เปิดเรื่องราว กว่าจะเป็น “เอิร์ธ อติรุจ” หรือ “Aertha” ตัวแม่ ตัวมัม ตัวมารดาจากรีแอ็กชั่นล้านวิว

แฉข่าวเช้า

เปิดเรื่องราว กว่าจะเป็น “เอิร์ธ อติรุจ” หรือ “Aertha” ตัวแม่ ตัวมัม ตัวมารดาจากรีแอ็กชั่นล้านวิว

22 พ.ค. 2023

เปิดเรื่องราว กว่าจะเป็น “เอิร์ธ อติรุจ” หรือ “Aertha” ตัวแม่ ตัวมัม ตัวมารดาจากรีแอ็กชั่นล้านวิว

รายการ Club Pride Day เปิดไมค์ต้อนรับแขกรับเชิญตัวแม่ ที่โด่งดังเป็นพลุแตกจากการรีแอคชั่นที่ให้ข้อมูลแน่นยิ่งกว่าเลคเชอร์ในห้องเรียน การันตีล้านวิวในชั่วข้ามคืน!! กับปรากฎการณ์การรีแอคซีรีส์แบบใหม่ แบบสับ แบบไม่เคยมีมาก่อนเรื่องราวเปี่ยมแรงบันดาลใจเริ่มขึ้น หลังจากสองดีเจสุดแซ่บ ดีเจพี่อ้อย และ ดีเจก็อตจิ เปิดไมค์กล่าวต้อนรับ “เอิร์ธ อติรุจ” เจ้าของคลิปรีแอ็คชั่นสุดไวรัลที่ได้รีแอ็คถึงซีรีส์ The Interns ในแง่มุมการแพทย์แบบถึงพริกถึงขิง จนกลายเป็นคลิปล้านวิวในชั่วข้ามคืน ซึ่งกว่าจะมีวันนี้ มีหลากหลายเรื่องราว หลากหลายแรงบันดาลใจ ที่ เอิร์ธ ได้เอามาแชร์ให้ฟังในรายการเผยที่มา กว่าจะเป็นคลิปรีแอคสุดปังจากช่อง “Aertha Channel”เรียกว่าเป็นคลิปดัง ที่ทำให้ชื่อ เอิร์ธฐา กลายเป็นที่รู้จักของแฟน ๆ หลังจากที่ได้ปล่อยคลิป รีแอ็คชั่นซีรีส์ The Interns หมอมือใหม่ ที่มีลีลาการรีแอคแบบใหม่แบบสับ จนจับใจแฟน ๆ โดย เอิร์ธ ได้เล่าที่มา กว่าจะเป็นคลิปดังกล่าวให้ฟังว่า “มันเกิดจาการที่เราไปเห็นป้ายปิดของละครเรื่องนึง เป็นซีรีส์เกี่ยวกับหมอนี่แหละที่พูดว่า ถ้าไม่จำเป็นอย่าอยู่เวรติดกันหลายวัน จุดนั้นเลยที่ทำให้เรารู้สึกว่า ต้องออกมาพูดอะไรสักหน่อยคือมันขัดกับความเป็นจริงหลายอย่างมาก เพราะไม่มีหมอคนไหนที่อยากที่จะอยู่เวรติดกันหลายวัน หนึ่งเลยคือด้วยตัวของเราเองไม่สามารถที่จะ Active ในการใช้ชีวิตได้เกิน 24 ชั่วโมงอยู่แล้ว การทำงานเต็มที่ 8 ชั่วโมงคนปกติก็เหนื่อยแล้ว ยิ่งเราต้องใช้ชีวิตร่วมกับการตัดสินใจที่เครียด กดดัน กับการที่ต้องรับภาระเกี่ยวกับชีวิตคน 8 ชั่วโมงเนี่ยถือว่าเยอะมากแล้วพี่ ถ้าเกิดว่าเราลืมตาใช้ชีวิตตลอด 24 ชั่วโมง ที่เหลือเราคงน็อคความเป็นจริงเราเลยไม่มีใครอยากที่จะทำงานฝืนขีดจำกัดความเป็นมนุษย์ ความเป็นตัวเอง คือเข้าใจเจตนาเขาคงต้องการจะสื่อว่า ความเป็นจริงมีหมอที่จะอยู่เวรติดกันหลายวันนะ เพราะปริมาณหมอไม่พอ แต่ว่าป้ายปิดอาจจะทำให้คนเข้าใจว่าหมออยากที่จะอยู่เวรหลายวัน เพราะว่าอยากได้เงินรึเปล่า อยากนั่นนี่รึเปล่า เลยต้องออกมาพูดนิดนึงการรีแอคนี้ถือเป็นครั้งแรกเลย เมื่อก่อนก็ทำเกี่ยวกับรีแอคเล่น ๆ กับเพื่อน เกี่ยวกับละครเก่า ๆ ที่เราโตมาด้วยกับมันอยู่แล้ว มันเลยอินกับสิ่งที่รีแอค และตัดสินใจทำรีแอคซีรีส์ในวันนั้น”เลือกเรียนหมอ เพราะอยากช่วยเหลือคนไข้ย้อนกลับไป เอิร์ธ เคยเป็นนักศึกษาแพทย์ และเคยทำงานเป็นหมอมาก่อน ซึ่งเอิร์ธ ได้เล่าเหตุผลที่ตัวเองเลือกเรียนคณะแพทยศาสตร์ ให้เราฟังว่า “ก่อนหน้านี้เป็นคุณหมอ จนถึงต้นเดือนมกราปีนี้ (พ.ศ. 2566) เป็นหมออยู่สองปีกว่าเกือบสามปีครับ ก็ต้องยอมรับว่าในทุกวันนี้เป็นหมอมันลำบาก มันเป็นยาก แล้วก็ด้วยบริบทของสังคมเองด้วย ภาระงานด้วย แล้วก็สิ่งแวดล้อมในที่ทำงานด้วย ไม่ได้เอื้อให้เราอยากที่จะเป็นหมอในระบบ จริง ๆ แล้วเราชอบอาชีพหมอมาก ๆ เลยต้องย้อนกลับไปก่อน 10 ปีที่แล้ว อาชีพหมอเป็นอาชีพที่เด็กเก่งต้องเรียน เป็นค่านิยม เพื่อน ๆ ในห้องก็พูด เธอเรียนเก่งเธอไปเป็นหมอสิ ใครเรียนหมอโรงเรียนก็จะขึ้นป้ายให้ ได้รับความนิยมชมชอบได้รับการยอมรับจากสังคมก็เลยสอบกับเขาการเรียนหมอ 6 ปี จริง ๆ ก็ไม่ได้ชอบนะครับ ตอนนั้นรู้สึกกลาง ๆ แต่ที่คณะเขาจะปลูกฝังให้เรามีความชอบความรักในอาชีพนี้ตั้งแต่ตอนปี 1 เลย ซึ่งเอิร์ธเพิ่งรู้สึกอิน รู้สึกชอบตอนประมาณปี 5 หรือ ปี 6 ที่ได้มาดูแลคนไข้จริง ๆ สภาพแวดล้อมจะปลูกฝังให้เรารักในอาชีพนี้เอง เราก็เลยรู้สึกภูมิใจกับอาชีพ พอเรียนจบต้องไปใช้ทุนก่อน เนื่องจากเป็นโครงการที่ใช้ทุน เพราะว่าหมอขาดแคลน เลยมีโครงการหนึ่งอำเภอหนึ่งทุน ก็คือหมอต้องไปอยู่ในชุมชนที่ตัวเองเกิดมา ตอนนั้นจังหวัดบ้านเกิดอยู่ที่ร้อยเอ็ด และพอจบมาแล้วไม่ได้อยู่ในโควตา ก็ต้องจับฉลากไปลงว่าจะไปลงที่ไหนในการเรียนต้องใช้คำว่าเปิดใจรับกับสิ่งใหม่ ๆ พอเราเรียนไป เชื่อว่าสุดท้าย ปี 3 ปี 4 การตัดสินใจมันยาก เราก็เลยเปิดใจยอมรับแล้วก็อยู่กับมัน เพราะว่าทางเลือกของเราไม่ได้มีเยอะ ก็เปิดใจเปิดรับแล้วก็ชอบ จริง ๆ แล้วก็ชอบอาชีพหมอเหมือนกัน จะตอบให้โลกสวยก็ได้ เพราะว่าได้ช่วยเหลือคนไข้ และภูมิใจเวลาเห็นคนไข้อาการดีขึ้น คือถ้าอยู่ต่างจังหวัด ต่างอำเภอ เราจะรู้สึกยินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของคนที่เข้าถึงการรักษาได้ยากเอิร์ธเรียนจบรุ่นโควิดพอดี จบมาก็เจอโควิดเลย อินเทิร์นหนึ่งยังไม่เท่าไหร่เพราะอยู่ในโรงพยาบาลจังหวัดมีคนดูแล พอช่วงระลอกสองช่วงที่มันพีคเนี่ย ต้องไปอยู่ในชุมชนที่อยู่หน้างานดูแลเลย ไม่มีอายุรแพทย์ อยู่ที่นู่นคนไข้เยอะมากนะครับ โดยเฉพาะคนไข้โควิดวันละสองสามร้อยคนที่ต้องอยู่ในโรงพยาบาล หรือว่าโรงพยาบาลสนามอีก มันต้องดูหมด ทั้งที่อาการหนัก และก็ไม่หนัก เพราะว่าอุปกรณ์เราก็ไม่พร้อม บุคลากรเราก็ไม่พอ เรื่องการส่งต่อคนไข้ก็ยาก ตอนนั้นเห็นปัญหาหลายอย่างจริง ๆ ทั้งโครงสร้างทางสังคมแล้วก็คนไข้หนักโควิด ก็ต้องสู้สุดชีวิตที่อยู่ในโรงพยาบาลชุมชน มีทั้งแบบได้ไปต่อ แล้วก็มีทั้งยอมที่จะไม่ได้ไปต่อเพราะว่าการส่งต่อก็ลำบากโรงพยาบาลจังหวัดเองก็ไม่มีที่ให้อยู่”เหตุผลที่ไม่ก้าวต่อกับอาชีพหมอเมื่อเรียนจบ เอิร์ธ ได้ทำอาชีพหมออยู่เกือบ 3 ปี และตัดสินใจลาออกจากการเป็นหมอ โดยได้เล่าเหตุผลในการตัดสินใจครั้งนี้ว่า “อย่างที่บอกไปว่าหมอในทุกวันนี้มันยากนะ ทั้งเรื่องของภาระงานเยอะกว่าเมื่อก่อนมาก คนไข้เยอะกว่า ความซับซ้อนเยอะกว่า และการฟ้องร้องก็เยอะกว่า แล้วก็ด้วยความที่คนไข้เยอะขึ้นภาระงานก็เยอะขึ้น แล้วค่าตอบแทนก็น้อย สภาพแวดล้อมก็ไม่ได้เอื้อที่ทำให้เราอยากเป็นหมอเยอะขึ้นจริง ๆ เสียดายนะ แต่ว่าความชอบความรักมันไม่พอ ก็เหมือนเรารักในวิชา แต่เหมือนเรารักเขาข้างเดียว เหมือนเราทำงานอย่างเดียวแต่สิ่งที่ตอบแทนมาคือเขาไม่ได้เห็นเราเป็นคนรัก เขาไม่ได้ตอบแทนเราเหมือนเราเป็นคนรักของเขาด่านแรกเลยที่จะออกจากราชการ ต้องเรียกว่าของทุกคนแหละไม่ใช่กับเราอย่างเดียว ที่มักจะเจอคำถามว่า พ่อแม่มีสิทธิ์ข้าราชการรึเปล่า แล้วก็อาชีพหมอเนี่ยไม่เสียดายเหรอ พ่อกับแม่จะว่ายังไง สำหรับเราโชคดีที่พ่อกับแม่เข้าใจ แล้วก็ยอมรับในการตัดสินใจของเรา คือที่ตัดสินใจลาออกเนี่ยคิดหลายอย่างนะครับ มันไม่ใช่ปุ๊บปั๊บเราลาออกเลย มันผ่านการต่อสู้ด้วย ผ่านการพูดคุยกับทั้งผู้บริหารเอง เรื่องขององค์กรเอง เราไปมาหมด แล้วไม่มีคำตอบที่เราคิดว่ามันเหมาะกับเรา เราก็เลยเดินออกมา ถามว่าหมอคนหนึ่งทำงาน 24 ชั่วโมงไม่เหนื่อยเหรอ ทำไมวันต่อมาไม่หยุดล่ะ ต้องบอกว่าเราหยุดไม่ได้ เพราะว่าโรงพยาบาลก็เปิดทุกวัน ไม่มีวันไหนที่คนไข้ไปโรงพยาบาลแล้วไม่เจอหมอ เพราะฉะนั้นถ้าเราหยุดคือไม่มีคนอยู่โรงพยาบาล แล้วก็ด้วยสังคมเรา เราอยู่กันแบบ seniority อะครับ เรามีชนชั้นของหมออยู่ มันก็เลยทำให้เรารู้สึกไม่ Comfort กับการอยู่ในองค์กร แล้วก็เคย feedback ไปแล้วมันไม่ได้รับสิ่งที่เราอยากจะเปลี่ยนแปลง เราก็เลยเดินออกมา”สิ่งที่เอิร์ธอยากเห็น ในแวดวงของการแพทย์มีหนึ่งคำถามจากดีเจที่ว่า ในฐานะบุคลากรทางการแพทย์คนหนึ่ง สิ่งที่อยากเห็นในแวดวงของการแพทย์คืออะไร? เอิร์ธ ได้ตอบคำถามนี้ว่า “เราอยากเห็นสังคม หรือหัวหน้างานมองเราเป็นคนที่ทำงาน เราอยากเห็นสังคมการทำงานที่มองเราเป็นมนุษย์ คือมนุษย์เราทำงาน อาจจะต้องทำงานอย่างเต็มที่สุดความสามารถ ซึ่งต้องอยู่ในระยะเวลางานที่เหมาะสม แล้วก็คนเรามันต้องกินต้องใช้ก็ต้องได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสมด้วย แล้วก็ในสภาพแวดล้อมการทำงานที่เหมาะสม ทุกวันนี้ในวงการหมอเอง ก็มองเราไม่เท่ากัน อย่างเช่นฉันเป็นหมอไปเรียนต่อเป็นเฉพาะทางแล้วฉันก็จะอยู่สูงกว่า อยู่สูงกว่าเธอ ซึ่งมันเป็นแบบนั้นด้วยสังคมของเราแต่ถ้าใครรัก ถ้าใครชอบ แล้วอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี อยู่ใน Work Life Balance ที่ดี อาชีพหมอก็เป็นอาชีพที่ดีเลยครับ”มุมมองของการเป็น LGBTQ+ กับอาชีพหมอมีอีกหนึ่งคำถามจากดีเจที่ว่า การที่เราเป็น LGBTQ+ เป็นหนึ่งปัญหาของการเป็นหมอไหม? เอิร์ธ ได้ตอบคำถามนี้ว่า “จริง ๆ ไม่เป็นปัญหาเลย LGBTQ+ เนี่ยอยู่ได้ เรียกว่าหมอเป็นอาชีพที่ privileges อย่างหนึ่งที่คนให้การยอมรับ ก็ต้องขอบคุณสังคมที่ยอมรับในอาชีพ เดี๋ยวนี้หมอผู้หญิง, ผู้ชาย หรือว่า LGBTQ+ เนี่ยถือว่าเท่าเทียมกัน ในต่างจังหวัดคนไข้ให้เกียรติมาก เรียกคุณหมอได้เลยคำว่า LGBTQ+ เมื่อก่อนสมัยที่เอิร์ธเรียน หลักสูตรเอิร์ธนะ LGBTQ+ คือความผิดปกติทางเพศเป็น Gender Identity Disorder เป็นโรค แต่ว่าเดี๋ยวนี้ WHO หรือว่าวิทยาศาสตร์การแพทย์ มีการศึกษาที่เยอะขึ้น LGBTQ+ เขาให้คำนิยามว่าคือ ความหลากหลาย เป็นเหมือนความแตกต่างที่สมองเราโปรแกรมมา เหมือนเรามีนิ้วยาวกว่าคนอื่น ซึ่งมันไม่ได้ผิด แต่มันเป็นความแตกต่าง นี่คือสิ่งที่วิทยาศาสตร์นิยาม LGBTQ+ ในปัจจุบัน มันไม่ใช่โรค แต่มันคือความแตกต่าง ทุกวันนี้วิทยาศาสตร์ยอมรับแล้วว่าเราคือความแตกต่างซึ่งดีมาก ๆ เลยอีกอย่างหนึ่งเรื่องการยอมรับของ LGBTQ+ เด็ก ๆ เราจะรู้ว่าเราเป็นเพศอะไร รู้จักเรื่องเพศตอนประมาณ 3 ถึง 5 ขวบ แต่ว่าสิ่งที่เราจะแสดงเรื่องของเพศสภาพการแสดงออกของเรา ก็ตอนเราเข้าสู่วัยรุ่น เพราะฉะนั้นไม่เกี่ยวกับการเลี้ยงดู ไม่เกี่ยวกับว่าเราเลี้ยงลูกไม่ดีหรือเปล่าขาดความอบอุ่นหรือเปล่าลูกถึงเป็น อันนี้ไม่ใช่ มันคือโปรแกรมในสมองเรา มันกำหนดมาแล้วว่าเราจะต้องเป็นแบบนี้ จริงๆ เขาไม่รู้จะแสดงออกยังไงมากกว่า ซึ่งเขารู้อยู่แล้วแหละ orientation เขาคืออะไร แต่ด้วยสังคมบางอย่างทำให้เราไม่สามารถแสดงออกสิ่ง ๆ นี้ได้ แล้วสิ่งที่ทำให้ LGBTQ+ อยู่ในสังคมได้อีกอย่างหนึ่งก็คือกฎหมายครับ ก็คิดว่าปีนี้จะได้เห็นสมรสเท่าเทียม เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ LGBTQ+ ได้เป็นส่วนหนึ่งของสังคม เพราะสิ่งหนึ่งที่ทำให้รู้สึกว่าสังคมยอมรับเราแน่ ๆ เลยก็คือกฎหมาย ถ้ากฎหมายยอมรับว่าเราเป็นมนุษย์เท่ากัน LGBTQ+ ก็จะเท่ากันในประเทศไทย”ดารา พิธีกร อีกหนึ่งความใฝ่ฝันของเอิร์ธอีกหนึ่งความฝันที่เป็นแพชชั่นในการทำคลิปรีแอคสุดปังของเอิร์ธ คือการเป็น ดารา พิธีกร โดยเอิร์ธ ได้แบ่งปันแรงบันดาลใจเรื่องนี้ว่า “วันนี้เอิร์ธเป็นอินฟลูเอนเซอร์ด้วย เป็นดาราด้วย ซึ่งก็พูดไม่เกินไปเพราะว่าเดี๋ยวจะลงจอแก้ว มันคือความใฝ่ฝันตั้งแต่เด็กของ LGBTQ+ หลาย ๆ คน ซึ่งก็ก็ต้องบอกเลยว่าเริ่มจากการรีแอ็คซีรีส์เรื่องนั้นแหละ ก็คือแจ้งเกิดเลยวงการบันเทิงเป็นวงการที่สนุก และสามารถเป็นกระบอกเสียงให้อะไรกับสังคมได้เยอะ ถ้าเรามีแพชชั่น อย่างที่เห็นในรีแอ็คก็พยายามที่จะสอดแทรกเรื่องของการแพทย์บ้าง แล้วก็เรื่องของการขับเคลื่อนสังคมบ้าง เพราะว่าเป็นสิ่งที่เราอยากทำมาตลอด เรื่องของการให้ข้อมูลความรู้กับสังคมที่มันยังขาดหายไป ซึ่งเป็นความรู้ที่เป็นพื้นฐานหมดเลยครับเรื่องข้อมูลทางการแพทย์เนี่ย ส่วนใหญ่ถ้าเกิดทำมาเป็นสื่อ ก็ควรที่จะถูกต้อง 100% เลย เพราะว่าเราเป็นสื่อที่ต้องให้ความรู้ที่ถูกต้องกับสังคม อย่างอื่นสามารถตัดแต่งเติมสีได้เพราะหมอก็เป็นคนปกติทั่วไปหลังจากที่รีแอ็คออกไปก็มีติดต่อมาเยอะ มีทางรองผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์ชื่อดังติดต่อให้ไปออกรายการ ก็ไปร่วมพูดคุยกับเขาว่ามันเป็นยังไง สามารถพัฒนาแนวทางของซีรีส์ได้ไหมแล้วก็อนาคตจะปรับปรุงยังไง คือเขารับฟังความคิดเห็น เพราะว่ามันก็ใหม่สำหรับวงการบันเทิงไทยสำหรับเรื่องแบบนี้”มุมมองความแตกต่างของซีรี่ส์ไทย และ ต่างประเทศจากที่ได้ทำคลิปรีแอคชั่นชีรีส์มาเยอะ และได้มีโอกาสพูดคุยกับทีมงานผู้ผลิตซีรีส์มาหลายครั้ง ทำให้ เอิร์ธ ได้เห็นความแตกต่างของการทำซีรีส์ระหว่างของไทยกับต่างประเทศ โดยเอิร์ธ ได้แชร์ให้ฟังว่า “สำหรับซีรี่ส์เกาหลีเกี่ยวกับหมอที่เอิร์ธเคยรีแอคก็มี Hospital Playlist กับ Doctor Cha ต้องบอกว่าหมอส่วนใหญ่ที่อยู่ในเฉพาะทางนั้น ๆ เขาแคสเหมือนนะ คาแรคเตอร์เขาตรงกับอาชีพ ตรงกับเฉพาะทางเลย เขา research มาอย่างดี ว่าหมอที่เรียนเฉพาะทางอันนี้ หมอนิวโรศัลย์จะต้องมีลักษณะยังไง การพูดจายังไง แล้วก็หมอศัลยกรรมทรวงอกลักษณะการพูดเป็นยังไง การใช้ชีวิตไลฟ์สไตล์ส่วนใหญ่ก็จะคล้าย ๆ กัน ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะบอกได้เพราะว่าไลฟ์สไตล์มันเป็นอย่างงั้นจริง ๆ ซึ่งเนื้อหาเขาย่อยมาดีมาก การทำซีรี่ส์หมอส่วนใหญ่ก็คืออาจจะชี้ให้เห็นว่า วงการสาธารณสุขเรามีปัญหาอะไรอยู่บ้าง แล้วก็อยากที่จะสนับสนุนอะไรผ่านสื่อ เพราะว่าเป็นหลายอย่างที่ส่วนกลางไม่สามารถให้เราได้ มันสร้างแรงบันดาลใจมากส่วนในไทย หลังจากที่ไปคุยกับคนเขียนบทต่าง ๆ มา พบว่าเวลาเค้าน้อยมากในการ research ครับ ด้วยเวลาเขาน้อยมันก็จะยากหน่อย แล้วก็มันก็จะมีคนเขียนที่เป็นหมอด้วยนะมาเขียนซีรี่ส์ก็จะมีความแบบสมจริงขึ้นมาหน่อย แต่มันก็มีข้อจำกัดหลายอย่างเพราะมันต้องผ่านหลายกลไกที่ทำให้ละครสนุก ซึ่งต้องปรับเป็นบทละครอีกบทมันก็จะแปลกบ้าง”ท้องไม่พร้อม อีกหนึ่งปัญหาที่เอิร์ธฐา อยากเป็นกระบอกเสียงมีหนึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ที่เอิร์ธ ได้ให้ความสำคัญ และพยายามเป็นกระบอกเสียงเกี่ยวกับเรื่องของเคส teenage pregnancy หรือการตั้งท้องไม่พร้อมในเยาวชน โดยเอิรธ์ ได้แชร์มุมมองในเรื่องนี้ให้ฟังว่า “เราสนับสนุนในสิทธิขั้นพื้นฐานของคน เราเห็นเรื่องนี้เป็น Pain Point ของสังคมไทยมานานเพราะเราอยู่ในวงการ เราเห็นการท้องไม่พร้อมเยอะมาก แล้วก็ท้องไม่พร้อมถึงขนาดกำลังจะคลอด วันนั้นคือวันที่เขาท้องไม่พร้อมแล้วเขาไม่ได้รับข้อมูลที่ถูกต้องกับสังคม ไม่ได้รับการประชาสัมพันธ์ที่เพียงพอว่าเขาจะสามารถจะจัดการท้องที่ไม่พร้อมยังไง มีคุณแม่วัยใสเยอะมากที่โรงพยาบาลชุมชน เดินมาสมมติมีร้อยคน ห้าสิบหกสิบเปอร์เซ็นต์อายุยังไม่บรรลุนิติภาวะ หลาย ๆ คนยังไม่รู้ว่าเรามีกฎหมายเรื่องของการทำแท้งแล้ว ก็คือผู้หญิงทุกคนที่ท้องไม่พร้อม สามารถเข้ารับการยุติการตั้งครรภ์ได้ที่โรงพยาบาล โดยกระบวนการคือต้องผ่านการพูดคุยกับหมอหลายขั้นตอนครับ เอิร์ธมองว่าอาจจะเป็นสิทธิของผู้หญิงคนหนึ่ง หากอยู่ในสถานะที่ไม่พร้อม ไม่ว่าจะกรณีใด ๆ ก็ตาม แล้วเราคิดว่าเราไม่สามารถดูแลท้องนี้ให้ออกมาใช้ชีวิตได้อย่างเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีประสิทธิภาพในสังคมแล้ว เราสามารถเข้ามารับการยุติการตั้งครรภ์ได้เลยครับ ไม่ว่าจะกรณีใดๆเราอยากสนับสนุนให้เรื่องการป้องกันเป็นที่พูดถึงกันมากกว่า เพราะเดี๋ยวนี้เราไม่ได้พูดถึงกันเลย ยิ่งการคุมกำเนิด เดี๋ยวนี้สำหรับเยาวชนเนี่ยฟรี ยาคุมกำเนิด หรือง่าย ๆ เลย ถุงยางอนามัยป้องกันได้ที่สุด แล้วไม่ใช่กันท้องแต่กันโรคติดต่อทางเพศอื่น ๆ ด้วย อันที่สองสำหรับผู้หญิงก็จะมีการฝังยาคุม ฝังครั้งนึงอยู่ได้ 3 - 5 ปี แล้วก็ยาคุมฉุกเฉิน คือหลังจากที่เราไปประกอบกิจกรรมไปพลาดอะไรมา ร้านยาก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราไม่กล้าเข้าไปซื้อยาคุมฉุกเฉินเนอะ ก็เป็นอุปสรรคนึงที่ทำให้เราเข้าถึงยาคุมฉุกเฉินยาก แต่เราต้องกล้า ดังนั้นด่านแรกที่เราต้องไปเจอก็คือเป็นคุณเภสัชกรที่ร้านขายยา ภายใน 48 – 72 ชั่วโมงแรกจะได้ผลดีที่สุดในการกินยาคุมฉุกเฉินจะช่วยคุมกำเนิดเดี๋ยวนี้มันต้องพูดกันได้แล้วว่าเซ็กส์เป็นเรื่องธรรมชาติ ต้องให้ความรู้กับเยาวชนที่ถูกต้องเพราะเขาก็ไม่ได้รับความข้อมูลได้อย่างเต็มที่เหมือนเรา เพราะฉะนั้นเราก็มีหน้าที่ให้ความรู้แล้วก็ยอมรับสิ่งที่มันจะเกิดขึ้น สถาบันแรกเลยคือครอบครัว ซึ่งต้องยอมรับว่าสิ่งนี้มันเกิดขึ้นอยู่ทุกวันนี้ยังขาดการให้ข้อมูลความรู้ที่ถูกต้อง”ห้องฉุกเฉิน ที่อยากให้ผู้ป่วยฉุกเฉินได้รับสิทธิ์ก่อนมีอีกหนึ่ง Pain point ที่เอิ์รธเคยเจอเมื่อตอนที่ยังเป็นหมอ ก็คือเรื่องของ ห้องฉุกเฉิน โดยเอิร์ธ ได้เล่าเรื่องนี้ให้ฟังว่า “เป็น Pain point อีกเรื่องคือเรื่องห้องฉุกเฉินกับหมอ เพราะว่าห้องฉุกเฉินส่วนใหญ่เราจะพูดถึงนอกเวลาราชการ ซึ่งก็จะมีคนไข้หลายรูปแบบมาเลย ถ้าฉุกเฉินจริงก็โอเคไม่เป็นไรเพราะว่ามันเป็นหน้าที่ของเรา แต่ส่วนใหญ่มันเป็นในเรื่องของการที่ไม่ฉุกเฉิน หมายถึงว่า คนไข้เป็นไข้มาแล้ววันหนึ่งอยากมาหาหมอจังเลยตอน 2-3 ทุ่ม อะไรแบบนี้ครับซึ่งในช่วงนอกเวลาราชการจะมีแต่ห้องฉุกเฉินอย่างเดียว แล้วส่วนใหญ่ก็จะมีหมอแค่คนเดียวที่ดูแลทั้งหมด ซึ่งหมอก็น้อยอยู่แล้ว บุคลากรทางการแพทย์อย่างอื่นก็น้อยด้วย พยาบาลก็ไม่พอ แล้วเทคนิคการแพทย์ หรือว่าเภสัชกรก็ไม่พอด้วย เขาก็จะรับไม่ไหวอยากให้คนไทยรู้วิธีการปฐมพยาบาลเบื้องต้น การดูแลเบื้องต้นก่อนครับ เช่นเรื่องของไข้เนี่ยมันก็ไม่ได้มีสอนในสุขศึกษาว่า ไข้มันคืออะไร ไข้มันมาจากไหน ส่วนใหญ่มันเกิดจากไวรัสเกิดจากหวัดหรือเปล่า แล้วการดูแลตัวเองเบื้องต้นยังไง สามารถซื้อยากินเองได้มั้ย สามารถมาเจอหมอในวันถัดไปได้ไหม ซึ่งส่วนใหญ่คนเป็นไข้ เป็นหวัด มาหาหมอหรือไปร้านยา ก็ได้ยาเหมือนกันจริง ๆ โครงการ 30 บาทดีมั้ย มันดีนะครับเพราะว่ามันทำให้คนที่ไม่กล้าที่จะเข้ามาโรงพยาบาลมาได้ตลอดเวลา แต่ว่ามันก็เป็น Pain point อย่างนึงเหมือนกัน เพราะเหมือนโยนภาระทุกอย่างเข้าสู่ระบบสาธารณสุขหมดเลย ไม่ว่าคนจะเป็นยังไงก็มาโรงพยาบาลได้ตลอด 24 ชั่วโมง มันก็เหมือนเป็นการผลักภาระเข้ามาที่บุคลากรการแพทย์ ซึ่งมันต้องแก้ที่อะไรหลายๆ อย่างระบบการศึกษาด้วย แล้วก็ให้ความรู้ทั่วไปกับประชากรและสังคมด้วย” - เอิร์ธ อติรุจติดตามรายการย้อนหลัง

album

0
0.8
1