[REVIEW] “Fast & Feel Love” มองชีวิตให้แอ็กชัน เพิ่มความมันส์ด้วย Parody | GOSSIP GUN

HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] “Fast & Feel Love” มองชีวิตให้แอ็กชัน เพิ่มความมันส์ด้วย Parody | GOSSIP GUN

07 เม.ย. 2022

ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมชื่อหนังเรื่องนี้ถึงได้คล้ายกับ Fast & Furious (แถมฟอนต์ยังใช่อีกต่างหาก) เพราะหนังยาวเรื่องที่ 8 ของ เต๋อ นวพล (และเป็นเรื่องที่ 3 ในค่ายจีดีเอช) ต้องการเล่าเรื่องราว ความฝันและความสัมพันธ์ของหนุ่มสาววัย 30 ด้วยท่าทีแบบหนังแอ็กชัน แต่ในขณะเดียวกันก็ Parody หนังแนวนี้ไปด้วย ชื่อหนังมันเลยออกมากวนโอ๊ยแบบนี้ บ่งบอกทิศทางของหนังได้เป็นอย่างดี ซึ่งเชื่อว่าหลายคนดูตัวอย่างแล้ว อาจจะยังไม่เก็ตว่า Fast & Feel Love มันเป็นหนังอย่างไรกันแน่ ซึ่งก็ไม่แปลกใจ เพราะต้องมาดูหนังจริงๆถึงจะเข้าใจ มันเป็น Mood & Tone ที่ประหลาดแต่น่ารสชาติดี เป็นหนังทดลองในแบบที่ลายเซ็นต์ของ เต๋อ นวพล ชัดเจนไปหมด

ศูนย์กลางของ Fast & Feel Love คือ เกา (รับบทโดย ณัฏฐ์ กิตจริต) ชายวัยย่างเข้า 30 ที่ทั้งชีวิตเขามีแต่กีฬา Sport Stacking หรือการเรียงและเก็บแก้วให้เร็วที่สุด หลังจากเขาเป็นทำสถิติระดับโลกมาแล้ว เขาต้องทำทุกทางเพื่อที่จะรักษาความเป็นแชมป์เอาไว้ ทุกอย่างรอบตัวนอกจากการเล่นกีฬา จึงขึ้นอยู่กับ เจ (รับบทโดย ญาญ่า อุรัสยา) แฟนสาวที่คอยดูแลธุระทั้งหมดแทนเขา จนกระทั่งวันเวลาผ่านไป เจเริ่มรู้สึกว่า เวลาทั้งหมดของเธอถูกทุ่มไปเพื่อให้แฟนหนุ่มสานฝันเพียงคนเดียว ในขณะที่ฝันของเธอเองถูกละเลย จึงถึงเวลาที่เธอจะก้าวออกมา ในขณะเดียวกัน เกาก็ต้องสานฝันตัวเองให้สำเร็จ พร้อมกับแบกรับภาระมากมาย ที่เขาไม่เคยต้องเผชิญมาก่อน (เพราะมีแฟนสาวคอยช่วยมาโดยตลอด)

ก่อนจะดู Fast & Feel Love ผู้เขียนพร้อมเดินเข้าโรง ด้วยความหวังว่ามันจะตลกนำ เพราะจากตัวอย่างหนัง เต็มไปด้วย Parody หนังดังมากมาย บางซีนล้อเลียนแบทแมน, บางฉากล้อ Star Wars, บางประโยคหยิบยืมมาจาก Taken ใครที่เป็นคอหนังอยู่แล้ว น่าจะเพลิดเพลินกับ Reference มากมายที่ เต๋อ นวพล หยิบมาใส่ในหนัง แต่ปรากฏว่า สิ่งที่ชอบและกระแทกใจมากที่สุด กลับเป็น Message มากมายที่ถาโถมเข้ามา ยิ่งสำหรับผู้ชมในวัย 30+ ที่กำลังอาจเผชิญวิกฤตในแบบเดียวกับตัวละคร น่าจะอินกับหนังได้มากเป็นพิเศษ

ระหว่างดูเหมือนพี่เต๋อจะบอกเราว่า โลกทุกวันนี้ มันหมุนไปไวยิ่งกว่าเดิมทุกวัน ในสังคมรอบตัวที่ดูเร่งรีบไปเสียหมด อะไรต่างๆก็กลายเป็นแข่งขัน สื่อมาจากคำว่า Fast ในชื่อหนัง และกีฬาประเภท Sport Stacking ที่เล่นกับความเร็ว เฉือนชนะกันด้วยเวลาเพียงเสี้ยววินาที โดยยกตัวอย่าง คนวัย 30+ ที่เคยคิดว่าตัวเองเก่งกาจ ตัวเองชนะทุกสิ่ง แบบพระเอก ที่ตอนนี้กำลังถูกเด็กรุ่นใหม่มันแซงไปเสียแล้ว เขาเคยเครียด เขากังวล ว่าจะช้าไปกว่าคนรุ่นใหม่ แต่สิ่งที่ทำได้คือ เราต้องเปิดใจและยอมรับในความเป็นไป เรียนรู้ในมุมมองใหม่ๆ ที่คนรุ่นใหม่เห็น แต่เราอาจจะมองไม่เห็น ตรงนี้อาจจะทำให้เราเร็วยิ่งขึ้น ไม่ใช่เอาแต่วิ่งหนีจากพวกเขา

ในขณะเดียวกันที่ทุกอย่างรอบตัวมันไวไปเสียหมด บางทีเราไม่จำเป็นต้องรีบไปกับมันตลอดเวลาก็ได้ มีจังหวะที่เราต้องเร็วเพื่อตามให้ทัน จนไม่กลายเป็นคนตกยุค แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องมีจังหวะผ่อนลง เพื่อใช้ชีวิต เพื่อให้เวลากับคนรอบข้าง เพื่อสัมผัสความรัก สิ่งในหนังคือคำว่า Feel Love เล่าผ่านตัวละคร เจ ของญาญ่า ตัวละครนี้กำลังสื่อว่า ไม่มีเวลาอะไรที่ผ่านไปโดยน่าเสียดาย ทุกช่วงเวลาในชีวิต ล้วนมีค่าเสมอ แม้แต่ช่วงเวลาที่เราอาจจะไม่ได้ทำอะไรเพื่อตัวเอง เวลาที่เราทุ่มให้กับคนอื่น มันก็ยังมีคุณค่า

จากการแข่งขันที่ตัวละครหลักกำลังทำทุกทางเพื่อรักษาตำแหน่งแชมป์เอาไว้ หนังพยายามจะบอกกับเราว่าไม่จำเป็นต้องเอาชนะในทุกเรื่อง ไม่จำเป็นต้องชนะตลอดเวลา บนโลกใบนี้มีคนเก่งกว่าคุณอีกเป็นแสนเป็นล้านคน บางคนเขาอาจจะไม่เปิดเผยตัวเลยด้วยซ้ำ วันที่คุณคิดว่าชนะ บางทีอาจจะไม่ได้ชนะจริงก็ได้ สิ่งที่คุณให้ความสำคัญมากๆ มันอาจจะเป็นเสี้ยวเดียวของชีวิตบางคน หนังพยายามจะบอกว่า เมื่อเราเติบโตขึ้น ชีวิตจะมีอะไรเข้ามาอีกมากมาย มีสิ่งที่สำคัญนอกจากความฝันที่เราต้องทำ มีสิ่งสำคัญของคนรอบข้างที่เราอาจจะมีส่วนช่วยให้เป็นเป็นจริงได้ และในขณะเดียวกัน ก็รอบตัวก็อาจมีส่วนสำคัญในเส้นทางพาเราไปสู่ฝันเช่นกัน แม้แต่ในกีฬาประเภทเดี่ยว ในที่สุดคุณก็ไม่มีทางชนะด้วยตัวคนเดียวได้ มีคนรอบข้างอีกมากมายที่จะพาคุณไปยังจุดนั้น

Fast & Feel Love เป็นหนังที่เอาชีวิตธรรมดาๆ คนวัย 30 กว่าที่ยังคงเหนื่อยกับการไล่ตามความฝัน เหนื่อยกับการตัดสินใจว่าชีวิตจะเอายังไงดี มาเล่าว่า ทุกวันนี้ชีวิตมันยากเย็นแค่ไหน คุณเก่งแค่ไหนที่ต้องผ่านด่านยากๆในแต่ละวันไปได้ ชีวิตมันช่างเหมือนหนังแอ็กชันจริงๆนะ หนังหยิบอินไซด์ของคนวัยรุ่นตอนปลายมาเล่าเยอะมาก นี่เราต้องซื้อกองทุนอีกแล้วหรอเนี่ย นี่เราจะต้องมีลูกแล้วหรอ มันยืดเวลาออกไปอีกไม่ได้แล้วใช่ไหม ร่างกายเราอนุญาตให้มีเวลาแค่นี้ นี่เราต้องนั่นนู่นนี่อีกแล้วหรอเนี่ย เป้าหมายชีวิตก็ต้องจัดการ เวลามันหายไปไหนหมด มันเป็นหนังชีวิตที่เล่าให้เป็นหนังตลกด้วยท่าทีแบบหนังแอ็กชัน มันแปลกประหลาด สมกับเป็น เต๋อ นวพลจริงๆ ตลกหน้าตายแต่คมคายโคตรๆ

นี่ถือเป็นหนังพี่เต๋อที่ดูง่าย แต่ไม่ง่ายที่จะอินไปกับมัน ท้ายที่สุดมันก็เป็นหนังทดลองอยู่ดี มันเคยมีที่ไหนกัน จะเล่าชีวิตที่แสนจะธรรมดา ด้วยจังหวะแบบหนังเอพิค แล้วล้อเลียน Pop Culture ไปด้วย จึงต้องอาศัยการเติบโตมาในสภาพแวดล้อมแบบเดียวกับผู้กำกับพอสมควร ถ้าคนคุยภาษาเดียวกัน คุยเรื่องเดียวกัน โตมาในสภาพแวดล้อมคล้ายๆกัน ก็คงสนุกไปกับเรื่องนี้ ถ้าคุณไม่อิน ไม่เก็ต หรือไม่สนุกกับมัน คุณไม่ผิดเลย เขาแค่เล่าในภาษาของเขา ที่ไม่ใช่ทุกคนจะต้องเข้าใจ หลายซีนที่เรานั่งขำอยู่คนเดียวในโรง แม้แต่คนข้างๆยังไม่ขำ พวกคุณคือคนทั่วไป เราต่างหากที่เข้าใจอะไรแปลกๆที่เขาพยายามจะนำเสนอ

ภายใต้ลุคของหนังที่ดูทีเล่นทีจริง แซวชาวบ้านเขาไปทั่ว สิ่งที่หนังพยายามจะบอกกับผู้ชม เป็นประเด็นที่สาหัสใช่เล่น หรือนี่อาจจะเป็นสิ่งที่ พี่เต๋อ อยากจะบอกว่า แม้ชีวิตจะหนักหนาแค่ไหน เราสามารถมองมันในอีกแง่มุมเพื่อให้บรรเทาลงได้ ชีวิตประจำวันอันแสนน่าเบื่อ ถ้าเรามองให้แอ็กชัน เราก็จะมันส์ไปกับทุกสิ่ง ชีวิตประจำวันที่แสนจะหนักหนาเคร่งเครียด ถ้าเรามองให้มันตลก เราก็อาจจะตลกกับมันได้ Fast & Feel Love จึงเป็นเหมือนตัวอย่างที่ผู้กำกับอยากจะทดลองให้ผู้ชมเห็นว่า ลองเปลี่ยนมุมมอง ชีวิตอันแสนเรียบง่ายเราอาจจะสนุกขึ้น หรือชีวิตอันแสนลำบาก น่าจะผ่อนคลายลงก็เป็นอันได้


(ให้ 9 คะแนนจากคะแนนเต็ม 10 คะแนน)

related HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘เธอกับฉันกับฉัน (You and Me and Me)’ หนังแฟนฉันของคนยุคนี้ รักแรกของฝาแฝดสุดประทับใจ| GOSSIP GUN

10 ก.พ. 2023

[REVIEW] ‘เธอกับฉันกับฉัน (You and Me and Me)’ หนังแฟนฉันของคนยุคนี้ รักแรกของฝาแฝดสุดประทับใจ| GOSSIP GUN

ใครที่เคยคิดถึงหนัง Feel Good ดีต่อใจสไตล์ค่ายจีดีเอช (หรือค่ายก่อนหน้านี้) การรอคอยกำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว กับผลงานใหม่อย่าง 'เธอกับฉันกับฉัน' ที่จะชวนให้ผู้ชมหวนระทึกถึงความทรงจำในวัยเด็ก และรักแรกในวัยรุ่นของเราอีกครั้ง แต่ความแตกต่างของโปรเจกต์นี้ คือการ ใช้ตัวละครนำเป็นฝาแฝด และพาผู้ชมเข้าสู่โลกของแฝด กับรายละเอียดหลายแง่มุมที่อาจไม่เคยรู้มาก่อน ผ่านสองผู้กำกับแฝดหญิงอย่าง วรรณแวว และแวววรรณ หงษ์วิวัฒน์ ที่เคยจับงานเบื้องหลังในหลังคาค่ายนี้อยู่นาน ก่อนที่จะได้รับโอกาสในการกำกับหนังใหญ่เรื่องแรก ผ่านการดูแลของ โต้ง บรรจง ผู้กำกับระดับพันล้าน ที่มีผลงานการันตีแน่นเครดิต'เธอกับฉันกับฉัน' พาผู้ชมย้อนกลับไปในยุคสมัย Y2K (ซึ่งอยู่ดีๆก็กลับมาเป็นเทรนด์ ณ เวลานี้) ในปี 1999 ช่วงเวลาที่คนทั้งโลกกำลังหวาดวิตกว่า การก้าวเข้าสู่ยุค 2000 จะเกิดปัญหาด้านคอมพิวเตอร์ ทำให้เกิดภัยพิบัติมากมาย ซึ่งตรงกับคำทำนายของนอสตราดามุส ว่าโลกอาจถึงจุดสิ้นสุด โดยสองตัวละครหลักของเรื่อง คือ พี่น้องฝาแฝด ยู และ มี (รับบทโดย ใบปอ ธิติยา จิระพรศิลป์ ซึ่งแสดงคนเดียวเป็นสองบทบาทเลย) ทั้งคู่เติบโตมาด้วยกัน แชร์หลายๆอย่างด้วยกัน และเป็นส่วนหนึ่งของกันและกันมาตลอดชีวิต จนกระทั่งพวกเธอได้พบกับ หมาก (รับบทโดย อันโทนี่ บุยเซอเรท์) หนุ่มหล่อลูกครึ่งเพื่อนร่วมโรงเรียน ที่เจอกันตั้งแต่ตอนสอบซ่อม ไปจนถึงช่วงปิดเทอมซัมเมอร์ที่นครพนม ไม่นานเรื่องราวความรักก็เริ่มเข้ามาในหัวใจของคนทั้งสาม นี่คือรักแรกของสองแฝด กับ หนึ่งหนุ่ม ที่ความสัมพันธ์ค่อยๆ ยุ่งเหยิงและนำไปสู่ การตัดสินใจที่พวกเธอไม่เคยเผชิญมาก่อน'เธอกับฉันกับฉัน' คือหนังที่ค่อยๆพาผู้ชมเข้าสู่โลกของฝาแฝด ที่ทั้งมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไป หลายอย่างอาจจะเป็นมุมอินไซด์ที่คนทั่วไปอาจไม่ได้รู้มาก่อน ทำให้เกิิดพล็อตที่ทั้งสนุกสนานและยุ่งเหยิงได้มากมาย จากการที่เธอทั้งสองหน้าเหมือนกัน แทบจะเป็นคนๆเดียวกัน และในขณะเดียวกัน มันก็ถูกเล่าผ่านโครงเรื่องในลักษณะ รักแรก ผสมกับ รักสามเส้า ทำให้นอกจากมุมดีต่อใจแล้ว ผู้ชมสามารถคาดเดาได้เลยว่า จะได้เจอมุมบีบหัวใจอย่างแน่นอน ทำให้หนังนอกจากจะน่าติดตามในปมเรื่องแฝดแล้ว ยังน่าจะทำให้ผู้ชมอินในประเด็นรักแรก หรือรักในวัยเรียนได้อีกด้วยสิ่งที่เพิ่มความน่าสนใจให้กับ 'เธอกับฉันกับฉัน' ยิ่งขึ้นไปอีก คือการที่หนังเลือกเล่าในบรรยากาศปลายยุค 90s ซึ่งเป็นอีกหนึ่งยุคที่มีเสน่ห์เฉพาะตัวเพราะอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน กำลังเข้าสู่ยุคออนไลน์ หนังสนุกกับการหยิบ Pop Culture ในยุคนั้นมาเล่นหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ที่ฉายในปีนั้น เพลงดังที่ถูกปล่อยในช่วงนั้น ร้านอาหารที่เป็นที่นิยมของคนยุคนั้น ไปจนถึงไอเท็มบางอย่างที่บอกยุคสมัยได้อย่างดี สำหรับผู้ชมที่สมัยหนัง แฟนฉัน เข้าฉายแล้วอาจจะเกิดไม่ทัน ไม่ได้อินกับเรื่องแวดล้อมในหนัง อาจจะมาอินกับหนังเรื่องนี้ได้ไม่ยาก สำหรับใครที่อายุราว 30-40 ปี น่าจะเป็นช่วงที่กำลังเติบโต กำลังเสพสื่อ กำลังใช้ชีวิตผ่านช่วงเวลานั้น หนังทำให้ผู้ชมระลึกถึงความทรงจำในอดีตอันหอมหวานได้อย่างดีอีกด้วยแต่สิ่งที่น่าชื่นชมมากที่สุด ต้องยกให้กับงานสร้าง ที่อาจกล่าวได้ว่า นี่คืองานที่ไม่ง่ายเลยทั้งสำหรับทีมงานและนักแสดง เพราะเมื่อ 'เธอกับฉันกับฉัน' ใช้นักแสดงเพียงคนเดียว เล่นเป็นฝาแฝด ดังนั้นเทคนิคการถ่ายทำหลายๆอย่างจึงถูกหยิบนำมาใช้ ส่วนที่ง่ายหน่อยน่าจะเป็นซีนที่ถ่ายผ่านหลัก ทำให้เห็นตัวละครเพียงคนเดียว แต่สำหรับฉากที่ต้องเห็นทั้งสอง ทั้งถ่ายทำและตัดต่อออกมาได้เนี้ยบมากๆ จนแทบจะไม่มีจุดไหนรู้สึกสะดุดเลย และที่สำคัญต้องชื่นชมน้องใบปออย่างยิ่ง ที่สร้างคาแรคเตอร์ ยูกับมี ออกมาแตกต่างได้อย่างชัดเจน ในช่วงแรกอาจจะต้องตั้งใจดูเพื่อจับความแตกต่างพอสมควร แต่เมื่อหนังดำเนินไป ไม่ใช่แค่ไฝที่ต่าง แต่วิธีการพูด ลักษณะของตัวละครก็สามารถแยกได้ชัด ซึ่งเป็นงานที่ไม่ง่ายเลยสำหรับนักแสดงหน้าใหม่ ซึ่งต้องปรบมือชื่นชมในจุดนี้โดยรวม 'เธอกับฉันกับฉัน' ถือเป็นหนังไทยที่น่าสนใจและไม่ควรพลาดอีกเรื่อง ด้วยคุณภาพที่กล่าวได้ว่าตามมาตรฐานค่ายจีดีเอช ทั้งในแง่บท งานสร้าง และองค์ประกอบต่างๆ ใครที่เคยคิดถึงหนังอารมณ์ดี หนังแนว Coming-of-Age ที่ทางค่ายเองก็ไม่ได้สร้างหนังแนวนี้มาพักใหญ่ นี่คือการกลับมาที่น่าพอใจ และเชื่อว่า หนังจะสามารถเข้าไปอยู่ในใจของผู้ชมหลายต่อหลายคนได้อย่างแน่นอนชมตัวอย่าง 'เธอกับฉันกับฉัน' วันนี้ในโรงภาพยนตร์ภาพ : GDH

[REVIEW] ‘วิมานหนาม’ หนังกำหมัดแห่งปี ที่มาพร้อมกับงานสร้างระดับเวิลด์คลาส

20 ส.ค. 2024

[REVIEW] ‘วิมานหนาม’ หนังกำหมัดแห่งปี ที่มาพร้อมกับงานสร้างระดับเวิลด์คลาส

ถ้าผลงานชิ้นก่อนจากค่าย GDH อย่าง ‘หลานม่า’ คือหนังฟีลกู้ดสร้างความประทับใจแห่งปี ผลงานชิ้นใหม่อย่าง ‘วิมานหนาม’ ย่อมเป็นหนังขั้วตรงข้าม มันคือ ‘หลานม่า’ ฉบับฟีลแองกรี้ แม้โครงพล็อตจะเกี่ยวกับวัยรุ่น ที่ต้องการครอบครองเคหะสถานของผู้สูงอายุเหมือนกัน แต่รสชาติในการเล่า ข้อแม้ของเรื่องราว และองค์ประกอบของหนังช่างต่างกันลิบลับ แต่ที่เหมือนกันอย่างแน่ชัดคือ ‘คุณภาพ’ ที่ล้นจอ ถ้า หลานม่า ได้รับตำแหน่งหนังเสียน้ำตาแห่งปี ภาพยนตร์เรื่อง ‘วิมานหนาม’ ก็ขอมอบตำแหน่งหนังกำหมัดแห่งปีเช่นกัน‘วิมานหนาม’ คือผลงานล่าสุดของ บอส-นฤเบศ จากซีรีส์ แปลรักฉันด้วยใจเธอ เล่าถึงโชคชะตาที่แปรผันของ ‘ทองคำ’ (รับบทโดย เจฟ ซาเตอร์) หนุ่มชาวไร่ที่ใช้ชีวิตในสวนทุเรียนกับ เสก (รับบทโดย เต้ย พงศกร) พวกเขาทุ่มเทแรงกายและแรงใจให้กับสวนนี้ จนเสกสามารถไถ่โฉนดที่ดินจากการจำนอง ออกมาเป็นของตัวเองได้สำเร็จ แต่ชีวิตกลับไม่เป็นอย่างที่คิด เมื่อเสกเสียชีวิตกะทันหัน บ้าน ที่ดิน และสวนทุเรียนทั้งหมด จึงตกเป็นชื่อของ ‘แม่แสง’ (รับบทโดย สีดา พัวพิมล) เพราะแม้ ทองคำกับเสก จะแต่งงานกันแล้ว แต่ด้วยกฎหมายไม่รองรับ ทองคำจึงกลายเป็นคนตัวเปล่า เขาพยายามทำทุกทางเพื่อขอสวนทุเรียนในฝันคืนจากแม่ของเสก แต่กลับถูกกีดกันโดย ‘โหม๋’ (รับบทโดย อิงฟ้า วราหะ) ลูกสาวของแม่แสงที่ถูกเก็บมาเลี้ยง สงครามในวิมานหนาม เพื่อแย่งชิงสวนทุเรียนแห่งนี้จึงเกิดขึ้นแน่นอนว่า ‘วิมานหนาม’ คือผลงาน GDH ที่ท้าทายในหลายแง่มุม แต่ก็ยังคงทำถึงแบบไม่เกินคาด หลังจากปล่อยตัวอย่างออกมาสร้างความฮือฮา พร้อมคำโปรยที่ว่า ได้รับแรงบันดาลใจจากความไม่เท่าเทียม หนังหยิบเอาประเด็นด้านกฏหมายที่ไม่สามารถสร้างความเท่าเทียมกันในสังคมได้ มาเป็นจุดเริ่มต้นเรื่องราวความฉิบหายทั้งหมด ตอกย้ำว่าหลาย ๆ แง่มุม ข้อกฎหมายก็ยังไม่สามารถคุ้มครองคนทุกกลุ่มอย่างเสมอภาคกันได้ โดยเฉพาะช่วงแรกของหนังที่สร้างบาดแผลในใจให้กับตัวละครของ ‘ทองคำ’ ได้อย่างดี เมื่อความรักที่เขาให้ต่อเสกนั้น กฎหมายมองเพียงแค่ ‘เพื่อน’ เท่านั้น ไม่ใช่ ‘สามีภรรยา’ ที่ถูกต้องตามกฎหมาย เพราะถ้ากฏหมายคุ้มครองชีวิตคู่ของพวกเขาจริง เหตุการณ์ที่กลายเป็นดั่งฝันร้ายหรือวิมานล่มสลาย คงไม่ตามมาเป็นพาเหรดอย่างที่หนังจะค่อยๆเล่าต่อจากนั้นอย่างที่เกริ่นไปตอนต้นว่า ‘วิมานหนาม’ คือหนังกำหมัดแห่งปี เพราะดีกรีเกรี้ยวกราดของเส้นเรื่องมันค่อย ๆ ทวีความเข้มข้นมากขึ้น จนกระทั่งปรอทแตกในตอนท้าย การเข้ามาของตัวละคร ‘แม่แสง’ และ ‘โหม๋’ คือตัวเร่งปฏิกริยาให้เรื่องราวมันร้อนแรงมากขึ้น คนดูได้ลุ้นในแทบทุกฉาก เริ่มต้นจากคำพูดที่เชือดเฉือน แล้วค่อย ๆ ไต่ระดับเป็นการกระทำที่รุนแรงมากขึ้น จนบางครั้งให้ฟีลลุ้นระทึกยิ่งกว่าฉากแอ็กชันด้วยซ้ำ ว่าหนังมันจะยกระดับความร้อนแรงไปถึงเบอร์ไหน แต่ที่แน่ ๆ คือหนังสามารถตรึงอารมณ์คนดูไว้ได้ตลอด จนหลายคนแอบกำหมัดในโรง อยากจะจัดการตัวละครที่ชวนโมโหเหล่านี้ให้พ้นทางไปไว ๆแน่นอนว่า อารมณ์ร่วมทั้งหมดของ ‘วิมานหมาน’ ต้องขอบคุณบทภาพยนตร์ที่สร้างทุกตัวละครออกมาอย่างมีมิติ ไม่มีใครขาวหรือดำไปทั้งหมด และถูกถ่ายทอดออกมาโดยทีมนักแสดงนำ ที่ทุกคนแอคติ้งได้อย่างไร้กังขา สามารถเป็นตัวละครนั้น จนคนดูเชื่อตั้งแต่แรก และห่อหุ้มด้วยงานโปรดักชั่น โดยเฉพาะโลเคชั่นและออกแบบงานสร้าง ที่ทำสวยแบบคุมโทนและถึงอารมณ์ จนทุกอย่างผสมออกมาอย่างกลมกล่อม ถือเป็นหนังที่รวมงานสร้างไว้ในระดับเวิร์ลคลาส และนำออกไปฉายโชว์ให้คนทั่วโลกดูในฐานะหนังไทยได้อย่างสบาย‘วิมานหนาม’ เข้าฉาย 22 สิงหาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์ภาพ : GDH

[REVIEW] “One For The Road วันสุดท้าย..ก่อนบายเธอ” ค็อกเทลแก้วพิเศษที่ทั้งกลมกล่อมและบีบหัวใจไปพร้อมๆ กัน | GOSSIP GUN

10 ก.พ. 2022

[REVIEW] “One For The Road วันสุดท้าย..ก่อนบายเธอ” ค็อกเทลแก้วพิเศษที่ทั้งกลมกล่อมและบีบหัวใจไปพร้อมๆ กัน | GOSSIP GUN

นี่คือโปรเจกต์หนังที่ถูกจับตามองตั้งแต่ประกาศสร้าง นอกจากจะเป็นผลงานล่าสุดของ บาส นัฐวุฒิ ผู้กำกับหนังร้อยล้านอย่าง ฉลาดเกมส์โกง แล้ว สิ่งที่ทำให้คอหนังปักธงรอคือชื่อของโปรดิวเซอร์อย่าง หว่องกาไว เจ้าพ่อหนังเหงาที่คนไทยต่างตกหลุมรักหนังของเขา การร่วมงานกันของสองนักทำหนังในงานชิ้นนี้ต้องออกมาไม่ธรรมดาแน่ๆ จนกระทั่งถึงวันถ่ายทำ ซึ่งมีการยกกองไปถ่ายบางส่วนถึงนิวยอร์ก และปิดท้ายด้วยการฉายรอบปฐมทัศน์ในเทศกาลหนังซันแดนซ์ เมื่อต้นปีที่แล้ว พร้อมคว้ารางวัลกลับมาด้วย ทำให้หนังOne For The Roadขึ้นแท่นอีกหนังโปรเจกต์ที่คอหนังชาวไทยตั้งตารอว่าจะได้ฉายเมื่อไหร่ จนกระทั่งจีดีเอช นำมาจัดจำหน่ายให้ชมกันในสัปดาห์นี้One For The RoadคือRoad Movieที่พาเราย้อนกลับไปเยี่ยมเยียนความทรงจำ พาผู้ชมค่อยๆย้อนกลับไประลึกถึงความรักเก่าๆที่ผ่านพ้นไปแล้ว หนังเล่าถึง อู๊ด(รับบทโดย ไฮซ์ซึ ณัฐรัตน์)ทายาทร้านแผ่นเสียงที่ป่วยหนักด้วยโรคมะเร็ง ก่อนที่ชีวิตเขาจะจบลง อู๊ดตัดสินใจโทรหาเพื่อนสนิทที่ห่างหายกันไปนานอย่าง บอส(รับบทโดย ต่อ ธนภพ)เจ้าของบาร์ที่นิวยอร์ก ให้กลับไทยมาช่วยเขาสานฝันสุดท้าย คือการนำสิ่งของบางอย่าง กลับไปคืนเหล่าบรรดาแฟนเก่า และระหว่างเส้นทางที่พวกเขากำลังเดินไปด้วยกัน นอกจากอู๊ดที่ค่อยๆกลับไปเยี่ยมความทรงจำเก่าๆแล้ว ก็กลายเป็นช่วงเวลาที่ บอสเองก็ได้ย้อนไปนึกถึงความรักครั้งสำคัญที่เขาไม่เคยลืมเลือนไปด้วยเช่นกัน หนังได้ พลอย หอวัง,ออกแบบ ชุติมณฑน์,นุ่น ศิรพันธุ์ และ วี วิโอเลต มาร่วมถ่ายทอดบทเหล่าบรรดาแฟนเก่าในหนังOne For The Roadด้วยความที่ตัวละคร บอส เป็นบาร์เทนเดอร์และเจ้าของบาร์ เขาจึงพยายามตีความความสัมพันธ์แต่ละครั้งเป็นเครื่องดื่ม ค็อกเทล ที่มีส่วนผสมต่างกัน ให้รสชาติที่แตกต่างกันไป ถ้าเทียบหนังเรื่องนี้เป็นเครื่องดื่ม มันก็คงเป็นค็อกเทลแก้วที่สมูธมากๆ มีรสชาติที่กลมกล่อม แต่ความน่าสนใจคือ แต่ละจิบของมันก็ให้รสชาติที่แตกต่างกัน จิบแรกอาจจะหวาน จิบต่อมาอาจจะเปรี้ยวนำ หรือจิบสุดท้ายอาจจะขม แต่ทุกจิบที่ให้รสชาติที่ล้วนเข้าไปกระแทกใจ หลากหลายแต่กลมกล่อม และล้วนจำไม่เคยลืม ซึ่งก็เหมือนชีวิตของคนเรา ที่เส้นทางของแต่ละคน ส่วนผสมผสานด้วยวัตถุดิบที่แตกต่างกันไป ออกมาเป็นรสชาติที่ไม่เหมือนกัน หนังเรื่องนี้ทำหน้าที่ประมาณนั้นข้อดีมากๆของOne For The Roadคือนอกจากหนังจะขับเคลื่อนด้วยเส้นเรื่องที่คาดเดาไม่ได้แล้ว เพราะหนังจะย้อนตัดสลับเหตุการณ์ในอดีตโยงมาถึงปัจจุบัน ซึ่งจะทำให้ผู้ชมค่อยๆเห็นภาพรวมความสัมพันธ์ของเหล่าตัวละคร สิ่งที่ทำให้ทุกฉากบีบอารมณ์ และถึงใจมากๆคือการแสดงของเหล่านักแสดง ที่สามารถเอ่ยได้ว่า ทุกคนมาในระดับท็อปฟอร์ม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สองตัวละครนำอย่าง ต่อ ธนภพ และไอซ์ซึ ที่ซีนอารมณ์ตรึงเราให้อยู่หมัดได้ในทุกๆฉาก และที่โดดเด่นมากๆ คือ วี วิโอเลต ที่แสดงฉากสำคัญๆได้เป็นธรรมชาติมากๆ สามารถส่งอารมณ์มาถึงผู้ชมได้อย่างเต็มเปี่ยม นอกจากเส้นเรื่องในครึ่งหลังที่บีบหัวใจขั้นสุดแล้ว การแสดงของพวกเขานี่แหละที่ส่งให้ความรู้สึกเหล่านั้นมาขยี้ใจผู้ชมและถ้าย้อนกลับไปเทียบOne For The Roadกับการดื่มค็อกเทลอีกครั้ง ต้องบอกว่ามันเป็นการดื่มที่บรรยากาศช่างดีเสียเหลือเกิน เพราะรูปลักษณ์ของมันทั้งสวยมาก และให้เสน่ห์ดึงดูดไปพร้อมๆกัน เคล้าไปกับเสียงเพลง เพลย์ลิสต์ที่ถูกเลือกใช้ในหนังล้วนเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ และมีความหมายกับทุกๆจังหวะของมัน ถ้าเปรียบการดูหนังเรื่องนี้กับการจิบค็อกเทล มันคงเป็นการจิบที่บรรยากาศรอบข้างดีมากๆ รสชาติกำลังกลมกล่อง รอบตัวสบายตา เสียงเพลงที่ดังเข้าหูช่วยบิลด์อารมณ์ได้อย่างถูกจังหวะจริงๆ นี่คือหนังที่โปรดักชั่นคุณภาพ และหลายฉากมีกลิ่นอายของ หว่องกาไว อย่างชัดเจน ยิ่งเพิ่มอารมณ์ให้กับหนังได้มากขึ้นไปอีกท้ายที่สุดOne For The Roadเล่นกับความรู้สึกของผู้ชมได้หลากหลายแง่มุม หนังเปรียบเหมือนรถที่ตัวละครนำขับ และพาผู้ชมย้อนกลับไประลึกถึงแต่ละช่วงเวลาชีวิต ซึ่งแน่นอนว่าแต่ละคนผ่านเส้นทางมาไม่เหมือนกัน แต่เชื่อว่าต้องมีจุดร่วมอะไรบางอย่าง ที่สามารถเชื่อมโยงกับเหล่าตัวละครได้อย่างแน่นอน มีปมอะไรบางอย่างที่เคยเกิดขึ้นกับเราเช่นกัน ดูหนังจบแล้วลองกลับไปเยี่ยมเยียนความทรงจำนั้น บุคคลเหล่านั้นดู อย่างที่หนังได้บอกว่า ไม่รู้เส้นทางชีวิตของคนเราจะยาวไปถึงเมื่อไหร่ ตรงไหนคือจุดจากลาของความสัมพันธ์..Nobody Knows !(ให้9คะแนนจากคะแนนเต็ม10คะแนน)

[REVIEW] ‘OMG รักจังวะ..ผิดจังหวะ’ นี่คือเพื่อนสนิทในฉบับยุคใหม่ หวนนึกถึงหนังวัยรุ่นจีทีเอช | GOSSIP GUN

28 ต.ค. 2022

[REVIEW] ‘OMG รักจังวะ..ผิดจังหวะ’ นี่คือเพื่อนสนิทในฉบับยุคใหม่ หวนนึกถึงหนังวัยรุ่นจีทีเอช | GOSSIP GUN

นานแค่ไหนแล้วที่ผู้ชมไม่ได้ดูหนังวัยรุ่น ในแบบที่คุณเคยตกหลุมรักค่ายจีทีเอช หนังรักในวัยเรียนในแบบ เพื่อนสนิท หรือ Season Change การมาถึงของ 'OMG รักจังวะ..ผิดจังหวะ' เป็นเหมือนการพาผู้ชมย้อนกลับไปสัมผัสหนังรักในสไตล์นั้นอีกครั้ง แต่ถูกเล่าด้วยจังหวะในแบบยุคใหม่ ในสไตล์ของคนรุ่นใหม่ แต่ยังคงมีพล็อตที่กระแทกใจ และคนส่วนใหญ่สามารถเชื่อมโยงกับประสบการณ์ของตัวเองได้ นั่นทำให้ OMG มีส่วนผสมของหนังวัยรุ่นจีทีเอชที่หลายคนคิดถึง กับซีรีส์วัยรุ่นยุคปัจจุบันที่มีสไตล์การเล่าที่ค่อนข้างเร็ว มีจังหวะที่โบ๊ะบ๊ะ เหมือนดูรายการทาง YouTube ผสมกับความเป็นยุค TikTok บวกกับวิธีการเล่าในแบบหนังของ เต๋อ นวพล'OMG รักจังวะ..ผิดจังหวะ' มาพร้อมกับชื่อตัวละครที่จำง่ายๆ เพราะแทบจะโยงมาจากชื่อจริงของนักแสดงนำเกือบทั้งหมด เล่าเรื่องราวของ กาย (รับบทโดย สกาย วงศ์รวี) เด็กหนุ่มที่โตมากับพี่น้องหญิงล้วน ที่คอยสอนเขาให้จีบหญิง มารยาทในการเข้าสังคมกับผู้หญิง กายตกหลุมรัก จูน (รับบทโดย จูเน่ เพลินพิชญา) เพื่อนในมหาลัยฯเดียวกัน แต่ทุกครั้งที่เขาพยายามจะจีบหรือบอกรักจูน ดูเหมือนพระเจ้าจะไม่เข้าข้างเขาตลอด ทุกอย่างดูผิดจังหวะและไม่เป็นใจไปเสียหมด ตอนที่เขาโสด จูนก็ดันมีแฟน พอจูนเลิกกับแฟน กายก็ดันไม่โสด จังหวะไม่ลงล็อกเสียที จนกระทั่ง จูนได้เจอกับ พี่พีต (รับบทโดย พีช พชร) หนุ่มนักร้องโปรไฟล์โคตรดี ชายหนุ่มสุดแสนจะเพอร์เฟ็ค การที่ที่จูนคบกับพี่พีต ทำให้ความรักของกาย ยิ่งไม่เป็นไปตามแผน ท้ายที่สุด จังหวะรักของเขาและจูน จะลงตัวหรือไม่ ต้องไปติดตามกันต่อในหนังอย่างที่เกริ่นไป OMG เป็นหนังโรแมนติกคอเมดี้ที่ไม่ค่อยเห็นค่ายหนังอารมณ์ดีสร้างมาสักพักแล้ว (ส่วนใหญ่ จีีดีเอช จะสร้างหนังรอมคอมที่ตัวละครโตขึ้นกว่าเดิม อย่าง น้อง/พี่/ที่รัก และ Friend Zone ที่ไม่ใช่วัยรุ่นในรั้วมหาลัยฯ) การพาผู้ชมไปสัมผัสความรักของวัยเรียนอีกครั้ง ทำให้หวยคิดถึงหนังรักวัยรุ่นแบบ จีทีเอช อยู่ไม่น้อย ระหว่างที่ดู OMG ทำให้หวนคิดถึงหนังอย่าง เพื่อนสนิท ตลอดเวลา พร้อมกับนึกไปว่า ถ้าเพื่อนสนิท ถูกหยิบมาสร้างในยุคนี้ มันก็คงเล่าเรื่องในสไตล์แบบนี้ จังหวะแบบนี้ Pacing แบบนี้ ที่ค่อนข้างลงล็อกกับรสนิยมของวัยรุ่นยุคนี้ นอกจากพล็อตที่มีจุดร่วมคือการตกหลุมรักเพื่อนสนิทแล้ว ตัวละคร กาย ยังทำให้หวนนึกถึง หลายๆบทที่ ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ เคยแสดง มีคาแร็คเตอร์ที่คล้ายคลึงกัน หรือแม้แต่การลง Voice Over สิ่งที่ตัวละครกายคิด ก็มีความคล้ายคลึงกับหนังอย่าง ฟรีแลนซ์ อยู่ไม่น้อย แม้ว่าหนังอาจจะไม่สามารถเทียบเท่าหนังอย่าง เพื่อนสนิท หรือ Season Change ที่กลายเป็นหนังวัยรุ่นระดับคลาสสิกไปแล้ว แต่ OMG ก็สนุกมากพอที่จะทำให้นึกถึงหนังเหล่านั้นสิ่งที่น่าชื่นชมสำหรับ OMG มีหลายๆส่วน ที่ทำให้หนังค่อนข้างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นมุกตลก ที่จังหวะโบ๊ะบ๊ะและเวิร์กในเกือบทุกฉาก พอถึงช่วงดราม่าหนักๆ หนังก็สามารถดึงจังหวะให้ผู้ชมอินกับอารมณ์ในฉากนั้นได้ ไม่ได้ย้วยหรือสั้นจนเกินไป รวมถึงการแสดงของทั้ง สกายและจูเน่ ที่ต่างมีเสน่ห์และออร่ามากๆทั้งคู่ บวกกับเคมีที่เข้ากันดี เหมาะกับการเป็นทั้งเพื่อนสนิทและคู่รัก จนอดเชียร์สองตัวละครนี้ไม่ได้ แต่สิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุดของ OMG คือ บทภาพยนตร์ และการตัดสินใจว่าเส้นเรื่องจะไปยังจุดไหน โดยเฉพาะในครึ่งหลัง ที่มีปมด้านศีลธรรมเข้ามาเกี่ยวข้อง หนังเลือกทางออกที่สมจริงมากพอ เลือกบทสรุปที่ค่อนข้างน่าพอใจ ทำให้สิ่งที่ OMG ปูมาตั้งแต่แรกไม่สูญเปล่า ไม่ว่าจะในแง่มุมใดโดยรวม 'OMG รักจังวะ..ผิดจังหวะ' คือหนังรอมคอมวัยรุ่นฟีลกู้ด ที่ผู้ชมน่าจะเอ็นจอยกับเรื่องราวและอินกับหนังได้อย่างไม่ยาก ด้วยพล็อตที่เชื่อว่าใกล้ตัวเกือบทุกคน ไม่ว่าจะเคยผ่านประสบการณ์แบบนี้มา หรืออาจจะกำลังเกิดขึ้นกับตัวเองในขณะนี้ ผ่านการแสดงที่มีเสน่ห์มากๆ ของทั้ง สกายและจูเน่ สองนักแสดงที่ถ่ายทอดสองตัวละครที่มีความเป็น มนุษย์สุดๆ ดีบ้าง ร้ายบ้าง เห็นแก่ตัวบ้าง เอาแต่ใจบ้าง ชั่วบ้าง แต่ทั้งหมดมันก็คือ คนทั่วไป ที่ผิดพลาดได้ แต่ก็ต้องแก้ไขและยอมรับในความผิดพลาด หลายครั้งที่ผู้ชมทั้งเชียร์และไม่เชียร์คู่นี้ ตามจังหวะชีวิตและสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปในแต่ละฉาก หนังยังฝากให้ผู้ชมได้คิดในหลายๆประเด็นความรัก จังหวะที่ใช่มันคืออะไร ต้องไปหาคำตอบกันในหนังเรื่องนี้'OMG รักจังวะ..ผิดจังหวะ' วันนี้ในโรงภาพยนตร์ภาพ : GDH

album

0
0.8
1