[REVIEW] 'ELVIS' นี่คือหนัง BIOPIC ที่ทรงพลังและจัดจ้าน ขึ้นแท่นหนังยอดเยี่ยมแห่งปี | GOSSIP GUN

HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] 'ELVIS' นี่คือหนัง BIOPIC ที่ทรงพลังและจัดจ้าน ขึ้นแท่นหนังยอดเยี่ยมแห่งปี | GOSSIP GUN

22 มิ.ย. 2022

นึกไม่ออกเลยครับ ว่าใครจะสร้างหนังชีวประวัติของศิลปินระดับตำนานอย่าง เอลวิส เพรสลีย์ ได้จัดจ้านเท่ากับผู้กำกับ บาซ เลอห์มานน์ เหมือนโปรเจกต์นี้ ถูกออกแบบมาสำหรับเขาโดยเฉพาะ เหมือนหนังชีวิตของเอลวิส ถูกรอเวลาเพื่อให้เจอคนที่เหมาะมืออย่างบาซ มากำกับ ตลอดระยะเวลาถึง 30 ปีที่โลดแล่นในวงการภาพยนตร์ บาซ ทำหนังเพียงแค่ 5เรื่อง (และเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ 6) แต่ผลงานเขาทั้งโดดเด่น มีเอกลักษณ์ และได้รับความนิยมล้นหลามแทบทุกเรื่อง ไล่ตั้งแต่ Strictly Ballroom, Romeo+Juliet, Moulin Rouge มาจนถึง The Great Gatsby ทุกเรื่องที่ภาพจำในความจัดจ้าน ความอลังการ Pacingเล่าเรื่องที่ไวทั้งหมด ยกเว้นเพียง Australia หนังเอพิคโรแมนติกที่ดูจะพลาดไปหน่อยเพียงเรื่องเดียว การกลับมาครั้งนี้ในรอบ 9 ปี เหมือนบาซสะสมพลังทั้งหมด มาใส่เต็มให้กับเรื่องนี้

Elvis พาผู้ชมย้อนกลับไปสมัยที่ราชาแห่งร็อคแอนด์โรลล์ยังไม่มีชื่อเสียง เอลวิส (รับบทโดย ออสติน บัตเลอร์) เติบโตมาในสังคมของคนดำ หลงใหลในดนตรีของคนผิวดำ จนบางครัั้งก็ถูกเหยียดหยามจนคนขาวด้วยกัน จนกระทั่งเขาได้ถูกค้นพบโดย ผู้พันทอม ปาร์กเกอร์ (รับบทโดย ทอม แฮงค์ส) ผู้จัดการศิลปิน ที่มองเห็นเพชรเม็ดงาม ที่พร้อมจะถูกเจียระไน ทอมพาเอลวิสไปเซ็นต์สัญญากับค่ายเพลงยักษ์ ไม่นานเอลวิสจึงดังเป็นพลุแตก ด้วยลีลาการโชว์ การเต้น การสะบัดเอวอันเป็นเอกลักษณ์ ทำให้สาวๆต่างคลั่งไคล้ในตัวเขา หนังค่อยๆพาผู้ชมเข้าไปในโลกของเอลวิส ทั้งชีวิตครอบครัว ชีวิตความรัก เส้นทางในวงการ อุปสรรคมากมายที่เขาต้องเผชิญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความสัมพันธ์กับผู้จัดการของเขาเอง ชายที่ทั้งให้โอกาส และในขณะเดียวกันก็ฉกฉวยผลประโยชน์อย่างบ้าคลั่งจากตัวเขา

นี่คือหนัง บาซ เลอห์มานน์ ที่เป็น บาซ เลอห์มานน์ มากที่สุดเรื่องนึงเท่าที่จะเป็นไปได้ ด้วยเอกลักษณ์สไตล์การเล่าเรื่องที่จัดจ้าน หวือหวา ประโคมสิ่งต่างๆเข้ามาในฉากให้มากที่สุด หนังใช้วิธีการตัดต่อที่เร็ว Pacing ในการเล่าค่อนข้างไว มีแค่บางฉากที่เน้นขยี้อารมณ์ ที่ดึงฉากนั้นให้ช้าลงมา ประกอบกับงานออกแบบงานสร้างที่สุดจะอลังการ เสื้อผ้าที่จัดเต็ม และที่พีกที่สุด คือ เมคอัพและออกแบบทรงผม ที่ไม่ใช่แค่ เอลวิส ที่เหมือนจนน่าตกใจ แต่รวมถึงตัวละครผู้พันทอม ผู้จัดการของเอลวิส ที่แต่งให้ ทอม แฮงค์ส กลายเป็นตัวละครดังกล่าวอย่างเต็มตัว และที่น่าทึ่งคือ หนังเล่าในหลายช่วงเวลา กินเวลานานหลายสิบปี เราจะเห็นตัวละครต่างๆ เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง ทั้งรูปร่างหน้าตา ซึ่งดูเป็นธรรมชาติจนต้องปรบมือให้ทีมเบื้องหลังของหนังมากๆ

แต่หัวใจสำคัญจริงๆของ Elvis ก็คือตัวละครเอลวิส ที่ไม่รู้จะต้องขอบคุณอะไร ที่ทำให้ บาซ เลอห์มานน์ ได้เจอกับ ออสติน บัตเลอร์ นักแสดงหนุ่มวัย 31 ปีคนนี้ สามารถกลายเป็นเอลวิสได้อย่างไม่มีที่ติ ไม่ใช่แค่รูปลักษณ์ภายนอก แต่เขาสามารถแสดงอารมณ์จากข้างใน ฉากแสดงอารมณ์ที่ซับซ้อน เขาแสดงได้อย่างทรงพลัง และที่ต้องชมมากขึ้นไปอีก คือ ออสติน ร้องเพลงของเอลวิสในหนังด้วยตัวเอง ยิ่งตอกย้ำถึงความครบเครื่องของเขาคนนี้ และแม้จะต้องประกบกับนักแสดงเบอร์ใหญ่อย่าง ทอม แฮงค์ส ในแทบทุกฉาก แต่ออสตินก็สามารถโดดเด่น และดึงสปอตไลท์มาไว้ที่ตัวเองด้วยการแสดงอันน่าทึ่งได้ตลอด ในขณะที่ ทอม แฮงค์ส ก็ถ่ายทอดบทผู้พันทอม ได้อย่างไร้ที่ติเช่นกัน นี่คือตัวละครสีเทา ที่ทอมสามารถบาลานซ์สิ่งที่จะถ่ายทอดออกมาได้ดี และเขาก็ทำหน้าที่เป็นผู้บรรยายเรื่องราวในหนังได้อย่างลงตัวอีกด้วย

นี่ไม่ใช่หนังที่เหมาะสำหรับแค่แฟนเอลวิสเท่านั้น แต่นี่คือหนังเด็ดหนึ่งเรีื่องที่ควรค่าแก่การชมในโรงภาพยนตร์ หนังเต็มไปด้วยพลังงานที่ถูกส่งออกมาจากหน้าจอ มันทั้งทรงพลัง จัดจ้าน ฉูดฉาด หวือหวา อาจกล่าวได้ว่าไม่มีฉากไหนที่ บาซ เลอห์มานน์ เบามือกับมันเลย ทุกฉากถูกบีบเค้น ถูกถาโถมด้วยสไตล์อย่างไม่ยั้ง แน่นอนว่าต้นปีหน้า เราคงได้เห็นชื่อหนัง Elvisโลดแล่นบนเวทีรางวัลอย่างแน่นอน อย่างน้อยสาขา เมคอัพและแฮร์สไตล์ลิส, ออกแบบเครื่องแต่งกาย, ออกแบบงานสร้าง ต้องได้เข้าชิง รวมไปถึง นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ต้องลุ้นให้ค่ายวอร์เนอร์ฯ สามารถรักษากระแสของหนังไปได้เรื่อยๆ และทำแคมเปญโปรโมต ออสตินให้หนักๆอีกครั้งในช่วงประกาศผลรางวัล ไม่แน่เขาอาจจะไม่ใช่แค่ผู้เข้าชิง เพราะคุณภาพการแสดงที่เขาถ่ายทอดออกมา สามารถเป็นถึงผู้ชนะได้อย่างสบายๆ

(ให้ 9 คะแนนจากคะแนนเต็ม 10 คะแนน) 




ชมตัวอย่าง Elvis สัปดาห์นี้ในโรงภาพยนตร์

ภาพ : Warner Bros. Thailand

related HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘NOPE’ เหตุสยองจากบนฟ้า หนังผวาล่าสุดจาก จอร์แดน พีล | GOSSIP GUN

17 ส.ค. 2022

[REVIEW] ‘NOPE’ เหตุสยองจากบนฟ้า หนังผวาล่าสุดจาก จอร์แดน พีล | GOSSIP GUN

หลายคนสะดุุดหนังเรื่อง NOPE ตั้งแต่ชื่อไทย ที่ทางค่ายยูไอพี ตั้งแบบตรงไปตรงมาตามชื่ออังกฤษว่า "ไม่" นำไปสู่ปริศนาที่ต้องตามต่อในหนังว่า คำว่าไม่ ในที่นี้หมายถึงอะไร และมันใช้ในบริบทไหนของหนังกันแน่ นี่คือโปรเจกต์หนังเขย่าขวัญเรื่องที่ 3 ของ จอร์แดน พีล อดีตนักแสดงตลกที่ผันตัวมาเป็นนักสร้างหนังในแนว Horror ที่ปังตั้งแต่โปรเจกต์แรกอย่าง Get Out ที่นอกจากจะกวาดเงินถล่มทลาย ยังทำให้เขาได้รางวัลออสการ์มาครองอีกด้วย ต่อด้วย Us ที่ทั้งชวนผวาและสร้างความเหวอได้ไม่แพ้กัน มาถึงโปรเจกต์ล่าสุดอย่าง NOPE ที่ในหนังเรื่องนี้ เขาผสมความเป็น Sci-Fi เข้าไปในหนัง และเป็นการกลับมาร่วมงานกันครั้งอีกครั้ง พีล และแดเนียล คาลูย่า พระเอกจาก Get Out ที่ตอนนี้กลายเป็นนักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์ไปแล้ว คาลูย่า รับบท โอเจ ชายหนุ่มที่รับหน้าที่ดูแลคอกม้าต่อจากพ่อ หลังจากที่เขาเสียชีวิตด้วยเหตุการณ์สุดประหลาด เขากับน้องสาวที่บุคลิกต่างกันสุดขั้วอย่าง เอ็ม (รับบทโดย กีกี้ พาล์มเมอร์ จาก Hustlers) ต้องทำหน้าที่คอยฝึกม้า เพื่อไปใช้ในการถ่ายทำหนังหรือโฆษณา แต่แล้วเหตุการณ์สุดแปลกก็เกิดขึ้นต่อเนื่อง หลังจากพ่อของพวกเขาเสียชีวิต หลายครั้งที่ไฟฟ้าดับบริเวณบ้านกลางหุบเขาของพวกเขา ทุกอย่างที่เป็นของที่ใช้กระแสไฟฟ้า แม้แต่ รถยนต์ หรือมือถือก็ล้วนดับหมด แถมยังทำให้ม้าของพวกเขาผวากับบางอย่าง โอเจและเอ็ม เริ่มมองขึ้นไปบนฟ้า และสังเกตุเห็นว่า มีอะไรผิดปกติ โดยเฉพาะก้อนเมฆบางก้อน ที่ไม่เป็นอย่างที่ควรจะเป็น นำไปสู่เหตุการณ์สุดผวา ที่ไม่มีมนุษย์คนไหนเคยเผชิญมาก่อนสิ่งที่ทำให้อยากดูและตั้งตารอคอยผลงานของ จอร์แดน พีล มากๆ ทุกครั้งที่เขาทำโปรเจกต์ใหม่ คือเอกลักษณ์ที่โดดเด่นและแตกต่างในหนังเขย่าขวัญแบบของเขา ไม่ว่าจะเป็นพล็อตที่ถูกเก็บซ่อนเอาไว้ นำไปสู่ความเหวอขั้นสุดในช่วงหลัง การแฝงด้วยประเด็นสังคมที่มากกว่าเส้นเรื่อง อาทิ เรื่องสีผิวใน Get Out เรื่องประเทศใน Us มาจนถึงเรื่องล่าสุด ที่หยิบเอาเรื่องระดับโลกมาแฝงไว้ บวกกับอารมณ์ขัน ที่ถูกสอดแทรกไว้ในหนังด้วยจังหวะที่แม่นยำ ต้องขอบคุณที่เขาเคยเป็นนักแสดงตลกมาก่อน ทำให้เขาทำหนังเขย่าขวัญออกมาได้ดี เพราะสิ่งที่คล้ายกันของหนังเบาสมองและหนังเขย่าขวัญ คือ จังหวะที่แม่นยำในการปล่อยของ และจำเป็นต้องหามุกใหม่มาเล่นเสมอๆ (อย่างในหนังผี ถ้าเรื่องไหน มีฉากหลอกผู้ชมใหม่ๆ และจังหวะผีหลอกเป๊ะ มักจะออกมาดีงาม) นั่นทำให้หนังของ พีล ดูเฟรชตลอด เหมือนกับดูหนังของ เอ็ม.ไนต์ ชยามาลาน ที่ทั้งตลกด้วยและสอดแทรกประเด็นเสียดสีหรือวิพากท์สังคมไว้ด้วย การดู NOPE ถือเป็นประสบการณ์การดูหนังในโรงที่แปลกใหม่อีกครั้ง ด้วยสองปัจจัยสำคัญ คือทั้งในแง่ของการเล่าเรื่อง และภาพที่ปรากฏขึ้นบนจอ สิ่งที่หนังซ่อนเอาไว้ เต็มไปด้วยความแปลก ความประหลาด และชวนหวาดผวา พีลสามารถหยิบเอาสิ่งที่เราเห็นประจำ มาทวิสต์ให้เรารู้สึกหลอนกับสิ่งนั้นได้ ด้วยจังหวะการเล่าเรื่องที่เขาค่อยๆแย้มปริศนาที่ซ่อนอยู่ทีละนิดๆ จนกระทั่งสาดใส่ผู้ชมและตัวละครในเรื่องอย่างแรงในช่วงหลัง การดู NOPE ในโรง ทำให้ผู้ชมถูกตรึงไว้กับหนังได้อย่างดี บวกกับสิ่งที่ปรากฏบนจออย่างที่เอ่ยไป บางสิ่งที่หนังซ่อนเอาไว้ มันเหมาะที่จะถูกชมบนจอขนาดใหญ่มากๆ (ยิ่งโรง IMAXยิ่งเพิ่มอรรถรส) แม้มันจะไม่ใช่หนังแอ็กชันโปรดักชั่นใหญ่โต แบบที่ชอบฉายในระบบ IMAX แต่ "บางอย่าง" ในหนัง ยิ่งดูบนจอใหญ่ ยิ่งได้อารมณ์ขึ้นจริงๆ จนทำให้ NOPE น่าจะเป็นอีกหนึ่ง Cinema Experience สำหรับผู้ชมไม่มากก็น้อยเมื่อเทียบกับผลงานสองเรื่องก่อนของ จอร์แดน พีล ต้องถือว่า NOPE เล่าในสเกลหนังที่ใหญ่โตกว่าเดิมมาก และค่อนข้างดูง่ายกว่าทั้ง Get Out และ Us แต่มันก็ยังไม่ทิ้งเอกลักษณ์ที่ชัดเจนของผู้กำกับ หนังยังทำให้ผู้ชมเหวอ และหวาดผวากับพล็อตได้เช่นเดิม บวกกับจังหวะหลอนและจังหวะอารมณ์ขันที่ค่อนข้างถูกเป๊ะ พร้อมกับหลากหลายประเด็นที่ซุกซ่อนไว้ในหนัง ซึ่งไม่จำเป็นต้องคิดต่อก็ได้ แต่ถ้าพอจะสังเกตุก็นึกถึงสิ่งที่ผู้กำกับอยากสื่อได้อย่างสนุกสนาน ไม่ได้ชวนปวดหัวแบบหนังเชิงสัญลักษณ์บางเรื่อง เพราะท้ายที่สุด มันก็ยังเป็นหนังเขย่าขวัญซัมเมอร์ ที่พร้อมให้ผู้ชมทุกกลุ่มดูได้ และเปิดประสบการณ์แปลกใหม่ในการดูหนังได้ เช่นเดิม นี่คืออีกงานที่พิสูจน์ว่า ความสำเร็จของ Get Out ไม่ใช่เพราะความบังเอิญ พีล ตอกย้ำว่า เขาคือผู้กำกับที่น่าจับตามอง ในฐานะผู้กำกับที่มีเอกลักษณ์ชัดเจน หลังจากนี้ไม่ว่าจะทำอะไร ก็มีแฟนหนังชุดใหญ่พร้อมที่จะรอดูอยู่แล้วNOPE เข้าฉาย 18 กรกฎาคมในโรงภาพยนตร์ ชมตัวอย่าง :ภาพ : UIP Thailand

[REVIEW] ‘Inside Out 2’ ภาคต่อที่ทั้งเติบโตและลึกซึ้งขึ้น แต่คงไอเดียสุดล้ำเช่นเคย

12 มิ.ย. 2024

[REVIEW] ‘Inside Out 2’ ภาคต่อที่ทั้งเติบโตและลึกซึ้งขึ้น แต่คงไอเดียสุดล้ำเช่นเคย

คุ้มค่าแก่การรอคอยนาน 9 ปีเต็ม สำหรับภาคต่อของแอนิเมชั่นสุดประทับใจที่มาพร้อมไอเดียสุดล้ำอย่าง ‘Inside Out’ ของค่ายพิกซาร์ แอนิเมชั่น ที่ย้อนกลับไปเมื่อปี 2015 สร้างปรากฏการณ์ทั้งกวาดเงินมากถึง 850 ล้านเหรียญฯ จากทั่วโลก กวาดคะแนนบวกจากนักวิจารณ์มากถึง 98% และปิดท้ายด้วยการคว้ารางวัลออสการ์ สาขาภาพยนตร์แอนิเมชั่นยอดเยี่ยมมาได้สำเร็จ และขึ้นแท่นหนึ่งในหนังแอนิเมชั่นในดวงใจคนดูไปเต็ม ๆด้วยพล็อตสุดครีเอท ที่เล่าถึงเหล่าอารมณ์ในหัวของ ไรลี่ย์ เด็กสาวไฮสคูลที่กำลังว้าวุ่นกับการเติบโต โดยในหัวของเธอมีอารมณ์ต่าง ๆ เป็นตัวขับเคลื่อน นำโดย จอย ตัวละครสุดอารมณ์ดี แน่นอนว่ากว่าที่ ‘Inside Out’ ภาคแรกจะเกิดขึ้นได้ ใช้เวลาพัฒนาโปรเจกต์อยู่นาน ขั้นตอนสำหรับภาคต่อก็เช่นกัน ทำให้หนังถูกทิ้งช่วงนานถึง 9 ปีเต็ม โดยพิกซาร์มอบหมายหน้าที่ผู้กำกับภาคนี้ให้ เคลซี มานน์ หัวเรือใหญ่ของทีมครีเอทีฟพิกซาร์ ที่มีส่วนร่วมในหนังของค่ายยุคหลัง ๆ อย่าง Soul, Luca และ Elemental มาทำหน้าที่กำกับเป็นครั้งแรก ที่ดูเหมือนจะรับไม้ต่อมาได้อย่างยอดเยี่ยมเสียด้วยสำหรับใน ‘Inside Out 2’ ยังคงเล่าถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับ ไรลี่ย์ เด็กสาวไฮสคูลที่กำลังต้องเผชิญหน้ากับจุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิต เมื่อเธอกำลังต้องขึ้นสู่ชั้นเรียนใหม่ ต้องพบกับเพื่อนใหม่ ๆ และความฝันในการเข้าทีมเป็นนักกีฬาฮอกกี้ ทำให้การเข้าค่ายในช่วงไม่กี่วันจากนี้ เป็นช่วงเวลาสำคัญ สิ่งที่เกิดขึ้นในหัวของไรลี่ย์ นอกจาก 5 อารมณ์เดิมจากภาคแรกแล้ว คือการเข้ามาของ 4 อารมณ์ใหม่ ที่นำทีมโดย ว้าวุ่น อารมณ์ที่เริ่มเกิดขึ้น เมื่อมนุษย์เติบโตขึ้น พวกเขากำลังต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลง เมื่อมนุษย์เริ่มมีอารมณ์ดีที่น้อยลง และเริ่มมีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น จอยและแก๊งอารมณ์เดิมจะรับมืออย่างไรกับสิ่งนี้ พวกเธอจะสามารถควบคุมไรลี่ย์ให้หน้าด้านไปในทิศทางที่พวกเขาต้องการได้หรือไม่ ต้องมาติดตามกันแน่นอนว่าหนังภาคนี้ เติบโตในเนื้อหามากยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับตัวละครไรลีย์ที่มีอายุมากขึ้น ดังนั้นประเด็นต่าง ๆ ของหนัง จึงเล่าถึงการเปลี่ยนแปลงทางด้านอารมณ์ของมนุษย์ การก้าวขึ้นเป็นผู้ใหญ่ มันจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง ในพาร์ทนี้ของหนังถือว่า สามารถถ่ายทอดความซับซ้อนด้านอารมณ์ของคนเรา ออกมาได้อย่างน่าสนใจ ยังคงมีความลึกซึ้งทางด้านเนื้อหา ตามแบบฉบับที่ Inside Out นั้นควรจะเป็น และมีความเข้าใจมนุษย์มากขึ้นยิ่งกว่าภาคแรก ทำให้เนื้อหาในภาคนี้ น่าจะทัชใจผู้ชมที่เป็นผู้ใหญ่มากยิ่งขึ้นด้วย ไม่ได้เพียงแค่สร้างความบันเทิง สำหรับผู้ชมที่เป็นเด็ก ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของหนังดิสนีย์เท่านั้นอย่างไรก็ตาม แม้ตัว Message ของหนังจะโตขึ้นก็ตาม แต่ ‘ Inside Out 2’ ยังคงรักษามาตรฐานความบันเทิงแบบดิสนีย์ไว้ได้อย่างดีเยี่ยม โดยเฉพาะเหล่ามุกที่สร้างสรรค์ขึ้นจากครีเอทีฟไอเดีย ภาคนี้ถือว่าไม่เสียเวลารอคอยจริง ๆ ยิ่งการสร้างตัวละครใหม่ ยิ่งน่าสนใจไม่แพ้กับ 5 ตัวละครแรก ทุกตัวยังคงมีเอกลักษณ์ในแบบของมัน และเป็นที่จดจำ นอกจากนี้ยังมีเหล่าตัวละครที่อาจจะไม่ใช่ทั้งมนุษย์ และไม่ใช่ทั้งอารมณ์ แต่มาขโมยซีนแบบเต็ม ๆ (แต่พวกเขาคืออะไรนั้น ไม่สามารถสปอยล์ได้ตรงนี้) นอกจากนี้หนังยังสามารถรักษาพาร์ทของการเป็นหนังผจญภัยได้อย่างสนุกสนาน กับการเดินทางของ จอย และแก๊งอารมณ์ออริจินัลของพวกเธอ ที่ต้องออกเดินทางด้วยภารกิจบางอย่าง หนังสร้างสรรค์มุมต่าง ๆ ในหัวของไรลีย์ ได้เหมือนสวนสนุก เหมือนจำลองดิสนีย์แลนด์ ในเวอร์ชั่นสมองไรลีย์ออกมาได้อย่างน่าติดตาม ยิ่งเสริมให้ ‘Inside Out 2’ ครบถ้วนในทุกแง่มุมทั้งความสนุก ความลึกซึ้ง และความประทับใจของธีมเรื่องโดยรวม ‘Inside Out 2’ ถือเป็นโจทย์ยากสำหรับพิกซาร์อยู่ไม่น้อย เพราะว่าภาคแรกสร้างมาตรฐานไว้สูงมาก แต่ผลลัพภ์ที่ออกมา ก็ถือว่าน่าพอใจมาก คุ้มค่าแก่การรอคอยสำหรับแฟนหนังพิกซาร์ ซึ่งหลายโปรเจกต์ที่ผ่านมา ทางค่ายไม่สามารถรักษามาตรฐานที่ทัดเทียมภาคแรกไว้ได้สำหรับภาคต่อ แต่สำหรับเรื่องนี้ถือว่าทำได้ เป็นการกลับคู่ระดับความพีกของพิกซาร์อีกครั้ง และน่าจะส่งให้ ‘Inside Out 2’ เป็นความสำเร็จเรื่องแรก ๆ ของซัมเมอร์นี้ในอเมริกาได้อย่างไม่ยาก หลังจากที่ตลอดเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา มีแต่หนังที่ทำรายได้น่าผิดหวัง และเพิ่งมามีหนังที่ทำเงินเหนือความคาดหมายคือ ‘Bad Boys : Ride or Die’ ในสัปดาห์ก่อน แอนิเมชั่นจากพิกซาร์เรื่องนี้ น่าจะมีปลุกผี Box Office ในอเมริกาได้ต่ออีกเรื่องภาพ : Walt Disney Studios

[REVIEW] ‘The Flash’ หนังซูเปอร์ฮีโร่สุดเจ๋ง สร้างมัลติเวิร์สแบบไม่น้อยหน้าใคร | GOSSIP GUN

14 มิ.ย. 2023

[REVIEW] ‘The Flash’ หนังซูเปอร์ฮีโร่สุดเจ๋ง สร้างมัลติเวิร์สแบบไม่น้อยหน้าใคร | GOSSIP GUN

กวาดกระแสบวกไปอย่างท่วมท้นนับตั้งแต่ฉายรอบพิเศษในงาน CinemaCon เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา สำหรับ The Flash หนังซูเปอร์ฮีโร่เรื่องล่าสุดในจักรวาล DC ถึงขนาดที่ เจมส์ กันน์ หัวเรือของ DC Studio คนใหม่ที่ถึงแม้จะไม่ได้สร้างหนังเรื่องนี้ ก็ยังอดออกปากชมไม่ได้ว่านี่คือหนึ่งในหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่เคยมีมา ทำให้ตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา ก่อนที่ The Flash จะเข้าฉายจริงในกลางเดือนมิถุนายนนี้ ทางวอร์เนอร์ฯ สตูดิโอเจ้าของหนังจึงจัดรอบพิเศษมากมายทั่วโลกเพื่อบิลด์กระแสบวกให้กับหนัง ส่วนหนึ่งเพื่อกลบกระแสลบของนักแสดงนำอย่าง เอซร่า มิลเลอร์ ที่ก่อคดีมากมายตลอดปีที่ผ่านมา กลายเป็นดราม่าให้ผู้บริหารสตูดิโอปวดหัวว่าจะทำอย่างไรกับหนังเรื่องนี้ดี แต่เพราะผลลัพภ์ในแง่บวกสุดๆ ทำให้ค่ายหนังพยายามเบนเข็มความสนใจของแฟนหนังมายังรีวิว มากกว่าที่จะโฟกัสถึงพฤติกรรมส่วนตัวของนักแสดง เพื่อให้หนังได้เข้าฉายและประสบความสำเร็จมากที่สุดเท่าที่จะทำได้The Flash เป็นหนังเดีี่ยวเรื่องแรกของตัวละครแบร์รี่ อัลเลน หลังจากปรากฏตัวใน Justice League ของแซค สไนเดอร์ เอซร่า มิลเลอร์ก็กลับมารับบทนี้อีกครั้ง ภายใต้การคุมโปรเจกต์ของ แอนดี้ มุสชิเอติ จากหนัง Stephen King's It ทั้งสองภาคที่ประสบความสำเร็จจนวอร์เนอร์ไว้ใจให้เขาเข้ามาคุมหนังฟอร์มยักษ์เรื่องนี้ ซึ่งดูเหมือนว่า The Flash จะสร้างกระแสความฮือฮาต่อเนื่องตลอดการสร้าง เพราะข่าวน่าตื่นเต้นออกมามากมาย เริ่มจากการที่ เบน แอฟเฟล็ก จะกลับมารับบทแบทแมนในหนังเรื่องนี้ แต่ที่ทำให้แฟนๆตื่นตะลึงมากกว่า คือการที่ประกาศว่า ไมเคิล คีตัน จะกลับมารับบทแบทแมนอีกครั้ง หลังจาก Batman Returns ในปี 1992 ทำให้แฟนๆคาดการณ์ไปต่างๆนานาถึงพล็อต จนกระทั่งตัวอย่างปล่อยออกมาก็ยืนยันว่า หนังจะเล่าเรื่องในหลายมิติ ทำให้มีนักแสดงที่รับบทแบทแบน ปรากฏตัวใน The Flash มากกว่า 1 เวอร์ชั่นสำหรับในหนังเรื่องนี้จะเล่าถึง แบร์รี่ ที่ยังคงตกอยู่ในความเศร้า หลังสูญเสียแม่ไปตั้งแต่วัยเด็ก แต่เพราะเขาได้พลังเร็วกว่าแสงของ เดอะแฟลช มา ทำให้เขาสามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีตได้ ถึงแม้ว่า บรู๊ซ เวย์น จะพยายามห้ามไม่ให้เขาสร้างความวุ่นวายจากการเปลี่ยนอดีตก็ตาม แต่นั่นก็ไม่สามารถหยุดความตั้งใจของแบร์รี่ แต่ทุกอย่างเริ่มผิดพลาด เมื่อการย้อนกลับไปครั้งนี้ ทำให้เขาได้พบกับ แบร์รี่ ในอีกเวอร์ชั่น เขาได้สร้างมิติใหม่ขึ้นมา กลายเป็นโลกที่ นายพลซอด (รับบทโดย ไมเคิล แชนน่อน ที่กลับมารับบทเดิมจาก Man of Steel) กำลังจะบุกมาทำลาย เขามายังโลกใบนี้เพื่อที่จะตามหาซูเปอร์แมน ซึ่งทางเดียวที่จะหยุดแผนร้ายนี้นั้น คือการที่แบร์รี่ จะต้องตามหาเหล่าบรรดาจัสติซ ลีกในมิตินี้ ทำให้เขาพบกับ แบทแมนในเวอร์ชั่นที่เขาไม่เคยเจอมาก่อน แบทแมนที่ผู้ชมคุ้นเคยจากบทบาทการแสดงของ ไมเคิล คีตันแน่นอนว่า The Flash คือหนังทีี่สามารถอวยได้อย่างเต็มปากว่าเจ๋งมากๆ สมคำร่ำลือว่านี่คือหนังในจักรวาลดีซีที่อยู่ในระดับบนๆแน่นอน ความน่าสนใจมากๆของหนัง คือการวางโครงเรื่องและสร้างบทภาพยนตร์ออกมา ด้วยการเล่าเรื่องที่น่าติดตาม และคาดเดาไม่ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างหลังจากนี้ ความสนุกของหนังจึงอยู่ที่การพาผู้ชมเข้าสู่อีกมิติหนึ่งของดีซี มันเปิดโอกาสให้หนังสามารถเล่นอะไรได้มากมาย เปิดทางถึงความเป็นไปได้หลายๆอย่าง แน่นอนว่าหนังยังมีปมอีกมากมายที่ยังไม่ได้เล่าในตัวอย่าง ยังมีเซอร์ไพรสที่ซ่อนอยู่อีกพอสมควร ทำให้ระหว่างทางผู้ชมจะเจอได้กับหลายสิ่งที่ทำให้แปลกใจ นี่คือความสนุกของ The Flash และแน่นอนว่าหนังจะทำให้แฟนของดีซีกรี๊ดลั่นอย่างแน่นอนอีกหนึ่งความรู้สึกระหว่างดู The Flash คือการที่สัมผัสได้ว่า นี่เหมือนจะเป็นหนังภาคต่อกลายๆของ Batman Returns สำหรับแฟนๆของ แบทแมน ฉบับของ ไมเคิล คีตัน นี่เป็นเหมือนหนังที่จะพาผู้ชมไปรู้เรื่องราวของตัวละครนี้ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับบรู๊ซ เวย์น ฉบับนี้ตลอด 30 ปีที่ผ่านมา หลังจากจบภาคนั้นไปแล้วคีตันไม่รับบทนี้ต่อ ทำให้เกิด Batman Forever ขึ้น หนังเรื่องนี้เลยเปรียบเหมือนแบทแมนภาคที่หายสาบสูญไป ซึ่งการกลับมาครั้งนี้ของคีตัน เขายังคงเท่และทรงพลังมากๆในบทของแบทแมน แม้ว่าอายุของเขาและตัวละครบรู๊ซในหนังจะค่อนข้างมากแล้ว แต่ก็ไม่มีอะไรสามารถลดพลังและเสน่ห์ของแบทแมนในแบบของเขาได้เลย และจุดนี้ยิ่งเพิ่มเสน่ห์ให้กับหนังมากยิ่งขึ้นอย่างไรก็ตาม แม้ว่าหนัง The Flash จะมีแบทแมนเข้ามาปรากฏตัวถึงสองเวอร์ชั่น และใช้เวลากับตัวละครอัศวินแห่งรัตติกาลพอสมควร แต่ก็ไม่ได้แย่งซีนจากเดอะแฟลชไปแต่อย่างใด ผู้ชมยังคงเต็มอิิ่มกับตัวละครนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้ชมจะได้เจอกับแบร์รี่ถึงสองคน เดอะแฟลชถึงสองเวอร์ชั่นด้วยกัน ทำให้เราได้เรียนรู้และรู้จักตัวละครนี้มากเสียยิ่งกว่ามาก สิ่งที่ชอบมากๆใน The Flash คือการที่หนังทำให้ผู้ชมได้สัมผัสด้านที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนของตัวละครนี้ในหลายๆด้าน หลังจากใน Justice League เราอาจจะรู้จักเขาแค่เพียงผิวเผิน แต่ในหนังเดี่ยวจะได้เห็นถึงทั้งมุมที่แข็งแกร่งและอ่อนแอของตัวละคร ให้เห็นชัดว่าแม้เขาจะเป็นซูเปอร์ฮีโร่แต่ก็มีมุมที่เปราะบางในแบบมนุษย์มากๆ มีความผิดพลาดเฉกเช่นคนทั่วไป ทำให้นี่คือหนังเดี่ยวของ The Flash อย่างแท้จริง ไม่ได้โดนใครแย่งซีนไปทั้งนั้นโดยรวม The Flash ถือเป็นอีกสเต็ปของจักรวาลดีซีที่น่าพอใจมากๆ เป็นการสร้างมัลติเวิร์สของตัวเองในแบบที่ไม่น้อยหน้าใคร ในฐานะหนังเดี่ยวของเดอะแฟลชก็ทำหน้าที่ได้ดีที่ทำให้ผู้ชมได้รัก ได้เข้าใจตัวละครนี้ในฐานะมนุษย์มากขึ้น ในฐานะหนังในจักรวาลดีซีมันก็น่าจะทำให้แฟนๆพึงพอใจได้อย่างมากเช่นกัน ด้วยการพาไปสำรวจหลายๆมุมในโลกของดีซีที่หลายมุมแฟนๆอาจไม่เคยเห็นมาก่อน หลายมุมเคยเห็นแต่ห่างหายไปนาน ในฐานะหนังฟอร์มยักษ์กลางซัมเมอร์ หนังก็มาพร้อมกับงานโปรดักชั่นที่ไม่ธรรมดาและฉากแอ็กชันสุดตื่นตา เรียกว่าครบองค์ประกอบหนังฟอร์มใหญ่ที่ควรดูเลยจริงๆ ไม่ว่าในอนาคตจักรวาลดีซีจะถูกเปลี่ยนไปในทิศทางใด The Flash ยังจะได้ไปต่อหรือไม่ นี่คือหนังซูเปอร์ฮีโร่อีกหนึ่งเรื่องที่ไม่ควรพลาดชมตัวอย่าง The Flash เข้าฉายสัปดาห์นี้ในโรงภาพยนตร์

[REVIEW] ‘Ant-Man and The Wasp : Quantumania’ เปิดเฟสใหม่อย่างตื่นตา พร้อมกับวายร้ายที่โคตรสะพรึง| GOSSIP GUN

21 ก.พ. 2023

[REVIEW] ‘Ant-Man and The Wasp : Quantumania’ เปิดเฟสใหม่อย่างตื่นตา พร้อมกับวายร้ายที่โคตรสะพรึง| GOSSIP GUN

หลังจากเหล่าอเวนเจอร์สสามารถโค่นทานอสไปได้ในหนัง Avengers ภาคล่าสุด เป็นการปิดหนัง MCU ในพาร์ทของ The Infinity Saga ไปได้อย่างสวยงาม ถึงเวลาแล้วที่แฟนๆและคอหนัง จะได้ทำความรู้จักตัวร้ายหลักประจำเส้นเรื่องใหม่อย่างThe Multiverse Saga นั่นก็คือ แคงผู้พิชิต ที่จะปรากฏตัวเป็นครั้งแรกใน Ant-Man and The Wasp : Quantumania ซึ่งนอกจากหนังจะทำหน้าที่ปิดไตรภาคของ แอนท์-แมน เองแล้ว ยังถือว่าเป็นหนังเรื่องแรกใน MCU เฟส 5 อีกด้วย ที่นอกจากจะสำรวจพหุจักรวาลให้ลึกขึ้น หนังยังทำหน้าที่ปูไปยังปมใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในจักรวาลนี้ ซึ่งจะถูกปิดท้ายด้วยหนัง Avengers : The Kang Dynasty และ Avengers : Secret Wars ที่จะออกฉายใน 2-3 ปีข้างหน้าเรื่องราวใน Ant-Man and The Wasp : Quantumania เริ่มต้นขึ้น เมื่อแคสซี่ ลูกสาวของ สก็อตต์ แลง ที่ประดิษฐ์เครื่องมือในการส่งสัญญาณเพื่อติดต่อกับในมิติควอนตั้มขึ้น โดยที่เธอไม่รู้เลยว่า นั่นคือจุดเริ่มต้นของวิกฤตครั้งใหม่ จากสิ่งประดิษฐ์นี้ ทำให้ สก็อตต์, โฮป, แคสซี่, ดร.แฮงค์ และเจเน็ต ถูกดูดเข้าไปในมิติควอนตั้ม ซึ่งสร้างความหวาดผวาอย่างมากให้กับ เจเน็ต เพราะเธอเคยถูกขังอยู่ในมิตินี้ นานกว่า 30 ปีกว่าจะออกไปได้ และเธอรู้ดีว่า อันตรายอะไรที่กำลังคืบคลานมาหาพวกเขา ทั้ง 5 จึงต้องทำทุกทางเพื่อหาทางออกไปจากที่นั่นให้เร็วที่สุด พร้อมกับหยุดยั้งบุคคลอันตราย ที่พยายามทำทุกทางเพื่อออกไปจากมิตินี้เช่นกัน..หากเทียบกับหนังในตระกูล Ant-Man ทั้งสองภาคก่อนหน้านี้ Ant-Man and The Wasp : Quantumania ถือเป็นภาคที่ดูจะมีMood Tone ที่แตกต่างจากเดิมค่อนข้างมาก แม้ว่ายังคงมีอารมณ์ขัน และโครงเรื่องที่เกี่ยวกับครอบครัวอยู่ แต่เพราะเหตุการณ์ในเกือบทั้งเรื่อง เกิดขึ้นในมิติควอนตัม งานภาพของภาคนี้ จึงดูแตกต่างจากภาคก่อนๆไปอย่างสิ้นเชิง ดูคล้ายหนังอย่าง Doctor Strange ภาคล่าสุด ซึ่งถือว่าเป็นหนังที่มีบทบาทสำคัญใน The Multiverse Saga เช่นเดียวกัน แต่ในขณะเดียวกัน แม้ว่างานโปรดักชั่นของ Ant-Man and The Wasp : Quantumania จะดูยิ่งใหญ่กว่าภาคก่อนๆ แต่ด้วยความยาวเพียง 2 ชั่วโมง ทำให้หนังอาจจะดูไม่ยิ่งใหญ่เท่า Doctor Strange In The Multiverse of Madness หรือBlack Panther : Wakanda Forever แต่กระนั้น มันก็มีข้อดีอย่างชัดเจน คือหนังสั้น ทำให้ค่อนข้างกระชับ และเดินเรื่องฉับไว หนังแทบจะไม่เสียเวลาตรงไหนที่ไม่จำเป็นกับเรื่องเลยจุดที่โดดเด่นมากๆของหนังภาคนี้ กลับไม่ใช่ครอบครัวของ แอนท์-แมน แต่เป็นการปรากฏตัวของ แคงผู้พิชิตเสียมากกว่า ซึ่งการแสดงของ โจนาธาน เมเจอร์ส นั้น ชวนขนลุกและน่าเกรงขามมากๆ ตั้งแต่สีหน้า ท่าทาง หรือแม้แต่น้ำเสียงที่ดูแสนจะเลือดเย็น ตั้งแต่วินาทีที่แคงปรากฏตัวบนจอ ดูเหมือนหนังจะถูกขโมยไปเป็นหนังของเขาเลยทีเดียว และตลอดเวลาที่ดู ผู้ชมสามารถสัมผัสได้ทันทีว่า นี่ไม่ใช่ตัวร้ายธรรมดาทั่วไป นี่เป็นตัวร้ายที่บางทีอาจจะเก่งเกินกว่าที่ แอนท์-แมน จะสามารถโค่นได้ Ant-Man and The Wasp : Quantumania จึงทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยมในฐานะหนังเปิดเฟส 5 ของจักรวาลมาร์เวล ซึ่งดูแล้ว ความสามารถของแคง และเจตนารมณ์อันน่าสะพรึงนั้น สามารถเป็นแกนหลักให้กับ The Multiverse Saga ได้อย่างสบายๆในส่วนของครอบครัวแอนท์-แมน เอง ภาคนี้ก็ยังคงยึดในความรักและความผูกพันอย่างชัดเจน ยังคงตอกย้ำภาพลักษณ์ของหนัง Ant-Man ที่ดูจะเป็นหนังครอบครัวมากกว่าหนังซูเปอร์ฮีโร่ตัวอื่นๆใน MCU แต่ตัวละครที่โดดเด่นในภาคนี้มากที่สุด ต้องยกให้บท เจเน็ท ที่ มิเชลล์ ไฟเฟอร์ แสดงไว้ได้อย่างชวนขนลุก เนื่องจากตัวละครของเธอ เคยถูกขังอยู่ในมิติควอนตัมมาแล้ว ทำให้เจเน็ท ขยับขึ้นมามีบทบาทสำคัญในหนังภาคนี้ และนั่นเปิดโอกาสให้นักแสดงรุ่นใหญ่ได้โชว์ฝีมือการแสดงได้อย่างเต็มที่ กับบทที่มีมิติและความซับซ้อนทางอารมณ์มากขึ้น แต่ไฮไลต์สำคัญสำหรับใครที่เติบโตมาในยุค 90s คือการที่ตัวละครของ มิเชลล์ ไฟเฟอร์, ไมเคิล ดักกลาส และสมาชิกใหม่ของภาคนี้อย่าง บิล เมอร์เร่ย์ ปรากฏตัวพร้อมกัน เป็นฉากที่ชวนย้อนระลึกความหลังได้อย่างดี ถึงความยิ่งใหญ่ในยุคสมัยนั้นโดยรวมแล้ว Ant-Man and The Wasp : Quantumania สามารถจัดเข้ากลุ่มหนังใน MCU ที่สามารถดูได้เพลินๆ ความสนุกอยู่ในระดับปานกลาง อาจจะไม่ได้เข้มข้นหรือบีบอารมณ์ผู้ชมเท่าหลายๆเรื่อง แต่กระนั้น หนังเรื่องนี้ต้องถือว่ามีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการก้าวต่อของ จักรวาลมาร์เวลเฟสใหม่ ทำให้หนังดูเหมือนจะทำหน้าที่เป็นหนังเปิดเฟสใหม่ มากกว่าหนังปิดไตรภาคของเส้นเรื่อง Ant-Man เอง สำหรับแฟนของมาร์เวลเอง น่าจะมีหลายจุดในหนังที่ทำให้ร้องว้าว นับตั้งแต่การปรากฏตัวของแคง ไปจนถึงฉากแถมระหว่างและหลังจบ End-Credit ที่ในเรื่องนี้มีแถมให้ถึง 2 ฉาก และต่างเป็นซีนที่สำคัญ เพื่อก้าวสู่สเต็ปต่อไปของจักรวาลมาร์เวลชมตัวอย่าง Ant-Man and The Wasp : Quantumania วันนี้ในโรงภาพยนตร์

album

0
0.8
1