[REVIEW] ‘NOPE’ เหตุสยองจากบนฟ้า หนังผวาล่าสุดจาก จอร์แดน พีล | GOSSIP GUN

HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘NOPE’ เหตุสยองจากบนฟ้า หนังผวาล่าสุดจาก จอร์แดน พีล | GOSSIP GUN

17 ส.ค. 2022

หลายคนสะดุุดหนังเรื่อง NOPE ตั้งแต่ชื่อไทย ที่ทางค่ายยูไอพี ตั้งแบบตรงไปตรงมาตามชื่ออังกฤษว่า "ไม่" นำไปสู่ปริศนาที่ต้องตามต่อในหนังว่า คำว่าไม่ ในที่นี้หมายถึงอะไร และมันใช้ในบริบทไหนของหนังกันแน่ นี่คือโปรเจกต์หนังเขย่าขวัญเรื่องที่ 3 ของ จอร์แดน พีล อดีตนักแสดงตลกที่ผันตัวมาเป็นนักสร้างหนังในแนว Horror ที่ปังตั้งแต่โปรเจกต์แรกอย่าง Get Out ที่นอกจากจะกวาดเงินถล่มทลาย ยังทำให้เขาได้รางวัลออสการ์มาครองอีกด้วย ต่อด้วย Us ที่ทั้งชวนผวาและสร้างความเหวอได้ไม่แพ้กัน มาถึงโปรเจกต์ล่าสุดอย่าง NOPE ที่ในหนังเรื่องนี้ เขาผสมความเป็น Sci-Fi เข้าไปในหนัง และเป็นการกลับมาร่วมงานกันครั้งอีกครั้ง พีล และแดเนียล คาลูย่า พระเอกจาก Get Out ที่ตอนนี้กลายเป็นนักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์ไปแล้ว

คาลูย่า รับบท โอเจ ชายหนุ่มที่รับหน้าที่ดูแลคอกม้าต่อจากพ่อ หลังจากที่เขาเสียชีวิตด้วยเหตุการณ์สุดประหลาด เขากับน้องสาวที่บุคลิกต่างกันสุดขั้วอย่าง เอ็ม (รับบทโดย กีกี้ พาล์มเมอร์ จาก Hustlers) ต้องทำหน้าที่คอยฝึกม้า เพื่อไปใช้ในการถ่ายทำหนังหรือโฆษณา แต่แล้วเหตุการณ์สุดแปลกก็เกิดขึ้นต่อเนื่อง หลังจากพ่อของพวกเขาเสียชีวิต หลายครั้งที่ไฟฟ้าดับบริเวณบ้านกลางหุบเขาของพวกเขา ทุกอย่างที่เป็นของที่ใช้กระแสไฟฟ้า แม้แต่ รถยนต์ หรือมือถือก็ล้วนดับหมด แถมยังทำให้ม้าของพวกเขาผวากับบางอย่าง โอเจและเอ็ม เริ่มมองขึ้นไปบนฟ้า และสังเกตุเห็นว่า มีอะไรผิดปกติ โดยเฉพาะก้อนเมฆบางก้อน ที่ไม่เป็นอย่างที่ควรจะเป็น นำไปสู่เหตุการณ์สุดผวา ที่ไม่มีมนุษย์คนไหนเคยเผชิญมาก่อน

สิ่งที่ทำให้อยากดูและตั้งตารอคอยผลงานของ จอร์แดน พีล มากๆ ทุกครั้งที่เขาทำโปรเจกต์ใหม่ คือเอกลักษณ์ที่โดดเด่นและแตกต่างในหนังเขย่าขวัญแบบของเขา ไม่ว่าจะเป็นพล็อตที่ถูกเก็บซ่อนเอาไว้ นำไปสู่ความเหวอขั้นสุดในช่วงหลัง การแฝงด้วยประเด็นสังคมที่มากกว่าเส้นเรื่อง อาทิ เรื่องสีผิวใน Get Out เรื่องประเทศใน Us มาจนถึงเรื่องล่าสุด ที่หยิบเอาเรื่องระดับโลกมาแฝงไว้ บวกกับอารมณ์ขัน ที่ถูกสอดแทรกไว้ในหนังด้วยจังหวะที่แม่นยำ ต้องขอบคุณที่เขาเคยเป็นนักแสดงตลกมาก่อน ทำให้เขาทำหนังเขย่าขวัญออกมาได้ดี เพราะสิ่งที่คล้ายกันของหนังเบาสมองและหนังเขย่าขวัญ คือ จังหวะที่แม่นยำในการปล่อยของ และจำเป็นต้องหามุกใหม่มาเล่นเสมอๆ (อย่างในหนังผี ถ้าเรื่องไหน มีฉากหลอกผู้ชมใหม่ๆ และจังหวะผีหลอกเป๊ะ มักจะออกมาดีงาม) นั่นทำให้หนังของ พีล ดูเฟรชตลอด เหมือนกับดูหนังของ เอ็ม.ไนต์ ชยามาลาน ที่ทั้งตลกด้วยและสอดแทรกประเด็นเสียดสีหรือวิพากท์สังคมไว้ด้วย

การดู NOPE ถือเป็นประสบการณ์การดูหนังในโรงที่แปลกใหม่อีกครั้ง ด้วยสองปัจจัยสำคัญ คือทั้งในแง่ของการเล่าเรื่อง และภาพที่ปรากฏขึ้นบนจอ สิ่งที่หนังซ่อนเอาไว้ เต็มไปด้วยความแปลก ความประหลาด และชวนหวาดผวา พีลสามารถหยิบเอาสิ่งที่เราเห็นประจำ มาทวิสต์ให้เรารู้สึกหลอนกับสิ่งนั้นได้ ด้วยจังหวะการเล่าเรื่องที่เขาค่อยๆแย้มปริศนาที่ซ่อนอยู่ทีละนิดๆ จนกระทั่งสาดใส่ผู้ชมและตัวละครในเรื่องอย่างแรงในช่วงหลัง การดู NOPE ในโรง ทำให้ผู้ชมถูกตรึงไว้กับหนังได้อย่างดี บวกกับสิ่งที่ปรากฏบนจออย่างที่เอ่ยไป บางสิ่งที่หนังซ่อนเอาไว้ มันเหมาะที่จะถูกชมบนจอขนาดใหญ่มากๆ (ยิ่งโรง IMAXยิ่งเพิ่มอรรถรส) แม้มันจะไม่ใช่หนังแอ็กชันโปรดักชั่นใหญ่โต แบบที่ชอบฉายในระบบ IMAX แต่ "บางอย่าง" ในหนัง ยิ่งดูบนจอใหญ่ ยิ่งได้อารมณ์ขึ้นจริงๆ จนทำให้ NOPE น่าจะเป็นอีกหนึ่ง Cinema Experience สำหรับผู้ชมไม่มากก็น้อย

 

เมื่อเทียบกับผลงานสองเรื่องก่อนของ จอร์แดน พีล ต้องถือว่า NOPE เล่าในสเกลหนังที่ใหญ่โตกว่าเดิมมาก และค่อนข้างดูง่ายกว่าทั้ง Get Out และ Us แต่มันก็ยังไม่ทิ้งเอกลักษณ์ที่ชัดเจนของผู้กำกับ หนังยังทำให้ผู้ชมเหวอ และหวาดผวากับพล็อตได้เช่นเดิม บวกกับจังหวะหลอนและจังหวะอารมณ์ขันที่ค่อนข้างถูกเป๊ะ พร้อมกับหลากหลายประเด็นที่ซุกซ่อนไว้ในหนัง ซึ่งไม่จำเป็นต้องคิดต่อก็ได้ แต่ถ้าพอจะสังเกตุก็นึกถึงสิ่งที่ผู้กำกับอยากสื่อได้อย่างสนุกสนาน ไม่ได้ชวนปวดหัวแบบหนังเชิงสัญลักษณ์บางเรื่อง เพราะท้ายที่สุด มันก็ยังเป็นหนังเขย่าขวัญซัมเมอร์ ที่พร้อมให้ผู้ชมทุกกลุ่มดูได้ และเปิดประสบการณ์แปลกใหม่ในการดูหนังได้ เช่นเดิม นี่คืออีกงานที่พิสูจน์ว่า ความสำเร็จของ Get Out ไม่ใช่เพราะความบังเอิญ พีล ตอกย้ำว่า เขาคือผู้กำกับที่น่าจับตามอง ในฐานะผู้กำกับที่มีเอกลักษณ์ชัดเจน หลังจากนี้ไม่ว่าจะทำอะไร ก็มีแฟนหนังชุดใหญ่พร้อมที่จะรอดูอยู่แล้ว

 

NOPE เข้าฉาย 18 กรกฎาคมในโรงภาพยนตร์ ชมตัวอย่าง : 

 

ภาพ : UIP Thailand

related HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] 'Minions : The Rise of Gru' ความป่วนครั้งใหม่ ที่ทำให้ตกหลุมรักมินเนียนมากขึ้น | GOSSIP GUN

30 มิ.ย. 2022

[REVIEW] 'Minions : The Rise of Gru' ความป่วนครั้งใหม่ ที่ทำให้ตกหลุมรักมินเนียนมากขึ้น | GOSSIP GUN

สิ่งที่ผู้ชมต้องการจากหนังMinionsคงไม่มีอะไรมากนอกจากเสียงหัวเราะ ดังนั้นถ้าหนังสามารถตอบโจทย์ข้อนี้ได้ ก็ถือว่าบรรลุเป้าหมายแล้ว ส่วนข้อดีอื่นๆที่เพิ่มขึ้นมา คงเป็นของแถม ซึ่งMinions : The Rise of Gruทำหน้าที่เป็นหนังแอนิเมชั่นคลายเครียดได้อย่างอยู่หมัด เป็นเวลา90นาทีที่เราสามารถลืมทุกอย่างภายนอก แล้วไปสนุกกับโลกป่วนๆของพวกมินเนียนได้ หลังจากที่พวกเราห่างหายจากการดูหนังเดี่ยวของMinionsมานานถึง7ปี และห่างหายจากDespicable Meมานานถึง5ปีแล้วถ้าจะอธิบายถึงสถานะของหนังMinions : The Rise of Gruอาจจะวุ่นวายเล็กน้อย เพราะมันคือหนังภาคต่อของMinionsในปี2015ซึ่งตัวหนังMinionsเองถือเป็นหนังภาคแยกออกมาจากDespicable Meซึ่งเน้นไปที่ตัวละครกรู บอสใหญ่ของเหล่ามินเนียน ซึ่งเหตุการณ์ในหนังMinions : The Rise of Gruจะเกิดขึ้นหลังจากMinionsแต่เป็นก่อนDespicable Meในภาคแรก โดยจะเล่าถึงกรูในวัย12ปีที่กำลังหาทางขึ้นไปเป็นวายร้ายระดับท็อปของโลกให้ได้ และโอกาสก็มาถึงเมื่อเหล่า วิกเชียส6แก๊งหกวายร้ายตัวเป้งของโลก เปิดรับสมัครสมาชิกใหม่ กรูจึงตั้งใจจะเป็นสมาชิกให้ได้ แต่กลับถูกเหล่าวายร้ายรุ่นเดอะเหยียดหยามว่าเขาเป็นแค่เด็ก กรูจึงขโมยสมบัติล้ำค่าออกมา เพื่อพิสูจน์ว่า เขาไม่ใช่เด็กทั่วไป นำไปสู่การผจญภัยสุดป่วน ของทั้งกรู และแก๊งมินเนียนสมุนของเขาทั้งหมดแม้หนังภาคนี้ จะมีเรื่องราวของ กรู ในวัยเด็กเข้ามาเป็นแกนหลักในการดำเนินเรื่อง แต่ไฮไลต์จริงๆ คงหนีไม่พ้นเหล่าตัวละคร มินเนียน ที่ถาโถมความป่วนเข้ามาตลอดทั้งเรื่อง เหมือนผู้สร้างรู้ดีว่า อะไรคือสิ่งที่แฟนๆชอบ อะไรคือสิ่งที่ผู้ชมที่ตั๋วเข้ามาดูต้องการ จึงสร้างสรรค์ฉากฮาๆ สำหรับตัวละครมินเนียนออกมาได้เพียบ ฉากการเดินทางข้ามอเมริกาและฉากฝึกศิลปะการต่อสู้ ก็เปิดโอกาสให้ผู้สร้างได้ใส่มุกมากมายในหนัง ซึ่งส่วนใหญ่ก็ได้ขำตลอด แต่ที่เซอร์ไพรสคือ ผู้สร้างเลือกที่จะชูตัวละครนึงขึ้นมาคือ อ็อตโต้ ซึ่งทำสิ่งผิดพลาดบางอย่างในตอนต้นเรื่อง ทำให้เขาค่อยๆเรียนรู้การใช้ชีวิต และเติบโตขึ้น ในขณะเดียวกัน เราจะได้เห็นการเรียนรู้บางอย่างและเติบโตขึ้นของกรูเช่นกัน ทำให้Minions : The Rise of Gruเป็นหนังตลกโบ๊ะบ๊ะเท่านั้น แต่ก็ยังมีความเป็นComing-of-Ageผสมผสานเข้ามาด้วยสีสันที่ทำให้Minionsน่าสนใจเพิ่่มขึ้นมา คือการสร้างบรรยากาศในยุค70s (ต่างจากDespicable Meที่เล่าให้ยุคปัจจุบัน)หนังมีการหยิบเอาPop Cultureบางอย่างมาใช้ประกอบ หยิบเอาอุปกรณ์ต่างๆในยุคนั้นมาเล่น มาแซว ทำให้ผู้ชมที่เป็นกลุ่มพ่อแม่ ที่พาลูกเข้าไปดูหนังเรื่องนี้ อาจจะนั่งขำหรือนึกย้อนถึงสมัยก่อน เพิ่มขึ้นจากการขำตัวมินเนียนแค่นั้น อีกหนึ่งสีสันสำคัญ คือการกลับมาพากย์เสียงประกอบ ของ สตีฟ คาร์เรล ในบทของกรู บวกกับการปรากฏตัวของบางตัวละคร ที่จะเชื่อมไปยังDespicable Meภาคแรก ทำให้ผู้ชมที่อาจจะพอจำภาคแรกได้ ได้ถึงย้อนไปถึงจุดเริ่มต้นของหนังแฟรนไชส์นี้ได้ โดยหนังยังมีนักแสดงสายแอ็กชันมาพากย์เสียงเพียบ ทั้ง มิเชลล์ โหย่ว,ฌอง คลอด แวน แดมม์ และดอล์ฟ ลุนเกรน เรียกว่าจัดเต็มในกลุ่มทีมพากย์พอสมควรสิ่งที่น่าเสียดายเล็กน้อยสำหรับMinions : The Rise of Gruคือพล็อตเรื่องที่อาจจะเบาบางไปนิด แต่ก็เอื้อให้เกิดฉากผจญภัยที่สนุกสนานและฉากตลกมากมาย และการสร้างตัวร้ายประจำภาคนี้ นั่นคือ กลุ่มวิกเชียส6ซึ่งมีสมาชิกมากถึงหกคน แต่กลับไม่ค่อยเป็นที่จดจำเท่าไหร่นัก แต่ละตัวละครต่างมีจุดเด่นที่ปรากฏเยอะไปหมด ความเยอะในทุกตัวละครนี้ กลับทำให้ไม่มีตัวละครไหนเด่นเลย แทนที่การรวมพลัง6คน มันควรจะยิ่งใหญ่ดูน่าเกรงขาม แต่พวกเขากลับร้ายแค่ระดับผิวเผินเท่านั้นเอง เมื่อเทียบกับ ตัวละคร สการ์เล็ต โอเวอร์คิล(ที่พากย์เสียงโดย แชนดร้า บูลล็อค)ในภาคก่อน ยังน่าจดจำยิ่งกว่าสรุปแล้วMinions : The Rise of Gruคือยาแก้เครียดขนานแท้ ภาคนี้จัดเต็มความฮาจากเหล่ามินเนียนแน่นอน รับประกันความป่วน แต่ก็จะมีมุมอื่นๆให้ได้เห็นอยู่เรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นมุมน่ารักแบ๊วๆ หรือมุมดราม่า ที่จะทำให้ผู้ชมยิ่งตกหลุมรักเหล่ามินเนียนมากขึ้นไปอีก นี่เป็นหนังอีกเรื่องที่ทำให้แบรนด์ดิ้ง ของ มินเนียน แข็งแรงขึ้น สิ่งที่น่าสนใจคือ หลังจากจบภาคนี้ ดูเหมือนเส้นเรื่องจะวนกลับมาครบลูป จากDespicable Meภาคแรกแล้ว ผู้สร้างจะเลือกทิศทางไปเล่าอย่างไรต่อ จนต้องติดตามกันต่อไป(ให้7.5คะแนนจากคะแนนเต็ม10คะแนน)ภาพ : UIP Thailandชมตัวอย่างMinions : The Rise of Gruวันนี้ในโรงภาพยนตร์

[REVIEW] ‘M3GAN’ หนังหุ่นสยองยุคใหม่ ทันสมัยและแสบอย่างร้ายกาจ | GOSSIP GUN

12 ม.ค. 2023

[REVIEW] ‘M3GAN’ หนังหุ่นสยองยุคใหม่ ทันสมัยและแสบอย่างร้ายกาจ | GOSSIP GUN

ขึ้นแท่นหนังเปิดปี 2023 ที่ปังเกินคาดสำหรับ M3GAN หนังสยองขวัญผสมอารมณ์ตลกร้าย ผลงานการจับมือกันสร้างของสองโปรดิวเซอร์หนัง Horrorแห่งยุค อย่าง เจสัน บลัม แห่งค่าย Blumhouse ที่โด่งดังจากหนังตระกูล Paranormal Activity, The Purge จนมาถึงยุคหลังๆอย่าง Get Out, Happy Death Day และ Halloween ผนึกกำลังกับ เจมส์ วาน ผู้ให้กำเนิดหนังอย่าง Insidious และจักรวาล The Conjuring นั่นเอง ดังนั้นการมาเจอกันครั้งนี้ จึงต้องไม่ธรรมดา โดยล่าสุดจากทุนสร้างเพียง 12 ล้านเหรียญฯ หนัง M3GAN กวาดรายได้ทั่วโลกผ่านหลัก 50 ล้านไปแล้ว และดูเหมือนจะผ่าน 100 ล้านได้แบบง่ายๆอีกด้วย เพราะกระแสปากต่อปากในแง่บวกที่บอกต่อความสนุก ความแสบของหนัง ซึ่งไม่เพียงแค่ถูกใจคนดู แต่นักวิจารณ์ยังเทคะแนนบวกให้ จนล่าสุดคว้าคะแนนบวกสูงถึง 94%จาก Rotten Tomatoes ซึ่งพบได้ไม่มากนักในหนังแนวสยองขวัญM3GAN เล่าเรื่องราวของ เจมม่า (รับบทโดย แอลิสัน วิลเลี่ยมส์ จาก Get Out) นักวิจัยพัฒนาในบริษัทของเล่นยักษ์ใหญ่ ในขณะที่หุ่นตุ๊กตารุ่นล่าสุดของบริษัทกำลังขายดีเป็นเทน้ำเทท่า เธอก็กำลังสร้างสิ่งที่เหนือยิ่งกว่า คือหุ่นตุ๊กตาเมแกน ที่ภายนอกดูเหมือนเด็กผู้หญิงจริงๆ และภายในบรรจุสมองแบบ AI เอาไว้ ทำให้มันสามารถตอบโต้ได้ไม่ต่างจากมนุษย์ บวกกับการที่เมแกนสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆได้ ทำให้มันค่อยๆฉลาดขึ้น ซึ่งในหนัง เจมม่า ได้นำเมแกนตัวทดลองมาทดสอบกับหลานสาวของเธอ ที่เพิ่งสูญเสียพ่อและแม่ไป ในตอนแรกทุกอย่างก็ดูเหมือนจะไปด้วยดี เมแกนหลายเป็นเพื่อนสนิทคนใหม่ของหลาน แต่เพราะความผูกพันและปัญญาที่ฉลาดขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เมแกนเริ่มไม่ฟังคำสั่งใคร นำไปสู่เหตุการณ์ชวนสยอง มากกว่าใครจะคาดคิดจริงๆเส้นเรื่องหลักของ M3GAN ก็ไม่ได้แปลกประหลาดอะไร หลายครั้งที่ฮอลลีวูดเล่าถึงสิ่งที่ดูไม่มีพิษมีภัย แต่ท้ายที่สุดกลับเป็นฝันร้ายของคนที่เจอ แต่สิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้ ประสบความสำเร็จนั้น คงหนีไม่พ้นบทที่ค่อนข้างลงตัว M3GAN มีการผสมผสานกลิ่นอายของความเป็นหนังสยองขวัญ และอารมณ์ขันได้อย่างพอดิบพอดี หนังใช้เวลาพอสมควรในการค่อยๆบิลด์เส้นเรื่อง ค่อยๆปูความไม่น่าไว้วางใจให้กับตัวละครเมแกน คล้ายๆกับหนังที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์หลายเรื่องที่ค่อยๆทรยศมนุษย์ จนนำไปสู่พาร์ทสยองที่ชวนขนลุกอยู่ไม่น้อย M3GAN จึงมีกลิ่นอายในแบบ Child's Play ผสมกับ The Terminator บวกด้วยอารมณ์ขัน ที่ทั้งแสบสันต์และร้ายกาจ กลายเป็นรสชาติเฉพาะทางที่สร้างความบันเทิงให้กับผู้ชมเป็นอย่างดีไฮไลต์สำคัญของหนัง คือการดีไซน์คาแรคเตอร์ เมแกน ออกมาให้ชวนขนลุก ทั้งรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูอย่างไรก็ชวนไม่น่าไว้วางใจ และพฤติกรรมของเธอ ที่อำมหิตและคาดเดาไม่ได้ โดยการที่ เมแกนเป็น AI ที่ชาญฉลาด ทำให้หนังสามารถหยิบกับเทคโนโลยีต่างๆ มาเล่นกับเมแกนได้อย่างแพรวพราว มีลูกล่อลูกชนที่ไม่ธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นการแปลงเสียง การเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆ สร้างความขนลุกยิ่งกว่าเจอผีเสียอีก แต่แอบน่าเสียดายอยู่เล็กน้อย ที่ผู้สร้างตัดสินใจเดินหน้ากับเรต PG-13 (เด็กอายุต่ำกว่า 13 ต้องเข้าชมพร้อมกับผู้ปกครอง) ไม่ใช่ เรต R ทำให้หลายฉากในหนังต้องยั้งความโหดเอาไว้ ไม่ได้เลือดสาดสยองกระจายในแบบที่หนังเรตR ทำได้ หลายซีนเลยดูเหมือนอาจจะยังไปไม่สุด หรือไม่สะใจผู้ชมเท่าที่ควรโดยรวม M3GAN ถือเป็นหนังสยองขวัญสายบันเทิงอย่างแท้จริง นอกจากบรรยากาศที่ชวนขนลุกและไม่น่าไว้วางใจตลอดเวลาแล้ว หนังยังผสมอารมณ์ขันตลกร้ายไว้อย่างร้ายกาจ นอกจากนี้หนังยังชี้ให้เห็นถึง ประเด็นสังคมที่สำคัญของคนยุคใหม่ ที่ผู้ปกครองหลายท่านฝากลูกหลานไว้กับเทคโนโลยี ไม่ได้เลี้ยงดูหรือให้เวลากับเขาอย่างเต็มที่ หนังเรีื่องนี้อาจจะทำให้ผู้ปกครองทบทวนความคิดและหันมาดูแลบุตรหลานมากขึ้น หนังสะท้อนให้เห็นถึงระยะห่างที่ทั้ง คุณน้าคุณหลานมีเมื่อเมแกนเข้ามาแทรกกลาง กลายเป็นปมในใจที่ยิ่งปล่อยทิ้งไว้อาจจะสายเกินแก้ก็เป็นได้ นอกจากความสนุกของหนังแล้ว M3GAN ยังแฝงประเด็นเหล่านี้ไว้ให้ขบคิดอีกด้วยชมตัวอย่าง M3GAN (เมแกน) วันนี้ในโรงภาพยนตร์เท่านั้นภาพ : UIP Thailand

[REVIEW] ‘Beast’ (สัตว์-ร้าย) 90 นาทีสุดระทึก หนีตายสิงโตกลางป่าลึก | GOSSIP GUN

25 ส.ค. 2022

[REVIEW] ‘Beast’ (สัตว์-ร้าย) 90 นาทีสุดระทึก หนีตายสิงโตกลางป่าลึก | GOSSIP GUN

ถ้าหนังอย่าง Crawl และ The Shallow ทำให้คุณลุ้นจนเหนื่อย ต้องไม่มองข้ามหนังเรื่อง Beast (ชื่อไทย สัตว์-ร้าย) ที่เปลี่ยนจาก จระเข้และฉลาม เป็น สิงโตคลั่ง และเปลี่ยนโลเคชั่น จากในน้ำ มาสู่บนบก กลางทุ่งหญ้าอันกว้างขวางในทวีปแอฟริกา หนังเล่าถึง ดร.เนต (รับบทโดย ไอดริส เอลบ้า จาก The Suicide Squad และ Thor) พ่อหม้ายมาดๆ เขาคือคุณหมอที่เพิ่งสูญเสียอดีตภรรยาไป และเพื่อสานสัมพันธ์กับลูกๆอีกครั้ง เขาจึงตัดสินใจพา แมร์และนอร่าห์ ลูกสาวสองคนของเขา ไปเที่ยวในแอฟริกาใต้ ไปเยี่ยมบ้านเกิดคุณแม่ของพวกเธอ แต่ในขณะที่พวกเขากำลังแล่นรถเยี่ยมชมในเขตอุทยานที่ปราศจากผู้คน ฝันร้ายก็ค่อยๆคลานเข้ามาเพื่อตะครุบพวกเขา เมื่อพวกเขาเจอศพของชาวเผ่าตายเป็นเบือ และต่างมีรอยกัดของสัตว์ใหญ่ที่แสนดุร้าย ไม่นานก็พวกเขาก็ได้เผชิญหน้ากับ สิงโตที่คลั่งผิดปกติ ท่ามกลางสถานที่อันเวิ้งว้าง พวกเขามีเพียงแค่รถคันเล็กๆ ที่ทำให้ปลอดภัยจากสัตว์ร้าย พวกเขาจะเอาชีวิตรอดไปได้อย่างไร เมื่อไม่มีแม้แต่สัญญาณมือถือในการขอความช่วยเหลือ ไร้ซึ่งอาหารและน้ำดื่มที่ใกล้จะหมด ความตายค่อยๆคืบคลานเข้ามาทุกวินาทีBeast ถือว่าเป็นหนังโปรแกรมส่งท้ายซัมเมอร์ของค่ายยูนิเวอร์แซล ที่ฟอร์มหนังอาจจะไม่ได้ใหญ่นัก หรือชวนหวือหวาเท่ากับหนังระทึกขวัญเรื่องอื่นๆ แต่อยากจะบอกทุกท่านว่าอย่าได้มองข้ามหนังเรื่องนี้เชียว ถ้าคุณชื่นชอบหนังระทึกที่จะทำให้ตลอดทั้ง 90 นาทีของหนัง ลุ้นแบบไม่ได้พัก Beast สามารถทำให้ผู้ชมตื่นเต้นได้ในระดับเดียวกับหนังที่เอ่ยชื่อไปอย่างCrawl และ The Shallow จากสถานการณ์ที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไร หนังค่อยๆสร้างข้อจำกัดให้กับตัวละครเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ความหวังดูจะริบหรี่ลงเรื่อยๆ ในขณะเดียวกัน Beast ก็ไม่ยั้งมือที่จะทำให้สิงโตคลั่งในเรื่อง ดุร้ายอย่างสมชื่อจริงๆ หลายจังหวะที่สิงโตโผล่ออกมา ทำให้เราตกใจหรือหลอนไม่แพ้กับหนังผีเลยทีเดียว และความดุร้ายของมัน ทำให้ฉากสิงโตโจมตีมนุษย์ ดูอำมหิตสมจริง รุนแรงในระดับบางทีต้องเบือนหน้าหนีเลยทีเดียวองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ Beast กลายเป็นหนังที่ดูสนุกเกินคาด คือความสมจริงในแง่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโลเคชั่นในการถ่ายทำที่ทีมงานบินกันไปถ่ายถึงแอฟริกาใต้จริงๆ ตัวของสิงโตเอง แม้ว่าจะมั่นใจว่าเป็นการใช้ คอมพิวเตอร์กราฟฟิกในการสร้างขึ้นมา แต่ก็ดูสมจริง ไม่ได้รู้สึกขัดหรือสะดุดตาเลยแม้แต่น้อย ไฮไลต์สำคัญคือการเคลื่อนกล้อง ที่ถ้าลองสังเกตุดูหลายๆฉากใช้การถ่ายทำแบบ Long Take และเคลื่อนกล้องอย่างพริ้วไหวตามตัวละครไปจากด้านหลัง เพิ่มระดับความตื่นเต้นให้กับผู้ชมเข้าไปอีก หลายฉากไม่ได้ตัดสลับไปมาจนงง แต่แช่ภาพให้เห็นแบบเต็มๆ แต่จุดปัญหาที่อาจจะทำให้ผู้ชมไม่สบอารมณ์อย่างชัดเจน คือความดื้อของสองตัวละคร แมร์และนอร่าห์ ที่แอบดื้อขัดคำสั่งคุณพ่อ จนทำให้ผู้ชมก่นด่าอยู่ในใจ อย่างไรก็ตาม คาดว่าผู้กำกับคงจะรู้ว่า คนดูรำคาญแน่ๆ เลยให้ตัวละครในหนังด่านำไปก่อนแล้ว เลยพอจะให้อภัยความชวนหงุดหงิดของสองตัวละครนี้ไปได้โดยรวม Beast ถือเป็นหนังแอ็กชันเขย่าขวัญฟอร์มปานกลางส่งท้ายซัมเมอร์ที่ไม่อยากให้คอหนังระทึกมองข้ามเลยจริงๆ จากตอนแรกที่ผู้เขียน ดูโปสเตอร์ ดูตัวอย่างแล้ว ไม่ได้สะกิดต่อมความอยากดูเท่าไรนัก ปรากฏว่าพอเข้าไปชมในโรงภาพยนตร์จริงๆ สนุกเกินคาดไปมาก คำว่าลุ้นจนเหนื่อยมีอยู่จริงในหนังเรีื่องนี้ อีกส่วนที่ทำให้หนังดูสมจริงยิ่งขึ้นคือ การแสดงของ ไอดริส เอลบ้า และการสร้างตัวละครพระเอก ที่หนังไม่พยายามจะให้เขาเก่งเกินจริงไปมาก เขาเป็นเพียงแค่คุณหมอที่ไร้ทักษะในการต่อสู้ ทำให้หลายฉากออกมาดูทุลักทุเล เพิ่มระดับความลุ้นขึ้นไปอีก เพราะผู้ชมทราบดีว่า ตัวละครมนุษย์ในหนังเป็นรองสิงโตคลั่ง ถ้ามีโอกาส แนะนำให้ชม Beast ในโรงภาพยนตร์ ได้อรรถรส มากกว่ารอดูในระบบสตรีมมิ่งอย่างแน่นอนชมตัวอย่าง Beast สัตว์-ร้าย วันนี้ในโรงภาพยนตร์ภาพ : UIP Thailand

[REVIEW] ‘Hunger คนหิว เกมกระหาย’ หนังไทยสุดเชือดเฉือนของคนหิวอำนาจ ! | GOSSIP GUN

07 เม.ย. 2023

[REVIEW] ‘Hunger คนหิว เกมกระหาย’ หนังไทยสุดเชือดเฉือนของคนหิวอำนาจ ! | GOSSIP GUN

เตรียมจัดเข้ากลุ่มหนังไทยระดับท็อปแห่งปีแน่นอน สำหรับ 'Hunger คนหิวเกมกระหาย'หนังไทยเรื่องล่าสุดที่เป็นออริจินัลของ Netflix ที่พร้อมประกาศศักดาฉายพร้อมกันทั่วโลกสุดสัปดาห์นี้ ด้วยพล็อตที่เชือดเฉือน การแสดงสุดเข้มข้น และการชำแหละสังคมอย่างไม่ประนีประนอม นี่คือผลงานล่าสุดของ คงเดช จาตุรันต์รัศมี (จาก ตั้งวง, Where We Belong) ที่ลงมือเขียนบทและทำหน้าที่อำนวยการสร้าง พร้อมดึงผู้กำกับรุ่นใหม่มากฝีมืออย่าง สิทธิศิริ มงคลสิริ จาก แสงกระสือ มากำกับภาพยนตร์ เล่าถึง ออย (รับบทโดย ออกแบบ-ชุติมณฑน์) แม่ครัวสตรีทฟู้ดที่ถนัดทำอาหารประเภทผัด แต่ด้วยฝีมือและเซ้นต์ในการทำอาหารที่ไม่ธรรมดา ทำให้เธอได้รับการชักชวนให้เข้ามาร่วมงานกับ เชฟพอล (รับบทโดย ปีเตอร์-นพชัย) เชฟชื่อดังระดับประเทศ ที่โด่งดังจากการทำอาหารแบบ Fine Dining ซึ่งมีเฉพาะมหาเศรษฐีและบุคคลระดับวีไอพีเท่านั้น ที่จะได้ลิ้มรสอาหารของเขา และเมื่อออยก้าวเข้าสู่โลกของการทำอาหารในอีกขั้นนึง เมื่ออาหารไม่ใช่แค่สิ่งประทังชีวิต แต่เป็นสิ่งบ่งบอกสถานะทางชนชั้น ชีวิตของออยจึงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป..'Hunger คนหิวเกมกระหาย' คือหนังที่แม้ว่าหน้าหนังจะเล่าเหตุการณ์ในห้องครัว แต่อันที่จริงมันกลับพูดถึงเรื่องที่ใหญ่กว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นชนชั้นในสังคม สภาพอันน่ารังเกียจของคนกระหายอำนาจในโลกของการเมือง หนังพาผู้ชมไปดูสังคมจำลองในห้องครัวของเชฟพอล สถานที่ซึ่งคำว่าประชาธิปไตยไม่มีอยู่จริง ณ ที่แห่งนี้คืออำนาจเผด็จการล้วนๆ ทุกคนล้วนต้องทำตามคำสั่งของเขาอย่างเคร่งครัด และผลผลิตทุกจาน ล้วนถูกตอบแทนด้วยเงินมหาศาล อาหารชั้นเลิศที่ไม่มีเชฟคนในนอกจากเชฟพอล พอจะมีเงินจ่ายเพื่อรับประทานได้ หลังจากนั้นหนังค่อยๆขยายเรื่องราวให้กว้างขึ้นเรื่อยๆ พาผู้ชมเข้าไปสู่โลกของสังคมชั้นสูง ทั้งในแวดวงการเมือง และไฮโซ ผ่านมุมมองของออย เชฟสาวที่มาจากข้างถนน นี่คือหนังที่ถ่ายทอดประเด็นความแตกต่างทางชนชั้นได้อย่างชัดเจน และสื่อสารกับคนดูแบบไม่ประนีประนอม ไม่อ้อมค้อม แถมหลายฉากยังคล้ายคลึงกับเหตุการณ์จริงในหน้าข่าว จนระหว่างดูแอบอึ้งไปหลายจังหวะอยู่เหมือนกันนอกจากประเด็นและเส้นเรื่องอันเข้มข้นแล้ว นี่คือหนังไทยที่มาพร้อมกับคำว่า "คุณภาพ" ในแทบทุกองค์ประกอบ เริ่มจากงานสร้าง นี่คือหนังที่ภาพรวมสามารถกล่าวได้ว่าเป็นโปรดักชั่นระดับโลก ทุกฉากดูเนี้ยบ ไม่มีจุดไหนหนังของที่ดูเป็นงานCheap หรืองานลวกๆเลย ทุกอย่างถูกดีไซน์มาอย่างดี ทั้งการออกแบบงานสร้าง การบันทึกภาพ การตัดต่อ และอีกส่วนที่เสริมหนังขั้นสุด คือ ดนตรีประกอบ ที่ยิ่งฟังยิ่งขนลุก ยิ่งฟังแล้วยิ่งเร้าอารมณ์ และหลายท่อนถูกออกแบบมาให้เข้ากับหนังที่มีธีมเกี่ยวกับการทำอาหาร มีกลิ่นอายแบบเสียงเคาะของเครื่องครัว กลายเป็น Score ที่ทั้งเพิ่มอารมณ์ร่วมและสร้างเอกลักษณ์ให้กับหนังได้อย่างดีจริงๆและที่สำคัญที่สุด สิ่งที่ส่งให้ 'Hunger คนหิวเกมกระหาย' คือหนังต้องดูแห่งปี คือการแสดงของ ออกแบบ และพี่ปีเตอร์ ทุกฉาก (ย้ำว่า ทุกฉาก) ที่ทั้งสองคนปรากฏตัวร่วมกันบนจอ มันโคตรจะ Intense เต็มไปด้วยความตึงเครียด การส่งพลังการแสดงของทั้งคู่ เหมือนสงครามประสาทที่ทำเอาผู้ชมรู้สึกบีบอารมณ์ตามไปด้วย หรือแม้แต่ฉากเดี่ยวๆของทั้งคู่ ก็ยังยอดเยี่ยม ออกแบบ ทำให้ผู้ชมเข้าใจความรู้สึกอันซับซ้อนของตัวละคร ออย ได้ จากคนธรรมดาที่เริ่มเห็นภาพความเหลื่อมล้ำทางสังคม เหตุการณ์บางอย่างที่บีบบังคับให้เธอกระหายความเป็นคนพิเศษ จนถึงจุดที่เธอเริ่มเห็นว่า โลกของคนชั้นบนมันเป็นอย่างไร ออกแบบสามารถแสดงออกผ่านสีหน้าและอารมณ์ได้อย่างดี เธอสามารถตรึงคนดูให้อยู่กับตัวละคร ออย ได้ตลอดเวลาจริงๆ เสริมทัพด้วยการแสดงที่เป็นธรรมชาติสุดๆ ของทั้ง กรรณ สวัสดิวัตน์ ณ อยุธยา และ เอม ภูมิภัทร ยิ่งทำให้หนังสมบูรณ์แบบมากขึ้น(รายหลังนี่ ปรากฏตัวในหนังไทยเป็นเรื่องที่3ของปีนี้แล้ว ต่อจาก ขุนพันธ์ ๓ และ แสงกระสือ 2โดยรวม 'Hunger คนหิวเกมกระหาย'คือหนังไทยที่ทำให้คนดูยังศรัทธาและเชื่อมั่นว่า หนังไทยยังไปได้อีกไกล ยิ่งเรื่องนี้ลงใน Netflix และดูได้พร้อมกันกว่า 190 ประเทศทั่วโลก ยิ่งเป็นงานที่ไปฉายโชว์ให้คนข้างนอกดูได้อย่างน่าภูมิใจ (แต่ก็อับอายในประเด็นความเหลื่อมล้ำที่ชัดเจนเช่นกัน) แต่ก็น่าเสียดายที่จะไม่ได้ดูในโรงกัน เพราะงานโปรดักชั่นระดับนี้เหมาะกับการเข้าโรงมาก และถ้าเข้าโรงก็น่าจะกลายเป็นหนังตัวเต็งรางวัลในต้นปีหน้าได้แบบสบายๆ แต่ข้อดีของการดูผ่าน Netflix ที่บ้าน คือผู้ชมสามารถกด Pause เพื่อไปทำอาหารหรือสั่งอะไรมากินได้ เพราะหนังเรื่องนี้จะทำให้คุณน้ำลายไหลอย่างแน่นอน แม้แต่ข้าวผัดธรรมดาๆ หนังก็สามารถทำให้คนดูหิวได้ (อันนี้เรื่องจริงนะ เตรียมของกินรอไว้เลย)ชมตัวอย่าง Hunger คนหิวเกมกระหาย 8 เมษายนใน Netflix ทั่วโลกภาพ : Netflix Thailand

album

0
0.8
1