[REVIEW] “Seoul Ghost Stories” ผีดุที่เกาหลี 10 เรื่องผีหลอกเกินเบอร์ ! | GOSSIP GUN

HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] “Seoul Ghost Stories” ผีดุที่เกาหลี 10 เรื่องผีหลอกเกินเบอร์ ! | GOSSIP GUN

12 พ.ค. 2022

หนังผีที่แบ่งเป็นตอนๆ ไม่ใช่คอนเซปต์ใหม่อะไร เพราะดูกันมาตั้งแต่ตั้งแต่ยุค ผีสามบาท ไล่มาถึง สี่แพร่ง ห้าแพร่ง และล่าสุด เทอมสองสยองขวัญ แต่สำหรับหนังผีเกาหลีเรื่องล่าสุด Seoul Ghost Stories บอกว่าเท่านี้ไม่พอหรอก จัดหนักแบบ 10 เรื่องกันไปเลย จากความยาวหนังราวๆ 2 ชั่วโมง ไปหารกันเองว่าแต่ละตอนจะยาวเหลือเรื่องละเท่าไร คอนเซปท์ของหนังผีทั้ง 10 เรื่องนี้ คือการหยิบเรื่องสยองในกรุงโซลมาเล่า ด้วยสไตล์ที่แตกต่างกันไป นอกจากนี้จุดเด่นหลักคือการหยิบเอาศิลปินป็อปไอดอลหลายๆ คน จากหลายๆ วงมารวมตัวกันอยู่ในเรื่องนี้ด้วย

สำหรับพล็อตทั้ง 10 เรื่องของ Seoul Ghost Stories ขืนเล่าหมดคงจะไม่สนุก ขอหยิบเอาบางส่วนมาเกริ่นๆ ยั่วน้ำลายก่อน ตอนแรกที่โปรโมตออกมาคือ อุโมงค์ต้องตาย เล่าถึงชายคนหนึ่งที่ขับรถคนเดียว ผ่านอุโมงค์สุดวังเวงตอนกลางดึก ระหว่างทางเขาก็พบรอยมือแปะหน้ากระจกรถ จึงพยายามออกจากรถไปเช็ดออก แต่แล้วเขากลับพบว่า รอยมือนี้อยู่ข้างในรถ...ตกลงใครนั่งมาในรถกับเขากันแน่ อีกตอนที่น่าจะทำเอาหลายคนผวาไปตามๆ กัน คือ ปรสิตกินฟัน เรื่องราวของทันตแพทย์ ที่ต้องรักษาคนไข้ปริศนารายหนึ่งที่ปวดฟันขั้นสุด แต่ตรวจยังไงก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ จนไม่นานเขาได้พบสิ่งมีชีวิตลึกลับเลื้อยอยู่ในอ่างคลีนิคของเขา และสิ่งนี้จะทำให้ชีวิตเขาเปลี่ยนไปตลอดกาล

ข้อดีแบบชัดๆ ของ Seoul Ghost Stories คือพอมันมีถึง 10 เรื่อง แต่ละเรื่องจึงใช้เวลาเกริ่นไม่นาน พักเดียวก็เข้าสู่พาร์ตผีดุเลย ทำให้รู้สึกว่าตลอด 2 ชั่วโมง ฉากสยองมาถี่ ติดๆ กันแบบไม่ได้พัก และตลอดทั้ง 10 เรื่องก็นำเสนอมุมมองของความสยองขวัญที่แตกต่างกันไป ไม่ได้เป็นผีที่ซ้ำแบบกันทุกตอน ทำให้ไม่ได้รู้สึกซ้ำซาก แต่ข้อเสียที่ชัดเจนอีกเช่นกัน ของการมี 10 เรื่อง ทำให้แต่ละเรื่อง ไม่ได้ปูรายละเอียดที่มากพอ ผู้ชมยังไม่ทันได้อินกับตัวละครก็โดนผีหลอกแล้ว จนอาจจะยังไม่รู้สึกเอาใจช่วยเท่าไหร่นัก เน้นดูผีดุแบบจัดหนักไปพอ

สิ่งที่โดดเด่นมากของ Seoul Ghost Stories คือการนำเสนอผีที่ค่อนข้างโฉ่งฉ่างมาก อยากจะใช้คำเรียกว่าเป็นหนังสยองขวัญที่อึกทึกครึกโครม เพราะหนังไม่ยั้งมือในการนำเสนอฉากสยอง ไม่ว่าจะเป็นฉากโหดก็โหดแบบหนักมือ ฉากผีหลอกก็ออกมาให้ดุสมชื่อจริงๆ ใครที่ชอบดูหนังผี น่าจะสนุกกับการได้เห็นผีแบบจุกๆ จุใจแบบนี้ ตัวหนังเองอาจจะไม่ได้น่ากลัวเท่าไหร่นัก (สำหรับผู้เขียน) แต่มันสนุกในการเห็นผีแบบจะๆ ถือเป็นหนังผีที่ดูเอามันส์และสะใจอยู่ไม่น้อย !

โดยรวม Seoul Ghost Stories เป็นหนังผีจากเกาหลีที่อยากให้ลองของ ไม่ค่อยได้ดูหนังผีแบบ 10 เรื่องติดแบบนี้ในโรง ซึ่งมันค่อนข้างวาไรตี้ หลายตอนที่พล็อตอาจจะฟังดูธรรมดา อาทิ เรื่องหลอนที่เกิดกับตู้เก่า เรื่องสยองหลังกำแพงห้องข้างๆ แต่พอเอาเข้าจริง หนังนำเสนออะไรเยอะกว่านั้น แล้วมันสนุกตรงที่ต้องมานั่งดูกันว่า แต่ละตอนมันจะมีบทสรุปอย่างไร เหมือนดูหนังหักมุมแบบเยอะๆ พร้อมกัน


ให้ 7.5 คะแนนเต็ม 10

related HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘Plane’ หนังแอ็กชันสายเดือด เครื่องบินดิ่งบนเกาะนรก| GOSSIP GUN

20 ม.ค. 2023

[REVIEW] ‘Plane’ หนังแอ็กชันสายเดือด เครื่องบินดิ่งบนเกาะนรก| GOSSIP GUN

เจอราร์ด บัตเลอร์ ถือเป็นพระเอกสายบู๊ที่ยังคงแอคทีฟต่อเนื่อง ไม่มีช่วงที่ไม่มีหนังเขาเข้าฉายเลย แต่ในแง่กระแสตอบรับ ก็มีทั้งหนังเจ๋งและหนังเจ๊งสลับกันไป แต่กับผลงานล่าสุดที่ชื่อสั้นๆอย่าง Plane (ชื่อไทย ดิ่งน่านฟ้า เดือดเกาะนรก) ต้องจัดเข้าสู่กลุ่มแรก เพราะหนังสามารถกวาดคะแนนผู้ชม Audience Score ไปได้สูงถึง 94% จากเว็บไซด์ Rotten Tomatoes ในขณะที่คะแนนนักวิจารณ์ก็ปาเข้าไป 75% ถือว่าเยอะมากจริงๆ สำหรับพระเอกสายบู๊คนนี้ เพราะโดยปกติหนังของเขาจะถูกจัดเข้าสู่กลุ่มมะเขือเน่ามากกว่า ทำให้ Plane กลายเป็นหนังแอ็กชันสุดเซอร์ไพรส น่าจะตามองเรื่องแรกของปี 2023แน่นอนว่า Plane ต้องเล่าถึงเครื่องบิน โดยเจอราร์ดรับบทเป็นกัปตันโบรดี้ ที่กำลังขับเครื่องบินไฟลต์ข้ามปีใหม่ จากสิงคโปร์มุ่งหน้าสู่โตเกียว ทุกอย่างดูเหมือนจะปกติราบรื่นดี จนกระทั่งวิกฤตแรกเขาพบว่า เที่ยวบินนี้จะมีนักโทษคดีฆาตกรรมพร้อมผู้คุมมาร่วมเดินทางไปด้วย วิกฤตที่สอง ในขณะที่เขากำลังบินผ่านเหนือทะเลจีนใต้ ก็เกิดสภาพอาการแปรปรวนขึ้นทำให้เขาต้องนำเครื่องลงในพื้นที่ที่ใกล้ที่สุด และวิกฤตสุดท้าย คือการที่เขาได้ค้นพบว่า เกาะที่พวกเขาแลนดิ้งนั้น อยู่ในฟิลิปปินส์ แต่ถูกควบคุมโดยกลุ่มแบ่งแยกดินแดนติดอาวุธ ที่แม้แต่รัฐบาลก็ไม่อยากยุ่ง เขาและเหล่าผู้โดยสาร จึงเสี่ยงที่จะถูกจับเป็นตัวประกัน กัปตันเจอราร์ด จึงต้องทำทุกทางเพื่อปกป้องคนของเขา ซึ่งนั่นรวมถึงการที่จะต้องร่วมมือกับนักโทษบนเครื่อง ที่เป็นอดีตทหารฝีมือฉกาจภาพรวมนั้น Plane มีคุณสมบัติครบถ้วนสำหรับหนังแอ็กชันในแบบที่ควรจะเป็น พล็อตที่สามารถไต่ระดับความตื่นเต้น รักษาบรรยากาศสุดระทึกได้ตลอดเวลา ฉากแอ็กชันที่ดุเดือดสมจริง ตัวร้ายที่น่าเกรงขาม เริ่มจากฉากใหญ่ฉากแรกคือฉากเครื่องบินที่ต้องเผชิญมรสุมและต้องหาทาลงจอดฉุกเฉินให้ได้ หนังสามารถถ่ายทอดออกมาได้อย่างสมจริง จนใครที่กลัวการขึ้นเครื่องบิน อาจจะหลอนกับฉากนี้ก็ได้ ต่อด้วยฉากแอ็กชันต่างๆบนเกาะที่เข้มข้นถึงใจ ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้แบบตัวต่อตัว มีฉากที่พระเอก เจอราร์ด บัตเลอร์ สู้กับตัวร้ายแบบ Long Take ซึ่งเจ๋งมากๆ ฉากการใช้อาวุธปะทะกันที่โหดแบบไม่เกรงใจใครนอกจากนี้ Plane ยังมีองค์ประกอบอื่นๆที่น่าสนใจ ทำให้หนังสนุกแบบครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ขันที่ใส่เข้ามา มาได้ถูกจังหวะถูกที่ และสามารถเรียกเสียงหัวเราะได้บ่อยมากๆ การออกแบบตัวละครของ เจอราร์ด ให้ไม่ได้เก่งกาจเหนือมนุษย์มากนัก ทำให้หนังยิ่งสมจริง ดูพระเอกสูสี หรืออาจจะอ่อนด้อยกว่าบรรดาตัวร้ายด้วยซ้ำ ยิ่งทำให้ผู้ชมอินกับหนังและเอาใจช่วยตัวละครหลักมากขึ้น รวมถึงการที่หนังเรื่องนี้ แทบจะไม่มีตัวละครที่ชวนขัดใจ หรือบทที่งี่เง่าเลย ยิ่งทำให้ผู้ชมไม่รู้สึกขัดอะไรกับหนัง สามารถเอ็นจอยไปได้ตลอดจนจบในแบบที่ไม่มีอะไรให้หงุดหงิด (ซึ่งหลายครั้งที่หนังแนวนี้ หรือหนังผี จะมีอะไรให้หงุดหงิดเสมอ)สรุปแล้ว Plane ถือเป็นหนังแอ็กชันฟอร์มกลางๆที่ทำถึง และสนุกแบบครบถ้วนมากๆ ถ้าชอบหนังแอ็กชันในสไตล์แบบยุค80s-90s น่าจะชอบเรื่องนี้ มันมีความโหดเหี้ยมในฉากแอ็กชันแบบเดียวกับ Rambo มันมีอารมณ์บางอย่างที่คล้ายกับหนังอย่าง Con Air และอีกหลายๆเรื่อง ถือเป็น 2 ชั่วโมงที่บันเทิงมากๆ และน่าดูในโรงภาพยนตร์จริงๆPlane เปิดรอบพิเศษหลัง 1 ทุ่มตั้งแต่วันนี้ ฉายจริง 26 มกราคมทุกโรงภาพยนตร์ภาพ : Mongkol Major Mongkol Cinema

[REVIEW] ‘SMILE’ เมื่อรอยยิ้มฆ่าคนตาย หนังสยองสุดตึงเครียด | GOSSIP GUN

27 ก.ย. 2022

[REVIEW] ‘SMILE’ เมื่อรอยยิ้มฆ่าคนตาย หนังสยองสุดตึงเครียด | GOSSIP GUN

จุดเริ่มต้นของหนังสยองขวัญแห่งปีอย่าง Smile เกิดขึ้นจากหนังสั้น Laura Hasn't Slept ของ ปาร์กเกอร์ ฟินน์ ที่คอนเซปต์เจ๋งและสยดสยอง จนถูกใจผู้บริหารของค่ายพาราเมาต์ พิคเจอร์ หนังจึงถูกหยิบมาพัฒนาเป็นหนังใหญ่ โดย ปาร์กเกอร์ ฟินน์ กลับมาสานต่อความหลอนจากหนังสั้นของเขาเอง รับหน้าที่เป็นผู้กำกับหนังใหญ่ครั้งแรก สำหรับ Smile ฉบับยาว เล่าถึง ดร.โรส (รับบทโดย โซซี เบคอน จากซีรีส์ 13 Reasons Why) จิตแพทย์หญิงที่เพิ่งเผชิญเหตุการณ์สุดสยอง เมื่อคนไข้ของเธอฆ่าตัวตายต่อหน้าต่อตา ก่อนตายคนไข้คนนี้คลั่งและบอกว่า มีสิ่งลึกลับที่มีรอยยิ้มไล่ตาม ดร.โรส ยิ่งสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ จึงเริ่มสืบและพบว่า มีคนตายจากรอยยิ้มในลักษณะเดียวกันกว่า 20 คนแล้ว และที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือ ดูเหมือนว่าคำสาปสุดอาถรรพ์นี้กำลังไล่ตามเธอเช่นกัน !สิ่งที่ทำให้ Smile มีเอกลักษณ์และแตกต่างจากหนังสยองขวัญเรื่องอื่นๆ คือ คอนเซปต์ ที่หยิบรอยยิ้มมาทำให้กลายเป็นความหลอน แม้เราอาจจะเห็นรอยยิ้มแบบหลอนๆในหนังมากมาย (อาทิ Joker และ Stephen King's It) แต่มันไม่เคยถูกหยิบมาเป็นแกนหลักของเรื่องอย่างจริงจัง บวกกับเส้นเรื่องในสไตล์การแก้คำสาป แบบเดียวกับ The Ring ที่ดูเหมือนจะไม่ได้เห็นกันมาสักพักใหญ่แล้ว ทำให้ Smile มีความน่าสนใจอยู่ไม่น้อย และหนังยังมีกลิ่นอายแบบ It Follows หนังเขย่าขวัญที่ทำให้คนยืนนิ่งๆดูน่ากลัวได้ เรื่องนี้มีสไตล์คล้ายๆกัน แต่เพิ่มรอยยิ้มเข้าไป ทำให้ระหว่างดูหนัง แม้แต่คนที่ยืนยิ้มนิ่งๆ ยังชวนขนลุกได้ หนังทำให้เราผวาในแบบที่ไม่คาดคิดได้จริงๆนอกจากจะเป็นหนังสยองขวัญ อันที่จริงแล้ว Smile มีความเป็นหนังจิตวิทยาที่ชัดเจนมาก เพราะหนังเล่นกับตัวละครหลักคือ ดร.โรส ซึ่งเป็นจิตแพทย์ แต่อันที่จริงแล้วเธอเองก็เคยเผชิญปัญหาทางจิตมาก่อน และยิ่งมาเจอกับเหตุการณ์หลอนที่หาทางออกไม่ได้แบบนี้ ยิ่งทำให้เธอสติแตกไปกันใหญ่ ความเก่งกาจของหนัง คือการทำให้ผู้ชมตึงเครียด และเหมือนจะประสาทแดกแบบนางเอกได้เหมือนกัน เมื่อหนังยิ่งดำเนินไป ข้อแม้ต่างๆของหนัง ปมคำสาปจากรอยยิ้ม มันชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ การผูกปมของหนังมันเลยยิ่งแน่นขึ้นไปอีก นั่นทำให้ Smile กลายเป็นหนังสยองขวัญที่บีบหัวใจของคุณช้าๆ แต่เมื่อถึงจุดพีกแล้ว มันยิ่งบีบหัวใจขั้นสุดในส่วนของงานโปรดักชันส่งเสริมความสยองของหนังได้อย่างดีเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นเสียงประกอบ ที่หลอนจับใจ การเคลื่อนกล้องที่หลายครั้งเลือกใช้ภาพกลับหัว สไตล์การตัดต่อ การเชื่อมโยงแต่ละฉาก หลายครั้งที่โฉ่งฉ่าง ทำให้ผู้ชมกระตุกได้เหมือนกัน และการบิลด์ผู้ชมด้วยความสยองในแบบ Jump Scare หนังใช้วิธีนี้ค่อนข้างเยอะพอสมควร แต่กระนั้นต้องชื่นชมผู้กำกับ ปาร์กเกอร์ ฟินน์ ที่ให้ฉากหลอกเหล่านี้ ดูมีรสนิยม เป็นการหลอกให้เราตกใจ แบบที่น่าสนใจ ไม่ได้ให้สิ่งลึกลับโผล่มาทื่อๆ อย่างไร้ที่มาที่ไปแต่อย่างใด โดยรวม Smile จึงกลายเป็นหนังสยองขวัญอีกเรื่องของปี 2022 ที่ทำได้ดีเกินคาดจริงๆ ใครที่อยากสัมผัสความหลอน ความตึงเครียด ลองชมหนังเรื่องนี้กันดู 29 กันยายนนี้ในโรงภาพยนตร์ชมตัวอย่าง Smile ยิ้มสยอง สัปดาห์นี้ทุกโรงภาพยนตร์ภาพ : UIP Thailand

[EXCLUSIVE REVIEW] “BROS” สัมภาษณ์พิเศษทีมนักแสดงนำ ปรากฏการณ์หนังรัก LGBTQ+ อารมณ์ดีที่กวาดคำชมล้นหลาม| GOSSIP GUN

02 พ.ย. 2022

[EXCLUSIVE REVIEW] “BROS” สัมภาษณ์พิเศษทีมนักแสดงนำ ปรากฏการณ์หนังรัก LGBTQ+ อารมณ์ดีที่กวาดคำชมล้นหลาม| GOSSIP GUN

ว่ากันว่าหนังรักอยู่คู่กับโลกภาพยนตร์มาตั้งแต่เริ่มต้น เริ่มจากหนังคลาสสิกอย่าง It Happened One Night เมื่อปี 1934 มาจนถึงหนังโรแมนติกเบาสมองยุคใหม่อย่าง When Harry Met Sally, Pretty Women, Sleepless in Seattle จนกระทั่งมาถึงยุคของ Notting Hill และ Love Actually ตลอดระยะเวลาเกือบ 100ปีที่ผ่านมา กับหนังรักหลายพันเรื่อง ไม่เคยมีครั้งไหนมาก่อน ที่สตูดิโอยักษ์ใหญ่ในฮอลลีวูด จะสร้างหนังประเภท Romantic-Comedy ที่มีสองตัวละครนำเป็นเกย์..และนี่คือครั้งแรกบิลลี่ ไอค์เนอร์ นักแสดงตลกที่มีชื่อเสียงจากรายการ Billy on the Street มาพร้อมกับไอเดียของ BROS ในฐานะหนังโรแมนติกเบาสมองที่มีคู่พระนางในเรื่องเป็น "เกย์"แม้ก่อนหน้านี้ ไม่เคยมีสตูดิโอยักษ์ใหญ่รายไหนอนุมัติสร้าง แต่เขาคิดว่ามันถึงเวลาแล้ว เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป โลกเปลี่ยนไป เรื่องราวความรัก LGBTQ+ คู่ควรแก่การถูกเล่าบนจอใหญ่เสียที บิลลี่นำไอเดียนี้ไปเสนอกับ นิโคลัส สโตลเลอร์ ผู้กำกับหนังรอมคอมที่ประสบความสำเร็จอย่าง Forgetting Sarah Marshall และเคยร่วมงานกับบิลลี่มาแล้วใน Bad Neighbors พวกเราทั้งคู่ลงมือเขียนบทภาพยนตร์ด้วยตัวเอง และส่งต่อโปรเจกต์ให้โปรดิวเซอร์หนังตลกแห่งยุคอย่าง จัดด์ อพาโทว์ และนำเสนอต่อสตูดิโอยักษ์ใหญ่อย่าง ยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์ หลังจากนั้น BROS ก็กลายเป็นตำนาน ครั้งแรกที่สตูดิโอใหญ่สร้างหนังเกย์โรแมนติกคอเมดี้EFM94 ขอเป็นส่วนหนึ่งในความพิเศษครั้งนี้ กับการเป็นตัวแทนจากประเทศไทย ร่วมพูดคุยกับทีมนักแสดงนำ และผู้กำกับ และที่สำคัญอย่างยิ่ง ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับ บิลลี่ ไอค์เนอร์ ในฐานะผู้เริ่มต้นโปรเจกต์, ผู้เขียนบทภาพยนตร์ และที่สำคัญ เขาคือพระเอกของหนังเรื่องนี้อีกด้วย บิลลีี่รับบทเป็บ บ็อบบี้ เกย์วัย 40 อัปที่ไม่เชื่อในความรัก จนกระทั่งได้พบกับรักแท้ บิลลี่เล่าว่าเขาอยู่ในขั้นตอนการเขียนบทอยู่หลายปีเลย และเขากับนิค (ผู้กำกับ) ที่เป็นคู่หูที่แตกต่างอย่างดีเยี่ยม บิลลี่เผยว่า - "นิคเป็นชายแท้ ผมเป็นเกย์ นิคเขียนบทหนังมาตลอด แต่ผมไม่เคยมาก่อน ดังนั้น เราจึงต้องแชร์ความรู้แก่กันหลายอย่าง นิคค่อยๆสอนผมขั้นตอนต่างๆในการเขียนบทหนัง หนังรอมคอมสำหรับสตูดิโอใหญ่ๆ องค์ประกอบที่ต้องมี เรื่องราว สิ่งที่ค่ายหนังมองหา ผมเริ่มต้นจากมุมมองคนละแบบ ในฐานะคนที่ไม่รู้กฏเกณฑ์ในการเขียนมาก่อน ไม่รู้ว่ามันต้องออกมาเป็นอย่างไร ในขณะที่ นิคไม่รู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมเกย์ ไม่เคยมีประสบการณ์ด้านนี้มาก่อน ดังนั้น เราสอนซึ่งกันและกันเยอะมาก"บิลลี่เล่าต่อว่า แม้ประสบการณ์ในการเขียนบทหนังจะแตกต่างกัน ตัวตนในเรื่องเพศสภาพจากต่างกัน แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขาเหมือนกัน คือ ความรักที่มีให้กับหนังตลกที่ทำให้ผู้ชมหัวเราะออกมาได้ดังๆ บิลลี่ เล่าว่า ในหนังเรื่อง BROS พวกเขาไม่อยากเล่นอะไรที่เบาและนุ่มนวล เราต่างอยากให้ผู้ชมผจญภัยไปกับหนังได้ ทั้งสนุกและหัวเราะหนักๆ นั่นแหละคือเป้าหมายของทั้งเขาและนิค บิลลี่เผยว่า - "นิคสอนผมเกี่ยวกับกฏในการเขียนบทหนังหลายอย่าง และในขณะเดียวกันหลายครั้งที่ผมยุให้เขาลองแหกกฏดูบ้าง เพราะบางครั้งมันก็สนุกอยู่นะที่จะแหกกฏ เพราะมันจะทั้งเซอร์ไพรสและคาดเดาไม่ได้ เขาเป็นคู่หูที่ดีมากๆ และผมภูมิใจในงานที่พวกเราทำมาก"ในขณะที่ นิโคลัส สโตลเลอร์ ผู้กำกับและผู้ร่วมเขียนบทของ BROS เล่าว่า จุดเริ่มต้นมันคือการที่เขาเคยได้ร่วมงานกับบิลลี่ใน Bad Neighbors 2 นิคเล่าต่อว่า - "เป็นเป็นนักแสดงที่ยอดเยี่ยมมากนะ จนกระทั่งผมได้ยินไอเดียเกี่ยวกับหนังโรแมนติกคอเมดี้ที่ผู้ชายสองคนตกหลุมรักกันจากบิลลี่ พอได้ยินไอเดียนี้ ผมก็สนใจทันที ผมกับบิลลี่ พวกเรามองหาโปรเจกต์ที่จะทำร่วมกันมานานแล้ว ในฐานะที่ผมเป็นชายแท้ก็ค่อยๆศึกษาเรื่องเกย์จากเขา หลังจากนั้นเราก็ค่อยๆพัฒนาบทกันมา" – ในฐานะที่ BROS กลายเป็นหนังโรแมนติกคอเมดี้ที่มีตัวละครนำเป็นเกย์เรื่องแรก นิคออกความเห็นว่าคนดูพร้อมจะดูหนังเกย์รอมคอมมานานแล้วนะ เขาบอกว่าสตูดิโอช้ากว่าคนดูเยอะ ก่อนหน้านี้มักจะมีแต่พวกหนังเกย์ที่เป็นโศกนาฏกรรม แนวออสการ์ แล้วก็พวกหนังเกย์อินดี้ในยุค 90s นิคจำได้ว่าตอนเด็กๆ เขาดู The Birdcage เป็นหนึ่งในหนังที่ตลกที่สุดเท่าที่จำความได้ แล้วตามมาด้วย In Out ซึ่งตอนนั้นก็ทำเงินนะ แต่ไม่รู้ทำไมถึงหายไป และหวังว่าตอนนี้จะเป็นเวลาที่ใช่อีกครั้งความน่าประทับใจของการมีหนังอย่าง BROS คือการที่เกย์รุ่นใหม่ๆ จะมีอะไรที่เล่าขานหรือสื่อสารเรื่องราวของพวกเราในรูปแบบหนังใหญ่เสียที บิลลี่เผยว่า - "ผมว่า เกย์รุ่นใหม่กำลังมา มันมีสื่อมากมายที่จะแสดงถึงตัวตนของพวกเขา ทั้งบนหน้าจอทีวีหรือในออนไลน์ ในโซเชียลมีเดีย หรือ สตรีมมิ่งแพลตฟอร์ม ซึ่งผมเคยคาดหวังว่า พวกเราจะมีแบบนั้นบ้าง ตอนสมัยที่พวกเรายังวัยรุ่น ย้อนกลับไปสมัยรุ่นผมหรือรุ่นก่อนหน้า LGBTQ+ ไม่มีพื้นที่มากนักเท่าตอนนี้ ตอนนั้นไม่มีแม้แต่แนวทางที่ชัดเจนว่า ความสัมพันธ์ของเกย์เป็นแบบไหน ไม่มีแม้แต่หนังโรแมนติกคอเมดี้ในแบบของเรา ผมจึงภูมิใจที่ BROS จะได้เป็นคลื่นลูกใหม่ ในการบอกเล่าความรักของเกย์ในแบบหนังรอมคอม เพื่อให้คนรุ่นใหม่หรือแม้แต่รุ่นผม ได้เห็นว่าเรื่องราวความรักของเกย์มันเป็นอย่างไร เป็นแรงบันดาลใจให้รุ่นต่อๆไป"."ผมโตขึ้นมาในฐานะแฟนคลับของ เม็ก ไรอัน" – บิลลี่เล่าต่อถึงแรงบันดาลใจให้เขาอยากทำหนังโรแมนติกเบาสมองที่สองตัวละครนำเป็นเกย์ - "ผมชอบหนังของเธอแทบทุกเรีื่อง When Harry Met Sally, Sleepless in Seattle, You've Got Mail, French Kiss ผมพูดชื่อหนังต่อไปได้อีกเรื่อยๆ ผมรักหนังเหล่านั้นมาก รักจังหวะของชายหญิงตัวละครนำ สิ่งที่ผมรู้สึกพิเศษมากเกี่ยวกับ BROS คือผม ไม่เคยเห็นตัวเองในหนังเหล่านั้นเลย เพราะผมเป็นเกย์ คุณไม่ได้เป็นทั้ง ทอม แฮงค์ หรือว่า เม็ก ไรอัน มันอาจจะมีบางอย่างที่เชื่อมโยงกับคุณ อาจจะมีบางอย่างที่ทำให้คุณหัวเราะ ร้องไห้ แต่มันไม่เคยมีอะไรที่สะท้อนถึงความเป็นตัวตนของผมเลย ดังนั้น หนังเรื่องนี้จึงพิเศษทั้งสำหรับ ชายจริงหญิงแท้และเกย์ เพราะพวกคุณจะได้สัมผัสถึงวัฒนธรรมใหม่ๆ เหมือนๆกัน ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าหนังเหล่านี้จะมีเวอร์ชั่นสำหรับ LGBTQ+ได้ ถือว่าฮอลลีวูดมาได้ไกลพอสมควรเลย หนังเรื่องนี้จะมีหลายองค์ประกอบจากหนังรอมคอมในแบบที่ผู้ชมชอบ แต่ก็มีหลายอย่างที่แปลกใหม่มากจริงๆ"นอกจาก BROS จะเป็นหนังรักเบาสมองของเกย์เรื่องแรกจากสตูดิโอใหญ่แล้ว ในแง่ของงานสร้าง BROS ไปได้ไกลยิ่งกว่านั้น ด้วยการคัดเลือกให้ทีมนักแสดงนำทั้งหมดในหนัง ล้วนเป็นนักแสดง LGBTQ+ แม้แต่คาแร็คเตอร์ที่เป็นชายจริงหญิงแท้ในหนังก็ตาม เริ่มจาก ลุค แมคฟาร์เลน นักแสดงเกย์ ที่รับบทเป็นหนุ่มสุดฮ็อต แอร่อน ชายที่ทำให้บ็อบบี้ตกหลุมรักเข้าอย่างจัง แม้บ็อบบี้จะไม่เชื่อในความรักเท่าไหร่นัก แต่แอร่อนจะทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป ลุคเผยว่าการทำงานกับบิลลี่ ทั้งสนุกและง่ายมากๆ ลุคเล่าว่า - "บิลลี่เป็นคนที่ใจกว้างมาก เขาให้คำแนะนำตลอดเกี่ยวกับตัวละครนี้ รวมถึงปล่อยให้ผมได้ลองแสดงบทนี้ในแบบของตัวเองด้วย มันแปลกดีเหมือนกันที่ได้เล่นหนังคู่กับคนที่เขียนบทเรื่องนี้ แต่บิลลี่ เชื่อมั่นในขั้นตอนของการคัดเลือกนักแสดง ตอนที่ทดสอบบทเคมีเราเข้ากัน เขาปล่อยให้ผมเป็นตัวของตัวเองมากที่สุด ปล่อยให้ผมได้ลองตกหลุมรักเขาบนจอ ดังนั้น ผมได้รับการสนับสนุนอย่างมาก จาก บิลลี่ ครับ"นอกจากบทของคู่พระนางอย่าง บ็อบบี้และแอร่อนแล้ว ไฮไลต์สำคัญของ BROS ที่จะทำให้ผู้ชมหัวเราะจนท้องแข็ง คือเหล่านักแสดงสมทบ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตัวละครแก๊งสมาชิกบอร์ดของพิพิธภัณฑ์ โปรเจกต์ในฝันของบ็อบบี้ ที่เขาอยากสร้าง เกย์มิวเซียมที่บอกเล่าประวัติศาสตร์ ความเป็นมาที่สำคัญของ LGBTQ+ โดย BROS ได้นักแสดง LGBTQ+ ที่มีความหลากหลายในตัวตนมารับบทสมาชิกบอร์ด ทั้ง ทีเอส แมดิสัน ตัวแม่แห่งรายการเรียลลิตี้จาก The Ts Madison Experience มารับบทแองเจลล่า, มิส ลอว์เรนซ์ แฮร์สไตล์ลิสที่โด่งดังจากผลงานมากมาย มารับบท วานด้า, ด็อต-มารีย์ โจนส์ นักแสดงที่แฟนซีรีส์คุ้นหน้าคุ้นตาจาก Glee ในบทเชอร์รี่, จิม แรซ จากซีรีส์ Community ในบทโรเบิร์ต และ อีฟ ลินด์ลีย์ จากนางแบบทรานส์สู่นักแสดงมากฝีมือ ในบททามาร่า เมื่อพวกเขาได้รู้ว่า BROS จะเป็นหนังเรื่องแรกที่นักแสดงทั้งหมดเป็น LGBTQ+ ต่างเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า มันถึงเวลาแล้วเสียที มิส ลอว์เรนซ์ เผยว่า - "สิ่งที่ฉันคิดคือ มันถึงเวลาแล้วสินะ ที่พวกเราจะได้แสดงตัวตนที่แท้จริงของพวกเราออกไป เล่าเรื่องราวของพวกเราจริงๆ ในโลกของภาพยนตร์หรือซีรีส์" ในขณะที่ทีเอส แมดิสัน บอกว่าเห็นด้วยเช่นกัน เธอกล่าวต่อว่า - "มันถึงเวลาแล้วละ อันที่จริงมันไม่ควรจะต้องใช้เวลานานขนาดนี้ด้วยซ้ำ แต่ฉันเชื่อว่าทุกอย่างมันเกิดขึ้นในเวลาที่สมควร"ด็อต-มารีย์ เผยถึงประสบการณ์ในการถ่ายทำ BROS ซึ่งเธอบอกว่าไม่เหมือนหนังหรือซีรีส์เรื่องไหนที่เธอเคยแสดงมาก่อน เธอเล่าต่อว่า - "ก่อนอื่น ฉันขอบอกเลยว่า ฉันไม่เคยสัมผัสประสบการณ์ไหน เหมือนกับตอนที่แสดงใน Glee เลย ในเรื่องนั้น ไรอัน (ไรอัน เมอร์ฟีย์ โปรดิวเซอร์ Glee) พยายามจะเล่าเรื่องของ แต่ละตัวละคร LGBTQ+ แต่ละแบบ ในแต่ละตอน แต่ใน BROS นั้น หนังได้รวมเอาบุคคล LGBTQ+ มารวมไว้ด้วยกันอย่างงดงาม โดยเฉพาะฉากประชุมของสมาชิกบอร์ด คุณต้องไปดูหนังเรื่องนี้ มันจะทำให้คุณหัวเราะไม่หยุด ชวนผู้คนในชุมชนของคุณไปดูด้วยกัน หัวเราะ ร้องไห้ แบ่งปันความรักกัน ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน เพราะพวกเรามีกันเองเพียงเท่านี้"ในขณะที่ จิม เล่าว่า – "สำหรับผม ได้มีโอกาสร่วมแสดงในซีรีส์ Community ถึง 6 ปีด้วยกัน ครอบครัว และทีมนักแสดง เป็นแกนหลักสำคัญของซีรีส์ เช่นเดียวกับ BROS แค่มันต่างครอบครัวกัน ซึ่งผมภูมิใจอย่างมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในนั้น ในขณะที่ BROS สร้างตัวละครที่หลากหลายมาก เหมือนกับพวกเราได้เฉลิมฉลองความหลากหลาย และแกนที่แข็งแกร่งของหนังคือเหมือนพวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ผมดีใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของหนังที่เราสามารถยินดีกับตัวตนที่แท้จริงของพวกเราได้ สิ่งที่รวมพวกเราให้เป็นหนึ่งเดียวได้ คือ ความรู้สึกที่พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน สนุกไปด้วยกัน ได้เรียนรู้ที่จะรักกัน และโอกาสที่ทุกคนจะสามารถเป็นตัวของตัวเองได้" ด้านของ อีฟ เธอเล่าว่า เธอตื่นเต้นกับหนังเรื่องนี้มาก เพราะได้มีโอกาสร่วมงานกับบุคคลระดับตำนานของ LGBTQ+ หลายคน ที่เธอชื่นชมพวกเขาอยู่แล้ว - "ฉันเพิ่งมาเข้าใจเมื่อไม่นานมานี้เอง ว่าทำไม บิลลี่ ถึงต้องสร้างหนังเรื่องนี้ขึ้นมา และฉันโชคดีมากแค่ไหนที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในหนังเรื่องนี้"แน่นอนว่า BROS คือก้าวสำคัญของชุมชน LGBTQ+ ที่จะได้มีหนังที่เล่าถึงความรักของพวกเขาอย่างแท้จริง ในรูปแบบของหนังโรแมนติกคอเมดี้ แต่ในแง่มุมของโลกภาพยนตร์ BROSก็ยังเป็นหนังรอมคอมในแบบที่ห่างหายจากโรงภาพยนตร์ไปนาน มันคือหนังรักเบาสมองระดับคุณภาพที่ในระยะหลังๆ ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยครั้งนักจากฮอลลีวูด โดยล่าสุด BROS ที่กวาดคะแนนนักวิจารณ์ในแง่บวกไปเพียบ มากถึง 88% ในขณะที่คะแนนจากผู้ชมยิ่งชื่นชอบสูงกว่า ด้วยคะแนน Audience Score ระดับ 90% ซึ่งการันตีว่าผู้ชมต่างชอบ ต่างตกหลุมรักหนังเรื่องนี้ พวกเขาหัวเราะ พวกเขาร้องไห้ พวกเขาอินไปกับเรื่องราวความรักของคนสองคน นี่ไม่ใช่แค่หนังเกย์ นี่คือหนังที่เล่าเส้นทางความรักที่พวกเราพบเจอได้ทั่วไป นี่คือหนังที่เล่าถึงความหลากหลายของมนุษย์ นี่คือหนังที่จะส่งพลังให้กับพวกเราทุกคน ให้เป็นตัวของตัวเอง และในขณะเดียวกันก็ยอมรับในความแตกต่าง ยอมรับซึ่งกันและกัน นี่คืออีกหนึ่งหนังสนุกคุณภาพแน่นแห่งปี 2022 ที่ไม่ควรพลาดBROS เพื่อนชาย ?วางโปรแกรมฉายในไทย 3 พฤศจิกายนในโรงภาพยนตร์

[REVIEW] “Fantastic Beasts : The Secrets of Dumbledore” หรือนี่คือหนังรัก ในคราบของหนังพ่อมดโลกเวทมนตร์ | GOSSIP GUN

14 เม.ย. 2022

[REVIEW] “Fantastic Beasts : The Secrets of Dumbledore” หรือนี่คือหนังรัก ในคราบของหนังพ่อมดโลกเวทมนตร์ | GOSSIP GUN

ไม่แน่ใจว่านี่คือหนังเวทมนตร์หรือหนังต้องคำสาปกันแน่ เพราะภาคใหม่ของหนังตระกูลFantastic Beastsที่เปรียบเสมือนภาคก่อนหน้าของHarry Potterใช้เวลานานถึง4ปีในการเดินทางมาขึ้นจอใหญ่ ซึ่งโดยปกติแล้วหนังใหญ่ระดับนี้สตูดิโอมักไม่เว้นช่วงห่างนัก ส่วนสำคัญอาจเป็นเพราะกระแสตอบรับของภาคก่อนอย่างThe Crimes of Grindelwaldที่ทำรายได้น้อยที่สุดในเหล่าบรรดาจักรวาลพ่อมดทั้งหมด แถมยังได้รับคำวิจารณ์ในแง่ลบเยอะที่สุดด้วย ถ้าจะให้แฟรนไชส์นี้ไปต่อได้(สามารถสร้างได้ถึง5ภาคแบบที่ เจ.เค.โรว์ลิ่ง บอกไว้)วอร์เนอร์ต้องใช้เวลาพอสมควรในการพัฒนาบทให้ออกมาดีที่สุด แต่กระนั้นถึงเวลาหนังจะพร้อมถ่ายทำแล้ว กลับเจอหลายปัญหา ทั้งการเปลี่ยนนักแสดงที่รับบท กรินเดลวัลด์ จาก จอห์นนี เด็ปป์ เป็น แมดส์ มิคเคลสัน รวมถึงโควิด-19ทำให้การถ่ายทำล่าช้าออกไป นี่ยังไม่รวมถึงดราม่าเกี่ยวกับ เจ.เค.โรว์ลิ่ง และสดๆร้อนๆกับ เอซร่า มิลเลอร์ ที่ทำให้ทางค่ายต้องแทบจะไม่พูดถึงทั้งคู่ในการโปรโมตหนัง The Secrets of Dumbledoreพาผู้ชมกลับสู่โลกแห่งเวทมนตร์อีกครั้ง ในช่วงเวลาปี ค.ศ.1932ช่วงเวลาแห่งความตึงเครียดของโลกพ่อมด โดยเรื่องราวหลักในภาคนี้คือการหยุด กรินเดลวัลด์ พ่อมดผู้ฝักใฝ่ในอำนาจด้านมืด เขาหวังจะครองทั้งโลกมนุษย์และโลกแห่งเวทมนตร์ ศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์(รับบทโดย จูด ลอว์)พยายามจะหยุดเขา จึงได้รวบรวมทีมพ่อมดและแม่มดที่เก่งกาจในด้านต่างๆ นำทีมโดย นิวท์(รับบทโดย เอ็ดดี้ เรดเมย์น)นักสัตว์วิเศษ กับภารกิจเสี่ยงตายหยุดยั้งแผนการร้ายของกรินเดลวัลด์ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่มีการเลือกตั้งผู้นำของโลกเวทมนตร์คนใหม่ ที่อาจจะเอื้อประโยชน์กับพ่อมดฝ่ายชั่วก็เป็นอันได้ ถ้าความพยายามของวอร์เนอร์ คือการพัฒนาหนังชุดสัตว์มหัศจรรย์ให้ไปในทางบวกมากขึ้นThe Secrets of Dumbledoreถือว่าประสบความสำเร็จ ในฐานะคอหนังที่ติดตามหนังชุดHarry Potterอยู่ห่างๆ ไม่ได้ศึกษาหรือดูซ้ำมากมายอะไรนัก หนังภาคนี้สามารถสร้างความบันเทิงให้กับผู้ชมได้อย่างดี หนังมาพร้อมกับพล็อตที่ไม่ได้สลับซับซ้อน แม้ว่าผู้ชมจะห่างหายจากภาคก่อนไปนานถึง4ปี ก็สามารถต่อเรื่องได้แบบทันที หนังยังคงมีฉากผจญภัยที่สนุกสนานสมกับความเป็นแฟนตาซีหลายฉาก รวมถึงมีสัตว์มหัศจรรย์ที่น่ารักน่าเอ็นดูมากมาย แต่หัวใจจริงของThe Secrets of Dumbledoreดูเหมือนจะเป็นเรื่องความรัก ระหว่างดูไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหนังคลี่คลาย จะพบว่าหนังภาคนี้มีเส้นรักปรากฏเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นของตัวพระเอก ตัวเพื่อนสนิทพระเอก ตัวละครแวดล้อม ไปจนถึงปมใหญ่ระหว่างคู่เพื่อนรักเพื่อนแค้นอย่าง ดัมเบิลดอร์ และกรินเดลวัลด์ ที่เปรียบเหมือนแกนหลักของหนังภาคนี้ จูด ลอว์ และ แมดส์ มิคเคลสัน มีเคมีที่น่าสนใจมากทีเดียว หลายฉากที่ทั้งสองปรากฏตัวร่วมกันตั้งแต่ฉากแรกในหนังล้วนเป็นไฮไลต์ ซึ่ง แมดส์ เลือกที่จะถ่ายทอดบท กรินเดลวัลด์ ในแบบของเขา ซึ่งค่อนข้างฉีกต่างจากเวอร์ชั่น จอห์นนี เด็ปป์ ซึ่งนับเป็นทางเลือกที่ดี เพราะการเปรียบเทียบย่อมไม่ส่งผลดีต่อใคร การแสดงของเขา ทำให้กรินเดลวัลด์ทั้งสองแบบ ต่างมีเอกลักษณ์ในแบบตัวเอง ซึ่งชอบทั้งสองแบบจริงๆ หนังภาคนี้เปิดเรื่องได้อย่างสนุก เล่าปมหลักได้น่าติดตาม กับภารกิจของแก๊งนิวท์ที่จะต้องหยุดกรินเดลวัลด์ เป็นพล็อตที่เปิดโอกาสให้หนังสร้างซีนต่างๆมากมาย แต่น่าเสียดายที่พอมาถึงช่วงคลายปมท้ายๆ ทุกอย่างแอบคลี่คลายง่ายเกินไป ต่างจากตอนต้นที่บิลด์เรื่องมาค่อนข้างซีเรียส แต่พอมาถึงบทสรุป กลับง่ายดายกว่าที่คิด แต่อย่างไรก็ตาม ช่วงท้ายนี่เองที่สำหรับผู้เขียนถือเป็นไฮไลต์ เพราะหนังพาผู้ชมในจักรวาลHarry Potterออกสู่โลเคชั่นอื่น นอกจากยุโรปเป็นหลัก(และในอเมริกาบ้าง)หนังพาผู้ชมมาสู่โซนเอเชีย ซึ่งแปลกตาดีเหมือนกัน โดยรวมThe Secrets of Dumbledoreถือเป็นหนังFantastic Beastsภาคที่ดูสนุก และมีหลากหลายอารมณ์ ค่อนข้างครบรสทีเดียว แม้มันจะยังมีข้อบกพร่องบ้าง ทั้งการคลายปมที่ง่ายดาย และความยาวที่หนังเองสามารถกระชับได้หลายๆฉาก และอีกจุดที่อาจจะทำให้แฟนๆสงสัย คือการที่หนังภาคนี้แทบจะคลายปมของFantastic Beastsไปเกือบหมดแล้ว มันทำตัวเป็นเหมือนภาคจบ ทั้งๆที่แฟนๆรู้ดีว่า แผนการเดิมคือการสร้าง5ภาค เหมือนวอร์เนอร์ กำลังจะบอกว่า ถ้าภาคนี้ไม่ทำเงินตามที่พวกเขาคาดคิดFantastic Beastsก็มีภาคบทสรุปที่เกือบจะสมบูรณ์แล้วนะ แต่หนังก็ยังเปิดช่องไว้นิดๆ ว่า ถ้าแฟนๆกลับมาหนาแน่นเหมือนเดิม ก็ยังมีปมที่เราทิ้งไว้สำหรับภาค4-5เหมือนกัน กลายเป็นแทนที่หนังจะบิลด์หนักๆไปยังภาค4เหมือนทุกอย่างจะจบลงตรงนี้เลย(ให้7คะแนนจากคะแนนเต็ม10คะแนน)

album

0
0.8
1