[REVIEW] ‘The Super Mario Bros. Movie’ แอนิเมชั่นที่เต็มไปด้วย Nostalgia เหมือนไปเล่นสวนสนุก | GOSSIP GUN

HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘The Super Mario Bros. Movie’ แอนิเมชั่นที่เต็มไปด้วย Nostalgia เหมือนไปเล่นสวนสนุก | GOSSIP GUN

11 เม.ย. 2023

ไม่มีใครไม่รู้จักเกม Mario นี่คือเกมที่ได้รับการขนานนามว่า เป็นวีดีโอเกมที่มียอดขายสูงสุดตลอดกาล จากต้นกำเนิดครั้งแรกเมื่อ 40 ปีก่อน Nintendo ได้พัฒนาเกมนี้ ออกมาอย่างหลากหลายรูปแบบหลายยุคหลายสมัย จาก 2D สู่แบบ 3D และมีการขยายลักษณะของเกมออกไปมากมายอย่างไม่จบสิ้น ซึ่งแน่นอนว่าเกมฮิตระดับนี้ ก็ต้องมีความพยายามจะนำมาสร้างเป็นหนัง ซึ่งความพยายามแรกเกิดขึ้นในปี 1993 กับการนำมาดัดแปลงเป็นหนังฉบับคนแสดง ซึ่งคว่ำไม่เป็นท่า ด้วยองค์ประกอบที่ดูประหลาดที่แตกต่างจากเกมอย่างสิ้นเชิง จนในที่สุดหนังที่คู่ควรสำหรับแฟนเกม Mario ก็มาถึง เมื่อ Nintendo ได้จับมือกับ Illumination สตูดิโอที่สร้างแอนิเมชั่นรายได้ถล่มทลายอย่าง Minions, The Secret Life of Pets และ Sing จากความถนัดในการทำหนังสนุกของค่ายหลังมาผนวกกับต้นฉบับมาริโอ้ของค่ายที่ให้กำเนิด ทำให้ The Super Mario Bros. Movie คือหนังเวอร์ชั่นที่ตอบโจทย์แฟนเกมที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ในหนังแอนิเมชั่นฉบับนี้เล่าถึงสองพี่น้องนักซ่อมท่อ มาริโอ้ และลุยจิ (พากย์เสียงโดย คริส แพรตต์ และ ชาร์ลี เดย์) จากโลกมนุษย์ที่ดันหลุดเข้าไปในดินแดนมหัศจรรย์ผ่านท่อวิเศษ มาริโอ้หลุดเข้าไปในดินแดนเห็ด แต่สำหรับลุยจิ กลับหลงไปในดินแดนแห่งความมืดที่เต็มไปด้วยความอันตราย ซึ่งสถานที่แห่งนี้ถูกปกครองโดย บาวเซอร์ (พากย์เสียงโดย แจ็ค แบล็ค)ตัวร้ายสุดอำมหิตที่วางแผนจะถล่มทุกอาณาจักรรอบข้างและยึดครองให้เป็นของเขา หลังจากมาริโอ้พลัดพรากจากน้อง จึงไปขอความช่วยเหลือจากเจ้าหญิงพีช (พากย์เสียงโดย อันยา เทย์เลอร์-จอย) เธอจึงผนึกกำลังกับมาริโอ้ เพื่อบุกไปยังดินแดนแห่งความมืด โดยนอกจากจะช่วยเหลือลุยจิแล้ว ยังต้องปกป้องดินแดนเห็ดจากภัยรุกรานครั้งนี้อีกด้วย

สำหรับผู้ใหญ่ที่ผ่านการเล่นเกม Mario มาหลายยุคสมัย หนังเรื่องนี้เต็มไปด้วยความ Nostalgia นั่นคือการที่ความทรงจำในสมัยก่อน มันถูกดึงกลับมาให้รู้สึกอีกครั้งตลอดการดูหนังเรื่องนี้ เพราะ The Super Mario Bros. Movie อัดแน่นด้วยองค์ประกอบต่างๆจากเกม ที่หลายคนอาจจะลืมไปแล้ว หลายคนอาจจะคิดถึง ทั้งหมดมันถูกหยิบมาใส่ไว้ในหนัง ทำให้ผู้ชมจะได้รู้สึกย้อนวัยไปผจญภัยกับตัวละครเหล่านี้ โดยหนังเลือกที่จะเล่าหลายซีนให้เหมือนผู้ชมกำลังเล่นเกมไปด้วย ยิ่งเพิ่มความสนุกและเรียกความทรงจำเก่าๆกลับมาได้เพียบ และอีกพาร์ทที่ Nostalgia มากๆคือ Score หรือดนตรีประกอบ ซึ่งหยิบเอาทำนองจากในเกมมาทำใหม่ แล้วใส่ไว้ในฉากที่ตรงกับในเกม ยิ่งเพิ่มความรู้ใช่ระหว่างดูเข้าไปอีก

การเข้าไปดู The Super Mario Bros. Movie ในอีกอารมณ์หนึ่งเหมือนผู้ชมกำลังเดินเข้าสู่สวนสนุกที่เรารู้ทันทีว่าความสนุก(โดยเฉพาะกับเด็กๆ) รออยู่มากมาย ไม่ว่าจะได้เจอกับเหล่าคาแรคเตอร์ที่พวกเราคิดถึง ได้เจอกับอาณาจักรต่างๆที่เต็มไปด้วยความตื่นตา เหมือนเรากำลังเดินเข้าไปใน Theme Park ต่างๆในสวนสนุก รวมถึงฉากแอ็กชันจำนวนมากที่ถูกออกแบบมาเหมือนเกม เหมือนผู้ชมกำลังอยู่ในฉากนั้นๆด้วย ยิ่งเหมือนว่าคนดูได้ขึ้นไปเล่นในเครื่องเล่นต่างๆ เพิ่มความสนุกให้กับหนังขึ้นไปอีก (ตรงจุดนี้เชื่อว่า การดูในระบบ 4DX น่าจะยิ่งเพิ่มอรรถรสได้มาก น่าจะเป็นหนังที่เหมาะกับระบบนี้จริงๆ)

ในขณะที่เสียงพากย์นั้น แม้จะมีคำวิจารณ์ออกมาก่อนหน้านี้ เรื่องเอานักแสดงมาพากย์แล้วไม่เหมาะสมกับบท แต่ปรากฏว่า ทั้ง คริส แพรตต์, อันยา เทย์เลอร์-จอย และชาร์ลี เดย์ ต่างถ่ายทอดบท มาริโอ้ เจ้าหญิงพีช และลุยจิ ออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติมากๆ แต่ที่ขโมยทุกซีนไปเลยคือเสียงพากย์ของ แจ็ค แบล็คกับบทตัวร้ายหลักที่แสดงอารมณ์และเพิ่มความฮาผ่านเสียงได้อย่างหลากหลายรูปแบบมากๆ ยกให้เป็นที่สุดตัวตึงในทีมนักพากย์เลย นอกจากนี้อีกคนที่อยากกล่าวถึงมากๆ คือ เซธ โรแกน ในบทดองกี้คอง ที่รายนี้ก็ขโมยซีนหนักไปแพ้กัน – โดยรวมนั้น The Super Mario Bros. Movie เป็นหนังที่ตอบโจทย์แฟนเกมต่างๆ แต่สำหรับคนดูทั่วไปก็สามารถเอ็นจอยได้ แม้เส้นเรื่องจะไม่มีอะไรซับซ้อน แต่ฉากต่างๆล้วนสนุกและบันเทิง ถือเป็นแอนิเมชั่นอีกเรื่องที่ทำเงินทั่วโลกหนักแน่ๆ

ชมตัวอย่าง The Super Mario Bros. Movie วันนี้ในโรงภาพยนตร์

ภาพ : UIP Thailand

related HOLLYWOOD GOSSIP

[REVIEW] ‘Babylon’ มหากาพย์สุดบ้าคลั่ง ฉากหลังยุคทองฮอลลีวูด| GOSSIP GUN

18 ม.ค. 2023

[REVIEW] ‘Babylon’ มหากาพย์สุดบ้าคลั่ง ฉากหลังยุคทองฮอลลีวูด| GOSSIP GUN

La La Land คือปรากฏการณ์ของฮอลลีวูด หลังจากเข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง13 สาขาเทียบเท่า Titanic แม้ว่าท้ายที่สุดจะพลาดรางวัลสำคัญอย่าง Best Picture แต่หนังก็ส่งให้ เดเมียน ชาเซลล์ กลายเป็นผู้กำกับที่อายุน้อยที่สุดที่ชนะสาขา Best Director นั่นทำให้ทุกโปรเจกต์หลังจาก La La Land จากฝีมือเขาล้วนถูกจับตา หลังจากเบนเข็มไปเล่าเรื่องนอกฮอลลีวูดมาแล้วกับ First Men เดเมียนขอกลับสู่เรื่องราวที่เขารักมากที่สุดอีกครั้ง เรื่องราวของแวดวงภาพยนตร์ใน 'Babylon' โปรเจกต์ยักษ์ทุนสร้าง80 ล้านเหรียญฯ ที่เปิดโอกาสให้เดเมียนที่โชว์ฝีมือแบบเต็มที่ จะได้โชว์เรื่องราวเกี่ยวกับฮอลลีวูดอย่างเต็มสตรีมBabylon พาผู้ชมย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นยุคทองของฮอลลีวู้ดในช่วงปลายยุค 1920s มหากาพย์ของหลากหลายตัวละคร ที่แจ้งเกิดและแตกดับ ท่ามกลางการเปลี่ยนถ่ายของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ จากยุคหนังเงียบ สู่หนังที่มีเสียง หลายความฝันเป็นจริง หลายคนมุ่งมั่นประสบความสำเร็จ แต่เมื่อทุกอย่างไม่ยั่งยืน จึงไม่มีคำว่า ตลอดไป โดยเฉพาะในวงการนี้ โดยตัวละครหลักๆที่หนังโฟกัส เริ่มจาก แมนนี่ (รับบทโดย ดิเอโก้ ซัลวา) หนุ่มจากเม็กซิโกที่ข้ามชายแดนมายังฮอลลีวู้ดเพราะหลงไหลในมนต์เสน่ห์ของภาพยนตร์ จนทำให้เขาอยากสร้างหนัง ได้มาเจอกับ เนลลี่ (รับบทโดย มาร์โก ร็อบบี้) หญิงสาวสุดทะเยอทะยานที่เธอเชื่อสุดใจว่าเธอเกิดมาเพื่อเป็นซูเปอร์สตาร์ ระหว่างที่ทั้งคู่ค่อยๆไล่ตามความฝันไปทีละขั้น พวกเขาก็ได้เจอกับ แจ็ค คอนราด (รับบทโดย แบรด พิตต์) นักแสดงเบอร์ท็อปของวงการในขณะนั้น ที่ไม่ว่าเล่นหนังเรื่องไหนก็ฮิตติดลมบนทุกเรื่อง แต่เมื่อฮอลลีวูดกำลังจะเปลี่ยนไป ยุคของหนังเสียงกำลังก้าวเข้ามาแทนที่หนังเงียบ พวกเขาทุกคนและทุกชีวิตในฮอลลีวูดก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปถ้าเปรียบ La La Land เป็นเหมือนน้ำนิ่งที่ไหลลึก หนังอย่าง Babylon ก็คือคลื่นที่ซัดกระหน่ำไม่หยุดตลอดเวลา แม้ว่ามันจะเล่าถึงคนตามฝันในวงการบันเทิงเหมือนกัน แต่สำหรับเรื่องนี้ เดเมียน ขอปรับเข้าสู่โหมดที่บ้าคลั่งอย่างเต็มที่ เรียกว่าปล่อยของแบบไม่มีลิมิตเลยจริงๆ หนังเริ่มจากฉากปาร์ตี้สุดคลั่ง ที่เต็มไปด้วยเหล้ายาเซ็กซ์ หลายอย่างที่ไม่มีใครคาดคิด (แม้แต่ช้างก็ยังมี) กับทุกเหตุการณ์ที่เหนือความควบคุม สะท้อนถึงภาพความสุดเหวี่ยงของไลฟ์สไตล์คนบันเทิงในยุคนั้น ก่อนที่จะต่อด้วยเช้าวันใหม่กับการถ่ายทำหนังที่เต็มไปด้วยความโกลาหลอลหม่านขั้นสุด กองถ่ายที่หนังฟอร์มใหญ่ที่ดูเหมือนกำลังจะพังพินาศ จะพังแหล่ไม่พังแหล่ แค่ฉากใหญ่สองซีนแรก ก็ทำให้ผู้ชมอารมณ์สูบฉีดขั้นสุด มันทั้งสนุก ทั้งบ้าคลั่ง ทั้งตลกอย่างร้ายกาจ และเป็น Mood Tone แรก ที่บอกถึงสไตล์อันชัดเจนของ Babylon ในช่วงเวลาที่เล่าถึงการผงาดของหลายความฝันและเมื่อความเปลี่ยนแปลงมาถึง อีกหนึ่ง Mood Tone ที่ค่อยๆเผยออกมาใน Babylon คือความดาร์กของชีวิต ที่หลายฉากพาให้อารมณ์ผู้ชมดำดิ่งอยู่ไม่น้อย เมื่อทุกอย่างไม่จีรั่งยั่งยืน ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้าไปได้ตลอด หนังค่อยๆพาผู้ชมไปดู ชีวิตที่ต้องจะเกียกตะกายไล่ตามฝันอีกครั้ง หลังจาก La La Land เดเมียนเคยสื่อสารกับผู้ชมว่า ทุกความฝันย่อมต้องมีการเสียสละ คุณไม่สามารถเอาชนะหรือทำตามใจตัวเองได้ทุกอย่าง นำไปสู่บทสรุปที่หลายคนใจสลาย สำหรับ Babylon เดเมียนกำลังจะบอกผู้ชมว่า แม้ความฝันจะเป็นจริงแล้ว แต่ไม่มีอะไรอยู่กับเราได้ตลอดไป ทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องชั่วคราวทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียงเงินทอง เมื่อหลายๆตัวละครขึ้นสู่จุดสูงสุด แล้วตกลงมาท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง มันจึงไม่ง่ายเลยที่จะกลับไปอยู่จุดเดิมอีกครั้ง (ซึ่งส่วนใหญ่ไม่มีโอกาสนั้นอีกแล้ว)ไม่แปลกใจที่กระแสคำวิจารณ์ของ Babylon จากเมืองนอก จะออกมาในลักษณะที่ไม่ รัก ก็ เกลียด มันเป็นหนังที่ส่วนตัวมากๆสำหรับเดเมียน เหมือนสร้างมาประหนึ่งว่าตัวเองจะไม่มีโอกาสได้สร้างหนังอีกแล้ว เขาอยากเล่าอะไรจึงเล่า อยากทำอะไรจึงทำ หนังมันจึงมีอารมณ์ที่ขึ้นสุดลงสุด ตลอด 3 ชั่วโมง 8 นาที บ้างก็ว่าหนังขาดความสมูธ บ้างก็ว่าทิศทางของหนังดูเหมือนจะไม่ชัดเจนเท่าไหร่นัก แต่โดยรวมต้องชื่นชมความจัดเต็มของเขา การออกแบบงานสร้างที่ไม่ธรรมดา ดนตรีประกอบสุดเร้าใจ และการแสดงโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดิเอโก้ ซัลวา และมาร์โก้ ร็อบบี้ ที่แสดงได้อย่างยอดเยี่ยมในหลายๆฉากที่ท้าทายฝีมือมากๆท้ายที่สุดแม้ว่า Babylon จะแตกต่างจาก La La Land อย่างมาก แต่ก็มีหลายครั้งที่กลิ่นอายของLa La Land (หรือแม้แต่งานก่อนหน้าอย่าง Whiplash) ชัดเจนมากเช่นกัน โดยเฉพาะดนตรีประกอบที่ท่วงทำนองในหลายฉากภาพของ La La Land ผุดเข้ามาในหัวเลย ใครที่เคยชอบ La La Land ก็อยากให้ลองมาพิสูจน์หนังเรื่องนี้ แม้ว่าหนังจะดูเป็นคนหลายบุคลิกไปหน่อย บ้าคลั่งไปหน่อย แต่แก่นก็มัน ก็ทั้งโรแมนติกและบีบหัวใจไม่แพ้กัน และที่แน่ๆ หลังจากดูจบเราเชื่อมั่นเหลือเกินว่า เดเมียน ชาเซลล์ รักในการทำหนัง รักในศาสตร์ของภาพยนตร์จริงๆ แม้ว่าช่วงท้ายเขาจะใส่หนักมากไปหน่อยก็ตาม แต่มันก็เป็นจดหมายแบบทั้งรักทั้งเกลียดของเขา ต่อสิ่งที่โลกเรียกว่า "ฮอลลีวูด"Babylon (บาบิลอน) เข้าฉาย 19 มกราคมนี้ ทุกโรงภาพยนตร์ภาพ : UIP Thailand

[REVIEW] ‘Ride On ควบสู้ฟัด’ หนังเฉินหลงแบบดีต่อใจ เชิดชูยกย่องอาชีพสตันต์แมน| GOSSIP GUN

27 เม.ย. 2023

[REVIEW] ‘Ride On ควบสู้ฟัด’ หนังเฉินหลงแบบดีต่อใจ เชิดชูยกย่องอาชีพสตันต์แมน| GOSSIP GUN

ถ้าจะมีหนังเฉินหลงสักเรื่อง ที่บทที่เขาได้รับ ดูใกล้เคียงและมีความทับซ้อนกับอาชีพจริงๆของเขามากที่สุด ก็น่าจะเป็นผลงานล่าสุดอย่าง 'Ride On' (ชื่อไทย ควบสู้ฟัด) ซึ่งนักแสดงสายบู๊ในวัยใกล้เลข 7 รับบทเป็น สตันต์แมนในวัยเกินเกษียณ ที่แม้สังขารจะไม่ให้ แต่ใจยังคงรักในอาชีพนักแสดงเสี่ยงตาย ตัวละครของเฉินหลงในเรื่อง คือชายที่ใช้ชีวิตเพียงลำพังในกองถ่าย ความผูกพันเดียวที่เขามีคือเจ้า กระต่ายแดง ม้าคู่ใจที่เขาดูแลมาตั้งแต่มันยังเล็กและฝึกให้้เป็นม้าที่แสดงฉากเสี่ยงตายเช่นเดียวกับเขา แต่เมื่อเวลาเปลี่ยนไป วงการภาพยนตร์ก็เช่นกัน สตันต์แมนอย่างเขาและม้าสตันต์ กลับกลายเป็นสิ่งไม่จำเป็น เมื่อสเปเชียลเอฟเฟกต์ เข้ามาแทนที่ การที่เอาคนมาแสดงผาดโผนและเอาสัตว์มาเข้าฉาก กลายเป็นเรื่องไม่จำเป็นอีกต่อไป และพวกเขาจะทำเช่นไรต่อดี ?แม้ว่า Ride On จะถูกโปรโมตในสไตล์หนังแอ็กชันดราม่ามิตรภาพของคนกับม้า ในแบบที่คนรักสัตว์จะต้องเทใจให้กับหนังเรื่องนี้ แต่ในขณะเดียวกัน มันก็ถูกวางให้เป็นหนังที่มาเพื่อเชิดชูและสดุดีอาชีพสตันต์แมนเช่นเดียวกัน หนังค่อยๆพาผู้ชมเข้าสู่โลกของคนที่ทำอาชีพนี้ แม้ว่าอาชีพของพวกเขาจะดูง่าย เพียงแค่ เดินกล้อง กระโดดข้ามตึก นอนโรงพยาบาล (แบบที่เฉินหลงเคยให้สัมภาษณ์แบบติดตลกในรายการทอล์กโชว์) แต่อันที่จริงแล้ว พวกเขาต้องแลกมาด้วยหลายๆอย่าง ทั้งร่างกายที่ไม่เหมือนเดิม เสี่ยงบาดเจ็บหนัก ซึ่งสร้างความเป็นห่วงให้กับคนใกล้ตัว หนังค่อยๆพาผู้ชมไปดูแง่มุมต่างๆของอาชีพนี้ ทั้งในแง่ผลกระทบส่วนตัว และภาพรวมของวงการภาพยนตร์ ซึ่งส่วนนี้เองมีความทับซ้อนกับชีวิตจริงของเฉินหลงอยู่ไม่น้อย เพราะในชีวิตจริง เขาก็คือนักแสดงที่เล่นฉากผาดโผนด้วยตัวเอง ถึงขั้นหลายฉากหยิบเอาฟุตเทจจากหนังเก่าๆของเขามี Insert เป็นงานเก่าๆของตัวละครในเรื่องด้วยซ้ำแต่สิ่งที่เซอร์ไพรสที่สุดสำหรับ Ride On คืออีกหนึ่งปมที่หนังเลือกหยิบขึ้นมาชู และโดดเด่นไม่แพ้ประเด็นมิตรภาพคนกับม้าและประเด็นชีวิตของสตันต์แมน นั่นคือปมดราม่าระหว่างพ่อกับลูก เนื่องจากตัวละครพระเอกในเรื่องทุ่มเทกับงานจนห่างเหินกับลูกสาว ที่ไปอาศัยอยู่กับแม่หลังพ่อแม่หย่าร้าง และเมื่อแม่ของเธอเสียไป เธอจึงใช้ชีวิตตามลำพังโดยที่เกลียดพ่อมาโดยตลอด แต่เพราะเหตุจำเป็น เมื่อม้าของพ่อกำลังจะถูกยึดไป พระเอกจึงติดต่อไปยังลูกสาวที่เรียนนิติศาสตร์เพื่อขอความช่วยเหลือ นำไปสู่การกลับมาสานสัมพันธ์อีกครั้ง ของคู่พ่อลูกสายเลือดเดียวกันที่ห่างกันไปนาน เส้นเรื่องตรงนี้ถือว่าค่อนข้างแปลกใจพอสมควร เพราะเดิมทีไม่คิดว่าหนังจะเน้นแง่มุมนี้ แต่กลับเป็นปมหลักที่หนังให้ความสำคัญ และขยี้หัวใจของคนดูได้พอสมควรเลยทีเดียวโดยรวม Ride On อาจจะสามารถนิยามได้ว่า เป็นหนังแอ็กชันเฉินหลงที่ดีต่อใจ เพราะนอกจากฉากบู๊ปนฮาที่เป็นเอกลักษณ์ในหนังของแกแล้ว (ซึ่งในเรื่องนี้มีให้ดูกันอยู่ตลอดทั้งเรื่อง) หนังยังเต็มไปด้วยปมดราม่าที่เล่นกับความรู้สึกของคนดูอยู่ไม่น้อย ทั้งปมพ่อลูกที่หนังทำถึงอยู่พอสมควร ปมมิตรภาพคนกับสัตว์ที่ขยี้แล้วขยี้อีก และปมเรื่องอาชีพที่เมื่อเวลาเปลี่ยนไป ก็ย่อมต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลง แต่ก็อย่าเพิ่งตกใจว่า หนังจะเทอารมณ์ไปทางดราม่าเสียส่วนใหญ่ เพราะมันก็ยังมีฉากตลกอมยิ้มในสไตล์แกอยู่ ทั้งพาร์ทแอ็กชัน พาร์ทขำขัน และพาร์ทดราม่า ถูกผสมผสานมาได้ค่อนข้างพอเหมาะ ทำให้ Ride On อาจจะเรียกได้ว่าเป็นหนังเฉินหลงที่ดูสนุก และดูเพลินอยู่ไม่น้อยสรุปแล้ว Ride On ถือเป็นหนังครบรส ที่มาพร้อมกับพล็อตแบบ 3 In 1 ที่แม้หน้าหนังจะเน้นไปทางหนังมิตรภาพคนกับสัตว์ หัวใจมันก็ยังเป็นหนังครอบครัวที่ชวนประทับใจ และเป็นหนังที่ยกย่องคนที่ทำอาชีพในวงการบันเทิง อาชีพที่เฉินหลงทำและคลุกคลีมาตลอดหลายทศวรรษอีกด้วย ใครที่เป็นแฟนหนังของเฉินหลงหรือติดตามหนังฮ่องกงมาหลายทศวรรษ ก็น่าจะอินกับหนังเรื่องนี้ได้มากเป็นพิเศษ เพราะมีองค์ประกอบบางอย่างที่น่าจะถูกใจอย่างแน่นอน ส่วนตัวสำหรับผู้เขียนมีโอกาสได้ดูหนังในแบบเสียงจีน บรรยายไทย พบว่าหลายฉากดูจะเอื้อกับการพากย์เสียงของทีมพากย์พันธมิตรมากๆ ถ้ามีโอกาส เลือกชม Ride On แบบเสียงไทยก็น่าจะเพิ่มอรรถรสให้หนังอยู่ไม่น้อยภาพ : Major Groupชมตัวอย่าง Ride On ควบสู้ฟัด วันนี้ในโรงภาพยนตร์

[REVIEW] ‘Knives Out : Glass Onion’ ฆาตกรรมหรรษาเคสใหม่ สนุกฮาชั้นเชิงเกินร้อย| GOSSIP GUN

22 ธ.ค. 2022

[REVIEW] ‘Knives Out : Glass Onion’ ฆาตกรรมหรรษาเคสใหม่ สนุกฮาชั้นเชิงเกินร้อย| GOSSIP GUN

ยกให้เป็นหนังโคตรสนุกส่งท้ายปีเลยก็ว่าได้ สำหรับภาคใหม่ของ Knives Out หนังตามหาฆาตกรสไตล์ Whodunit ที่มาพร้อมกับความแสบสันต์ และทีมนักแสดงชุดใหญ่ ย้อนกลับไปเมื่อ 3 ปีก่อน Knives Out กลายเป็นหนังระดับโคตรฮิตและกวาดคำวิจารณ์ในแง่บวกไปเพียบ จากทุนสร้างเพียง 40 ล้านเหรียญฯ สามารถทำรายได้ทั่วโลกไปกว่า 300 ล้าน กลายเป็นแฟรนไชส์ใหม่สำหรับพระเอก แดเนียล เคร็ก หลังโบกมือลาบท เจมส์บอนด์ ไปแล้ว เขาก็ได้หนังฮิตชุดใหม่ต่อทันที และเมื่อหนังสามารถเรียกผู้ชมได้มากขนาดนี้ Netflix เลยตาไว ซื้อสิทธิจากค่าย Lionsgate ไปซะเลย และซื้อแบบรวดเดียวทั้งภาค 2 และ 3 ทำให้หนัง Knives Out ภาคใหม่นี้ ผู้ชมจะไม่ได้ดูในโรงเหมือนภาคก่อน แต่จะลงให้ชมใน Netflix เป็นสเต็ปแรกไปเลยหนังภาคใหม่นี้ ใช้ชื่อเต็มๆว่า "Glass Onion : A Knives Out Mystery” พาผู้ชมไปหรรษากับคดีใหม่ของ นักสืบเบอร์นัวห์ บลองค์ ซึ่งรับบทโดย แดเนียล เคร็ก เขาคือนักแสดงคนเดียวจากภาคแรกที่กลับมาแสดงในภาคต่อนี้ โดยเบอร์นัวห์ ได้บัตรเชิญให้ไปร่วมงานปาร์ตี้สุดเอ็กซ์คลูซีฟ บนเกาะส่วนตัวสุดหรู ที่ทะเลในประเทศกรีซ ซึ่งเจ้าของคือมหาเศรษฐีผู้ร่ำรวยจากเทคโนโลยีใหม่ๆ เมื่อเขามาถึงก็ได้พบว่า แขกทั้งหมดล้วนเป็นเพื่อนที่สนิทสนมกันมานานของ เศรษฐีคนนี้ ซึ่งทั้ง นักการเมืองปากเก่ง ยูทูปเบอร์สุดเพี้ยน อดีตนางแบบสาวตัวแม่ และอีกเพียบ โดยทุกคนจะต้องมาร่วมสนุกกับการไขปริศนาคดีฆาตกรรม แต่ทุกอย่างกลับเข้มข้นขึ้น เมื่อมีหนึ่งในกลุ่มเพื่อน เสียชีวิตจริงๆ แต่ใครคือฆาตกรกันแน่ ?สามารถพูดได้เต็มปากว่า Glass Onion คือหนังที่โคตรสนุก โคตรแสบ และคาดเดาไม่ได้จริงๆ ดูเหมือนองค์ประกอบในหลายๆอย่างจะถูกเพิ่มขึ้นจากภาคก่อน หลังจากที่ Knives Out ภาคแรกกลายเป็นหนังที่ประสบความสำเร็จเกินคาด กลายเป็นจุดที่เพิ่มความมั่นใจให้กับผู้กำกับ ไรอัน จอห์นสัน มากยิ่งขึ้น ว่าเขามาถูกทางแล้ว กับการผสมผสานระหว่างหนังสไตล์ตามหาฆาตกรสุดเข้มข้น กับหนังตลกเสียดสีสุดแสบสันต์ สิ่งที่ผู้ชมชื่นชอบ ดูเหมือนจะถูกเพิ่มดีกรีในภาคนี้หมด สิ่งที่ทำให้หนังสนุกมาก คือชั้นเชิงในการเล่าเรื่องของไรอัน มันไม่ใช่แค่ผู้ชมจะลุ้นว่าใครจะตาย ใครคือฆาตกร แต่ดีเทลต่างๆที่ใส่มา ล้วนมีความสำคัญแทบทั้งหมด มุกเล็กๆน้อยๆที่หยอดไว้ มันอาจจะเชื่อมโยงกับอะไรบางอย่างหลังจากนั้นก็ได้ กลายเป็นหนังที่เล่าอย่างแพรวพราวจริงๆสิ่งที่ถูกเพิ่มดีกรีขึ้นมาใน Glass Onion อย่างชัดเจนอีก คืองานโปรดักชั่น และอารมณ์ขันสุดแสบ หลังจากที่ภาคแรกเน้นการเล่าเรื่องในคฤหาสน์สุดหรูของคุณปู่ ภาคนี้จัดความใหญ่ด้วยเกาะส่วนตัวกันไปเลย ซึ่งมีรายละเอียดของสถานที่ที่อลังการอยู่ไม่น้อย (รวมถึงสถานที่ที่จะเผยว่าชื่อหนัง Glass Onion หมายถึงอะไร) อีกจุดที่เพิ่มดีกรีขึ้นมา คือ ความตลกแบบแสบจี๊ด หลังจากภาคแรกเสียดสี สังคมอเมริกาและการเมืองแบบไม่แตะเบรก ภาคนี้ดูเหมืิอนจะเสียดสีและล้อเลียน กลุ่มคนที่ถูกยกให้เป็น Elite ของสังคม ไม่ว่าจะเป็น เศรษฐีเทคโนโลยี (แบบ อีลอน มัสก์) ผู้ที่โด่งดังจากโลกออนไลน์ โดยมุกต่างๆที่แทรกไว้ ค่อนข้างเวิร์กเลยทีเดียว และจังหวะการเล่น การขยี้ก็ค่อนข้างลงตัว จากรอบปฐมทัศน์ในไทยที่ Netflixจัดฉายพิเศษในโรง สามารถบอกได้ว่า หัวเราะกันลั่นโรงจริงๆพาร์ทสำคัญที่เป็นไฮไลต์ของหนังสไตล์ Whodunit คือ Ensemble Cast หลักจากภาคนี้ ไรอัน จอห์นสัน ชวนนักแสดงดังๆมาร่วมแสดงกันแน่นจอ ภาคนี้แม้ว่าดีกรีความดังของนักแสดงอาจจะเทียบภาคแรกไม่ได้ แต่ว่าแต่ละคนก็มีของแบบไม่ธรรมดา ประกอบด้วย เอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน, เคต ฮัดสัน, เดฟ บอทิสต้า, แคทเธอรีีน ฮาห์น แต่ที่โดดเด่นเหนือออกมา คือการแสดงของ จาเนล โมเน่ห์ ในบทเพื่อนรักเพื่อนแค้นของคนกลุ่มนี้ ด้วยคาแรคเตอร์ของเธอทำให้ จาเนล สามารถโชว์สกิลได้อย่างหลากหลาย ส่วนนักแสดงนำอย่าง แดเนียล เคร็ก ภาคนี้ดูเหมือนเขาจะเอ็นจอยกับบทมากขึ้น แดเนียลดูสบาย ดูสนุกกับบท จนทำให้คนดูเพลิดเพลินกับตัวละครนี้ไปด้วย จนอยากจะตามต่อภาคหน้าแล้วว่าเขาจะไปคลี่คลายคดีที่ไหนโดยรวม Glass Onion : A Knives Out Mystery ถือเป็นหนังโคตรบันเทิงมากๆ ผสมผสานระหว่างหนังสืบหาฆาตกรกับตลกเสียดสีอย่างลงตัว จนไม่แปลกใจที่หลายๆสถาบันจะให้เรื่องนี้ติดอันดับหนังยอดเยี่ยมของปีด้วย รวมถึง แดเนียล เคร็ก ก็ได้ชิงรางวัลในหลายๆสถาบัน นอกจากทีมนักแสดงสุดแสบแล้ว Knives Out ภาคนี้ยังแอบใส่นักแสดงรับเชิญไว้หลายคน นอกจากคนดูจะเซอร์ไพรสกับเส้นเรื่องที่คาดเดาไม่ได้แล้ว ยังจะเซอร์ไพรสกับแขกรับเชิญที่หนังใส่มาอีกด้วย (นักแสดงบางคนมาแต่เสียงก็มี) นี่จึงเป็นหนังที่สนุกและห้ามพลาดส่งท้ายปี แม้ว่าคุณจะยังไม่เคยดูภาคแรกมาก่อน ก็สามารถมาเอ็นจอยกับภาคนี้ได้เลย เพราะเป็นการเปิดคดีใหม่ เส้นเรื่องไม่ได้เกี่ยวโยงกันGlass Onion : A Knives Out Mystery สตรีม 23 ธันวาคมใน Netflix

[REVIEW] 'ELVIS' นี่คือหนัง BIOPIC ที่ทรงพลังและจัดจ้าน ขึ้นแท่นหนังยอดเยี่ยมแห่งปี | GOSSIP GUN

22 มิ.ย. 2022

[REVIEW] 'ELVIS' นี่คือหนัง BIOPIC ที่ทรงพลังและจัดจ้าน ขึ้นแท่นหนังยอดเยี่ยมแห่งปี | GOSSIP GUN

นึกไม่ออกเลยครับ ว่าใครจะสร้างหนังชีวประวัติของศิลปินระดับตำนานอย่าง เอลวิส เพรสลีย์ ได้จัดจ้านเท่ากับผู้กำกับ บาซ เลอห์มานน์ เหมือนโปรเจกต์นี้ ถูกออกแบบมาสำหรับเขาโดยเฉพาะ เหมือนหนังชีวิตของเอลวิส ถูกรอเวลาเพื่อให้เจอคนที่เหมาะมืออย่างบาซ มากำกับ ตลอดระยะเวลาถึง30ปีที่โลดแล่นในวงการภาพยนตร์ บาซ ทำหนังเพียงแค่5เรื่อง(และเรื่องนี้เป็นเรื่องที่6)แต่ผลงานเขาทั้งโดดเด่น มีเอกลักษณ์ และได้รับความนิยมล้นหลามแทบทุกเรื่อง ไล่ตั้งแต่Strictly Ballroom, Romeo+Juliet, Moulin RougeมาจนถึงThe Great Gatsbyทุกเรื่องที่ภาพจำในความจัดจ้าน ความอลังการPacingเล่าเรื่องที่ไวทั้งหมด ยกเว้นเพียงAustraliaหนังเอพิคโรแมนติกที่ดูจะพลาดไปหน่อยเพียงเรื่องเดียว การกลับมาครั้งนี้ในรอบ9ปี เหมือนบาซสะสมพลังทั้งหมด มาใส่เต็มให้กับเรื่องนี้Elvisพาผู้ชมย้อนกลับไปสมัยที่ราชาแห่งร็อคแอนด์โรลล์ยังไม่มีชื่อเสียง เอลวิส(รับบทโดย ออสติน บัตเลอร์)เติบโตมาในสังคมของคนดำ หลงใหลในดนตรีของคนผิวดำ จนบางครัั้งก็ถูกเหยียดหยามจนคนขาวด้วยกัน จนกระทั่งเขาได้ถูกค้นพบโดย ผู้พันทอม ปาร์กเกอร์(รับบทโดย ทอม แฮงค์ส)ผู้จัดการศิลปิน ที่มองเห็นเพชรเม็ดงาม ที่พร้อมจะถูกเจียระไน ทอมพาเอลวิสไปเซ็นต์สัญญากับค่ายเพลงยักษ์ ไม่นานเอลวิสจึงดังเป็นพลุแตก ด้วยลีลาการโชว์ การเต้น การสะบัดเอวอันเป็นเอกลักษณ์ ทำให้สาวๆต่างคลั่งไคล้ในตัวเขา หนังค่อยๆพาผู้ชมเข้าไปในโลกของเอลวิส ทั้งชีวิตครอบครัว ชีวิตความรัก เส้นทางในวงการ อุปสรรคมากมายที่เขาต้องเผชิญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความสัมพันธ์กับผู้จัดการของเขาเอง ชายที่ทั้งให้โอกาส และในขณะเดียวกันก็ฉกฉวยผลประโยชน์อย่างบ้าคลั่งจากตัวเขานี่คือหนัง บาซ เลอห์มานน์ ที่เป็น บาซ เลอห์มานน์ มากที่สุดเรื่องนึงเท่าที่จะเป็นไปได้ ด้วยเอกลักษณ์สไตล์การเล่าเรื่องที่จัดจ้าน หวือหวา ประโคมสิ่งต่างๆเข้ามาในฉากให้มากที่สุด หนังใช้วิธีการตัดต่อที่เร็วPacingในการเล่าค่อนข้างไว มีแค่บางฉากที่เน้นขยี้อารมณ์ ที่ดึงฉากนั้นให้ช้าลงมา ประกอบกับงานออกแบบงานสร้างที่สุดจะอลังการ เสื้อผ้าที่จัดเต็ม และที่พีกที่สุด คือ เมคอัพและออกแบบทรงผม ที่ไม่ใช่แค่ เอลวิส ที่เหมือนจนน่าตกใจ แต่รวมถึงตัวละครผู้พันทอม ผู้จัดการของเอลวิส ที่แต่งให้ ทอม แฮงค์ส กลายเป็นตัวละครดังกล่าวอย่างเต็มตัว และที่น่าทึ่งคือ หนังเล่าในหลายช่วงเวลา กินเวลานานหลายสิบปี เราจะเห็นตัวละครต่างๆ เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง ทั้งรูปร่างหน้าตา ซึ่งดูเป็นธรรมชาติจนต้องปรบมือให้ทีมเบื้องหลังของหนังมากๆแต่หัวใจสำคัญจริงๆของElvisก็คือตัวละครเอลวิส ที่ไม่รู้จะต้องขอบคุณอะไร ที่ทำให้ บาซ เลอห์มานน์ ได้เจอกับ ออสติน บัตเลอร์ นักแสดงหนุ่มวัย31ปีคนนี้ สามารถกลายเป็นเอลวิสได้อย่างไม่มีที่ติ ไม่ใช่แค่รูปลักษณ์ภายนอก แต่เขาสามารถแสดงอารมณ์จากข้างใน ฉากแสดงอารมณ์ที่ซับซ้อน เขาแสดงได้อย่างทรงพลัง และที่ต้องชมมากขึ้นไปอีก คือ ออสติน ร้องเพลงของเอลวิสในหนังด้วยตัวเอง ยิ่งตอกย้ำถึงความครบเครื่องของเขาคนนี้ และแม้จะต้องประกบกับนักแสดงเบอร์ใหญ่อย่าง ทอม แฮงค์ส ในแทบทุกฉาก แต่ออสตินก็สามารถโดดเด่น และดึงสปอตไลท์มาไว้ที่ตัวเองด้วยการแสดงอันน่าทึ่งได้ตลอด ในขณะที่ ทอม แฮงค์ส ก็ถ่ายทอดบทผู้พันทอม ได้อย่างไร้ที่ติเช่นกัน นี่คือตัวละครสีเทา ที่ทอมสามารถบาลานซ์สิ่งที่จะถ่ายทอดออกมาได้ดี และเขาก็ทำหน้าที่เป็นผู้บรรยายเรื่องราวในหนังได้อย่างลงตัวอีกด้วยนี่ไม่ใช่หนังที่เหมาะสำหรับแค่แฟนเอลวิสเท่านั้น แต่นี่คือหนังเด็ดหนึ่งเรีื่องที่ควรค่าแก่การชมในโรงภาพยนตร์ หนังเต็มไปด้วยพลังงานที่ถูกส่งออกมาจากหน้าจอ มันทั้งทรงพลัง จัดจ้าน ฉูดฉาด หวือหวา อาจกล่าวได้ว่าไม่มีฉากไหนที่ บาซ เลอห์มานน์ เบามือกับมันเลย ทุกฉากถูกบีบเค้น ถูกถาโถมด้วยสไตล์อย่างไม่ยั้ง แน่นอนว่าต้นปีหน้า เราคงได้เห็นชื่อหนังElvisโลดแล่นบนเวทีรางวัลอย่างแน่นอน อย่างน้อยสาขา เมคอัพและแฮร์สไตล์ลิส,ออกแบบเครื่องแต่งกาย,ออกแบบงานสร้าง ต้องได้เข้าชิง รวมไปถึง นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม ต้องลุ้นให้ค่ายวอร์เนอร์ฯ สามารถรักษากระแสของหนังไปได้เรื่อยๆ และทำแคมเปญโปรโมต ออสตินให้หนักๆอีกครั้งในช่วงประกาศผลรางวัล ไม่แน่เขาอาจจะไม่ใช่แค่ผู้เข้าชิง เพราะคุณภาพการแสดงที่เขาถ่ายทอดออกมา สามารถเป็นถึงผู้ชนะได้อย่างสบายๆ(ให้9คะแนนจากคะแนนเต็ม10คะแนน)ชมตัวอย่างElvisสัปดาห์นี้ในโรงภาพยนตร์ภาพ : Warner Bros. Thailand

album

0
0.8
1