[REVIEW] ‘NOPE’ เหตุสยองจากบนฟ้า หนังผวาล่าสุดจาก จอร์แดน พีล | GOSSIP GUN

HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘NOPE’ เหตุสยองจากบนฟ้า หนังผวาล่าสุดจาก จอร์แดน พีล | GOSSIP GUN

17 ส.ค. 2022

หลายคนสะดุุดหนังเรื่อง NOPE ตั้งแต่ชื่อไทย ที่ทางค่ายยูไอพี ตั้งแบบตรงไปตรงมาตามชื่ออังกฤษว่า "ไม่" นำไปสู่ปริศนาที่ต้องตามต่อในหนังว่า คำว่าไม่ ในที่นี้หมายถึงอะไร และมันใช้ในบริบทไหนของหนังกันแน่ นี่คือโปรเจกต์หนังเขย่าขวัญเรื่องที่ 3 ของ จอร์แดน พีล อดีตนักแสดงตลกที่ผันตัวมาเป็นนักสร้างหนังในแนว Horror ที่ปังตั้งแต่โปรเจกต์แรกอย่าง Get Out ที่นอกจากจะกวาดเงินถล่มทลาย ยังทำให้เขาได้รางวัลออสการ์มาครองอีกด้วย ต่อด้วย Us ที่ทั้งชวนผวาและสร้างความเหวอได้ไม่แพ้กัน มาถึงโปรเจกต์ล่าสุดอย่าง NOPE ที่ในหนังเรื่องนี้ เขาผสมความเป็น Sci-Fi เข้าไปในหนัง และเป็นการกลับมาร่วมงานกันครั้งอีกครั้ง พีล และแดเนียล คาลูย่า พระเอกจาก Get Out ที่ตอนนี้กลายเป็นนักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์ไปแล้ว

คาลูย่า รับบท โอเจ ชายหนุ่มที่รับหน้าที่ดูแลคอกม้าต่อจากพ่อ หลังจากที่เขาเสียชีวิตด้วยเหตุการณ์สุดประหลาด เขากับน้องสาวที่บุคลิกต่างกันสุดขั้วอย่าง เอ็ม (รับบทโดย กีกี้ พาล์มเมอร์ จาก Hustlers) ต้องทำหน้าที่คอยฝึกม้า เพื่อไปใช้ในการถ่ายทำหนังหรือโฆษณา แต่แล้วเหตุการณ์สุดแปลกก็เกิดขึ้นต่อเนื่อง หลังจากพ่อของพวกเขาเสียชีวิต หลายครั้งที่ไฟฟ้าดับบริเวณบ้านกลางหุบเขาของพวกเขา ทุกอย่างที่เป็นของที่ใช้กระแสไฟฟ้า แม้แต่ รถยนต์ หรือมือถือก็ล้วนดับหมด แถมยังทำให้ม้าของพวกเขาผวากับบางอย่าง โอเจและเอ็ม เริ่มมองขึ้นไปบนฟ้า และสังเกตุเห็นว่า มีอะไรผิดปกติ โดยเฉพาะก้อนเมฆบางก้อน ที่ไม่เป็นอย่างที่ควรจะเป็น นำไปสู่เหตุการณ์สุดผวา ที่ไม่มีมนุษย์คนไหนเคยเผชิญมาก่อน

สิ่งที่ทำให้อยากดูและตั้งตารอคอยผลงานของ จอร์แดน พีล มากๆ ทุกครั้งที่เขาทำโปรเจกต์ใหม่ คือเอกลักษณ์ที่โดดเด่นและแตกต่างในหนังเขย่าขวัญแบบของเขา ไม่ว่าจะเป็นพล็อตที่ถูกเก็บซ่อนเอาไว้ นำไปสู่ความเหวอขั้นสุดในช่วงหลัง การแฝงด้วยประเด็นสังคมที่มากกว่าเส้นเรื่อง อาทิ เรื่องสีผิวใน Get Out เรื่องประเทศใน Us มาจนถึงเรื่องล่าสุด ที่หยิบเอาเรื่องระดับโลกมาแฝงไว้ บวกกับอารมณ์ขัน ที่ถูกสอดแทรกไว้ในหนังด้วยจังหวะที่แม่นยำ ต้องขอบคุณที่เขาเคยเป็นนักแสดงตลกมาก่อน ทำให้เขาทำหนังเขย่าขวัญออกมาได้ดี เพราะสิ่งที่คล้ายกันของหนังเบาสมองและหนังเขย่าขวัญ คือ จังหวะที่แม่นยำในการปล่อยของ และจำเป็นต้องหามุกใหม่มาเล่นเสมอๆ (อย่างในหนังผี ถ้าเรื่องไหน มีฉากหลอกผู้ชมใหม่ๆ และจังหวะผีหลอกเป๊ะ มักจะออกมาดีงาม) นั่นทำให้หนังของ พีล ดูเฟรชตลอด เหมือนกับดูหนังของ เอ็ม.ไนต์ ชยามาลาน ที่ทั้งตลกด้วยและสอดแทรกประเด็นเสียดสีหรือวิพากท์สังคมไว้ด้วย

การดู NOPE ถือเป็นประสบการณ์การดูหนังในโรงที่แปลกใหม่อีกครั้ง ด้วยสองปัจจัยสำคัญ คือทั้งในแง่ของการเล่าเรื่อง และภาพที่ปรากฏขึ้นบนจอ สิ่งที่หนังซ่อนเอาไว้ เต็มไปด้วยความแปลก ความประหลาด และชวนหวาดผวา พีลสามารถหยิบเอาสิ่งที่เราเห็นประจำ มาทวิสต์ให้เรารู้สึกหลอนกับสิ่งนั้นได้ ด้วยจังหวะการเล่าเรื่องที่เขาค่อยๆแย้มปริศนาที่ซ่อนอยู่ทีละนิดๆ จนกระทั่งสาดใส่ผู้ชมและตัวละครในเรื่องอย่างแรงในช่วงหลัง การดู NOPE ในโรง ทำให้ผู้ชมถูกตรึงไว้กับหนังได้อย่างดี บวกกับสิ่งที่ปรากฏบนจออย่างที่เอ่ยไป บางสิ่งที่หนังซ่อนเอาไว้ มันเหมาะที่จะถูกชมบนจอขนาดใหญ่มากๆ (ยิ่งโรง IMAXยิ่งเพิ่มอรรถรส) แม้มันจะไม่ใช่หนังแอ็กชันโปรดักชั่นใหญ่โต แบบที่ชอบฉายในระบบ IMAX แต่ "บางอย่าง" ในหนัง ยิ่งดูบนจอใหญ่ ยิ่งได้อารมณ์ขึ้นจริงๆ จนทำให้ NOPE น่าจะเป็นอีกหนึ่ง Cinema Experience สำหรับผู้ชมไม่มากก็น้อย

 

เมื่อเทียบกับผลงานสองเรื่องก่อนของ จอร์แดน พีล ต้องถือว่า NOPE เล่าในสเกลหนังที่ใหญ่โตกว่าเดิมมาก และค่อนข้างดูง่ายกว่าทั้ง Get Out และ Us แต่มันก็ยังไม่ทิ้งเอกลักษณ์ที่ชัดเจนของผู้กำกับ หนังยังทำให้ผู้ชมเหวอ และหวาดผวากับพล็อตได้เช่นเดิม บวกกับจังหวะหลอนและจังหวะอารมณ์ขันที่ค่อนข้างถูกเป๊ะ พร้อมกับหลากหลายประเด็นที่ซุกซ่อนไว้ในหนัง ซึ่งไม่จำเป็นต้องคิดต่อก็ได้ แต่ถ้าพอจะสังเกตุก็นึกถึงสิ่งที่ผู้กำกับอยากสื่อได้อย่างสนุกสนาน ไม่ได้ชวนปวดหัวแบบหนังเชิงสัญลักษณ์บางเรื่อง เพราะท้ายที่สุด มันก็ยังเป็นหนังเขย่าขวัญซัมเมอร์ ที่พร้อมให้ผู้ชมทุกกลุ่มดูได้ และเปิดประสบการณ์แปลกใหม่ในการดูหนังได้ เช่นเดิม นี่คืออีกงานที่พิสูจน์ว่า ความสำเร็จของ Get Out ไม่ใช่เพราะความบังเอิญ พีล ตอกย้ำว่า เขาคือผู้กำกับที่น่าจับตามอง ในฐานะผู้กำกับที่มีเอกลักษณ์ชัดเจน หลังจากนี้ไม่ว่าจะทำอะไร ก็มีแฟนหนังชุดใหญ่พร้อมที่จะรอดูอยู่แล้ว

 

NOPE เข้าฉาย 18 กรกฎาคมในโรงภาพยนตร์ ชมตัวอย่าง : 

 

ภาพ : UIP Thailand

related HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘John Wick : Chapter 4’ มหากาพย์โลกนักฆ่า ดันบาร์ฉากแอ็กชันสูงลิบ | GOSSIP GUN

24 มี.ค. 2023

[REVIEW] ‘John Wick : Chapter 4’ มหากาพย์โลกนักฆ่า ดันบาร์ฉากแอ็กชันสูงลิบ | GOSSIP GUN

จักรวาลของหนังนักฆ่าไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปตั้งแต่มี John Wick หนังแอ็กชันแฟรนไชส์นี้ สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับหนังประเภทนี้อยู่เรื่อยๆ นับตั้งแต่โลกได้รู้จักหนังเรื่องนี้ครั้งแรกในปี 2014 เรื่องราวของนักฆ่าที่วางมือไปแล้ว แต่กลับต้องมาจับปืนอีกครั้ง เพื่อล้างแค้นให้กับสุนัขที่เขารักยิ่งชีพ (เพราะมันคือตัวแทนของภรรยาที่เสียไปแล้ว) จากปมเล็กๆ หนังค่อยๆขยายจักรวาลของนักฆ่าให้ใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ ด้วยการวางกฏเกณฑ์ วางแบบแผนให้โลกนักฆ่าในหนัง John Wick ดูมีสไตล์ มีรสนิยม ผสมกับฉากต่อสู้อันดุเดือดเลือดพล่าน จากการสั่งสมวิชาของ แชด สตาร์เฮลสกี้ ผู้กำกับหนังที่เติบโตมาจากการเป็นสตันท์ (เขาเคยเล่นเป็นสตันท์ให้ คีอานู รีฟส์มาแล้วใน The Matrix) ทำให้เมื่อแฟรนไชส์นี้ ดำเนินไป มันยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ กวาดคำชมมากขึ้นเรื่อยๆ และทำเงินมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกับ John Wick : Chapter 4 ที่ยังไม่ทันฉายก็คว้าคะแนนบวกจากRotten Tomatoes ไปถึง 93% แล้ว สูงสุดในบรรดาหนังทั้ง 4 ภาค เช่นเดียวกับรายได้ที่ถูกคาดหมายไว้แล้วว่า นี่คงจะเป็นภาคที่เปิดตัวแรงสุดเท่าที่จักรวาล John Wick เคยมีมาใน John Wick : Chapter 4 เส้นทางชีวิตของ จอห์น เดินทางมาถึงจุดสำคัญ เมื่อเขาถูกอัปเปหิออกจากโลกของนักฆ่า เขาไม่มีสังกัด ไม่มีใครสามารถช่วยเขาได้ และค่าหัวเขาค่อยๆเพิ่มขึ้นในระดับที่คาดไม่ถึง ภาคนี้ จอห์น ต้องเผชิญหน้ากับ อดีตมิตรที่ด้วยเหตุผลบางอย่าง วันนี้เขากลายเป็นศัตรู อย่าง เคน (รับบทโดย ดอนนี่ เยน จาก Ip Man) นักฆ่าตาบอดที่ฝีมือเก่งกาจ เขาต้องเด็ดหัวจอห์น จากคำสั่งของ มาร์คีย์ (รับบทโดย บิลล์ สการ์การ์ด จาก It) สมาชิกระดับสูงของสภาที่ต้องการจบทุกปัญหา เขามาพร้อมกับอำนาจล้นมือ ที่สั่งการให้ยุบทุกโรงแรมที่ให้จอห์นพักพิง สังหารทุกคนที่ช่วยให้จอห์นหลบหนี ทางเดียวที่จอห์นจะรอดพ้นจากการตามล่าครั้งนี้ได้ คือการท้าดวล แบบหนึ่งต่อหนึ่ง ซึ่งต้องแลกด้วยชีวิต ถ้าชนะ จอห์นจะรอดพ้นจากทุกคำสั่งตามล่า ไม่ว่าใครที่แพ้ คนนั้นจะมีจุดจบเดียวคือความตายคงจะไม่เกินจริงนัก ถ้าจะกล่าวว่า John Wick : Chapter 4 คือภาคที่เด็ดสุดและเดือดสุดเท่าที่เคยมีมา ด้วยเส้นเรื่องที่ตึงเครียดยิ่งกว่าทุกภาค ผนวกกับฉากแอ็กชันที่ระดับเวิร์ลคลาส อาจกล่าวได้ว่า John Wick : Chapter 4 คือหนังที่ดันบาร์ความเจ๋งของฉากต่อสู้ขึ้นไปในอีกระดับ ผู้สร้างรู้ดีว่าจุดเด่นของหนังตระกูลนี้คืออะไร ดังนั้น หนังจึงจัดให้ผู้ชมแบบเต็มสูบ หลังจากดูมา 3 ภาคแล้วอาจจะสงสัยว่า ผู้สร้างหมดมุกกับฉากบู๊แล้วหรือยัง แต่ปรากฏว่า หนังยังคงงัดอะไรใหม่ๆออกมาให้ผู้ชมได้อย่างต่อเนื่อง เริ่มจากฉากใหญ่ในญี่ปุ่น ต่อเนื่องมาถึงอิตาลี และปิดท้ายที่ฝรั่งเศส หนังสามารถส่งฉากแอ็กชันขั้นเทพออกมาได้อย่างต่อเนื่อง และไต่ระดับความเดือดได้มากขึ้นเรื่อยๆ จนอยากจะลุกขึ้นปรบมือให้กับ การออกแบบคิวบู๊ ซึ่งนี่น่าจะเป็นหนังที่ออกแบบคิวบู๊ได้ยอดเยี่ยมที่สุดในรอบทศวรรษเลยก็ว่าได้สิ่งที่ทำให้ฉากแอ็กชันใน John Wick : Chapter 4 เหนือกว่าหนังเรื่องไหน จนหลายเสียงพร้อมยกให้เป็นหนังแอ็กชันที่เดือดสุดในรอบหลายปี คือการผสมผสานกันอย่างลงตัวของ Choreographer การออกแบบคิวบู๊ที่ไหลลื่นแบบนันสต็อป ซึ่งทุกท่วงท่าถูกนำเสนออย่างหนักแน่น ดุดัน และรุนแรงเต็มสูบแบบไม่ยั้งอะไรทั้งนั้น ทั้งหมดถูกจัดวางลงในฉากต่างๆที่เต็มไปด้วยลูกเล่นแบบใหม่ แค่เฉพาะฉากในกรุงปารีส ก็สดใหม่ไม่ซ้ำแล้ว ทั้งฉากต่อสู้รอบๆประตูชัยที่มีรถจำนวนมากเข้ามาเกี่ยวข้อง ฉากในอาคารที่ถ่ายทำแบบ Bird's Eye View บวกกับ Long Take และไฮไลต์จริงๆคือ ฉากบันได ที่นำเสนอแบบเต็มไปด้วยไอเดียและอารมณ์ขัน ผสมผสานกับการจัดแสงแบบจัดจ้าน ทุกฉากจึงออกมาตื่นตาและตรึงอารมณ์ กลายเป็นหนังแอ็กชันที่เต็มไปด้วยฉากจำมากมายแน่นอนว่า คีอานู รีฟส์ ยังคงโดดเด่นในบท จอห์น วิค เขายกระดับตัวเองด้วยการแสดงฉากต่อสู้แบบหินๆมากมาย สมาชิกเก่าอย่าง เอียน แมคเชน และลอว์เรนซ์ ฟิชเบิร์น ยังคงเป็นสีสันสำคัญให้กับหนัง แต่ไฮไลต์จริงๆ น่าจะต้องยกให้สมาชิกใหม่อย่าง ดอนนี่ เยน ซึ่งหนังสร้างคาแรคเตอร์เขาออกมาได้อย่างมีมิติ และทุกฉากบู๊ที่เขาเข้าไปมีส่วนร่วมนั้น ล้วนเต็มไปด้วยพลัง ดอนนี่เพิ่มความเจ๋งให้ซีนนั้นๆ ทุกครั้งที่เขาปรากฏตัว สามารถตรึงคนดูได้ตลอด และตัวร้ายหลักภาคนี้อย่าง บิล สการ์การ์ด การแสดง สายตาและน้ำเสียงอันเยือกเย็น แผ่รังสีอำมหิตและความน่าเกรงขาม มาได้แบบเต็มๆตั้งแต่ซีนแรก เรารู้ทันทีว่าตัวละครนี้ไร้ความปราณี และไม่มีทางใจอ่อนต่อคนรอบข้างอย่างแน่นอน นี่คือคู่ปรับที่อันตรายของ จอห์น วิค ถือเป็นตัวร้ายที่ทำให้หนังยิ่งเข้มข้นขึ้นไปอีกJohn Wick : Chapter 4 คือหนังแอ็กชันที่มาเพื่อยกระดับหนังแอ็กชันอย่างแท้จริงๆ หนังอัดแน่นไปด้วยฉากการต่อสู้แบบเทพๆ ที่มาแบบนันสต็อป แต่ละฉากลากยาวแบบจบฉากนั้น คนดูต้องเหนื่อยกันบ้าง นอกจากนี้เส้นเรื่องยังช่วยเพิ่มอารมณ์ความเข้มข้นให้ทุกฉาก ดูจริงจัง ดูบีบอารมณ์ขึ้นไปอีก ผสมผสานกับสไตล์ด้านภาพและเพลงที่ทำให้ John Wick คือหนังแอ็กชันที่มีรสนิยม โรยนิดๆด้วยอารมณ์ขันแบบตลกหน้าตาย ซึ่งเป็นรสชาติที่ขาดไม่ได้ของหนังชุดนี้ และด้วยความยาวมากกว่า 2 ชั่วโมง 40 นาที ทำให้หนังภาคนี้ มีความเป็นหนัง เอพิค ค่อนข้างสูง ดังนั้น นี่คือหนังแอ็กชันที่รับประกันว่าคุ้มค่าตั๋วอย่างแน่นอน ใครที่กำลังจะไปชม ขอแนะนำว่าเข้าห้องน้ำให้พร้อม เพราะหลัง End-Credit ยังมีฉากแถมอีก 1 ฉากที่คุณไม่ควรพลาดอีกด้วยภาพ : Mongkol Major Mongkol CinemaJohn Wick : Chapter 4 แรงกว่านรก วันนี้ในโรงภาพยนตร์ทุกระบบ

[REVIEW EXCLUSIVE] : จอร์จ คลูนีย์ x จูเลีย โรเบิร์ต นำทีม "Ticket To Paradise” เผยเบื้องลึกก่อนตีตั๋วรักสู่หนังรอมคอมแห่งปีที่ไม่ควรพลาด ! | GOSSIP GUN

05 ต.ค. 2022

[REVIEW EXCLUSIVE] : จอร์จ คลูนีย์ x จูเลีย โรเบิร์ต นำทีม "Ticket To Paradise” เผยเบื้องลึกก่อนตีตั๋วรักสู่หนังรอมคอมแห่งปีที่ไม่ควรพลาด ! | GOSSIP GUN

นานแค่ไหนแล้วที่เราไม่ได้ดูหนังโรแมนติกคอเมดี้ที่ยิ้มไม่หุบตลอดทั้งเรื่อง ยังจำเสียงหัวเราะตอนที่ดู Four Weddings and a Funeral ได้หรือไม่ ยังจำความสุขตอนที่ดู Notting Hill ได้หรือเปล่า และยังจำความอิ่มเอมหัวใจพองโตตอนที่ดู Love Actually กันได้ใช่ไหม ? ดูเหมือนว่าหนังรอมคอมจะห่างหายจากโรงภาพยนตร์ไปพักใหญ่หลายต่อหลายปีที่ผ่านมา และนี่คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้ ยูนิเวอร์แซล มอบความสุขที่ห่างหายไปให้กับผู้ชมทั่วโลกอีกครั้งกับ “Ticket To Paradise” (ตั๋วรักสู่พาราไดซ์) นี่ไม่ใช่แค่การกลับมาของหนังรักเบาสมองแบบที่พวกเราคุ้นเคยและโหยหาเท่านั้น แต่ยังเป็นการกลับมาเจอกันอีกครั้งบนหน้าจอ ของพระเอกเสน่ห์เหลือล้นแห่งยุคอย่าง "จอร์จ คลูนีย์" และราชินีแห่งหนังรักอย่าง "จูเลีย โรเบิร์ต" ซึ่งพิสูจน์กันมาแล้วว่า เคมีของทั้งคู่ช่างเข้าขากันดีเหลือเกินก่อนที่จะได้ชม Ticket To Paradise กันในโรงภาพยนตร์ เราขอพาทุกคนไปพูดคุยกับ ซูเปอร์สตาร์แห่งยุค อย่าง จอร์จ คลูนีย์ และจูเลีย โรเบิร์ต ที่นำทีมนักแสดงและผู้กำกับ จากหนังโรแมนติกเบาสมองแห่งปี มารวมตัวกันที่รอบปฐมทัศน์ในกรุงลอนดอน ซึ่งในโอกาสนี้พวกเขาทั้งหมด ได้เข้าร่วมงาน Press Conference พร้อมกับสื่อมวลชนจากทั่วโลกผ่านทางออนไลน์ และในโอกาสนี้ ทาง EFM94 และเพจ Hollywood GossipGun ก็ได้รับโอกาสพิเศษในการเข้าร่วมด้วย ทำไมเราทุกคนถึงไม่ควรพลาด Ticket To Paradise หนังเรื่องนี้จะมอบความสุขให้ผู้ชมได้ขนาดไหน เราขอพาทุกท่านไปหาคำตอบพร้อมๆกัน“หนังเรื่องนี้ถูกเขียนบทขึ้นมาเพื่อจอร์จ และจูเลียโดยเฉพาะ” - โอล ปาร์กเกอร์ ผู้กำกับ Ticket To Paradise เล่าถึงไอเดียแรกเริ่มของหนัง เขาเขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้ โดยมี จอร์จ คลูนีย์ และ จูเลีย โรเบิร์ต อยู่ในหัวตั้งแต่วันแรก และโปรเจกต์นี้คงกลายเป็นอากาศธาตุถ้านักแสดงระดับโลกทั้งสองคนปฏิเสธที่จะรับบทนำ แต่ โอลและแฟนหนังโรแมนติกคอเมดี้ทั่วโลกโชคดี เพราะทั้งสองต่างตอบรับ โอลเล่าต่อว่า - “ผมเขียนบทเพื่อจอร์จ และจูเลียโดยเฉพาะ ถ้าพวกเขาไม่รับเล่น พวกเราคงไม่ได้มานั่งอยู่ตรงนี้ สองบทบาทนี้สำหรับพวกคุณเท่านั้น (โอลหันไปหา จอร์จและจูเลีย) ผมเขียนบทเพื่อพวกคุณ ติดต่อไปยังพวกคุณ และภาวนาให้พวกคุณรับแสดงในหนังเรื่องนี้”ย้อนกลับไป จอร์จ คลูนีย์ และจูเลีย โรเบิร์ต พบกันครั้งแรกในกองถ่าย Ocean's Eleven เมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว หลังจากนั้นทั้งสองก็กลายเป็นเพื่อนสนิทกันในทันที จอร์จเล่าให้ฟังว่า เขานั่งอยู่ที่พื้นโรงแรมและเล่นมุกกันเกือบ 5 ชั่วโมง นั่นคือจุดเริ่มต้นความสนิทสนมของทั้งสอง - “สำหรับพวกเรามันง่ายเสมอ ตอนที่ผมได้บทภาพยนตร์ Ticket To Paradise จำได้ว่าโอลส่งให้ทั้งผมและจูเลียพร้อมๆกัน ผมโทรหาจูเลียถามว่า คุณอ่านบทหนังหรือยัง เธอกำลังอ่านอยู่เลย ผมบอกไปว่าผมจะเล่นถ้าคุณเล่น จูเลียก็พูดแบบเดียวกัน โชคดีที่พวกเราใจตรงกัน” - จอร์จเล่าต่อว่า มันสนุกที่ได้ทำงานกับเพื่อน ที่ได้ทำงานกับจูเลีย หลังจากการแสดงหนังด้วยกันครั้งแรก ทั้งสองได้ร่วมงานกันอีกครั้งในภาคต่อ Ocean's Twelve และในหนังระทึกขวัญMoney Monster แต่ใครจะเชื่อว่าทั้งสองคน ยังไม่เคยเล่นหนังโรแมนติกคอเมดี้ด้วยกันมาก่อนใน Ticket To Paradise จอร์จ คลูนีย์ และจูเลีย โรเบิร์ต รับบทเป็น เดวิด และจอร์เจีย อดีตสามีภรรยาที่กลายความสัมพันธ์จากคู่รัก ไปเป็นคู่แค้น หลังหย่าร้างทั้งคู่แทบไม่เคยพูดจาดีๆ แทบไม่เคยมองหน้ากัน แม้แต่อยู่ในห้องเดียวกันยังเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แต่แล้วภารกิจที่ทำให้ทั้งสองต้องจับมือกันก็เกิดขึ้น เมื่อ ลิลลี่ ลูกสาวที่เพิ่งเรียนจบของพวกเขา ไปพบรักหนุ่มอินโดนีเซีย หลังเดินทางไปพักผ่อนที่บาหลี และทั้งสองตัดสินใจที่จะแต่งงานกัน ทันทีที่ เดวิดและจอร์เจีย ทราบข่าว ทั้งคู่จึงรีบซื้อตั๋วบินสู่เกาะบาหลี แต่ไม่ใช่เพื่อแสดงความยินดีกับลูก เป้าหมายของพวกเขา คือการล่มงานวิวาห์ครั้งนี้ให้ได้ เพื่อให้ ลิลลี่ ไม่ทำผิดพลาดในความรัก แบบที่ทั้งคู่เคยเผชิญ และพาเหรดแห่งความอลหม่านก็ได้เริ่มต้นขึ้น ณ ตรงนี้“แค่ได้มีโอกาสต่อปากต่อคำกับจอร์จ ฉันก็พร้อมโดดเข้าร่วมในหนังแล้ว” - จูเลีย โรเบิร์ต เล่าถึงเหตุผลที่เธอตัดสินใจตอบตกลง กลับมาเล่นหนังรอมคอมทันทีที่อ่านบทจบ หลังจากห่างหายไปนานกว่าทศวรรษ เพื่อไปเล่นหนังแนวอื่นๆ เธอเล่าว่าแค่การที่จะได้เห็น จอร์จ คลูนีย์ ตกหลุมรักเธอแบบหัวปักหัวปำมันก็น่าสนุกเต็มทีแล้ว จูเลียเผยถึงความสัมพันธ์ระหว่างสองตัวละครว่า - “แม้ในหนังจอร์จ จะตกหลุมรักฉันอย่างหนัก แต่ฉันไม่รักเขาแล้ว และเขาพยายามใช้โอกาสนี้ที่ลูกสาวของพวกเราจะแต่งงาน เพื่อหาโอกาสกลับมาคืนดีกับเธอ..” - ไม่ทันที่ จูเลีย จะพูดจบ จอร์จก็พยายามพูดแทรกเข้ามาทันที แทบจะไม่ต่างจากบทอดีตผัวเมียคู่นี้ในจอเลย นี่คือการพิสูจน์ให้เห็นว่า นอกจอพวกเขาทั้งสนิทและสนุกกันเพียงใด ในจอก็เป็นเช่นกัน และก่อนที่จูเลียจะพูดจบ จอร์จก็ป้อนคำหวานว่า - “สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผม คือโอกาสที่จะได้เล่นหนังกับราชินีแห่งซิตคอม ราชินีแห่งหนังโรแมนติกเบาสมอง”- นั่นสิ จะพลาดโอกาสนี้ไปได้อย่างไร ?ขนาด จอร์จ และจูเลีย ยังไม่อยากพลาดโอกาสที่จะได้ร่วมงานกันเอง แล้วทีมนักแสดงคนอื่นๆ จะพลาดได้ไง สาวน้อยที่โชคดีที่สุดคือ เคทลิน เดเวอร์ นักแสดงสาวที่แจ้งเกิดจาก Booksmart และได้ชิงรางวัล Golden Globes จากมินิซีรีส์Unbelievable เล่าถึงโอกาสแห่งชีวิต ที่เธอได้รับเลือกให้แสดงบท ลิลลี่ ลูกสาวของ จอร์จและจูเลียในหนัง เธอเล่าว่าเหตุผลสำคัญ ที่ตัดสินใจเล่นบทนี้ แน่นอนว่ามันคือการได้เล่นเป็นลูกของ จอร์จและจูเลีย นอกจากนี้เธอเล่าต่อว่า - “ฉันไม่เคยเล่นหนังรอมคอมมาก่อน เลยอยากลองบทที่แตกต่าง และแน่นอนว่าฉันจะได้ทำงานกับเพื่อนสนิท ฉันมีความสุขมากๆระหว่างถ่ายทำหนังเรื่องนี้ มันเยี่ยมมากเลย” - เพื่อนสนิทที่ว่านี้ เคทลินหมายถึง บิลลี่ ลอร์ด นักแสดงรุ่นพี่ที่เคยร่วมงานกันมาแล้วในBooksmart ซึ่งทั้งสองกลับมาร่วมงานกันอีกครั้งในTicket To Paradise แถมยังแสดงเป็นเพื่อนสนิทกันอีกด้วย เคทลินบอกว่า การได้ร่วมงานกับเพื่อนสนิท ทำให้ทุกอย่างมันง่ายขึ้นมาก และแค่โอกาสที่ได้รู้จัก จอร์จและจูเลีย มันก็วิเศษมากๆแล้วนอกจาก จอร์จ-จูเลีย และเหล่าบรรดาสาวๆบนเกาะสวรรค์แห่งนี้แล้ว สองนักแสดงหนุ่มที่เข้ามามีบทบาทสำคัญ เพิ่มความสนุกให้กับ Ticket To Paradise คนแรกคือ แม็กซิม บูเทียร์ นักแสดงและนักดนตรีหนุ่มสุดหล่ชาวอินโดนีเซีย ที่เข้ามารับบท เจด หนุ่มท้องถิ่นที่ ลิลลี่ ลูกสาวของ จอร์จและจูเลีย ตกหลุมรัก แม็กซิม เล่าถึงตัวละครของเขาว่า - “เขามาจากบาหลี เขาเพาะสาหร่ายริมทะเลเป็นอาชีพ เขาเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติรอบๆตัวเขา เขาเหมือนจะเป็นเจ้าชายรูปงามเลยละ” (เพื่อนๆนักแสดงต่างแซวว่า เขาเป็นเจ้าชายแบบออร์แกนิคเลยละ เพราะปลูกสาหร่าย) – เมื่อถูกถามว่า รู้สึกอย่างไรบ้าง ที่ได้แสดงเป็นลูกเขยของ จอร์จ คลูนีย์ และจูเลีย โรเบิร์ต แมกซีนเล่าทันทีว่า ตอนที่เขารับโทรศัพท์ แล้วปลายสายบอกว่าคุณได้เล่นบทนี้นะ เขานี่ตัวแทบลอย การที่ได้ร่วมงานกับจอร์จ มีหลายฉากที่ต้องเล่นด้วยกัน แม็กซิมรู้สึกขอบคุณมากๆที่ได้รับโอกาสนั้น มันเป็นประสบการณ์ที่บ้ามากๆเลยปัญหาที่ จอร์จ คลูนีย์ ต้องเผชิญบนเกาะสวรรค์แห่งนี้ ไม่ใช่แค่การหยุดลูกสาวจากงานวิวาห์ที่เขาไม่เห็นด้วยเท่านั้น แต่ยังมีการที่เขาต้องเห็นอดีตคนรักไปมีแฟนใหม่ ที่ทั้งหนุ่ม ทั้งแซ่บยิ่งกว่า เมื่อตัวละครจอร์เจีย กำลังอินเลิฟกับ พอล นักบินหนุ่มซึ่งรับบทโดย ลูคัส บราโว่ หนุ่มหล่อจาก Emily In Paris ซึ่งเมื่อพอลรู้ว่า จอร์เจีย กำลังจะบินไปหาลูกที่บาหลี เขาเลยตัดสินใจแลกเที่ยวบิน เพื่อมาบินในไฟลต์นี้ และเซอร์ไพรสแฟนสาวรุ่นใหญ่ด้วย ลูคัสเล่าถึงตัวละครเขาว่า - “ความน่าสนใจของตัวละครพอล คือเขาแทบจะไม่เคยเจอปัญหาปวดใจมาก่อน เป็นคนใสซื่อบริสุทธิ์มากๆ เขาเหมือนเด็กอายุ 14 ปี ติดอยู่ในร่างชายวัย 30 ซึ่งผู้กำกับ (โอล ปาร์กเกอร์) เปิดโอกาสให้ผมได้อิมโพรไวซ์ ได้ลองแสดงหลายๆแบบ แล้วจอร์จกับจูเลียก็เล่นตาม มันน่าสนใจมาก”แม้จะได้เล่นหนังเป็นคนรักของ จูเลีย โรเบิร์ต แต่ลูคัสเผยว่า ตอนแรกที่เล่นบทนี้ มันไม่ได้สบายเลย และเขาได้เล่าถึงฉากที่ประหม่าอย่างมาก - “อย่างฉากจูบบนเครื่องบิน ผมแทบไม่เชื่อตัวเองว่าจะได้จูบกับจูเลีย พวกเราขำกันไม่หยุด ผู้กำกับก็เลยบอกว่า จูบใหม่สิ..” ทันใดนั้น ระหว่างที่พูดคุยกันอยู่ จอร์จ คลูนีย์ ก็แซวขึ้นมาทันทีว่า จูเลียนั่นแหละที่อยากจูบอีก ด้านจูเลียแซวตัวเองต่อไปอีกว่า มันอยู่ในสัญญาของเธอเลยนะ นี่คือตัวอย่างความสนุกที่ล้นออกมาจากในจอสู่นอกจอ พวกเขาสนิทกันจริงๆในชีวิตจริง ทั้งจอร์จและจูเลียต่างเอ็นดูลูคัสมาก เขาบอกว่าทั้งสองพยายามเปิดทางให้เขาได้ซีนเสมอ - “มันเป็นความรู้สึกที่ประหลาดมาก หลังจากที่ผมได้ดูหนังเต็มๆเมื่อคืน ผมเริ่มตระหนักได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ผมไม่ได้บอกพ่อแม่ด้วย แต่พุ่งไปยังกองถ่ายเลย ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วแค่พริบตา เมื่อวานผมเพิ่งมานั่งคิดจริงจังว่า เกิดอะไรขึ้นกับผมเนี่ย” - ยังไม่ทันจะพูดจบ จอร์จ คลูนีย์ ก็แซวขึ้นมาอีกแล้ว – “ลูคัสเพิ่งอายุ 5 ขวบเอง ตอนที่ Notting Hill ฉาย เขาตั้งตารอจะมาเจอคุณตั้งแต่ตอนนั้นแล้วละ” เชื่อแล้วว่าสนิทกันจริงๆทีมนักแสดงทั้งหมด บินไปยังออสเตรเลีย เพื่อถ่ายทำ Ticket To Paradise แทนที่จะเป็นเกาะบาหลี เพราะตอนที่หนังเปิดกล้อง อินโดนีเซีย ยังคงมีมาตรการด้านโควิด-19 ที่ยังรัดกุมทำให้ถ่ายทำไม่ได้ แต่ท้ายที่สุดทีมงานก็สามารถเก็บภาพบรรยากาศของบาหลีมาใช้จริงๆได้ในเวลาต่อมา นี่คือการถ่ายทำหนังที่เหล่านักแสดงต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่มีวันไหนที่พวกเขาไม่มีความสุขเลย และทั้งหมดต้องขอบคุณทีมงานและผู้กำกับ โอล ปาร์กเกอร์ จูเลีย โรเบิร์ต เผยว่า - “โอล เขาทั้งตลก ทั้งมีความมั่นใจ กล้าหาญ เขารู้จักตัวตนนักแสดงแต่ละคน แล้วค่อยๆปรับให้เข้ากับหนัง” -ในขณะที่ จอร์จ กล่าวเสริมว่า พวกเขาต่างโชคดี โอลเขียนบทภาพยนตร์ที่งดงามออกมา แล้วก็ได้พวกเรามาแสดง เขาต้องหาวิธีในการคุมพวกเราให้อยู่ ตลอดเวลาการถ่ายทำมันสนุกมาก เขาทั้งสุภาพ และนิสัยดี พวกเราแทบจะไม่มีวันแย่ๆในกองถ่ายเลย ซึ่งมันหายากมาก“ทั้งฉันและจอร์จต่างรู้สึกภาคภูมิใจเมื่อทำให้ผู้ชมหัวเราะได้ ฉันดีใจมากทุกครั้งที่ได้ทำอะไรบางอย่างแล้วได้ยินเสียงหัวเราะในกองถ่าย ทีมงานขำอยู่หลังมอนิเตอร์” - จูเลีย โรเบิร์ต กล่าวถึงการที่เธอและเพื่อนสนิทอย่าง จอร์จ ได้มอบความสุขให้กับทุกคนในกองถ่าย และความสุขเหล่านั้น กำลังจะส่งต่อไปยังผู้ชมทั่วโลก หลังจากที่พวกเราผ่านช่วงเวลาอันยากลำบาก ของการระบาดโควิด-19 นี่คือช่วงเวลาแห่งความสุขที่กำลังกลับคืนมา พวกเราห่างหายจากการหัวเราะดังๆพร้อมกันในโรงภาพยนตร์มานานแค่ไหนแล้ว พวกเราห่างหายจากการเสียน้ำตาในโรงภาพยนตร์มานานแค่ไหนกัน Ticket To Paradise คือตั๋วสู่ความอิ่มเอมที่พวกเราคุ้นเคย นี่คือโอกาสสำคัญที่จะได้ดูหนังโรแมนติกเบาสมอง แบบที่ทุกคนชื่นชอบอีกครั้ง ตั๋วรักสู่พาราไดซ์ 6 ตุลาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์เท่านั้นภาพ : Universal Pictures

[REVIEW] “The Unbearable Weight of Massive Talent” ป่วนเกินต้านและกินใจเกินคาด คนรักหนังต้องดู! | GOSSIP GUN

18 พ.ค. 2022

[REVIEW] “The Unbearable Weight of Massive Talent” ป่วนเกินต้านและกินใจเกินคาด คนรักหนังต้องดู! | GOSSIP GUN

นี่คือหนังตลกไอเดียสุดล้ำที่ให้ดาราฮอลลีวูดเล่นเป็นตัวเอง นี่คือจดหมายรักที่คนรักหนังเขียนเพื่อบอกรักการมีอยู่ของศิลปะภาพยนตร์ นี่คือหนังแอ็กชันวายป่วงที่ใครๆก็สามารถเอ็นจอยกับมันได้The Unbearable Weight of Massive Talentคือหนังที่มีองค์ประกอบหลายอย่างเพื่อผู้ชมต่างกลุ่มกันไป มันเริ่มต้นด้วยไอเดียสุดแหวก ที่ได้นักแสดงระดับตำนานอย่าง"นิโคลัส เคจ"มาเล่นเป็นตัวเอง ซึ่งไอเดียที่ว่านี้ มันก็ปรากฏในหนังฮอลลีวูดบ้าง(อาทิ จูเลีย โรเบิร์ต เล่นเป็นตัวเองแบบแว้บๆ ใน Ocean's Twelve)แต่ไม่เคยมีเรื่องไหน เอามาขยายใหญ่ใส่มุกไม่ยั้งแบบเรื่องนี้ จนสามารถเรียกได้ว่า"เคจกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว"และหนังก็สร้างความไฮป์ด้วยการฉายรอบปฐมทัศน์ในเทศกาลหนังSXSWและกวาดคคะแนน100%ในเว็บมะเขือเน่า(แม้ตอนหลังคะแนนจะลดลงนิดหน่อยก็ตาม) แม้จะแสดงเป็นตัวเอง แต่"นิโคลัส เคจ"ก็ให้สัมภาษณ์ว่า นิค เคจ ฉบับในหนังไม่ได้เหมือนตัวจริงหนัก ในหนังเขาคือดาราที่สิ้นหวังกับอาชีพนักแสดง เพราะตกอับขีดสุด แต่ในชีวิตจริงเขายังคงรักและอินเลิฟกับการแสดงหนัง และด้วย นิคเคจในเรื่องมีหนี้สินมากมาย แถมไม่มีงานใหม่เข้ามา ผู้จัดการเลยเสนองานสุดแปลกให้เขา ด้วยการไปร่วมงานวันเกิดเสี่ยใหญ่ไฮโซ ซึ่งเป็นแฟนเบอร์หนึ่งของ นิคเคจ ด้วยค่าตัวสุดแพง1ล้านเหรียญฯ แน่นอนว่า นิคเคจไม่มีทางเลือกนอกจากบินไปสเปนเพื่อร่วมงานดังกล่าว แต่แล้วทริปสุดชิลล์ก็กลายเป็นภารกิจสุดอันตราย เมื่อซีเอไอ บังคับให้ นิคเคจ ต้องเป็นสายลับให้พวกเขา เนื่องจากเสี่ยใหญ่คนนี้ดันเป็นพ่อค้าอาวุธระดับโลกที่หน่วยงานต่างๆ ต้องการตัว พี่เคจเลยต้องงัดสกิลสายลับจากหนังต่างๆ มาเพื่อปฏิบัติการลับสุดป่วนนี้! ความสนุกที่สุดของMassive Talentคือการรวมฮิต"นิค เคจ"เพราะมันเป็นเรื่องของนักแสดงที่ต้องไปเจอกับแฟนคลับ ดังนั้นผลงานเก่าๆของเขา ก็จะถูกกล่าวถึง พูดถึง นำมาแซว นำมาขยี้ เต็มไปหมด ไล่ตั้งแต่หนังยุค80sอย่างMoonstruckต่อเนื่องด้วยหนังบล็อกบัสเตอร์ยุค90sถึงต้น2000sอย่างเซ็ตThe Rock, Face/Off, Con Airมาจนถึงผลงานยุคหลังๆที่กลายเป็นหนังคัลต์อย่างMandyทั้งหมดถูกแทรกไว้อย่างแพรวพราว ราวกับจักรวาลมาร์เวลฉบับ นิค เคจ หนังเต็มไปด้วยEaster-Eggมากมาย หนังบางเรื่องถูกกล่าวถึง หนังบางเรื่องถูกถ่ายทอดเลียนแบบ หรือบางเรื่องก็โผล่มาแว้บๆเป็นสิ่งของประกอบฉาก ใครที่เป็นแฟน นิคเคจ ก็ต้องจับตาดูให้ดี เพราะไม่รู้ว่าเรื่องไหนจะโผล่มาตอนไหนบ้าง แต่สิ่งที่เซอร์ไพรสและทำให้Massive Talentเป็นมากกว่าหนังแอ็กชันคอเมดี้ทั่วไป คือ ความหลงใหลในศาสตร์ภาพยนตร์ ที่ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างเต็มเปี่ยมผ่านตัวละคร ฮาวี่(รับบทโดย เพโดร ปาสคาล)เสี่ยใหญ่ที่นอกจากจะเป็นแฟนคลับเคจแล้ว เขาคือ คนรักหนังอย่างเต็มตัว บทสนทนาระหว่างเขากับเคจ เวลาคุยกันเรื่องหนังที่อะไรที่อิ่มเอมใจมาก ผู้ชมจะสัมผัสได้ถึงPassionที่มีอันเต็มเปี่ยมของฮาวี่ จะสัมผัสได้ถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของโลกภาพยนตร์ ที่มันอิมแพ็คต่อคนๆ หนึ่งมากแค่ไหน ซึ่งผู้ชมที่เป็นคนรักหนัง คงรู้สึกเช่นเดียวกับฮาวี่ ในฐานะคนคอเดียวกัน กลุ่มคนที่ตกหลุมรักเสน่ห์ของหนังเช่นกัน คงไม่เกินจริงนัก นี่จะกล่าวว่านี่คือการ"คัมแบ็ค"อย่างแท้จริงของ นิโคลัส เคจ ด้วยปัญหาหนี้สินในชีวิตจริง ทำให้ระยะหลังเขาตัดสินใจรับเล่นหนังจำนวนมาก ซึ่งมักสลับกันไประหว่างหนังเกรดบีรีวิวแย่ กับหนังอินดี้ที่โดนใจนักวิจารณ์ แต่สำหรับMassive Talentมันคือหนังสตูดิโอที่ครบถ้วนในแง่ต่างๆ รวมถึงเฉลิมฉลองเส้นทางในวงการภาพยนตร์ของ นิคเคจ ด้วย ดูเหมือนเขาจะสนุกอย่างแท้จริงในการรับบทนี้ และพลังความสนุกก็ส่งออกมาเต็มๆ ในขณะที่ เพโดร ปาสคาล เกือบจะขโมยซีนในบทฮาวี่ เชื่อว่าผู้ชมจำนวนไม่น้อยจะตกหลุมรักเขาในเรื่องนี้ เพราะพลังบวกที่ส่งออกมา มันเยอะมากๆ และเคมีระหว่าง นิคเคจ กับเพโดร ก็เข้ากันได้อย่างลงตัว อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะกังขาว่า แล้วถ้าไม่ใช่แฟนคลับ นิโคลัส เคจ หรือไม่ใช่คนที่ดูหนังแบบจริงจัง จะสามารถเอ็นจอยกับMassive Talentได้หรือไม่ คำตอบคือ นี่คือหนังบันเทิงมากๆ เรื่องหนึ่ง ที่คุณสามารถสนุกกับเส้นเรื่องได้ โดยไม่ต้องสนใจEaster-Eggเพราะโครงหลักของมัน ก็ยึดกับภารกิจสายลับจำเป็น ของดาราตกอับ ที่ต้องมาไล่จับอาชญากรที่ดันเป็นแฟนคลับของเขา แค่พล็อตก็ชวนชุลมุนและเอื้อให้เกิดฉากสนุกๆมากมายแล้ว ซึ่งMassive Talentก็ใช้ประโยชน์ตรงนี้ได้อย่างเต็มที่ ดีไม่ดี ดูเสร็จคุณอาจจะไล่ย้อนหาหนังเก่าๆ ของ นิคเคจ มาดูเพิ่มก็ได้(ให้8คะแนนจากคะแนนเต็ม10คะแนน)

[EXCLUSIVE REVIEW] “BROS” สัมภาษณ์พิเศษทีมนักแสดงนำ ปรากฏการณ์หนังรัก LGBTQ+ อารมณ์ดีที่กวาดคำชมล้นหลาม| GOSSIP GUN

02 พ.ย. 2022

[EXCLUSIVE REVIEW] “BROS” สัมภาษณ์พิเศษทีมนักแสดงนำ ปรากฏการณ์หนังรัก LGBTQ+ อารมณ์ดีที่กวาดคำชมล้นหลาม| GOSSIP GUN

ว่ากันว่าหนังรักอยู่คู่กับโลกภาพยนตร์มาตั้งแต่เริ่มต้น เริ่มจากหนังคลาสสิกอย่าง It Happened One Night เมื่อปี 1934 มาจนถึงหนังโรแมนติกเบาสมองยุคใหม่อย่าง When Harry Met Sally, Pretty Women, Sleepless in Seattle จนกระทั่งมาถึงยุคของ Notting Hill และ Love Actually ตลอดระยะเวลาเกือบ 100ปีที่ผ่านมา กับหนังรักหลายพันเรื่อง ไม่เคยมีครั้งไหนมาก่อน ที่สตูดิโอยักษ์ใหญ่ในฮอลลีวูด จะสร้างหนังประเภท Romantic-Comedy ที่มีสองตัวละครนำเป็นเกย์..และนี่คือครั้งแรกบิลลี่ ไอค์เนอร์ นักแสดงตลกที่มีชื่อเสียงจากรายการ Billy on the Street มาพร้อมกับไอเดียของ BROS ในฐานะหนังโรแมนติกเบาสมองที่มีคู่พระนางในเรื่องเป็น "เกย์"แม้ก่อนหน้านี้ ไม่เคยมีสตูดิโอยักษ์ใหญ่รายไหนอนุมัติสร้าง แต่เขาคิดว่ามันถึงเวลาแล้ว เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป โลกเปลี่ยนไป เรื่องราวความรัก LGBTQ+ คู่ควรแก่การถูกเล่าบนจอใหญ่เสียที บิลลี่นำไอเดียนี้ไปเสนอกับ นิโคลัส สโตลเลอร์ ผู้กำกับหนังรอมคอมที่ประสบความสำเร็จอย่าง Forgetting Sarah Marshall และเคยร่วมงานกับบิลลี่มาแล้วใน Bad Neighbors พวกเราทั้งคู่ลงมือเขียนบทภาพยนตร์ด้วยตัวเอง และส่งต่อโปรเจกต์ให้โปรดิวเซอร์หนังตลกแห่งยุคอย่าง จัดด์ อพาโทว์ และนำเสนอต่อสตูดิโอยักษ์ใหญ่อย่าง ยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ หลังจากนั้น BROS ก็กลายเป็นตำนาน ครั้งแรกที่สตูดิโอใหญ่สร้างหนังเกย์โรแมนติกคอเมดี้EFM94 ขอเป็นส่วนหนึ่งในความพิเศษครั้งนี้ กับการเป็นตัวแทนจากประเทศไทย ร่วมพูดคุยกับทีมนักแสดงนำ และผู้กำกับ และที่สำคัญอย่างยิ่ง ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับ บิลลี่ ไอค์เนอร์ ในฐานะผู้เริ่มต้นโปรเจกต์, ผู้เขียนบทภาพยนตร์ และที่สำคัญ เขาคือพระเอกของหนังเรื่องนี้อีกด้วย บิลลีี่รับบทเป็บ บ็อบบี้ เกย์วัย 40 อัปที่ไม่เชื่อในความรัก จนกระทั่งได้พบกับรักแท้ บิลลี่เล่าว่าเขาอยู่ในขั้นตอนการเขียนบทอยู่หลายปีเลย และเขากับนิค (ผู้กำกับ) ที่เป็นคู่หูที่แตกต่างอย่างดีเยี่ยม บิลลี่เผยว่า - "นิคเป็นชายแท้ ผมเป็นเกย์ นิคเขียนบทหนังมาตลอด แต่ผมไม่เคยมาก่อน ดังนั้น เราจึงต้องแชร์ความรู้แก่กันหลายอย่าง นิคค่อยๆสอนผมขั้นตอนต่างๆในการเขียนบทหนัง หนังรอมคอมสำหรับสตูดิโอใหญ่ๆ องค์ประกอบที่ต้องมี เรื่องราว สิ่งที่ค่ายหนังมองหา ผมเริ่มต้นจากมุมมองคนละแบบ ในฐานะคนที่ไม่รู้กฏเกณฑ์ในการเขียนมาก่อน ไม่รู้ว่ามันต้องออกมาเป็นอย่างไร ในขณะที่ นิคไม่รู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมเกย์ ไม่เคยมีประสบการณ์ด้านนี้มาก่อน ดังนั้น เราสอนซึ่งกันและกันเยอะมาก"บิลลี่เล่าต่อว่า แม้ประสบการณ์ในการเขียนบทหนังจะแตกต่างกัน ตัวตนในเรื่องเพศสภาพจากต่างกัน แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขาเหมือนกัน คือ ความรักที่มีให้กับหนังตลกที่ทำให้ผู้ชมหัวเราะออกมาได้ดังๆ บิลลี่ เล่าว่า ในหนังเรื่อง BROS พวกเขาไม่อยากเล่นอะไรที่เบาและนุ่มนวล เราต่างอยากให้ผู้ชมผจญภัยไปกับหนังได้ ทั้งสนุกและหัวเราะหนักๆ นั่นแหละคือเป้าหมายของทั้งเขาและนิค บิลลี่เผยว่า - "นิคสอนผมเกี่ยวกับกฏในการเขียนบทหนังหลายอย่าง และในขณะเดียวกันหลายครั้งที่ผมยุให้เขาลองแหกกฏดูบ้าง เพราะบางครั้งมันก็สนุกอยู่นะที่จะแหกกฏ เพราะมันจะทั้งเซอร์ไพรสและคาดเดาไม่ได้ เขาเป็นคู่หูที่ดีมากๆ และผมภูมิใจในงานที่พวกเราทำมาก"ในขณะที่ นิโคลัส สโตลเลอร์ ผู้กำกับและผู้ร่วมเขียนบทของ BROS เล่าว่า จุดเริ่มต้นมันคือการที่เขาเคยได้ร่วมงานกับบิลลี่ใน Bad Neighbors 2 นิคเล่าต่อว่า - "เป็นเป็นนักแสดงที่ยอดเยี่ยมมากนะ จนกระทั่งผมได้ยินไอเดียเกี่ยวกับหนังโรแมนติกคอเมดี้ที่ผู้ชายสองคนตกหลุมรักกันจากบิลลี่ พอได้ยินไอเดียนี้ ผมก็สนใจทันที ผมกับบิลลี่ พวกเรามองหาโปรเจกต์ที่จะทำร่วมกันมานานแล้ว ในฐานะที่ผมเป็นชายแท้ก็ค่อยๆศึกษาเรื่องเกย์จากเขา หลังจากนั้นเราก็ค่อยๆพัฒนาบทกันมา" – ในฐานะที่ BROS กลายเป็นหนังโรแมนติกคอเมดี้ที่มีตัวละครนำเป็นเกย์เรื่องแรก นิคออกความเห็นว่าคนดูพร้อมจะดูหนังเกย์รอมคอมมานานแล้วนะ เขาบอกว่าสตูดิโอช้ากว่าคนดูเยอะ ก่อนหน้านี้มักจะมีแต่พวกหนังเกย์ที่เป็นโศกนาฏกรรม แนวออสการ์ แล้วก็พวกหนังเกย์อินดี้ในยุค 90s นิคจำได้ว่าตอนเด็กๆ เขาดู The Birdcage เป็นหนึ่งในหนังที่ตลกที่สุดเท่าที่จำความได้ แล้วตามมาด้วย In Out ซึ่งตอนนั้นก็ทำเงินนะ แต่ไม่รู้ทำไมถึงหายไป และหวังว่าตอนนี้จะเป็นเวลาที่ใช่อีกครั้งความน่าประทับใจของการมีหนังอย่าง BROS คือการที่เกย์รุ่นใหม่ๆ จะมีอะไรที่เล่าขานหรือสื่อสารเรื่องราวของพวกเราในรูปแบบหนังใหญ่เสียที บิลลี่เผยว่า - "ผมว่า เกย์รุ่นใหม่กำลังมา มันมีสื่อมากมายที่จะแสดงถึงตัวตนของพวกเขา ทั้งบนหน้าจอทีวีหรือในออนไลน์ ในโซเชียลมีเดีย หรือ สตรีมมิ่งแพลตฟอร์ม ซึ่งผมเคยคาดหวังว่า พวกเราจะมีแบบนั้นบ้าง ตอนสมัยที่พวกเรายังวัยรุ่น ย้อนกลับไปสมัยรุ่นผมหรือรุ่นก่อนหน้า LGBTQ+ ไม่มีพื้นที่มากนักเท่าตอนนี้ ตอนนั้นไม่มีแม้แต่แนวทางที่ชัดเจนว่า ความสัมพันธ์ของเกย์เป็นแบบไหน ไม่มีแม้แต่หนังโรแมนติกคอเมดี้ในแบบของเรา ผมจึงภูมิใจที่ BROS จะได้เป็นคลื่นลูกใหม่ ในการบอกเล่าความรักของเกย์ในแบบหนังรอมคอม เพื่อให้คนรุ่นใหม่หรือแม้แต่รุ่นผม ได้เห็นว่าเรื่องราวความรักของเกย์มันเป็นอย่างไร เป็นแรงบันดาลใจให้รุ่นต่อๆไป"."ผมโตขึ้นมาในฐานะแฟนคลับของ เม็ก ไรอัน" – บิลลี่เล่าต่อถึงแรงบันดาลใจให้เขาอยากทำหนังโรแมนติกเบาสมองที่สองตัวละครนำเป็นเกย์ - "ผมชอบหนังของเธอแทบทุกเรีื่อง When Harry Met Sally, Sleepless in Seattle, You've Got Mail, French Kiss ผมพูดชื่อหนังต่อไปได้อีกเรื่อยๆ ผมรักหนังเหล่านั้นมาก รักจังหวะของชายหญิงตัวละครนำ สิ่งที่ผมรู้สึกพิเศษมากเกี่ยวกับ BROS คือผม ไม่เคยเห็นตัวเองในหนังเหล่านั้นเลย เพราะผมเป็นเกย์ คุณไม่ได้เป็นทั้ง ทอม แฮงค์ หรือว่า เม็ก ไรอัน มันอาจจะมีบางอย่างที่เชื่อมโยงกับคุณ อาจจะมีบางอย่างที่ทำให้คุณหัวเราะ ร้องไห้ แต่มันไม่เคยมีอะไรที่สะท้อนถึงความเป็นตัวตนของผมเลย ดังนั้น หนังเรื่องนี้จึงพิเศษทั้งสำหรับ ชายจริงหญิงแท้และเกย์ เพราะพวกคุณจะได้สัมผัสถึงวัฒนธรรมใหม่ๆ เหมือนๆกัน ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าหนังเหล่านี้จะมีเวอร์ชั่นสำหรับ LGBTQ+ได้ ถือว่าฮอลลีวูดมาได้ไกลพอสมควรเลย หนังเรื่องนี้จะมีหลายองค์ประกอบจากหนังรอมคอมในแบบที่ผู้ชมชอบ แต่ก็มีหลายอย่างที่แปลกใหม่มากจริงๆ"นอกจาก BROS จะเป็นหนังรักเบาสมองของเกย์เรื่องแรกจากสตูดิโอใหญ่แล้ว ในแง่ของงานสร้าง BROS ไปได้ไกลยิ่งกว่านั้น ด้วยการคัดเลือกให้ทีมนักแสดงนำทั้งหมดในหนัง ล้วนเป็นนักแสดง LGBTQ+ แม้แต่คาแร็คเตอร์ที่เป็นชายจริงหญิงแท้ในหนังก็ตาม เริ่มจาก ลุค แมคฟาร์เลน นักแสดงเกย์ ที่รับบทเป็นหนุ่มสุดฮ็อต แอร่อน ชายที่ทำให้บ็อบบี้ตกหลุมรักเข้าอย่างจัง แม้บ็อบบี้จะไม่เชื่อในความรักเท่าไหร่นัก แต่แอร่อนจะทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป ลุคเผยว่าการทำงานกับบิลลี่ ทั้งสนุกและง่ายมากๆ ลุคเล่าว่า - "บิลลี่เป็นคนที่ใจกว้างมาก เขาให้คำแนะนำตลอดเกี่ยวกับตัวละครนี้ รวมถึงปล่อยให้ผมได้ลองแสดงบทนี้ในแบบของตัวเองด้วย มันแปลกดีเหมือนกันที่ได้เล่นหนังคู่กับคนที่เขียนบทเรื่องนี้ แต่บิลลี่ เชื่อมั่นในขั้นตอนของการคัดเลือกนักแสดง ตอนที่ทดสอบบทเคมีเราเข้ากัน เขาปล่อยให้ผมเป็นตัวของตัวเองมากที่สุด ปล่อยให้ผมได้ลองตกหลุมรักเขาบนจอ ดังนั้น ผมได้รับการสนับสนุนอย่างมาก จาก บิลลี่ ครับ"นอกจากบทของคู่พระนางอย่าง บ็อบบี้และแอร่อนแล้ว ไฮไลต์สำคัญของ BROS ที่จะทำให้ผู้ชมหัวเราะจนท้องแข็ง คือเหล่านักแสดงสมทบ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตัวละครแก๊งสมาชิกบอร์ดของพิพิธภัณฑ์ โปรเจกต์ในฝันของบ็อบบี้ ที่เขาอยากสร้าง เกย์มิวเซียมที่บอกเล่าประวัติศาสตร์ ความเป็นมาที่สำคัญของ LGBTQ+ โดย BROS ได้นักแสดง LGBTQ+ ที่มีความหลากหลายในตัวตนมารับบทสมาชิกบอร์ด ทั้ง ทีเอส แมดิสัน ตัวแม่แห่งรายการเรียลลิตี้จาก The Ts Madison Experience มารับบทแองเจลล่า, มิส ลอว์เรนซ์ แฮร์สไตล์ลิสที่โด่งดังจากผลงานมากมาย มารับบท วานด้า, ด็อต-มารีย์ โจนส์ นักแสดงที่แฟนซีรีส์คุ้นหน้าคุ้นตาจาก Glee ในบทเชอร์รี่, จิม แรซ จากซีรีส์ Community ในบทโรเบิร์ต และ อีฟ ลินด์ลีย์ จากนางแบบทรานส์สู่นักแสดงมากฝีมือ ในบททามาร่า เมื่อพวกเขาได้รู้ว่า BROS จะเป็นหนังเรื่องแรกที่นักแสดงทั้งหมดเป็น LGBTQ+ ต่างเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า มันถึงเวลาแล้วเสียที มิส ลอว์เรนซ์ เผยว่า - "สิ่งที่ฉันคิดคือ มันถึงเวลาแล้วสินะ ที่พวกเราจะได้แสดงตัวตนที่แท้จริงของพวกเราออกไป เล่าเรื่องราวของพวกเราจริงๆ ในโลกของภาพยนตร์หรือซีรีส์" ในขณะที่ทีเอส แมดิสัน บอกว่าเห็นด้วยเช่นกัน เธอกล่าวต่อว่า - "มันถึงเวลาแล้วละ อันที่จริงมันไม่ควรจะต้องใช้เวลานานขนาดนี้ด้วยซ้ำ แต่ฉันเชื่อว่าทุกอย่างมันเกิดขึ้นในเวลาที่สมควร"ด็อต-มารีย์ เผยถึงประสบการณ์ในการถ่ายทำ BROS ซึ่งเธอบอกว่าไม่เหมือนหนังหรือซีรีส์เรื่องไหนที่เธอเคยแสดงมาก่อน เธอเล่าต่อว่า - "ก่อนอื่น ฉันขอบอกเลยว่า ฉันไม่เคยสัมผัสประสบการณ์ไหน เหมือนกับตอนที่แสดงใน Glee เลย ในเรื่องนั้น ไรอัน (ไรอัน เมอร์ฟีย์ โปรดิวเซอร์ Glee) พยายามจะเล่าเรื่องของ แต่ละตัวละคร LGBTQ+ แต่ละแบบ ในแต่ละตอน แต่ใน BROS นั้น หนังได้รวมเอาบุคคล LGBTQ+ มารวมไว้ด้วยกันอย่างงดงาม โดยเฉพาะฉากประชุมของสมาชิกบอร์ด คุณต้องไปดูหนังเรื่องนี้ มันจะทำให้คุณหัวเราะไม่หยุด ชวนผู้คนในชุมชนของคุณไปดูด้วยกัน หัวเราะ ร้องไห้ แบ่งปันความรักกัน ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน เพราะพวกเรามีกันเองเพียงเท่านี้"ในขณะที่ จิม เล่าว่า – "สำหรับผม ได้มีโอกาสร่วมแสดงในซีรีส์ Community ถึง 6 ปีด้วยกัน ครอบครัว และทีมนักแสดง เป็นแกนหลักสำคัญของซีรีส์ เช่นเดียวกับ BROS แค่มันต่างครอบครัวกัน ซึ่งผมภูมิใจอย่างมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในนั้น ในขณะที่ BROS สร้างตัวละครที่หลากหลายมาก เหมือนกับพวกเราได้เฉลิมฉลองความหลากหลาย และแกนที่แข็งแกร่งของหนังคือเหมือนพวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ผมดีใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของหนังที่เราสามารถยินดีกับตัวตนที่แท้จริงของพวกเราได้ สิ่งที่รวมพวกเราให้เป็นหนึ่งเดียวได้ คือ ความรู้สึกที่พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน สนุกไปด้วยกัน ได้เรียนรู้ที่จะรักกัน และโอกาสที่ทุกคนจะสามารถเป็นตัวของตัวเองได้" ด้านของ อีฟ เธอเล่าว่า เธอตื่นเต้นกับหนังเรื่องนี้มาก เพราะได้มีโอกาสร่วมงานกับบุคคลระดับตำนานของ LGBTQ+ หลายคน ที่เธอชื่นชมพวกเขาอยู่แล้ว - "ฉันเพิ่งมาเข้าใจเมื่อไม่นานมานี้เอง ว่าทำไม บิลลี่ ถึงต้องสร้างหนังเรื่องนี้ขึ้นมา และฉันโชคดีมากแค่ไหนที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในหนังเรื่องนี้"แน่นอนว่า BROS คือก้าวสำคัญของชุมชน LGBTQ+ ที่จะได้มีหนังที่เล่าถึงความรักของพวกเขาอย่างแท้จริง ในรูปแบบของหนังโรแมนติกคอเมดี้ แต่ในแง่มุมของโลกภาพยนตร์ BROSก็ยังเป็นหนังรอมคอมในแบบที่ห่างหายจากโรงภาพยนตร์ไปนาน มันคือหนังรักเบาสมองระดับคุณภาพที่ในระยะหลังๆ ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยครั้งนักจากฮอลลีวูด โดยล่าสุด BROS ที่กวาดคะแนนนักวิจารณ์ในแง่บวกไปเพียบ มากถึง 88% ในขณะที่คะแนนจากผู้ชมยิ่งชื่นชอบสูงกว่า ด้วยคะแนน Audience Score ระดับ 90% ซึ่งการันตีว่าผู้ชมต่างชอบ ต่างตกหลุมรักหนังเรื่องนี้ พวกเขาหัวเราะ พวกเขาร้องไห้ พวกเขาอินไปกับเรื่องราวความรักของคนสองคน นี่ไม่ใช่แค่หนังเกย์ นี่คือหนังที่เล่าเส้นทางความรักที่พวกเราพบเจอได้ทั่วไป นี่คือหนังที่เล่าถึงความหลากหลายของมนุษย์ นี่คือหนังที่จะส่งพลังให้กับพวกเราทุกคน ให้เป็นตัวของตัวเอง และในขณะเดียวกันก็ยอมรับในความแตกต่าง ยอมรับซึ่งกันและกัน นี่คืออีกหนึ่งหนังสนุกคุณภาพแน่นแห่งปี 2022 ที่ไม่ควรพลาดBROS เพื่อนชาย ?วางโปรแกรมฉายในไทย 3 พฤศจิกายนในโรงภาพยนตร์

album

0
0.8
1