจะเป็นเจ้าชายรูปงามเลยละ” (เพื่อนๆนักแสดงต่างแซวว่า เขาเป็นเจ้าชายแบบออร์แกนิคเลยละ เพราะปลูกสาหร่าย) – เมื่อถูกถามว่า รู้สึกอย่างไรบ้าง ที่ได้แสดงเป็นลูกเขยของ จอร์จ คลูนีย์ และจูเลีย โรเบิร์ต แมกซีนเล่าทันทีว่า ตอนที่เขารับโทรศัพท์ แล้วปลายสายบอกว่าคุณได้เล่นบทนี้นะ เขานี่ตัวแทบลอย การที่ได้ร่วมงานกับจอร์จ มีหลายฉากที่ต้องเล่นด้วยกัน แม็กซิมรู้สึกขอบคุณมากๆที่ได้รับโอกาสนั้น มันเป็นประสบการณ์ที่บ้ามากๆเลยปัญหาที่ จอร์จ คลูนีย์ ต้องเผชิญบนเกาะสวรรค์แห่งนี้ ไม่ใช่แค่การหยุดลูกสาวจากงานวิวาห์ที่เขาไม่เห็นด้วยเท่านั้น แต่ยังมีการที่เขาต้องเห็นอดีตคนรักไปมีแฟนใหม่ ที่ทั้งหนุ่ม ทั้งแซ่บยิ่งกว่า เมื่อตัวละครจอร์เจีย กำลังอินเลิฟกับ พอล นักบินหนุ่มซึ่งรับบทโดย ลูคัส บราโว่ หนุ่มหล่อจาก Emily In Paris ซึ่งเมื่อพอลรู้ว่า จอร์เจีย กำลังจะบินไปหาลูกที่บาหลี เขาเลยตัดสินใจแลกเที่ยวบิน เพื่อมาบินในไฟลต์นี้ และเซอร์ไพรสแฟนสาวรุ่นใหญ่ด้วย ลูคัสเล่าถึงตัวละครเขาว่า - “ความน่าสนใจของตัวละครพอล คือเขาแทบจะไม่เคยเจอปัญหาปวดใจมาก่อน เป็นคนใสซื่อบริสุทธิ์มากๆ เขาเหมือนเด็กอายุ 14 ปี ติดอยู่ในร่างชายวัย 30 ซึ่งผู้กำกับ (โอล ปาร์กเกอร์) เปิดโอกาสให้ผมได้อิมโพรไวซ์ ได้ลองแสดงหลายๆแบบ แล้วจอร์จกับจูเลียก็เล่นตาม มันน่าสนใจมาก”แม้จะได้เล่นหนังเป็นคนรักของ จูเลีย โรเบิร์ต แต่ลูคัสเผยว่า ตอนแรกที่เล่นบทนี้ มันไม่ได้สบายเลย และเขาได้เล่าถึงฉากที่ประหม่าอย่างมาก - “อย่างฉากจูบบนเครื่องบิน ผมแทบไม่เชื่อตัวเองว่าจะได้จูบกับจูเลีย พวกเราขำกันไม่หยุด ผู้กำกับก็เลยบอกว่า จูบใหม่สิ..” ทันใดนั้น ระหว่างที่พูดคุยกันอยู่ จอร์จ คลูนีย์ ก็แซวขึ้นมาทันทีว่า จูเลียนั่นแหละที่อยากจูบอีก ด้านจูเลียแซวตัวเองต่อไปอีกว่า มันอยู่ในสัญญาของเธอเลยนะ นี่คือตัวอย่างความสนุกที่ล้นออกมาจากในจอสู่นอกจอ พวกเขาสนิทกันจริงๆในชีวิตจริง ทั้งจอร์จและจูเลียต่างเอ็นดูลูคัสมาก เขาบอกว่าทั้งสองพยายามเปิดทางให้เขาได้ซีนเสมอ - “มันเป็นความรู้สึกที่ประหลาดมาก หลังจากที่ผมได้ดูหนังเต็มๆเมื่อคืน ผมเริ่มตระหนักได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ผมไม่ได้บอกพ่อแม่ด้วย แต่พุ่งไปยังกองถ่ายเลย ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วแค่พริบตา เมื่อวานผมเพิ่งมานั่งคิดจริงจังว่า เกิดอะไรขึ้นกับผมเนี่ย” - ยังไม่ทันจะพูดจบ จอร์จ คลูนีย์ ก็แซวขึ้นมาอีกแล้ว – “ลูคัสเพิ่งอายุ 5 ขวบเอง ตอนที่ Notting Hill ฉาย เขาตั้งตารอจะมาเจอคุณตั้งแต่ตอนนั้นแล้วละ” เชื่อแล้วว่าสนิทกันจริงๆทีมนักแสดงทั้งหมด บินไปยังออสเตรเลีย เพื่อถ่ายทำ Ticket To Paradise แทนที่จะเป็นเกาะบาหลี เพราะตอนที่หนังเปิดกล้อง อินโดนีเซีย ยังคงมีมาตรการด้านโควิด-19 ที่ยังรัดกุมทำให้ถ่ายทำไม่ได้ แต่ท้ายที่สุดทีมงานก็สามารถเก็บภาพบรรยากาศของบาหลีมาใช้จริงๆได้ในเวลาต่อมา นี่คือการถ่ายทำหนังที่เหล่านักแสดงต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่มีวันไหนที่พวกเขาไม่มีความสุขเลย และทั้งหมดต้องขอบคุณทีมงานและผู้กำกับ โอล ปาร์กเกอร์ จูเลีย โรเบิร์ต เผยว่า - “โอล เขาทั้งตลก ทั้งมีความมั่นใจ กล้าหาญ เขารู้จักตัวตนนักแสดงแต่ละคน แล้วค่อยๆปรับให้เข้ากับหนัง” -ในขณะที่ จอร์จ กล่าวเสริมว่า พวกเขาต่างโชคดี โอลเขียนบทภาพยนตร์ที่งดงามออกมา แล้วก็ได้พวกเรามาแสดง เขาต้องหาวิธีในการคุมพวกเราให้อยู่ ตลอดเวลาการถ่ายทำมันสนุกมาก เขาทั้งสุภาพ และนิสัยดี พวกเราแทบจะไม่มีวันแย่ๆในกองถ่ายเลย ซึ่งมันหายากมาก“ทั้งฉันและจอร์จต่างรู้สึกภาคภูมิใจเมื่อทำให้ผู้ชมหัวเราะได้ ฉันดีใจมากทุกครั้งที่ได้ทำอะไรบางอย่างแล้วได้ยินเสียงหัวเราะในกองถ่าย ทีมงานขำอยู่หลังมอนิเตอร์” - จูเลีย โรเบิร์ต กล่าวถึงการที่เธอและเพื่อนสนิทอย่าง จอร์จ ได้มอบความสุขให้กับทุกคนในกองถ่าย และความสุขเหล่านั้น กำลังจะส่งต่อไปยังผู้ชมทั่วโลก หลังจากที่พวกเราผ่านช่วงเวลาอันยากลำบาก ของการระบาดโควิด-19 นี่คือช่วงเวลาแห่งความสุขที่กำลังกลับคืนมา พวกเราห่างหายจากการหัวเราะดังๆพร้อมกันในโรงภาพยนตร์มานานแค่ไหนแล้ว พวกเราห่างหายจากการเสียน้ำตาในโรงภาพยนตร์มานานแค่ไหนกัน Ticket To Paradise คือตั๋วสู่ความอิ่มเอมที่พวกเราคุ้นเคย นี่คือโอกาสสำคัญที่จะได้ดูหนังโรแมนติกเบาสมอง แบบที่ทุกคนชื่นชอบอีกครั้ง ตั๋วรักสู่พาราไดซ์ 6 ตุลาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์เท่านั้นภาพ : Universal Pictures

album

0
0.8
1